The Hacker Story : อเล็กซ์ วิลตัน พ่อมดคนสุดท้ายแห่งศตวรรษ

-

เขียนโดย Masterh

วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 05.11 น.

  2 chapter
  2 วิจารณ์
  4,763 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 05.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ...เริ่มต้นปฏิบัติการ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 2:

 

 

3 ปีต่อมา

14 กรกฎาคม 2015

ประเทศหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กลิ่นเหม็นหื่นที่เคยรบกวนจนต้องนิ่วหน้าในครั้งแรกเมื่อเปิดประตูเข้ามาตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อจมูกเธอไม่สามารถรับกลิ่นใดได้อีกยามมันเต็มไปด้วยน้ำใสๆ คับคั่ง สิ่งมีชีวิตอื่นเดียวนอกจากตัวเธอเองคือแมลงสาบสีน้ำตาลที่กำลังวิ่งออกจากใต้เตียงขนาดหกฟุตตรงไปยังเก้าอี้นวมข้างหน้าต่างติดเหล็กดัดเขรอะสนิม

หญิงสาวทรุดฮวบลงบนพื้นพรมผืนเก่าสีตุ่นภายในห้องพักแคบๆ ของโมเต็ลแห่งหนึ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า ‘เซฟเฮ้าส์ชั่วคราว’ เธอหมดเรี่ยวแรงลงอย่างสิ้นเชิง แม้แต่จะขยับขาสองข้างประคองให้ตนเองยืนขึ้นยังทำไม่ได้

วินาทีนี้เธอไม่สนแล้วว่าพื้นที่เข่ากับมือกำลังสัมผัสนั้นจะหยาบกระด้างและสกปรกแค่ไหน ความรู้สึกหลากหลายในด้านลบประดังเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำจนได้แต่รั้งมือขึ้นกอดตัวเอง

หากหัวใจเธอคือผาสูง...มันคงสึกกร่อนและร่วงกราวลงไปในน้ำทะเลที่ไม่อาจมองเห็นก้นบึงได้

ขอบตาของเธอร้อนผ่าวจนเจ็บแสบยามหยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย หญิงสาวพยายามกัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงร้องน่าเวทนา

อ่อนแอจริงๆ

ทั้งที่ไม่ได้ถูกมัด และก็รับรู้ได้จากเสียงลูกบิดที่ดังเบาๆ ว่าพวกเขาไม่แม้แต่จะล็อคประตูเพื่อกักขังเธออย่างที่ควรเป็น

หน้าทางออกอาจมีคนยืนอยู่หรือไม่มีก็ได้ เธอไม่รู้เลย...เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกพาตัวมาที่ไหนในประเทศอันกว้างใหญ่นี้

แต่ทั้งหมดที่เธอทำได้กลับเป็นการทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลอย่างไร้ประโยชน์

ดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำมองไปยังโทรศัพท์สีเหลืองขุ่น ครั้งหนึ่งมันคงเคยเป็นสีขาวสะอาดแต่การเวลาทำให้พวกมันเปลี่ยนสภาพ...แตกต่างจากเธอที่เวลาผ่านมานานแค่ไหนก็ยังเป็นได้แค่คนอ่อนแอ

เธอเคยสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป เธอจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องคนรอบข้าง

แต่เธอก็ทำไม่ได้

หญิงสาวจ้องมองโทรศัพท์นั้นอย่างพิจารณา ความหวังเรืองรองค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวใจ

พี่คะ...

ภาพใบหน้าของผู้เป็นที่รักผุดขึ้นมาเป็นเหมือนกำลังใจให้ฮึดสู้ หญิงสาวค่อยๆ พาตัวเองไปยังโต๊ะเตี้ยข้างเตียง พยายามคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งทว่ามือกลับอ่อนแรงเกินกว่าจะหยิบขึ้นมาได้ มันร่วงหล่นจนเธอต้องใช้มือสั่นระริกทั้งสองข้างจับประคองขึ้นแนบหู

เสียงตรู๊ดเบาๆ แสดงความชัดของสัญญาณทำให้หัวใจเธอเต้นรัวอย่างลิงโลด ความหวังสว่างวาบเป็นแสงเรืองรองขึ้นมาในจิตใจ แต่แล้วก็ต้องสะดุดวูบ ชาที่ไปถึงปลายนิ้วเมื่อตระหนักขึ้นมาได้

เธอไม่มีใครให้โทรหา...

เธอไม่มีครอบครัวให้ร้องขอความช่วยเหลือ...

เธอไม่มีใครที่จะยื่นมือมา...และเธอเองก็ไม่อาจยื่นมือออกไปหาใคร

ไม่อาจแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจ เพราะความเชื่อใจทั้งหมดถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

‘อย่าเชื่อใจใคร’

เสียงทุ้มของคนๆ นั้นยังดังก้องอยู่ในสมอง กลบเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอ

ทั้งที่รู้ดีว่าเสียงร้องนี้คงไปไม่ถึงผู้ช่วยเหลือ...ผู้ช่วยเหลือจากปาฏิหาริย์ที่เธอไม่รู้เลยว่าจะมีไหมในโลกนี้ เมื่อทุกคนต่างพากันยืนอยู่คนละฟากถนนกับเธอ แต่เธอก็ยังเปล่งมันออกมา

“ใครก็ได้...ช่วยด้วย..”

เสียงร้องแผ่วเบาค่อยๆ กลืนหายไปกับสายลม...

 

“ข่าวต่อไป...ดร.จอห์น ฮีทแมนจากศูนย์วิจัยแห่งชาติเบลลาคอฟประเทศจำรัสเซียได้เสียชีวิตลงในช่วงค่ำวานนี้จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในที่เกิดเหตุพบข้อความจากผู้ตายเขียนถึง Alex Wilton ซึ่งทางการยังไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกับอาชกรไซเบอร์ผู้ก่อเหตุแฮกระบบฐานข้อมูลประชาชนของหลายประเทศทั่วโลกเมื่อสามปีก่อนหรือไม่ ทางตำรวจสากลและตำรวจท้องถิ่นของรัสเซียได้ร่วมมือกันทำคดีนี้...”

ผู้ประกาศสาวกำลังรายงานข่าวผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน รายงานข่าวนั้นมีภาพประกอบเหตุการณ์เป็นภาพของซากรถเก๋งยุโรปชื่อดังที่อัดก๊อปปี้ติดกับต้นไม้ใหญ่ กระโปรงรถบุบบี้จนไม่เหลือเค้าเดิม แทบไม่ต้องจิตนาการเลยว่าผู้ขับยังมีชีวิตรอดหรือไม่ จากนั้นภาพก็ตัดไปที่กระจกฝั่งคนขับที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนด้วยเลือด ผู้เขียนนอนแน่นิ่งซบหน้ากับพวกมาลัยจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

‘Alex Wilton…See U’

“สถานี...ท่านผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ Please mind the gap between train and platform…”

ข่าวจบลงก่อนที่โทรทัศน์จอ LCD ขนาดเล็กบนรถ MRT จะตัดภาพเป็นตัวอักษรตามคำประกาศที่ดังทั่วขบวนรถไฟฟ้า ผู้คนต่างเริ่มเก็บอุปกรณ์อีเล็กทรอนิคที่หยิบขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาลงกระเป๋า เตรียมขยับตัวไปออกันตรงประตูทางออก ไม่นานขบวนรถก็จอดสนิทลงหน้าสถานีหนึ่ง ประตูเปิดออกพร้อมเสียงประกาศบอกให้ระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ ฝูงชนกลุ่มใหม่เล็กกว่าเดิมก้าวเข้ามาด้านในแทนที่คลื่นมหาชนซึ่งยกขบวนกันออกไปด้านนอก

ที่นั่งว่างเปล่าข้างๆ เธอถูกจับจองโดนชายวัยกลางคนสวมชุดสูทเรียบร้อยตามมาดพนักงานบริษัทที่ดี ทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและก้มหน้าลงมองเทคโนโลยีนั้นพร้อมกับตัดขาดโลกภายนอกชั่วขณะ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ยืนบ้างนั่งบ้างคละกันไป

หญิงสาวละสายตาจากฝูงชนอย่างไม่ใส่ใจนัก เธอก้มลงมองข้อมือตนเมื่อ Watch Phone ส่งเสียงร้องพร้อมกับสั่นเบาๆ บนหน้าจอขนาดเล็กแค่หนึ่งนิ้วปรากฏเป็นรูปจดหมายสีขาวขึ้นมา แสดงสัญลักษณ์ของอีเมล์ใหม่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดเปิดอ่านข้อความทันทีตามความเคยชิน

ดูเหมือนคนส่งอีเมลล์จะรีบน่าดู ไม่ใส่แม้กระทั่งคำลงท้าย หญิงสาวค่อยๆ พิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความยังไม่ชินกับหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องใหม่เท่าไหร่นัก

ยูนาริส ฟาร์เรล นั่นคือชื่อของเธอ นักศึกษาสาวเอกวรรณกรรมคลาสิค ผู้ที่ใครๆ ได้ยินชื่อก็มโนไปแล้วว่าต้องเป็นภาคอวตารของคุณป้ายุค 60 ที่ชอบสวมกระโปรงยาวถือหนังสือนิยายเล่มหนาๆ

ความจริงนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เธอชอบสวมมินิสเกิร์ตด้วยเพราะเป็นคนขี้ร้อน แถมยังทำไฮไลน์ตรงท้ายทอยเป็นสีทองตัดกับผมสีน้ำตาลเข้มหยิกเป็นลอนแบบไม่แคร์สายตาใคร โชคดีที่เธอเป็นฝรั่งแท้จึงรับกับสีผมกลมกลืนจนดูสวยสะพรั่งมากกว่าหลอนสะพรึง หากบอกว่าเธออยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ที่แสนจะอินดี้ ผู้คนคงเชื่ออย่างไม่ลังเลใจ

ถึงอย่างนั้นก็ตาม แม้ภายนอกเธอจะดูเหมือนสาวทันสมัยแสนอินดี้แค่ไหน แต่นิสัยเธอกลับเข้ากันได้ดีกับลุคคุณป้ายุค 60 เสียมากกว่า

เธอเกลียดความวุ่นวายและอากาศร้อน...ที่สำคัญคือ ‘เธอโลว์เทคสุดๆ’

ยูนาริสจำใจย้ายตามพี่ชายเพียงคนเดียวและเพื่อนสนิทของเขาจากประเทศบ้านเกิดในแถบอเมริกามายังประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย เธอเคยถามเหตุผลว่าเพราะอะไรพี่ชายจึงเลือกมาอยู่ประเทศนี้ เขาถามกลับมาว่าแล้วเธอไม่ชอบหรือ ประเทศที่มีอาหารทำเสร็จใหม่ๆ ให้กินตอนเที่ยงคืน แน่นอนว่าเธอชอบ เพราะแต่เดิมถ้าเธออยู่ที่บ้านเกิด หากเจ๋อหิวตอนดึกๆ คงไม่พ้นร้านสะดวกซื้อ หรูสุดคงเป็นอาหารเวฟ และง่ายที่สุดก็คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

แต่เธอรู้ว่าเหตุผลแท้จริงที่พี่ชายเลือกประเทศนี้คือ “ความไม่เป็นระเบียบอันแสนอิสระของที่นี่” เขารักมัน เพราะทำให้พวกเราย้ายสำมะโรงครัวมาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย พี่ชายกับเพื่อนของเขาได้งาน และเธอได้มหาวิทยาลัยสำหรับเรียนต่อ ได้รับข้อดีไปตามๆ กัน

เทคโนโลยีในโลกนี้ก้าวหน้าไปไกลนักต่อนักจนตามแทบไม่ทัน ประเทศที่พวกเธอตัดสินใจย้ายมาตั้งรกรากหลังจากเปลี่ยนที่อยู่มา 4-5 ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีถือว่าไม่น้อยหน้ากว่าประเทศไหน ถึง 3G ของที่นี่จะยังใช้ได้อย่างไม่ทั่วถึง ส่วน 4G ยังห่างไกลจากความเป็นจริง และไม่มี Wifi ที่มีประสิทธิภาพให้ใช้ตามที่สาธารณะ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาขายแล้ว ต้องพูดว่า ทั่วถึงและเท่าทันโลกอย่างแน่นอน

เมื่อไม่นานมานี้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bubble Melon ในเครือไวน์ฟ (WINF : Winchaster Empire International Network Firewall) ผู้เป็นเจ้าพ่อวงการเทคโนโลยีได้เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่ทำงานได้เสมือนมือถือ ด้วยเซ็นเซอร์พิเศษทำงานควบคู่กับกำไลข้อมือและแหวนที่สวมไว้ทั้งสิบนิ้ว ทำให้รับรู้ถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของมือ ซึ่งเป็นตัวควบคุมการทำงานของแว่นตาประกอบกับลูกตาดำ

พวกเขาจะจับทิศทางมือประกอบกับการเคลื่อนไหวของลูกตาเพื่อใช้สั่งการแอพลิเคชั่นต่างๆ ยูนาริสรู้สึกทึ่งไปกับการพัฒนาที่ก้าวไกลของมนุษย์เป็นอย่างมาก ชิวาส เกรย์ เพื่อนสนิทของพี่ชายเธอได้ลองเอาแว่นตาที่ว่านั่นมาให้เธอใช้ แต่หญิงสาว “รักความคลาสิค” มากเกินกว่าจะเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างจริงจัง เธอใช้มันได้แค่สองวันก็เกิดอาการเบื่อและเมื่อยลูกตา ประกอบกับการที่ต้องสวมแหวนให้ครบทั้งสิบนิ้ว มันทำให้ร้อนอบอ้าวและน่ารำคาญเกินไปสำหรับประเทศเขตร้อนชื้นที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรแบบนี้

อันที่จริงนั่นก็แค่ข้ออ้าง เธอทำแว่นตาพังโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะพวกเขาบอกให้เธอลองวิเคราะห์มันดู เธอก็เลยจับมันแยกชิ้นส่วนเพื่อดูภายใน ทว่าตอนเธอประกอบกลับเข้าไปไม่รู้ประกอบอีท่าไหน หลังจากทุกชิ้นส่วนต่างๆ กลับเป็นรูปแว่นตาเหมือนเดิมแล้ว เธอพบว่ามีน็อตเหลืออยู่ 1 ตัว

มันมากจากไหนเธอก็ไม่สามารถหาคำตอบได้เหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าประกอบกลับเข้าที่เรียบร้อยดีแล้ว กลุ้มใจอยู่เกือบวันดร. เนธาเนียล ฟาร์เรลพี่ชายสุดที่รักก็บอกว่ามันคือเรื่องปกติที่คนไม่คุ้นชินกับกลไกจะไม่สามารถประกอบอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนได้

หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมากหลังฟังคำปลอบใจของเขา แต่ความโล่งใจของเธอมีได้ไม่ถึงครึ่งวันดี เมื่อชิวาสเปรยขึ้นมาว่าเด็กสิบขวบยังประกอบรีโมตที่มีความซับซ้อนสูงกว่าเจ้าแว่นตานี่ได้

แม้เธอจะทำลายอุปกรณ์สุดไฮเทคไปหลายชิ้น (สมาร์ทโฟนมากกว่า 3 เครื่องถูกเธอทำพังเพราะใช้ไม่ถูกวิธี ไม่นับรวมที่ทำหาย) แต่พวกเขาก็ยังไม่เข็ด มักจะหิ้วอะไรใหม่ๆ มาให้ลองเสมอ ล่าสุดแว่นตายังผ่านไปได้ไม่ถึงเดือนดี เธอก็ได้รับของเล่นชิ้นใหม่จากสองนักวิทยาศาสตร์สายกายภาพที่ดันไปซี้กับสายเทคโนโลยี

มันคือ Watch Phone นาฬิกาโทรศัพท์ที่เคยโผล่โฉมหน้าออกมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไป ตอนนี้มันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับฟังก์ชั่นการทำงานควบคู่กับสมาร์ทโฟน ใหม่และไฉไลกว่าเดิม ซึ่งพี่ชายเธอโฆษณาอย่างดีว่าใช้ง่าย...แม้แต่ลิงยังเข้าใจ

“เธอรู้อะไรไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้คนชอบเหม่อตลอดเวลาค่อยๆ หันมามอง “เสียงแจ้งเตือนของนาฬิกาเธอเนี่ย เป็นเสียงที่ฟังยังไงก็ไม่ชินหูซักที”

ลูอิสมองใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวตรงหน้าแบบไม่จริงจังนักแถมยังนึกเป็นเรื่องสนุก เมื่อเขาเห็นผู้โดยสารคนอื่นพยายามส่งสายตาเขม่นใส่เธอมาพักใหญ่ๆ หลังจากนาฬิกาหล่อนส่งเสียงร้องถี่ แต่คนก่อมลพิษทางเสียงกลับนั่งชิลๆ ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาเชือดเฉือนนั้นแม้แต่นิดเดียว

“อ้อ...”

เจ้าหล่อนทำเสียงขึ้นมาคล้ายเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ แต่ไอ้ท่าทางนิ่งเฉยมือถือโทรศัพท์ค้างไม่มีทีท่าว่าจะเลื่อนไปปิดเสียงนาฬิกาทำให้คนเป็นเพื่อนแน่ใจทันทีว่า

‘อ้อ’ นั้นไม่ใช้ ‘อ้อ ฉันขอโทษ เดี๋ยวจะปิดเสียงให้’ แต่เป็น “อ้อ...” จุดๆๆ แล้วเงียบเสียงไปชวนให้ลุ้นกันเอาเอง

และเขาก็ไม่อยากลุ้นเลย!

“สมชื่อมิสเตอร์วูฟแกงก์เลย”

นั่นไงล่ะ! คนไม่ชอบให้เรียกนามสกุลของขึ้นแทบวางโทรศัพท์ในมือแล้วบีบคอเธอให้รู้แล้วรู้รอด เขารึอุตสาห์เตือน แต่เจ้าหล่อนกลับแกล้งว่าเขาหูดีเหมือนไอ้ตัวหน้าขนสี่ขาสมชื่อนามสกุลซะอย่างนั้น

“ฉันปิดไม่เป็น...ช่วยหน่อยได้ไหม” ว่าแล้วเธอก็ถอดนาฬิกายื่นมาตรงหน้า ลูอิสมองมันท่าทางเย็นชา

ล้อเขาแล้วยังมีหน้ามาขอให้เขาช่วยอีกเรอะ ฝันไปเถอะ!

“ทำไม่เป็น” ชายหนุ่มปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใย

แม้ใบหน้าจะยังนิ่งเฉย แต่ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มของยูนาริสกลับฉายแววระริกอย่างคนกำลังขบขันชัดเจน เธอยื่นนาฬิกาโทรศัพท์ไปด้านหน้าเขาแล้วโบกไปมา

“นะๆ...มีแต่นายคนเดียวที่ช่วยฉันได้”

คนรู้ตัวว่ากำลังถูกง้อค่อยๆ ชำเลืองตามอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เด็กวัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่งพุ่งมาทางพวกเขา เด็กคนนั้นถูกหญิงร่างท้วมกระแทกเข้าอย่างจังจนหงายหลังควบคุมทิศทางไม่ได้ ลูอิสรีบผลัก ‘ว่าที่เบาะกันกระแทก’ ไปทางพนักงานบริษัทชายที่นั่งใกล้ๆ ทันที

ความชุลมุนบังเกิดในชั่วขณะ เสียงร้องฮือฮากระจายออกไปเป็นวงกว้างและเริ่มเกิดอาการมุง ผู้คนต่างมองมาทางจุดเกิดเหตุเป็นตาเดียว เด็กชายวัยรุ่นผู้ถูกกระแทกนอนแอ้งแม้งเกาะขอบเก้าอี้ของลูอิสและยูนาริสไว้อย่างหมิ่นเหม่ ให้ขณะที่อดีตเจ้าของเก้าอี้ทั้งสองเบนตัวหนีกันไปคนละทาง คนตั้งใจเอนตัวหนีอย่างลูอิสไม่ได้รีบความเดือดร้อนนอกเหนือจากสายตาตกใจของชายสูงวัยที่นั่งข้างๆ

แต่เธอ…ผู้ถูกผลักแบบจงใจด้วยความหวังดี หัวโขกกับคนข้างๆ เข้าอย่างจังจนมองเห็นดาวลอยวนเลยทีเดียว

“หนู เป็นอะไรรึเปล่า” ต้นเหตุของเรื่องพาร่างท้วมๆ เข้ามาถามไถ่อย่างคนมีความรับผิดชอบ หล่อนช่วยพยุงเด็กหนุ่มขึ้น พอเขายืนได้ก็ส่ายหน้าหวืด

“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เจ็บตรงไหนมากมาย ว่าแต่พวกพี่เป็นอะไรมั้ยครับ” เขาตอบหญิงคนนั้นก่อนจะหันมาทางลูอิสและยูนาริส พอเห็นชายหนุ่มคนถูกถามส่ายหน้าเขาจึงมองไปทางอีกคน

ยูนาริสกุมหัวตัวเอง รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ เธอได้ยินเสียงร้องของชายวัยกลางคนข้างๆ

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

เขาส่ายหัวทั้งที่ยังกุมมันไว้ท่าทางคงเจ็บไม่น้อย ยูนาริสมองเขาอย่างกังวลก่อนจะนึกขึ้นได้ เธอรีบหันหลังไปมองลูอิส พอเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้เจ็บอะไรจึงคลายไหล่ที่เกร็งขึงลงแล้วมองไปทางเด็กวัยรุ่นหนุ่ม เธอส่ายหน้าเบาๆ ว่าตนไม่เป็นไรเมื่อเขาเอ่ยถาม ลูอิสเห็นหล่อนหันมาพอดี

“สมองไหลรึเปล่า” คำถามกวนบาทาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังขึ้น ลูอิสขยับตัวเข้ามาจับหัวหล่อนให้หันมองตน ชายหนุ่มเอียงซ้ายเอียงขวาหาบาดแผล

“กระแทกแค่นี้ไม่น่าเป็นอะไรหรอก ไกลหัวใจจะตายไป” เขาว่าไปเมื่อไม่เห็นบาดแผล

ไกลหัวใจก็ตายได้นะ

ยูนาริสกลอกตา เธอปัดมือลูอิสออกแล้วหันไปทางชายคนข้างๆ กล่าวขอโทษเขาอย่างสำนึกผิด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บทุกคนจึงเลิกมอง หญิงร่างท้วมลงที่สถานีต่อไปหล่อนจึงขยับไปยืนอยู่ที่ประตู ทิ้งให้สถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่กลับมาสู่สงบอีกครั้ง เด็กหนุ่มวัยรุ่นก้มลงเก็บของที่หล่นกระจัดกระจาย ยูนาริสก้มตัวลงช่วยเขา เธอจึงเห็นว่านาฬิกาโทรศัพท์และสมาร์ทโฟนของเธอเองก็หล่นกระแทกพื้นตอนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นกัน

เธอหยิบมันทั้งคู่ขึ้นมาแล้วกดที่หน้าจอนาฬิกาโทรศัพท์ แต่มันไม่ตอบสนองอีกต่อไป…งานนี้เธอได้โดนพี่ชิวาสบ่นอีกแน่นอน หญิงสาวเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองเงียบๆ พลางสำรวจโทรศัพท์ โชคดีที่มันไม่เป็นอะไรเธอจึงวางมันไว้บนตักเพื่อรอตอบข้อความที่เมื่อครู่กำลังจะอ่าน หญิงสาวคว้ากล่องซีดีที่หล่นใกล้ๆ เท้าตนให้วัยรุ่นหนุ่ม

“โอ้นั่น! เกมส์ Sniper Sight Season 3 Deluxe นี่นา...นายเล่นด้วยเหรอ” ลูอิสชี้ไปที่กล่องในมือยูนาริสด้วยท่าทางตื่นเต้น

“ของดียังไงก็เป็นของดีวันยันค่ำนั่นแหละครับ ต่อให้ถูกแฮกเกอร์เอาไปใช้ยังไงก็ตาม”

“ฉันนึกว่าเกมส์นี้ถูกทางค่าย Project T. รื้อทิ้งไปแล้วซะอีก” ลูอิสว่า

เด็กหนุ่มส่ายหน้ายืดตัวขึ้นยืนเมื่อเก็บของได้ครบ ลูอิสเงยหน้ามองตาม

“ไม่ครับ มันถูกสั่งระงับการจำหน่ายเพื่อตรวจสอบไวรัสชั่วคราว แต่ปีต่อมาก็ประกาศขายแค่ในเฉพาะไม่กี่ประเทศที่อนุญาติ อันนี้ผมไปหิ้วมาจากอินเดีย” เขาพูดอย่างภูมิใจ

“เจ๋งชะมัด เหตุการณ์ตอนนั้นฉันยังจำได้ติดตา ตกลงว่าทางค่ายไม่รู้เรื่องการปล่อยให้ดาวน์โหลดทริปเบิ้ลเอสสามฟรีเลยใช่มั้ย”

คนสนใจด้านคอมพิวเตอร์คุยกันในภาษาที่เธอฟังไม่เข้าใจ ยูนาริสจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดข้อความแทน เธอพยายามกดอ่านข้อความแต่เครื่องค้างไม่ตอบสนอง

หญิงสาวตัดสินใจถอดแบตเสียดื้อๆ แล้วเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง

“ใช่ครับ ทั้งหมดเป็นฝีมือพ่อมด เจ้านั่นแอบแนบไวรัสเข้าไปในอีเมลล์แจกเกมส์ทริปเปิ้ลเอสสาม คนกดดาวน์โหลดเกมส์นี้เลยโดนไวรัสพ่อมดไปตามๆ กัน รวมๆ ความเสียหายแล้วมากกว่าสิบล้านคนทั่วโลกเลยครับ” เด็กหนุ่มทำหน้ากระตือรือร้นขึ้นก่อนจะอ่อยลงในตอนท้าย “ลูกพี่ลูกน้องผมเขาเป็นลูกครึ่งเกาหลี หมอนั่นก็อยู่ในเหตุการณ์พ่อมดเมื่อสามปีก่อน จนถึงตอนนี้หมอนั่นก็ยังไม่ฟื้นเลยครับ”

“ฉันพยายามลองหาไวรัสที่พ่อมดนั่นใช้แต่หายังไงก็หาไม่เจอ ไม่เคยมีใครรู้เรื่องไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวนี้มาก่อน”

คู่สนทนาถอนหายใจเฮือก “ผมเองก็เหมือนกันครับ ผมก็อยากรู้ว่าพ่อมดแนบไวรัสอะไรมากับลิ้งค์ดาวน์โหลดเกมส์ทริปเปิ้ลเอสสาม ไวรัสอะไรที่ทำให้คนเป็นๆ ถึงกับสลบได้ แถมคอมพิวเตอร์ยังถูกลบข้อมูลซะหมดจด วงการแพทย์ วงการเทคโนโลยี ไม่เว้นแม้แต่พวกรัฐบาลตกตะลึงกันยกใหญ่ ”

ลูอิสพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเขาก็เอะใจ “ว่าแต่ทำไมลูกพี่ลูกน้องนายถึงยังไม่ฟื้น คนที่โดนไว้รัสนี่แค่วันสองวันก็ฟื้นแล้วนี่”

ฟังคำถามเสร็จ เด็กหนุ่มถึงกับถอนหายใจอีกเฮือก ไม่รู้จะสงสารหรือเวทนาผู้เป็นญาติดี “คนอื่นเขาสลบกันบนคีย์บอร์ด แต่หมอนี่ดันทะลึ่งลื่นตกเก้าอี้เอาหัวฟาดพื้นน่ะสิครับ ก็เลยเป็นเจ้าชายนิทรายาวจนถึงตอนนี้ หมอบอกว่าสมองได้รีบการกระทบกระเทือนมากไป โอ๊ะ ผมต้องลงที่สถานีนี้แล้ว ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผม”

เด็กหนุ่มรีบโบกมือลาคู่สนทนาทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงประกาศชื่อสถานี ลูอิสพยักหน้าโบกมือให้พลางมองตามจนเด็กหนุ่มละสายตา เขาหันกลับมาหาเพื่อนสาวข้างตัวเห็นเธอกำลังก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์

“รู้จักพ่อมดรึเปล่า” ลูอิสขยับยิ้มสะใจ ด้วยรู้ดีกว่าคนโลว์เทคเบื้องหน้าต้องไม่รู้จักแน่นอน และเป็นจริงดังคาดเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาท่าทางงงงวย

“พ่อมดเหรอ? นายหมายถึงพ่อมดออซ?”

“อเล็กซ์ วิลตันต่างหาก” เขายิ้มเมื่อเห็นท่าทางไม่รู้เรื่องของคนตรงหน้า “พ่อมดคนสุดท้ายแห่งศตวรรษคือฉายาของเขา”

“โทรศัพท์ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฉันเปิดอ่านข้อความไม่ได้” เธอบ่น เปลี่ยนเรื่องฉับไวจนคนอยากโชว์ภูมิชะงัก ยูนาริสไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องพ่อมดอะไรของเพื่อนซี้นักด้วยความไม่รู้จัก ตอนนี้เธอกังวลเรื่องข้อความจากพี่ชายมากกว่า ลูอิสเหลือบตาขึ้นด้านบน

“ข้อความจากใคร” เขาถามท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ เมื่อคนตรงหน้าไม่สนใจตน

“จากพี่ชาย” เธอตอบสั้นๆ ได้ใจความตามนิสัย

“งั้นกลับบ้านไปเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะพูดอะไร อีกไม่กี่สถานีแล้วนี่”

ยูนาริสส่ายหน้า “พี่ไม่เคยส่งข้อความมาแบบนี้” เธอว่า ปกติเขามักจะส่งอีเมลล์มา แต่คราวนี้เขาส่งข้อความ SMS ธรรมดา...มันจะต้องมีอะไรแน่ๆ

“เธอเป็นบราค่อนรึไง”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้านิ่งๆ แถมตายังนิ่งลึกทำให้ลูอิสถึงกับขนลุกซู่ ถามเสียงหลง “จริงดิ เธอเป็นบราค่อนจริงๆ เหรอ?”

“บราค่อนคืออะไร” เธอเอียงคอ คนกำลังขนลุกถึงกับถอนหายใจโล่งอกเมื่อเจ้าหล่อนไม่ได้ตอบว่าใช่แต่กำลังอยู่ในโหมดงง

“ก็พวกรักพี่ชายตัวเองไง” เขาอธิบายง่ายๆ ยูนาริสเบิกตานิดๆ ทำปากเป็นรูปตัวโอ

“งั้นฉันก็เป็นบราค่อน”

“เห้ย! นี่รู้ความหมายจริงๆ รึเปล่าเนี่ย"

“โอะ! เปิดได้แล้ว...” เธอร้องขึ้นเมื่อกดเปิดข้อความได้ ตัวจดหมายคลี่ออกแล้วตัดเป็นขึ้นเป็นหน้าจอใหม่ ข้อความปรากฏแก่สายตาเธอในชั่วอึดใจต่อมา

‘หนีไป’

เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรในเสี้ยววินาทีที่อ่านข้อความนั้น หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองหูอื้อไปชั่วขณะ ความสับสน มึนงง อึดอัดปะปนกันจนแยกไม่ออก เธอมองเห็นใบหน้าของลูอิสลอยอยู่ด้านหน้า เขาขยับริมฝีปากเหมือนกับกำลังพูดอะไรซักอย่าง ซึ่งเธอไม่ได้ยิน

มันเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ภาพทุกอย่างดับวูบ เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังพุ่งไปด้านหน้าตามแรงกระชากจากที่ไหนซักแห่ง มันคล้ายฉากในฟิลม์สมัยโบราณที่กระพริบถี่ๆ เธอมองเห็นภาพผู้คนมากมายล้มกลิ้งอยู่บนพื้นสลับกับความมืด ความเจ็บแปล๊บจากร่างกายซีกขวาพุ่งแทรกเข้ามาในมโนความรู้สึกจนเธอต้องหลับตาลงชั่วขณะ แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างรอบด้านกลับมืดสนิท

“ลูอิส...”

ยูนาริสแทบจำเสียงตัวเองไม่ได้ ความมืดนั้นทำให้หัวใจเธอเต้นรัวเร็ว หญิงสาวพยายาม ขยับร่างกายตนแต่ใครบางคนกำลังทับขาเธออยู่ ทันใดนั้นเองแสงสว่างก็ส่องวาบขึ้นด้านหน้า ใครบางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดมันเพื่อมอบแสงสว่างให้กับความมืดมิดในขบวนรถไฟ

ทุกอย่างนิ่งสนิทอยู่หลายอึดใจท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน นานกว่าสติจะวิ่งกลับเข้าร่างอีกครั้ง ยูนาริสค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เธอมองเห็นทุกอย่างได้อย่างลางเลือนเพราะแสงไฟจากโทรศัพท์หลายๆ เครื่องกำลังส่องสว่าง

เธอเจ็บไปทั่วซีดด้านขวาเพราะหล่นจากเก้าอี้โดยเอาแขนขวาและหัวไหล่รองหัวตามสัญชาติญาณ ในตอนที่เธอกำลังเริ่มหวาดกลัวและพิศวงต่อความวินาศรอบด้านนั่นเอง หลอดนีออนบนศรีษะก็เริ่มกระพริบติด หญิงสาวมองเห็นภาพความเสียหายอย่างชัดเจน ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดหล่นลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น โชคดีที่จุดที่เธออยู่ไม่มีผู้โดยสารมากนักหญิงสาวจึงไม่ถูกทับเหมือนตู้ข้างๆ ถึงอย่างนั้น ความเจ็บแปล๊บที่ขาก็มากพอให้เธอต้องนิ่วหน้ายามขยับมันออกจากใต้ร่างเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง

“ลูอิส” เธอเรียกเพื่อนซี้ เห็นเขากำลังถือโทรศัพท์ไว้ในมือ เธอตระหนักได้ทันทีว่าเขาคือเจ้าของแสงจากโทรศัพท์เมื่อครู่นั่นเอง

“ฉันไม่เป็นไร” เขาบอก ขณะดวงตาจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

เมื่อเห็นว่าเพื่อนหนุ่มปลอดภัยดีเพราะเขายังนั่งอยู่ด้านบนที่นั่งเช่นเดิมยูนาริสจึงเริ่มมองสำรวจรอบด้าน ความรู้สึกนิ่งงันทำให้เธอพยายามขยับลุกขึ้นยืน กำแพงหินรอบด้านที่นอกหน้าต่างทำให้เธอเริ่มเข้าใจสถานการณ์

รถไฟฟ้าใต้ดินหยุดชะงักกลางอุโมงค์!

“เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้รถไฟฟ้าขบวน...สาย...เกิดเหตุขัดข้องขึ้น ขอให้ทุกท่านปฎิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ กรุณาอยู่ในความสงบและเดินออกทางประตูรถไฟด้วยความระมัดระวังไปตามเส้นทางที่ลูกศรเรืองแสงได้ชี้ไว้ ทั้งนี้ทางบริษัทต้องขออภัยในความไม่สะดวกเป็นอย่างสูง...”

เสียงร้องด้วยความไม่พอใจดังก้องไปทั่วบริเวณ ยูนาริสมองเพื่อนซี้ที่ยังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์อย่างเคร่งเครียด นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นประตูรถไฟฟ้าเปิดออกทั้งที่ยังไม่ถึงสถานี ผู้คนรีบออกันไปยังทางออกราวกับเขื่อนแตก

หญิงสาวถูกเบียดจนต้องถอยห่างออกจากลูอิส ชายหนุ่มยังก้มหน้ามองโทรศัพท์โดยไม่ทันสังเกตเห็นเธอ ยูนาริสมองซ้ายมองขวาพยายามขยับเข้าไปหาเพื่อนซี้อีกครั้ง โดยไม่ทันตั้งตัว บ่าเธอรับรู้ถึงสัมผัสของมือใครบางคนจากด้านหลัง ใครคนนั้นรั้งเธอไว้ไม่ให้เดินไปไหนแถมแรงบีบนั้นยังมากจนเธอต้องนิ่วหน้า หญิงสาวรีบหันกลับไปมองเจ้าของมือที่จับบ่าเธออยู่ทันทีอย่างตกใจ

นัยน์ตาสีไม้โอ๊คหวั่นระริกของเธอสะท้อนภาพชายหนุ่มแปลกหน้ารูปร่างสูงโปร่งกำยำคนหนึ่ง บนใบหน้าคมเข้มดุเถื่อนนั้นปรากฏรอยบากยาวตั้งแต่ใต้ตาซ้ายจนถึงมุมปากด้านเดียวกัน แล้วหัวใจเธอก็หล่นวูบไปถึงตาตุ่มเมื่อเขาจับจ้องเข้ามาในดวงตาของเธอขณะเอ่ย...

“มิสยูนาริส ฟาร์เรล กรุณาไปกับเราดีๆ ด้วยครับ”

‘หนีไป’

คำนั้นดังก้องขึ้นมาราวกับเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก...

 

 

---------------------------------------------------------------------------------------------

ATTACHMENT FILE: ในตอนนี้มีรูปภาพอีเมลล์ประกอบทั้งหมดสองรูป หากในเนื้อหาไม่ปรากฏรูปภาพ หรือภาพไม่แสดงผล แจ้งได้เลยค่ะ

[SIDE STORY] : http://writer.dek-d.com/masterh/story/view.php?id=1359296

---------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้เขียนต้องขออภัยที่ไม่สามารถจัดหน้าบทความให้ดูอ่านง่ายได้ เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในตอนนี้ไม่ซัพพอร์ตเท่าไหร่นัก ผู้เขียนจะทำการแก้ไขบทความอีกครั้งในภายหลังค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวกอีกครั้งนะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา