Defense Lawyer ทนายสาวนักปกป้อง

9.7

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.15 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,578 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2558 12.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) คดีแรกของทนายมือใหม่ - บทพิจารณาคดี 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          "น...นุ่งผ้าขนหนูคนเดียวเหรอครับ!?"

          ผู้พิพากษาขมวดคิ้วเคร่งเครียด

          "คุณสรเดช ที่พูดมานั่นหมายความว่ายังไงเหรอครับ?"

          "มันง่ายมากครับท่าน แบบจำลองนี้จะช่วยอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างเองครับ"

          แบบจำลองที่ว่านั่นถูกฉายขึ้นจอโฮโลแกรมใหญ่หลังจากที่ฝ่ายนั้นสัมผัสจอตัวเอง มันเป็นแบบจำลองที่สร้างด้วย CG สามมิติ ซึ่งจำลองเป็นห้องของคุณอลิเซียแบบเหมือนเปี๊ยบทุกรายละเอียด มีแม้กระทั่งตัวหุ่นของคุณอลิเซียแบบเหมือนจริง และตัวหุ่นรูปคนสีดำสนิทและไร้ใบหน้า ซึ่งคาดว่าใช้เป็นตัวแทนของฆาตกร

          "ก่อนที่จะเกิดเหตุ ฆาตกรซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนสนิทกับผู้ตาย ได้เข้าไปที่ห้องของเธอ และคงอยากจะยืมใช้ห้องน้ำ ผู้ตายก็เลยให้เขายืมผ้าขนหนู ด้วยเหตุนี้ ฆาตกรเลยถอดเสื้อผ้าจนหมดและอยู่ในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว

          และในตอนนั้น คงจะเกิดเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้ทั้งสองเกิดเรื่องผิดใจกัน ด้วยความวู่วาม ฆาตกรเลยหยิบมีดซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตัว แล้วแทงเข้าที่อกผู้ตายจนเสียชีวิต"

          หุ่นสีดำที่นุ่งผ้าขนหนูขยับตามคำพูดของอัยการทุกอย่าง ฉันมองดูมันดึงมีดออก ปล่อยให้หุ่นคุณอลิเซียล้มลงพื้น ก่อนที่จะยืนเป็นเป้านิ่งให้เลือดซึ่งจงใจสร้างให้เป็นสีชมพูเพื่อลดความน่าสยดสยอง กระเซ็นเปรอะเปื้อนทั้งห้องทั้งร่างของตัวเอง

          "หลังจากนั้น คนร้ายก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอดผ้าขนหนูแขวนไว้ในนั้น เปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างร่างกาย พร้อมกับล้างมีดที่เป็นอาวุธเพื่อลบหลักฐานไปด้วย ซึ่งก็บังเอิญโชคดีที่ห้องของผู้ตายมีไดร์เป่าผมอยู่ด้วย เขาเลยใช้มันเพื่อทำให้เส้นผมกลับมาแห้งเหมือนเดิมได้ภายในเวลาไม่กี่นาที

          จากนั้นที่เหลือก็แค่กลับมาใส่เสื้อผ้าซึ่งไม่ได้เปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย เพียงแค่นี้ คนร้ายก็สามารถทำการฆาตกรรมได้ โดยที่ตัวเองไม่เปื้อนเลือดแม้แต่น้อยแล้วครับ"

          "เข้าใจล่ะ ศาลยอมรับสิ่งที่ฝ่ายโจทก์ยื่นมาทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานครับ"

          หน้าจอของฉันมีป็อปอัพแจ้งเตือนว่าได้รับหลักฐานใหม่อีกครั้ง ฉันกดปิดมันไปทันทีโดยไม่สนใจเปิดดู เพราะรู้อยู่แล้วว่าคงจะเป็นรายละเอียดของผ้าขนหนู รายงานการตรวจห้องน้ำ แล้วก็โมเดลจำลองที่พึ่งดูไปเมื่อครู่แหงๆ

          ความจริงข้อใหม่ที่เผยออกมาทำให้ฉันรู้สึกเครียดอีกครั้ง เพราะนอกจากมันจะตอบคำถามของฉันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังทำให้สมมุติฐานเรื่อง "อาจารย์ = ฆาตกร" มีความหนักแน่นกว่าเดิมซะอีก...

          ทำไมน่ะเหรอ...?

          "ท่านคงจะเห็นแล้วใช่มั้ยครับ คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นคนที่ผู้ตายสนิทมากจนถึงกับให้ยืมผ้าขนหนูของตัวเองไปใช้ได้โดยไม่รังเกียจ ซึ่งคนคนนั้นจะเป็นใครไปได้ นอกจากจำเลยซึ่งเป็นถึงแฟนของผู้ตายล่ะครับ!?"

          นั่นไง!! อย่างที่คิดเลย!! เพราะดันถามคำถามแบบนั้นออกไป เลยทำให้เรื่องนี้แย่ลงไปอีก ฉันนี่มันงี่เง่าชะมัด!!

          "ไม่หรอกน่าอายส์ ถึงจะไม่ถามเรื่องนี้ออกไป อีกฝ่ายก็คงหาจังหวะยกเรื่องนี้มาพูดอยู่ดีแหละ"

          "อ...เอ๋!?"

          ฉันหันไปหาอาจารย์ด้วยความประหลาดใจ นี่อาจารย์อ่านใจฉันได้เหรอคะ!?

          "อย่าทำหน้าหยั่งกับเห็นผีแบบนั้นสิ คิดว่าผมอยู่กับอายส์มาตั้งกี่ปีกัน เรื่องที่อายส์กำลังโทษตัวเองอยู่น่ะ แค่ดูหน้าก็รู้แล้ว"

          อาจารย์ยกมือมาใกล้ปากแล้วส่งเสียงขำในลำคอ ขนาดในตอนนี้ก็ยังไม่มีความเครียดหรือความกลัวแม้แต่น้อย

          "จะว่าไป คุณลุงคนนี้เนี่ยยังนิสัยเสียเหมือนเดิมเลยน้า~ พอเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นทนายมือใหม่ทีไร ก็ชอบปกปิดความจริงส่วนหนึ่งไว้เพื่อหลอกให้อีกฝ่ายถาม จากนั้นก็ตอกกลับอีกฝ่ายให้หน้าหงาย ให้ความมั่นใจของเด็กใหม่สั่นคลอนอยู่เรื่อยเลย~"

          "เฮ้ๆ ผมได้ยินนะครับคุณเมฆา! แต่เอาเถอะ ผมจะคิดซะว่านั่นเป็นคำชมล่ะกันนะครับ หึๆๆๆ"

          อัยการนิสัยเสียส่งยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างหลงระเริง โดนอีกฝ่ายดูถูกเข้าอย่างจังซะแล้วสิ

          "อีกอย่าง ผมว่าพวกคุณควรหยุดนอกเรื่องกันได้แล้วนะครับ เพราะมันจะเป็นการเสียเวลาศาลโดยใช่เหตุ ใช่มั้ยครับท่าน?"

          "อืม....นั่นสินะครับ ฝ่ายจำเลยกรุณางดคุยนอกเรื่องด้วยครับ"

          "ข...ขออภัยค่ะท่าน!"

          เดี๋ยวสิคะ! ทำไมฉันถึงโดนเตือนไปด้วยล่ะเนี่ย!? คนที่เริ่มนอกเรื่องก่อนมันอาจารย์นะคะ!!

 

          "ถ้าอย่างนั้น...ฝ่ายจำเลยมีอะไรจะคัดค้านอีกมั้ยครับ?"

          "เอ๋!? อ...เอ่อ..."

          ฉันพยายามเค้นสมองตัวเองอีกครั้ง คิดสิ มันต้องมีอะไรที่น่าจะช่วยให้อาจารย์หลุดพ้นจากข้อสงสัยได้บ้างสิ

          จริงสิ...ต้องตบโต๊ะ!!

          ปึง!!

          "ร...แรงจูงใจ...ใช่แล้ว!! แรงจูงใจล่ะคะ!?"

          ฉันไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเตรียมคำตอบเรื่องนี้ไว้รึเปล่า แต่ยังไงก็ต้องลองดูซักตั้ง

          "จากที่ฉันได้ทราบมา อาจา...ลูกความของฉันกับผู้ตายนั้นเป็นคู่รักที่เข้ากันได้ดีมาก คนรู้จักทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าทั้งสองไม่เคยมีเรื่องให้บาดหมางหรือทะเลาะกันเลยแม้แค่ครั้งเดียว..."

          "ร...เรื่องนั้นเป็นความจริงเหรอครับคุณสรเดช?"

          "ครับ ทางเราเองก็สืบได้ข้อมูลเช่นนั้นเหมือนกันครับ"

          ดูไม่ค่อยตกใจเลยแฮะ หมายความว่าเรื่องนี้เองก็เตรียมคำตอบเอาไว้แล้วงั้นเหรอ...

          แต่ว่า จะหยุดกลางคันก็ไม่ได้ซะด้วยสิ...

          "ถ้าอย่างนั้น ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ยคะ ว่าอะไรคือแรงจูงใจที่ทำให้จำเลยถึงกับลงมือฆ่าคนรักของตัวเองได้ ถ้าคุณตอบเรื่องนี้ไม่ได้ เกรงว่าฉันคงจะยอมรับคำกล่าวหานั้นไม่ได้เช่นกันค่ะ"

          "อืม..."

          ท่านผู้พิพากษาเอามือกุมคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะพยักหน้าหนึ่งครั้ง

          "ศาลเห็นด้วยกับคำพูดของจำเลยครับ ฝ่ายโจทก์สามารถให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มั้ยครับ?"

          "มันง่ายมากครับท่าน~"

          อ๊า...ว่าแล้วเชียว...

          ไม่สิ...อย่าพึ่งด่วนสรุปไป บางทีมันอาจจะมีช่องโหว่ให้เราเล่นงานอยู่ก็ได้

          "ก่อนอื่น ผมขอให้ทุกคนดูภาพนี้อีกครั้งครับ"

          นี่มัน...ภาพตอนพบศพคุณอลิเซียครั้งแรกที่เห็นไปก่อนหน้านั้นแล้วนี่ จะบอกว่าแรงจูงใจที่ว่านั่นอยู่ในนี้งั้นเหรอ?

          "ผมเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะไม่ทันได้สังเกต แต่หากมองที่ภาพนี้ดีๆ แล้ว จะเห็นว่ารอบๆ ตัวผู้ตายมีของที่เป็นลักษณะเม็ดกลมๆ สีแดงตกอยู่เต็มไปหมด ลองสังเกตดูสิครับ"

          "อ...เอ๋...?"

          มีของแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ ทำไมฉันถึงไม่ทันได้สังเกตเลยล่ะ!? ฉันคิดเช่นนั้นแล้วรีบขยับนิ้วไปบนหน้าจอ เข้าโฟลเดอร์หลักฐานแล้วเปิดภาพนั้นขึ้นมา ขยับนิ้วเพื่อทำการขยายภาพเฉพาะส่วน ใช้นิ้วเลื่อนดูภาพในแต่ละจุดอย่างละเอียด ด้วยดวงตาที่หรี่ลงเพื่อให้มองเห็นรายละเอียดชัดขึ้น

          "จ...เจอแล้ว...มีจริงๆ ด้วย..."

          เป็นอย่างที่ฝ่ายนั้นบอกเลย ของที่มีลักษณะกลมๆ ขนาดเท่าเม็ดยา แถมยังตกเกลื่อนกลาดหลายชิ้นอยู่รอบๆ ศพ ที่ฉันไม่ทันสังเกต ก็คงเพราะขนาดมันเล็กมาก แล้วก็เพราะสีแดงของมันช่างกลมกลืนกับเลือดที่นองพื้นจนแทบแยกไม่ออกสินะ

          "อืม...มันเป็นเม็ดกลมๆ ที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็มองไม่เห็นจริงๆ ด้วยครับ"

          ในที่สุดท่านผู้พิพากษาก็พยักหน้าอีกครั้งหลังจากหยีตาจ้องหน้าจอใหญ่อยู่หลายนาที

          "ว่าแต่...สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจยังไงเหรอครับ?"

          "ครับ ทางเราเองก็ได้สงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร เลยขอให้ทางแล็ปตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งผลการตรวจสอบนั้นช่างเป็นที่น่าตกใจ เพราะเจ้าสิ่งนี้..."

          ชายหัวล้านพักสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ก่อนจะปั้นหน้าตึงเครียดแล้วชูซองพลาสติกที่เต็มไปด้วยเม็ดสีแดงที่พูดถึง

          "มันคือ 'เบิร์นนิ่งไนท์แมร์' ครับ..."

          !!

          ต่อให้ไม่ต้องหันมองรอบๆ ฉันก็กล้าพนันได้ว่าไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่ทุกคนยกเว้นอัยการสรเดชที่รู้อยู่แล้ว ต้องกำลังตกใจกับคำพูดนั้นไม่ต่างกับฉันตอนนี้แน่ๆ

          นั่นไม่ใช่คำกล่าวที่เวอร์เกินจริงแม้แต่น้อย เสียงเซ็งแซ่จากที่นั่งคนนอกที่เริ่มดังขึ้นอีกครั้งก็เป็นหลักฐานพิสูจน์เรื่องนี้ แล้วอีกอย่าง แม้แต่อาจารย์ที่ยิ้มมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ กับท่านผู้พิพากษาที่มาดขรึมมาตลอด ยังเผยสีหน้าตกใจกับคำพูดนั้นอย่างเห็นได้ชัด

          มันแหงอยู่แล้ว ใครจะไปคาดถึงกันล่ะ ว่าจะเจอของแบบนี้ง่ายๆ ในศาลแห่งนี้

          เบิร์นนิ่งไนท์แมร์(Burning Nightmare) มันคือชื่อของยาเสพติดอันเป็นที่รู้จักดีในปัจจุบัน ไม่รู้ที่มาแน่ชัดว่าถูกนำเข้ามาจากประเทศไหน เป็นยาเสพติดที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เสพเกิดอาการติดจนขาดยาไม่ได้ และทำยสติสัมปชัญญะของผู้เสพแล้ว มันยังทำให้ร่างกายของผู้เสพกลายเป็นสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งอีกด้วย

          แต่ถึงจะบอกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดบ้าคลั่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเสพจะกลายร่างเป็นก็อตซิลล่าหรืออะไรแบบนั้น แต่จะทำให้มนุษย์คนนั้นมีความสามารถสูงเกินมนุษย์ทั่วไปจนเหมือนกับสัตว์ประหลาด อย่างเช่นว่าวิ่งได้เร็วพอๆ กับเสือชีต้า มีกำลังมหาศาลราวกับช้าง มีพลังชีวิตมหาศาลขนาดที่ว่าต่อให้ถูกกระสุนเจาะทะลุสมองไปแล้ว ก็ยังมีลมหายใจอาละวาดอยู่ได้กว่าสามนาที...

          ในหลายๆ ประเทศรวมถึงไทยเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำลายสิ่งนี้ให้สิ้นซาก แต่น่าเศร้าที่ต้องบอกว่าเรื่องมันไม่คืบหน้าเลยแม้แต่น้อย เพราะข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมันถูกเก็บซ่อนได้อย่างแนบเนียน ขนาดเรียกได้ว่าแทบจะมืดแปดด้านเลยด้วยซ้ำ

          ทั้งอย่างนั้น...ทำไมของแบบนี้ถึงมาอยู่ในห้องของคุณอลิเซียได้ล่ะ!?

          ปังๆๆ!!

          "โปรดอยู่ในความสงบครับ!!"

          เสียงค้อนแห่งความยุติธรรมดังสามทีติด ทำให้เหล่าคนนอกยอมสงบปากลงอีกครั้ง

          "คุณสรเดช โปรดอธิบายด้วยครับว่าทำไมเจ้าสิ่งนี้ถึงไปอยู่ในห้องผู้ตายได้!?"

          แค่ฟังเสียงก็รู้ได้ว่าท่านดูเคร่งเครียดกว่าเดิม แต่ฝ่ายโจทก์ก็พยักหน้าแทนคำตอบอย่างดูไม่กดดันเท่าไหร่นัก

          "เราได้ทำการตรวจสอบทุกสิ่งของผู้ตายอย่างละเอียด และได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจอีกนับหลายเรื่อง ทั้งซองบรรจุเบิร์นนิ่งไนท์แมร์ในลิ้นชักนับหลายซองซึ่งตรวจไม่พบรอยนิ้วมือแม้แต่น้อย ทั้งรายชื่อในรายการเบอร์โทรและแอดเค้าท์อีเมลล์ของผู้ตาย ซึ่งตรวจพบทั้งเบอร์และอีเมลล์ที่ตรงกับข้อมูลของผู้เสพเบิร์นนิ่งไนท์แมร์หลายคนในอดีต จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ทำให้ทางเราสามารถสรุปได้ว่า..."

          แล้วก็เป็นอีกครั้งที่อัยการพักสูดหายใจเข้ายาวๆ ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกเข้าไปด้วยความรู้สึกกดดัน ราวกับรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรน่าตกใจออกมาอีกครั้ง

          "อลิเซีย ดอล่า หรือผู้ตายนั้น...เป็นหนึ่งในเอเย่นต์ค้าเบิร์นนิ่งไนท์แมร์ครับ"

          "ว...ว่าไงนะ!?"

 

          โกหกน่า...นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย...ไม่สิ...ที่จริงก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าได้ยินไม่ผิด...แต่ว่า...ถึงจะรู้แบบนั้นก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้อยู่ดี...

          ทำไมน่ะเหรอ...? ก็คุณอลิเซียน่ะ เป็นถึงแฟนของอาจารย์เชียวนะ...

          ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่อาจารย์ของฉันเป็นนักจับผิดคนตัวยงเลยนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามโกหกหรือปิดบังอะไรไว้ อาจารย์ก็จะมองมันออกและค้นหาความจริงได้ทุกครั้ง ในอดีตฉันเองก็เคยเห็นความสามารถอันน่าทึ่งนี่อยู่หลายครั้ง เพราะงั้นถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้

          จะบอกว่าคนที่มีเบื้องหลังเป็นเอเย่นต์ค้ายาเสพติดที่ร้ายที่สุด สามารถปกปิดตัวตนนั้น จนได้รับทั้งความรักและความไว้ใจจากคนอย่างอาจารย์เนี่ยนะ ถ้าไม่ได้เห็นหลักฐานมากมายที่โชว์อยู่บนจอโฮโลแกรมล่ะก็ ฉันคงจะคัดค้านหัวชนฝาไปแล้ว

          "ด...ดูท่าว่าพวกเราจะได้รับรู้ความจริงที่ไม่น่าเชื่อเข้าซะแล้วสินะครับ..."

          ท่านผู้พิพากษาหลับตาลง ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำเพื่อให้ตัวเองกลับมามีสมาธิเหมือนเดิม โดยหลังจากที่เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที ท่านก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

          "แล้ว...เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจของจำเลยยังไงเหรอครับ?"

          "มันง่ายมากครับท่าน~ อย่างที่ผมได้ชี้แจงไปก่อนหน้านั้นแล้ว ว่าการฆาตกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า โดยคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นจากความผิดใจกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งตรงจุดนั้นแหละครับที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้

          ท่านลองคิดดูนะครับ ถ้าจำเลยบังเอิญได้ล่วงรู้ความลับของแฟนตนเองว่าเป็นถึงเอเย่นต์ค้าสิ่งผิดกฎหมายร้ายแรง คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบไหนขึ้นกันล่ะครับ?"

          "อืม...ผมคิดว่าจำเลยคงจะช็อคสุดๆ เลยล่ะครับ... "

          ริมฝีปากของฝ่ายโจทก์โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบ ทำให้ฉันรู้สึกถึงลางไม่ดีอีกครั้ง

          "ใช่แล้วครับ แต่เรื่องมันคงไม่จบแค่ช็อคหรอกจริงมั้ยครับ จำเลยเป็นคนในวงการกฎหมาย ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับตัวตนของแฟนที่ทำผิดกฏหมายร้ายแรงเช่นนั้นได้ ส่งผลให้จำเลยกับผู้ตายเริ่มมีปากมีเสียงกัน จนสุดท้ายจำเลยก็โมโหจนขาดสติ เลยหยิบมีดที่อยู่ใกล้ตัวมาแทงเธอในที่สุด...

          และนั่นก็คือแรงจูงใจในการฆาตกรรมของจำเลยยังไงล่ะครับ!!"

          และก็เป็นครั้งที่ 3 ของวันนี้ที่ฝั่งคนนอกเริ่มส่งเสียงฮือฮา จนท่านต้องลงค้อนสามทีติดเพื่อหยุดพวกเขาอีกครั้ง

          "เข้าใจแล้วครับ เรื่องมันเป็นแบบนี้----"

          "ขอค้านค่ะ!!"

          ฉันรีบส่งเสียงค้านไปทันทีโดยไม่รอให้ท่านพูดจบ ใครจะไปยอมให้อาจารย์ถูกปรักปรำอยู่ฝ่ายเดียวกันเล่า!!

          "สิ่งที่คุณกล่าวมามันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่ามันเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงๆ นะคะ!!"

          "ผมขอค้าน!!"

          และในทันทีทันควัน ฝ่ายโจทก์ก็ค้านกลับทันทีโดยไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

          "ผ้าขนหนูที่เปื้อนเลือดเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าฆาตกรเป็นคนสนิทกับผู้ตาย นอกจากนี้ จากข้อมูลการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย ยังพบว่าคนที่เธอคุยโทรศัพท์ด้วยในวันนั้นมีเพียงจำเลยคนเดียว เพราะฉะนั้น เธอไม่มีทางพบคนอื่นในห้องได้นอกจากจำเลยครับ!!"

          "ขอค้านค่ะ!!"

          ใจเย็นๆ สิตัวฉัน มันต้องมีช่องว่างบ้างแหละน่า ฉันบอกกับตัวเองแล้วฟาดมือลงกับโต๊ะอีกครั้ง

          ปึง!!

          "คนสนิทจะมาหากันไม่จำเป็นต้องโทรบอกกันก่อนเสมอไปนะคะ อาจจะมีคนอื่นเข้าไปหาเธอก่อนที่ลูกความของฉันจะไปถึงก็ได้ค่ะ!!"

          "ผมขอค้าน!! เสียใจด้วยนะครับ แต่ทางเราได้ตรวจสอบคนสนิทของผู้ตายทั้งหมดที่เป็นไปได้มาแล้ว นอกจากจำเลยและเธอคนนั้นแล้ว ทุกคนล้วนมีหลักฐานยืนยันตัวเองว่าไม่ได้ไปหาผู้ตายแม้แต่น้อย"

          "ต...แต่ว่า-----"

          "ผมขอค้าน!!"

          !!!

          คำค้านคราวนี้ไม่ใช่เสียงแหบๆ ของอัยการสรเดช แต่เป็นเสียงฟังดูหนุ่มแน่นและเต็มไปด้วยพลัง เป็นเสียงของบุคคลที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี

          "อ...อาจารย์!?"

          แม้จะมองจากด้านข้าง ก็ยังเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มของอาจารย์ไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่รอยยิ้มที่มีแต่ความร่าเริงเหมือนเมื่อครู่ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีทางเห็นได้ในยามปกติ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับจะบอกว่า "เจออะไรดีๆ เข้าแล้ว"

          "คุณสรเดช ถ้าผมจำไม่ผิด ก่อนหน้านั้นคุณเตือนพวกผมเรื่องทำให้ศาลเสียเวลาโดยใช่เหตุใช่มั้ยครับ แต่คุณรู้มั้ยครับ ตอนนี้คุณเองก็กำลังทำให้ศาลเสียเวลาโดยใช่เหตุเช่นกันนะครับ~"

          "เอ๋...?"

          รอยยิ้มบนใบหน้าแก่ๆ จางหายไปทันที พร้อมกับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังอาจารย์ ซึ่งมีแววของความหวาดระแวงฉายออกมานิดๆ

          "ค...คุณเมฆา ที่คุณพูดมานั่นมันหมายความว่าไงเหรอครับ...?"

          "อะไรกัน ไม่เข้าใจที่ผมพูดเหรอครับ?"

          อาจารย์ยกมือขึ้นขยับแว่นเล็กน้อย เป็นการขยับแว่นธรรมดา แต่สำหรับฝ่ายนั้นคงรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่ม เลยเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย

          "ที่ผมอยากจะบอกก็คือ...ให้คุณเบิกพยานออกมาให้การได้แล้วไงครับ"

          !!!

          ฝ่ายโจทก์เบิกตาโพลง ใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมาจนหน้าถอดสี ราวกับอยากจะบอกว่า "ทำไมถึงรู้เรื่องนั้นได้ล่ะ!?"

          "แหมๆ ก็เมื่อครู่นี้คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่า 'นอกจากจำเลยและ -เธอ-คน-นั้น- แล้ว ทุกคนล้วนมีหลักฐานยืนยันตัวเองว่าไม่ได้ไปหาผู้ตายแม้แต่น้อย' น่ะครับ"

          อาจารย์ส่งเสียงขำในลำคอเล็กน้อยราวกับจงใจจะยั่วโมโห แต่มันกลับทำให้ฝ่ายโจทก์ยิ่งหน้าซีดกว่าเดิม

          "การที่คุณพูดแบบนั้น แสดงว่าคนที่ไปหาผู้ตายในวันนั้นมีสองคน นั่นก็คือผมกับเธอคนนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ทั้งผมหรือเธอคนนั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นฆาตกรได้พอๆ กัน

          ทั้งอย่างนั้น คุณกลับพูดออกมาได้อย่างเต็มปากว่าผมเป็นฆาตกร แต่เธอคนนั้นกลับหลุดพ้นจากข้อสงสัย

          ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หากคิดดูดีๆ ก็จะได้คำตอบเพียงแค่ข้อเดียว

          นั่นก็คือ เธอคนนั้นอยู่ในสถานะพยานใช่มั้ยล่ะครับ พยานที่บอกว่า 'เห็นฆาตกรตอนกำลังทำการฆาตกรรม' น่ะครับ"

          "อึ้ก..."

          เสียงกัดฟันของฝ่ายนั้นเป็นการยืนยันชั้นดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง ส่วนฉันนั้นได้แต่มองอาจารย์ด้วยความทึ่งและชื่นชม เล่นตีความคำว่า "เธอคนนั้น" ที่ฝ่ายนั้นหลุดปากมาซะละเอียดขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ สมเป็นเป็นอาจารย์จริงๆ เลยค่ะ

          "...คุณสรเดช ที่จำเลยพูดมานั่นเป็นความจริงเหรอครับ?"

          ท่านผู้พิพากษาจ้องเขม็งไปทางอัยการ ดูจากใบหน้าแล้วท่าทางจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทำให้ชายหัวล้านถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา

          "เอ่อ...ค...ครับ...เธอคนนั้นคือคนที่โทรศัพท์แจ้งเรื่องกับทางตำรวจ แล้วบอกว่าเห็นจำเลยตอนกำลังทำการฆาตกรรมอย่างชัดเจนครับ...."

          ปัง!!

          "เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมถึงไม่รายงานต่อศาลตั้งแต่แรกล่ะครับ!?"

          เสียงตวาดแห่งความโกรธทำเอาอัยการกลัวหัวหดหยั่งกับเด็กน้อยตอนโดนแม่ดุ หวา...ตอนท่านโกรธนี่น่ากลัวชะมัดเลยแฮะ...

          "ข...ขอโทษด้วยครับ!! แต่เพราะว่าฝ่ายจำเลยเอาแต่ค้านโน่นค้านนี่ตลอด ผมเลยไม่ทันมีโอกาสได้รายงานครับ!!"

          เฮ้!! เดี๋ยวก่อนสิ!! อย่างมาโยนความผิดให้กันดื้อๆ แบบนี้สิคะ!!

          "ขอค้านค่ะ!!"

          ปึง!!

          "แต่ที่ฉันขอค้านไปทั้งหมดนั่นก็เพื่อค้นหาความจริงในคดีนี้นะคะ!! นี่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนโดยตรง หากผิดพลาดก็เท่ากับว่าทำลายชีวิตของคนบริสุทธิ์ไปทั้งชีวิต เพราะงั้นฉันถึงได้พยายามเก็บทุกรายละเอียด เพื่อให้การตัดสินคดีเป็นไปอย่างถูกต้องและยุติธรรมที่สุด...."

          ฉันยกมือขวาขึ้น ชี้นิ้วใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว ถึงจะเป็นฉันก็เถอะ แต่เจอแบบนี้ก็โมโหเป็นนะ!!

          "คุณจะบอกว่าการกระทำของฉัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำในศาลแห่งนี้งั้นเหรอคะ!?"

          "อึ๊ย!!"

          ไงล่ะ!! ถึงกับเหวอเลยล่ะสิ!! คิดไม่ถึงล่ะสิว่าจะโดนฉันตอกกลับขนาดนี้!!

          "ศาลยอมรับคำค้านจากฝ่ายจำเลยครับ คุณสรเดช คราวหน้าช่วยระวังเรื่องการรายงานมากกว่านี้ แล้วก็กรุณาอย่าพูดอะไรโดยไม่ทันได้คิดออกมาอีกนะครับ!"

          "ครับ...ขออภัยจริงๆ ครับ..."

          หวา...ฝ่ายนั้นหงอยไปเลยแฮะ...นี่ฉันตอบโต้แรงไปรึเปล่าเนี่ย...ชักรู้สึกสงสารขึ้นมาซะแล้วสิ...

          "อืม...ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะพักชั่วคราว เพราะงั้น ศาลจะขอหยุดพักเป็นเวลา 15 นาที หลังจากนั้นเราจะมาฟังคำให้การจากพยานของฝ่ายโจทก์กันนะครับ"

          "เข้าใจแล้วค่ะ"

          "ข...เข้าใจแล้วครับ..."

          "อืม ถ้าหยั่งงั้น...อ้ะ ผมเกือบลืมไป ศาลขอรับสิ่งที่ฝ่ายโจทก์ยื่นมาทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานครับ"

          และก็เป็นอีกครั้งที่บนหน้าจอตรงหน้ามีข้อความแจ้งว่าได้รับหลักฐานใหม่

          "เอาล่ะ งั้น พักศาลได้!"

          ปัง!!

 

--- วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 เวลา 11.28 น. ---

--- ศาลกรุงเทพมหานคร ---

--- ห้องพักจำเลยที่ 4---

 

          "ฮ้า~~~~ นึกว่าจะจะแย่ซะแล้ว~~~~~"

          เพียงแค่วินาทีแรกที่ออกจากห้อง ฉันก็ถอนหายใจยาวๆ อย่างเหนื่อยล้า ตั้งแต่เริ่มเปิดศาลก็พึ่งจะผ่านไปแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่กลับรู้สึกเหมือนเอาพลังงานสำหรับทั้งวันไปใช้จนแทบเหือดแห้ง ศาลของจริงเนี่ยเทียบกับศาลจำลองตอนสมัยเรียนไม่ติดเลยแฮะ

          "ถ้าไม่ได้อาจารย์ช่วยไว้คงแย่แน่ๆ ขอ---"

          ฉันตั้งใจจะหันไปขอบคุณอาจารย์ แต่ก็ต้องชะงักกลางคันเมื่อเห็นอาจารย์ในท่าทีที่แปลกไป ตามปกติแล้ว อาจารย์จะยืดตัวตรงอย่างภูมิฐานพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มอยู่ตลอดอันเป็นเอกลักษณ์ แต่อาจารย์ในตอนนี้กลับทำคอตก ยืนเอามือซ้ายกุมใบหน้า ราวกับกำลังแบกรับความทุกข์อันแสนหนักอึ้งเอาไว้

          "อ...อาจารย์..."

          คราวนี้ดูเหมือนเสียงเรียกจะส่งไปถึง อาจารย์เลยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้าหันมามอง

          "อ้ะ~!! โทษทีๆ พอดีเมื่อกี้กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยน่ะ~ ฮ่ะๆๆ"

          "อาจารย์..."

          ยิ้มเจื่อนๆ พลางหัวเราะแหะๆ แถมยังเอามือลูบหัวตัวเองอีก เก็บความรู้สึกได้ไม่เนียนเอาซะเลยนะคะ...

          จริงสิ...ฉันน่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วนี่นา...

          แค่คุณอลิเซียที่เป็นผู้หญิงอันเป็นที่รักต้องมาตายจากไปก็น่าเศร้าอยู่แล้ว แต่นี่ดันมารู้ความจริงอันเลวร้ายว่าเธอเป็นถึงเอเย่นต์ค้ายาเสพติดอีก ถึงจะเป็นคนเข้มแข็งอย่างอาจารย์ ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไม่รู้สึกเศร้าแม้แต่น้อยไปได้หรอก

          "แต่ว่านะ...อายส์..."

          "ค...คะ?"

          "ไอ้การว่าความเมื่อกี้มันใช้ไม่ได้เลยนะ ไปวิ่งเต้นตามเกมของตาลุงนั่นเป็นลูกไก่ในกำมือแบบนั้นได้ไง ผมสอนอยู่เสมอไม่ใช่เหรอว่าอย่าให้อีกฝ่ายชักจูงสถานการณ์อยู่ฝ่ายเดียวน่ะ ลืมไปซะแล้วรึไง!?"

          "ข...ขอโทษด้วยค่ะอาจารย์!!"

          ฉันรีบก้มหัวขอโทษอาจารย์ที่เปลี่ยนมาเป็นหมวดเข้มงวดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เล่นเปลี่ยนอารมณ์กันดื้อๆ แบบนี้ ฉันรับมือไม่ทันนะคะอาจารย์...

          "...เอาเถอะ ยังไงก็ตาม ตอนนี้เราบีบให้ฝ่ายนั้นเบิกพยานออกมาได้แล้ว คงจะรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไงต่อไปน่ะ?"

          "ร...เรื่องนั้น..."

          ฉันนึกถึงหนึ่งในประโยคที่อาจารย์คอยย้ำเตือนเสมอ ประโยคที่ว่า "โอกาสที่ทนายจะพลิกสถานการณ์ได้ คือตอนที่พยานออกมาให้การต่อศาล"

          หากจะถามว่าทำไม ก็เพราะคำให้การของพยานไม่มีทางสมบูรณ์แบบ บางคนอาจจะจำเหตุการณ์ผิดพลาด บางคนอาจจะคิดไปเองว่าเป็นแบบนั้น หรือบางคนอาจจะโกหกเพื่อปิดบังความจริงอะไรซักอย่าง

          อย่างเช่นในกรณีนี้ ฉันเชื่อว่าอาจารย์ไม่ใช่ฆาตกร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพยานคนนั้นจะเป็นใคร คำพูดที่กล่าวมาต่อหน้าศาลแห่งนี้ จะต้องเป็นเรื่องโกหกอย่างไม่ต้องสงสัย

          ซึ่งถ้าหากฉันพิสูจน์เรื่องนั้นต่อหน้าศาลได้ ก็จะเป็นการพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์เป็นผู้บริสุทธิ์!

          "ค่ะ แน่นอนค่ะ"

          อาจารย์ตอบกลับคำพูดของฉันโดยการเอามือตบไหล่ พร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบเดิม รอยยิ้มที่แสดงถึงความเชื่อมั่นใจลูกศิษย์ตัวเองอย่างไร้การเคลือบแคลง

          "ฝากที่เหลือด้วยนะ คุณทนาย~"

          "ได้เลยค่ะ~"

 

--- วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2703 เวลา 11.44 น. ---

--- ศาลกรุงเทพมหานคร ---

--- ห้องพิจารณาคดีที่ 4---

 

          ปัง!

          "ศาลขอกลับเข้าสู่การพิจารณาคดีอีกครั้ง คุณสรเดช เชิญเรียกพยานออกมาได้เลยครับ"

          "ได้ครับ ฝ่ายโจทก์ขอเบิกพยาน คุณนิตยา สว่างศิลา เข้ามาให้การต่อศาลแห่งนี้ครับ"

          ประตูทางเข้าเปิดออก พร้อมกับร่างของคนสองคนที่เดินตรงเข้ามาข้างใน ร่างนึงเป็นชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากี ส่วนอีกคนนึงนั้น แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้ พยานนั่นเอง

          พยานคนนี้เป็นหญิงที่น่าจะอายุพอๆ กับคุณอลิเซีย ไว้ผมยาวสีแสดในสไตล์คล้ายกับสาวออฟฟิต ขนตาสีดำเช่นเดียวกับดวงตาของเธอดูงอนสวย เห็นเด่นชัดแม้จะอยู่ด้านหลังกรอบของแว่นตาสีชมพู ใบหน้าถูกโปะให้ดูสวยอย่างไม่เป็นธรรมชาติด้วยเครื่องสำอาง สงสัยจะไม่มั่นใจในใบหน้าตัวเอง เลยโปะมาซะหนาขนาดนี้

          ส่วนร่างกายนั้นดูผอมบาง สูงตามมาตรฐานหญิงไทย สวมเสื้อคอปกแขนยาวที่ปิดบังทุกสัดส่วน ซึ่งเข้ากันดีกับกระโปรงยาวสีดำ และรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับกระโปรง

          หลังจากที่พยานมายืนที่คอกพยานเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ชุดสีกากีก็ทำความเคารพต่อศาลก่อนเดินออกไป ปล่อยให้อัยการเป็นฝ่ายดำเนินการต่อ

          "พยาน โปรดรายงานชื่อและอาชีพด้วยครับ"

          "ค่ะ"

          พยานตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดูท่าจะชำนาญในการยิ้มต่อหน้าคนอื่นอยู่ไม่น้อย

          "ฉันชื่อนางสาวนิตยา สว่างศิลา เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ดแห่งประเทศไทย เช่นเดียวกับอลิ...เอ่อ...ฉันหมายถึงผู้ตายน่ะค่ะ"

          "คุณนิตยา ตามคำบอกเล่าของคุณสรเดช คุณคือคนที่บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ตอนฆาตกรรมพอดีใช่มั้ยครับ?"

          คราวนี้ท่านเป็นฝ่ายถามบ้าง

          "ค่ะ เป็นอย่างที่ท่านพูดแหละค่ะ"

          "อืม....ถ้างั้น...กรุณาให้การต่อศาลแห่งนี้ ถึงเรื่องของเหตุการณ์ในวันนั้นด้วยครับ"

          "เข้าใจแล้วค่ะ"

          กำลังจะเริ่มแล้วสินะ คำให้การ...ไม่สิ...คำโกหกจากปากพยาน...

          โทษทีนะคุณนิตยา ฉันไม่ได้มีความแค้นอะไรกับคุณหรอก...

          แต่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของอาจารย์...และเพื่อเผยความจริงต่อศาลแห่งนี้...

          ฉันจะเปิดโปงตัวตนหลอกลวงของคุณออกมาให้ได้!!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา