Ombre Pure มาเฟียบุปผาสีชาด

-

เขียนโดย snowred

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 18.47 น.

  1 บท
  0 วิจารณ์
  2,899 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2558 19.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑ : หนังสือที่ถูกขโมย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑

[บรรยายโดยตัวละคร บุณฑริก]

หนังสือที่ถูกขโมย

                “…”

                เผลอนึกถึงเรื่องนั้นอีกแล้วสิ เพิ่งหลับตาพักเพราะอ่านหนังสือนานเกินไปจนปวดตาไม่นาน ก็นึกถึงเรื่องเมื่อ ๑ ปีก่อน ตามมาหลอกหลอนจริงนะ …มาเฟียดอกเหมย

                หนูเขยิบกายให้นั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้ดังเดิม หลังจากที่นอนไปเรื่อย ๆ จนร่างค่อย ๆ ไถลลงไปราวกับงูเลื้อย แล้วมองกองเอกสารเบื้องหน้าบนโต๊ะและการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ เป็นภาพที่น่าสังเวชสำหรับเด็กวัยเรียนและควบตำแหน่งบอสมาเฟียไปด้วยเสียจริง

                หืม? บอสมาเฟีย ตาไม่ได้ฝาดไปหรอก หนูได้ตำแหน่งนี้มาจริง ๆ นะ แต่เพราะได้ตำแหน่งนี้มาตอนที่ยังเป็นเด็ก ม.๑ นี่แหละที่ทำให้ที่ตั้งแต่ก่อนจนผ่านมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ยังคงมีกลุ่มนักฆ่า หน่วยลอบสังหาร รวมทั้งมาเฟียจากพรรคอื่นยังคงแวะเวียนมาเพื่อฆ่าหนูไม่ขาด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอก

                “อยากเป็นเด็กธรรมดาจังน่อ” หนูไถลร่างอีกครั้ง พร้อมกับแหงนหน้ามองเพดานที่มักจะมองยามเบื่อหน่าย ถ้าเป็นไปได้อยากถ่ายรูปและมาใส่กรอบประดับผนังจัง ทำแบบนี้นาน ๆ มันก็เมื่อยนะ แต่ก็คงสู้ตอนที่ถือปืนไรเฟิล อาวุธประจำตัวอีกอย่างของหนูที่มักใช้ยามต่อสู้ไม่ได้หรอก นี่ถ้าถือนานเข้าคงมิแคล้วมีกล้ามขึ้นหน่อย ๆ หรอกนะ

                “บ่นจริง เส้นทางยังอีกยาวไกลนะ น้องสาวผู้น่ารักของพี่”

               อะเด๊ะ? เสียงนี้อย่าบอกนะว่าพี่ฟ้ามุ้ย

               หนูคิดในใจแล้วหันไปมองทางหน้าต่างด้านขวา ก่อนจะพบกับเด็กสาวผมสั้นสีเขียวแบบชา ผมส่วนหน้าถูกมัดเกือบถึงปลายทั้งสองข้างไว้ยาวกว่าส่วนหลังเล็กน้อย ดวงตาสีเดียวกันแต่เข้มกว่านั้นกลมโตฉายแววสดใส เธอสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายทับด้วยคลุมด้วยเสื้อแบบล้านนาสีดำ ใส่รองเท้าบูทที่มีเชือกผูกไขว้ยาวถึงเข่าสีเดียวกัน จนไม่เห็นเนื้อหนังส่วนขาเลย

               “เด็ก ม.๑ ที่เริ่มต้นชีวิตแบบใหม่อย่างสังคมมัธยม และงานของตระกูลอย่างการเป็นบอสมาเฟียมันน่าเบื่อนะ พี่ ลองมาเป็นดูไหมล่ะ” หนูอดจะส่งแววตาเคือง ๆ ไม่ได้ พี่ได้ตำแหน่งที่น่าจะสบายกว่าคงไม่รู้สึกหรอก

               “อะไรกัน การเป็นมือขวาให้บอสน่ะมันก็เหมาะกับพี่แล้ว อีกอย่าง เธอเป็นผู้มีสายเลือดโดยตรงก็ย่อมคู่ควรกว่า”

               “เฮ้อ…”

               นึกถึงเรื่องนั้นแล้วรู้สึกอนาถชีวิตตนเองจริง ๆ

               “แต่เธอน่าจะดีใจนะ เพราะตำแหน่งบอสนี่แหละที่ทำให้เธอทำอะไรได้สะดวก ๆ ขึ้น” หนูชะงักความคิดเมื่อครู่ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปจ้องพี่ฟ้ามุ้ยโดยไม่รู้ตัว

               …นั่นสินะ ถ้าหนูไม่ได้เป็นบอส คงไม่มีกำลังคนไปต่อสู้กับคนที่หนูแค้นหรอก

               “ก็จริง…” หนูเงียบไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อและหวนนึกถึงอดีต ดูเหมือนพี่ฟ้ามุ้ยจะไม่ต้องการให้หนูคิดไปมากกว่านี้จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

               “ฆ่าก็ว่ายากแล้ว แล้วไหนจะพวกตำรวจอีกล่ะ อย่าลืมล่ะบุณฑริกว่าพรรคเรายังทำงานร่วมกับตำรวจให้คอยช่วยจับตาดูมาเฟียพรรคอื่นที่ทำเรื่องไม่ดี”

               “เรื่องนั้นไม่ลืมหรอกน่า อีกอย่างนะพี่ฟ้ามุ้ย เป้าหมายของหนูก็ทำธุรกิจที่ผิดนี่” หนูเริ่มลืมเรื่องในอดีตแล้วมาสนใจเรื่องที่พี่ฟ้ามุ้ยกล่าวแทน

               “พรรคของเหม่ยหรงถึงจะทำเรื่องแบบนั้นจริง แต่ธุรกิจบังหน้าที่เธอเป็นเจ้าของก็ได้รับความนิยมมาก ถ้าเป็นข่าวอะไรโดยเราเป็นฝ่ายประกาศศึกก่อนคงได้โดนมองในแง่ร้ายแน่ แล้วมันก็จะส่งผลต่อธุรกิจเราในแง่ลบด้วย”

               “ให้ตายสิ จัดการยากเย็นจริง ๆ”

               “ฮ่ะ ๆ อดทนหน่อยเถอะน้องเอ๋ย” พี่ฟ้ามุ้ยเอ่ยปลอบอย่างขำ ๆ จนหนูเบื่อขึ้นมากขึ้นกับชีวิตที่เป็นอยู่ รู้สึกเหมือนกับตัวเอกในการ์ตูนหรือนิยายบางเรื่องที่พบกับเรื่องราวพลิกผัน และอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา …หนูรู้ซึ้งเลยดีแหละ การเป็นมาเฟียนี่มันก็น่าสนุกดีนะเวลามีเรื่องต่อสู้ แต่ถึงขั้นต้องฆ่ากันนี่มันไม่สนุกเลย

               “พี่ก็พูดได้นี่คะ”

               หนูตัดสินใจทำการบ้านที่ทำค้างไว้ ส่วนพี่ฟ้ามุ้ยก็เดินไปที่เครื่องทำน้ำร้อนเพื่อชงชาเขียวสำเร็จรูปดื่ม ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หนูรีบรวบรวมกองเอกสารที่บางส่วนกระจัดกระจายรวมทั้งหนังสือ และสมุดการบ้านที่วางไม่มีระเบียบ ก่อนจะจัดหน้าจัดผมรวมทั้งท่านั่งด้วย หนูไม่อยากให้ลูกน้องในพรรคคนไหนมาเห็นบอสเช่นตนเองในสภาพเหมือนงูเลื้อยหรอกนะ

               ก๊อก ๆ

               แอ๊ด…

               “ขะ ขอ ขออนุญาตครับบอส” มีชายคนหนึ่งในชุดสูท (ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว สมาชิกในพรรคเยอะเกิน) เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางเกร็ง ๆ คำพูดเมื่อครู่ก็สั่นชนิดที่ว่าเด็กฟังยังรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เจ้าตัวเดินเข้ามาก่อนจะหยุดนิ่ง ๆ ตรงหน้าไปนานเสียจนพี่ฟ้ามุ้ยต้องมองอย่างกดดันเพื่อให้เขาพูด

               “เอ่อ…”

               “เข้าเรื่องเลยค่ะ อ้อมค้อมมันเสียเวลา” หนูปรับน้ำเสียงให้ดูเคร่งขรึม อีกฝ่ายมีเหงื่อไหลแตกพลั่กจนหนูอดคิดไม่ได้ว่าเขากังวล หรือสภาพอากาศประเทศไทยมันร้อนเสียจนเหงื่อท่วมถึงเพียงนี้เชียวหรือ

               “ห้อง… ห้องสมุด…”

               “ห้องสมุด? มันทำไมหรือคะ?”

               หนูถามด้วยน้ำเสียงแบบเดิม แต่ใจไม่เป็นเช่นเดิม ...ห้องสมุด สวรรค์หนึ่งเดียวในเรือนไทยที่กว้างขวางอันเป็นศูนย์รวมในพรรคนี้ ห้องต้องห้ามที่แม้แต่พี่ฟ้ามุ้ยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของหนูยังให้เข้าไม่ได้ (แต่ถ้าพี่เขาแอบเข้ามาก็อีกเรื่อง) เป็นที่ที่หนูโปรดปรานและหวงรักหวงแหนมาก ชนิดที่ใครไปขโมยหนังสือสักเล่มไม่ก็ทำเปรอะ ยับ ขาด ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้หนังสือเสียหาย มันผู้นั้นตายไปเจ็ดชั่วโคตร …ดูเกินจริงแต่หนูจะไม่ปล่อยปละละเลยใครที่ทำเช่นนั้นแน่

               ด้วยเหตุนี้หนูจึงหวั่นใจที่ได้ฟังถึงห้องสมุดจากผู้ที่มีท่าที่หวาดเกรง …เกิดอะไรขึ้นกับห้องนั้นสินะ? ที่เขามีท่าทางเช่นนั้นก็คงเพราะกลัวหนู ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะเวลาหนูโกรธจะเปลี่ยนเป็นคนละคนทีเดียว

               “ขอบคุณมากค่ะที่เรียนให้ทราบ จะไปจัดการเดี่ยวนี้ล่ะค่ะ”

               หนูแทบจะพูดเสียงลอดไรฟันพร้อมกับลุกขึ้น จากที่เหลือบเห็นสีหน้าเขาแล้วใบหน้าของหนูตอนนี้คงถูกเงามืดทาบลงมาจนน่ากลัว ขนาดพี่ฟ้ามุ้ยที่ไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับอะไรยังต้องเบือนหน้าหนีพร้อมสีหน้าหวาด ๆ  พี่เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินการสนทนาเมื่อครู่แล้วดื่มชาเขียวแทบรวดเดียว หนูเปิดลิ้นชักแล้วหยิบแส้ออกมา …ไม่อยากใช้อาวุธประจำกายให้เสียของกับเรื่องแบบนี้หรอก

               บังอาจมากนักนะแก

               .

               .

               .

               “หนังสือถูกขโมยเหรอคะ?”

               “ยังไม่แน่ใจครับว่าถูกขโมยจริงไหม ตอนที่เดินตรวจก็เห็นมีคนมาแถว ๆ ห้องสมุดนี้ ผมสงสัยเลยตามไปก่อนจะพบว่าห้องถูกเปิดออก หนังสือก็หล่นที่พื้นกระจัดกระจายอย่างที่เห็นนี่แหละครับ พวกผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนถูกขโมยไป เพราะ…”

               ท่ามกลางสายตานับสิบของสมาชิกในพรรคที่มาดู ลูกน้องที่เป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์นี้ก็อธิบายเร็วกว่าปรกติ สงสัยคงหวาดเกรงจนต้องรีบพูด คำพูดท้าย ๆ เขาเว้นไปก่อนที่ตนเองจะเหลือบ ๆ มอง ๆ หนูโดยไม่กล้าสบตาตรง ๆ แววตาสื่อประมาณว่าเพราะบอสสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้า  แล้วยังผนึกกุญแจไว้เสียแน่นหนา แถมกลไกก็ยังซับซ้อนชนิดแทบเป็นที่เก็บความลับของพรรค …หลัง ๆ นี่หนูคิดไปเองแหละ แต่ใจความโดยรวมก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นหนูนี่เองที่ทำให้เป็นเช่นนี้

               …ก็ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ คนมันรักมันหวงหนังสือ นี่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตคงกราบไหว้บูชาแล้วล่ะ

               ถึงเรื่องนั้นมันจะสำคัญก็เถอะ แต่ที่สำคัญในตอนนี้คือหนังสืออันเปรียบเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่สองถูกแย่งชิงไป น่าเจ็บใจจริง ๆ !

               “เกิดอะไรขึ้นเหรอ บุณฑริก?” เสียงไม่มีสูงต่ำดังมาจากข้างหลัง หนูหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวหลวม ๆ ผมสีเขียวยาวประบ่าชี้ฟู ดวงตาสีเดียวกันที่ไม่ค่อยฉายความรู้สึกนั้นมองหนู คนอื่น ๆ และรอบด้านอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่ความเงียบจะเข้าครอบคลุม หนูจ้องเขาสักพักเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดใจเกี่ยวกับเขา

               “คุณทุม” หนูเรียกชื่อของเขา เจ้าตัวหันมามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงว่าหนูมีอะไรจะถามไหม

               “ว่าไง?”

               “คนที่สร้างกลไกรวมทั้งกุญแจคือคุณใช่ไหมคะ?”

               “ใช่”

               จำได้แล้วล่ะ ทุมเป็นคนสร้างกลไกต่าง ๆ ในเรือนไทย (หรือพรรคนี้) และกุญแจรวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งไม่เคยมีใครทำลายมันได้ นึกมาถึงตรงนี้แล้วหนูก็จ้องเขาอย่างคาดโทษ อีกฝ่ายยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าตนเองจะถูกดับลมหายใจในไม่กี่นาทีนี้

               “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ต้องลงที่คุณก่อน” หนูกล่าวแล้วเดินเข้าไปหาทุมพร้อมกับสีหน้าที่มีเงาทาบทับลงมา ชายหนุ่มตาสีเขียวค่อย ๆ ถอยหลังด้วยสีหน้าที่เริ่มไม่ดี คงรู้ตัวแล้วสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

               “เดี๋ยวก่อนสิ! สีหน้าแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง? ฉันไปทำอะไรผิด?!”

               “ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะว่าเป็นเพราะความประมาทของคุณนั่นแหละ ที่ทำกลไกการรักษาไม่ดี” ระหว่างที่เราสองคนโต้ตอบกันลูกน้องคนอื่น ๆ ก็เดินถอยหลังจนขยายเป็นวงกว้างพอที่หนูจะซัดทุมได้สะดวก บางคนก็เริ่มหันหลังเดินกลับไปเพราะกลัวลูกหลง

               “อะไรกัน?! ฉันตั้งใจทำสุดความสามารถแล้วนะบอส ไม่ได้ประมาทเสียหน่อย อีกอย่างนะ เอาเวลามาโทษฉันไปหาทางวางแผนใหม่ไม่ดีกว่าเหรอ บอสก็น่าจะรู้นี่ว่าใครทำลายกลไกของฉันได้ก็ต้องเป็นคนไม่ธรรมดาแน่” ทุมพยายามแก้ตัวและเรียกหนูว่าบอสแทนชื่อจริง ๆ เผื่อว่าหนูจะเห็นใจเขาบ้าง

               จะว่าไป เดี่ยวก่อนนะ ที่ทุมกล่าวเมื่อครู่นี้เขาหมายถึงมีคนจ้องจะเล่นงานสัตตบรรณเพชฌฆาต… พรรคของเราอย่างนั้นหรือ

               “อืม… จริงด้วยสินะคะ” หนูพึมพำพลางครุ่นคิด พร้อมกับความโกรธที่สงบลง ในขณะนั้นบรรยากาศก็เริ่มอึดอัด สมาชิกคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีเคร่งเครียด

               สมมติว่าถ้านี่ไม่ใช่การเล่นงานของพรรคอื่น แต่เป็นเพียงความต้องการของคนบางคนแล้วเราวางแผนโดยเปล่าประโยชน์… ไม่สิ คน ๆ นั้นที่ว่าอาจจะเป็นลูกน้องของพรรคอื่นก็ได้ แต่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เรากังวล โดยเฉพาะหนูที่ถูกพรากจากของรักของหวง แล้วในขณะที่เราวางแผนด้วยใจไม่สุขอีกฝ่ายก็จะเข้ามาแทรกแซง

               แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมอีกฝ่ายทราบว่าหนูรักหนังสือยิ่งชีพจึงขโมยไป แต่ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดตอนนี้ล่ะ …ไม่ ๆ ตอนนี้รีบไปดูรายชื่อนิยายที่จดไว้แล้วค่อยดูทีละเล่มว่าเรื่องไหนหายไป หากหนังสือที่ถูกขโมยเป็นเล่มสำคัญหรือข้อมูลของพรรคเราล่ะก็…

               สถานการณ์ที่เป็นปัญหาตอนนี้ก็คงเป็นวิกฤตของพรรคที่ร้ายแรงที่สุด!

               “ไว้หนูจะมาลงโทษคุณทีหลัง แต่ตอนนี้ช่วยไปตรวจสอบกลไกและเพิ่มการรักษาให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ” หนูกล่าวก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินจากไป ทว่าไม่ทันไรก็มีลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

               “บอสครับ แล้วตอนนี้จะให้เราจัดการยังไงดีครับ”

               “เพิ่มความเข้มงวดขึ้น แต่อย่าเพิ่งทำอะไรเลยค่ะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากกว่าที่คาดไว้ เผลอ ๆ ไม่ใช่การเล่นงานแต่เป็นการปั่นหัว แล้วเราทำอะไรตอนนี้ก็จะกลายเป็นเข้าทางอีกฝ่าย …ตอนนี้ก็ต้องรอดูไปก่อนและทำตัวสบาย ๆ นะคะ ระมัดระวังตัวและรอบด้านด้วย …เอาล่ะ แยกย้ายไปตามอัธยาศัยเถอะค่ะ อย่างไรก็อย่าคิดมากจนเกินเหตุนะคะ”

               “อ้าว บอส แล้วห้องนี้ล่ะ?” ทุมกล่าวขึ้นมาเสียงดังในขณะที่หนูเดินออกห่างไปพอสมควรแล้ว ได้ยินดังนั้นหนูจึงตอบกลับไป “ฝากด้วยนะคะ อย่าให้ใครเข้าไปได้ล่ะ”

               ภาพทุมในตอนนี้ที่หนูจินตนาการ คงเป็นยืนเท้าเอวแล้วเกาศีรษะด้วยความหนักใจกระมัง

                .

                .

                .

                “การบ้านค้าง งานก็ไม่เสร็จ ยังมีเรื่องชวนปวดหัวของพรรคอีก หนีไปกบดานตอนนี้ยังทันไหมนะ …เฮ้อ”

               หลังจากกลับมาที่ห้อง สิ่งแรกที่หนูทำคือบ่นไปพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พร้อมกับเลือกอาหารว่างที่แช่ในตู้เย็นซึ่งซ่อนไว้หลังชั้นวางหนังสืออีกที แทนที่จะรีบตรวจสอบรายชื่อหนังสือ หนูหยิบน้ำที่มีส่วนผสมของวุ้นมะพร้าวมาเปิดฝาออกแล้วดื่ม กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนเปิดอ่านไปพลาง ๆ ด้วย นี่สิชีวิตของเด็กอย่างที่หนูควรจะเป็น

               แต่อ่านไปไม่ทันไรก็ต้องปิดหน้ากระดาษหนังสือลง ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่หน้าต่าง ก่อนจะทอดสายตามองทิวทัศน์ภายนอกที่ไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเท่าไหร่นัก เพราะคนส่วนใหญ่ในพรรคเป็นห่วงว่าหนูจะโดนลอบทำร้ายหรือถูกลักพาตัว ก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้รับความสำคัญในฐานะหัวหน้า แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ กระนั้นใช่ว่าจะยอมถูกกักขังในนี้เสียหน่อย เพราะทุก ๆ เดือนหนูจะออกไปข้างนอก ๗ ครั้ง โดยไม่มีใครทราบเลยว่าหนูแอบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่เว้นเสียแต่พี่ฟ้ามุ้ย

               “จะแอบออกไปพรุ่งนี้ดีไหมนะ?” หนูถามตัวเองเบา ๆ แล้วมองภายนอกอย่างเหม่อลอย …บ้านเรือนไทยที่เรียงรายมีต้นไม้ปลูกแทรกแซง น้ำไหลตัดผ่านซึ่งบางแห่งกลายเป็นคลอง นับตั้งแต่ที่เกิดภัยพิบัติอันเป็นผลจากพิธีกรรมของหญิงสาวปริศนา …โลกาพินาศพยากรณ์ ทุกมุมโลกก็กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยน้ำ เห็นอย่างนี้แล้วก็นึกถึงเมืองเวนิส[1]ในประเทศอิตาลี

               เวนิส?

               หนูทวนชื่อนั้นอีกครั้งเหมือนนึกอะไรออก เมื่อนึกถึงความทรงจำในวัยเยาว์ …หญิงสาวผมสีทองบลอนด์รวบผมลวก ๆ จนหย่อนและถักเป็นเปียเดี่ยว แย้มริมฝีปากอย่างนุ่มนวลดุจผิวน้ำในคลองเมืองเวนิสที่ไหวระลอกพลิ้ว สะท้อนแสงไฟจากบ้านและร้านต่าง ๆ หลากสีราวกับสายรุ้ง เสมือนภาพฝันที่ยากจะตื่น เสียงที่เอ่ยอย่างอ่อนโยนและสัมผัสมือที่ไล้ไปตามแก้มนั้นช่างทะนุถนอม

               มาร์ติน่า ลูโดวานี

นั่นคือนามหญิงสาวเจ้าของสัมผัสนั้น พี่สาวที่หนูรักมากเมื่อครั้งเยาว์วัย สมัยนั้นหนูติดพี่มาร์ติน่ามากจนแทบเรียกได้ว่าหายใจเข้าออกมีแต่พี่เขา ท่านเป็นบอสมาเฟียของออมเบรพูเร่แฟมิลี่ แฟมิลี่ที่พี่เขาดำรงตำแหน่งนั้นอยู่ที่เวนิสซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ซิซิลี

                เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากความทรงจำล่ะ?

                หนูหรี่ตาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อึดอัดในอกเพราะไม่สามารถนึกถึงเศษเสี้ยวในความทรงจำที่ขาดหาย …น่าแปลกนักที่หนูยังคงจำสิ่งนั้นได้

                กลิ่นกาแฟ… กลิ่นหมึก… และกระดาษหนังสือที่หอมหวานน่าแปลกใจ

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหนูก็ยังจำได้ขึ้นใจ …รวมทั้งกลิ่นคาวเลือดและรสชาติของน้ำตา

 

 

 

 

 

 


 

[1] เวนิส (อังกฤษ  Venice) หรือ เวเนเซีย (อิตาลี  Venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร ๒๗๑,๖๖๓ คน (ข้อมูลวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗) เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)

เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็ก ๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำปลาวี

เวนิชเป็นเมืองที่มีการใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด มีอาคาร ร้าน บ้านเมืองตั้งริมคลอง มีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ ๒ ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา