Prediction , Texts & Paper วุ่นรักนักข่าว

-

เขียนโดย Littlepeacee

วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.11 น.

  5 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,557 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ห้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

5

‘พวกเขาถูกส่งไปค่ายเชื่อมสัมพันธ์เชียวเหรอเนี่ย!

-ล.ด.’

 

“ฉันจะไปบอกครูใหญ่โฮซี่ให้ถ้านายไม่อยากไปค่ายเชื่อมสัมพันธ์อะไรนั่น” ฉันยื่นข้อเสนอให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าในห้องพยาบาลของโรงเรียน “ฉันมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์เลยว่าครูใหญ่จะต้องอนุญาตแน่ๆ และนายก็ไม่ต้องห่วง เขาไม่มีทางทำโทษนายอย่างอื่นอีกแน่นอน”

นี่ฉันพูดจริงๆ นะ อย่างที่คุณรู้ว่าครูใหญ่เอชห่วงเรื่องหน้าตาตัวเองอย่างกับอะไรดี ฉะนั้นเธอไม่มีทางทำโทษยูจีนเด็ดขาด แม้ว่าครูแม็คเคนซีจะมองว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดเป็นต้นว่า เด็กนักเรียนสองคนทะเลาะกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ ต่อให้ฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นคนเริ่มหรือไม่แม้แต่จะทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งกลับเลยก็ตาม พวกเขาทั้งสองคนก็สมควรที่จะได้รับโทษเช่นกันอยู่ดี

                ฉันกล้าบอกเลยว่าสิ่งที่แอลลี่ทำนี่มันยิ่งกว่าหาเหาใส่หัวอีก เธออาจจะลืมไปว่าครูเอ็มมีหน้าที่เป็นครูที่ปรึกษาให้กับนักเรียนที่มีนามสกุลขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ‘ค’ และนั่นก็หมายความทั้งยูจีนและตัวเธอเองต้องตกอยู่ภายใต้การดูแลของผู้หญิงวัยกลางคนสุดโหดแสนเนี๊ยบคนนี้ ทุกคนรู้ดีว่าคุณไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายคนอื่นหรือแม้แต่ทะเลาะกันก็ไม่ควร หรือถ้ามันไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองได้จริงๆ สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำก็คือ อย่าให้พวกครูรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะครูเอ็ม

                ฉันไม่รู้ว่าไอ้ค่ายเชื่อมสัมพันธ์หรืออันที่จริงมันอาจจะชื่ออะไรสักอย่างที่ยาวและดูดีกว่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่และสร้างโดยใคร แต่ที่ฉันรู้ก็คือ มีคนเล่าต่อๆ กันมาว่าการที่คุณถูกลงโทษให้ไปค่ายนั้นมันแย่เสียยิ่งกว่าถูกเรียกพบผู้ปกครองอีก!

                คุณพอจะนึกภาพออกไหม มันเป็นเหมือนตำนานประจำโรงเรียนน่ะ ที่พวกรุ่นพี่มักจะเล่าให้เด็กปีหนึ่งฟัง แล้วพวกเขาจะจดจำเรื่องราวพวกนั้นได้ดีเสียยิ่งกว่าสูตรตรีโกณมิติ และพอเด็กปีหนึ่งได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ พวกเขาก็จะเล่ามันต่อไปให้รุ่นน้อง ทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เล่ากันมานั่นน่ะมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

เรื่องค่ายเชื่อมสัมพันธ์นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีใครถูกส่งไปค่ายนี้นานแล้ว เพราะไม่มีใครกล้าพอที่จะเปิดสงครามขึ้นกลางโรงเรียน หรือต่อให้อยากรู้ความจริงมากขนาดไหนก็ยังไม่มีใครกล้าพอที่จะพิสูจน์มัน

                “ไม่เป็นไรหรอก ลีอาห์ ฉันคิดว่ามันก็น่าสนุกดีออก ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมอลิสันไม่ชอบฉัน แต่มันก็น่าจะเป็นจุดที่ดีที่ทำให้เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ไม่ใช่เหรอ” ยูจีนกล่าวพร้อมกับมองรอยที่แอลลีฝากทิ้งไว้บนใบหน้าของเขาในกระจก

                ฉันอาจจะลืมไปว่ายูจีนไม่ใช่เด็กปีหนึ่ง จึงไม่เคยมีใครเล่าเรื่องค่ายเชื่อมสัมพันธ์ให้เขาฟัง แต่สำหรับคุณฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ว่า กิจกรรมภายในค่ายนั้นน่ะมันไม่ได้สวยงามเหมือนชื่อหรอก

ฉันเคยได้ยินว่าเด็กที่ถูกส่งไปที่ค่ายจะต้องไปค้างแรมอยู่ในป่าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เป็นอย่างน้อย ดูภายนอกมันก็เหมือนค่ายลูกเสือทั่วๆ ไป คุณจะได้กางเต็นท์อยู่ในป่า มีท่อนซุงวางอยู่รอบกองไฟ พร้อมกับบาร์บีคิวสำหรับมื้อดึก มีลำธารสายเล็กๆ อยู่ตรงนั้น และพี่เลี้ยงแสนใจดีที่พร้อมจะทำให้คุณกับศัตรูคู่อาฆาตหันกลับมารักกันอีกครั้ง แต่ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่พ่อกับแม่ของคุณสตาร์ทรถแล้วขับออกไปนั้น…ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยน

                พวกเด็กซีเนียร์เล่าให้ฟังว่า พี่เลี้ยงประจำค่ายจะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาชิ้นหนึ่งที่ทันทีที่เห็น คุณจะไม่กล้าทะเลาะกันอีกเลยนั่นก็คือ ‘กุญแจมือ’!

ฉันพูดจริงนะ พวกเขาบอกว่าพี่เลี้ยงจะใส่กุญแจมือล็อกเด็กที่ทะเลาะกันเอาไว้เป็นคู่ๆ หรือไม่ก็ทีละสาม  คุณจะต้องติดอยู่กับคนที่คุณเกลียดมาตลอดชีวิตเป็นเวลานานถึงหนึ่งอาทิตย์! หนึ่งอาทิตย์เชียวนะ ทั้งกิน นอน เดิน ทำกิจกรรม หรือแม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำ

                เท่าที่รู้มาเด็กพวกนั้นจะถูกผูกตาเอาไว้แล้วพาเข้าไปในป่าพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่มีเสบียงและอุปกรณ์ที่พวกพี่เลี้ยงคิดว่าจำเป็นต้องใช้ ก่อนจะทิ้งพวกเขาเอาไว้แล้วให้หาทางออกมาเอง บางคนบอกว่าการทำแบบนั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า หากคนสองคนไม่มีความแค้นต่อกัน การรวมหัวกันคิดหาทางออกจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเกิดว่ายังมีความแค้นต่อกันอยู่ล่ะก็…คุณอาจจะตายอยู่ที่นั่นก็เป็นได้

                และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่ถูกส่งตัวไปที่นั่นแล้วได้กลับมาเรียนหนังสืออีกเลย

โอเค มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องสยองขวัญรอบกองไฟไปเสียหน่อย แต่มีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ฉันไม่กล้ฟาดมือลงบนใบหน้าของลอนดอนเวลาที่เธอตะคอกใส่ฉันเลยทีเดียว

ย้อนกลับไปเมื่อสองถึงสามปีที่แล้วสมัยที่ฉันเพิ่งเข้ามาเป็นนักเรียนที่นี่ใหม่ๆ มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วคนหนึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับฉันที่ชื่อว่า เฟร็ดเดอริค คอร์เนลล์ หรือที่รู้จักกันในนามของ ‘เฟร็ดดี้ขี้แพ้’

เฟร็ดดี้เป็นเด็กปีหนึ่งที่มักจะไปไหนมาไหนพร้อมกับหนังสือเล่มหนาของเขา และแว่นตากลมๆ หนึ่งอันกับเสื้อโปโลและกางเกงเอวสูง เฟร็ดดี้มักจะถูกพวกเด็กซีเนียร์งี่เง่าที่เป็นนักกีฬากล้ามโตรังแกเสมอ ทั้งทำร้ายร่างกายและรีดไถ่เงิน แต่เขาก็ไม่เคยฟ้องครูหรือพ่อแม่เลยสักครั้ง แต่ก็อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละว่า ครูเอ็มมักจะมาพร้อมกับเด็กที่นามสกุลขึ้นต้นด้วยตัว ‘ค’ และ ‘คอร์เนลล์’ ก็ขึ้นต้นด้วยตัว ‘ค’ เสียด้วย

ต่อให้หลายคน (และฉัน) มองว่าครูแม็คเคนซีเป็นครูสุดโหดที่จัดว่าเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยง แต่ในเมื่อคุณเป็นเด็กในปกครองของเขา เขาก็พร้อมที่จะดูแลคุณให้ดีที่สุด ครูเอ็มสั่งลงโทษพวกนักกีฬาเกเรพวกนั้นให้ไปอยู่ที่ค่ายเชื่อมสัมพันธ์ถึงสองอาทิตย์ ส่วนเฟร็ดดี้ก็โดนไปด้วยโทษฐานที่ไม่รู้จักแก้ปัญหาเอาเสียเลย

และในวันที่เฟร็ดดี้ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเด็กเกเรในป่านั่น รุ่นพี่เล่าว่า พวกนักกีฬาที่แกล้งเฟร็ดดี้เกือบทุกคนไม่สามารถทนกับสภาพความเป็นอยู่และบทลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตามที่พี่เลี้ยงบอกได้ ก็ต่างรีบโทรศัพท์เรียกผู้ปกครองให้มารับกลับทันที ก่อนจะหายไปจากแสตนเบิร์กไม่กลับมาให้เพื่อนร่วมชั้นเห็นหน้าอีกเลย มีแต่เพียงหัวโจกในการกลั่นแกล้งเฟร็ดดี้เพียงคนเดียวที่อดทนจนถึงด่านสุดท้าย เขาถูกจับล็อกไว้กับเฟร็ดดี้ก่อนที่จะถูกพาเข้าไปในป่ารกร้างแห่งนั้น บ้างก็ว่าเขาสามารถหาทางออกมาได้ บ้างก็บอกว่าเขาหนีออกไปก่อนที่จะถูกนำไปปล่อยในป่า บางคนบอกว่าเขาติดอยู่ในนั้นก็มี แต่ไม่ว่าเด็กซีเนียร์คนนั้นจะสามารถหาทางออกมาได้หรือไม่ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันก็คือ…ไม่มีใครรู้ว่าเฟร็ดดี้ขี้แพ้หายไปไหนกันแน่

ก็ได้ ก็ได้ ฉันยอมรับว่า นั่นก็ยังฟังดูเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก เพราะคงไม่มีใครกล้าเอากุญแจมือมาล็อกเด็กมัธยมปลายแถมยังทิ้งพวกเขาเอาไว้ในป่าอีก แต่ถ้าคุณถูกเรื่องแบบนี้กรอกหูมาตั้งแต่ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนของแสตนเบิร์กแล้วล่ะก็ คุณเองก็คงจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้วคุณก็กลัวที่จะต้องหายสาบสูญไปแบบเฟร็ดดี้ขี้แพ้เหมือนกัน

“ระวังจะหายไปแบบเฟร็ดดี้ขี้แพ้ก็แล้วกัน” ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่นัก ก็แหม ถ้าแอลลี่ได้เข้าไปในค่ายนั้นขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เราก็จะได้รู้เสียทีไงว่า เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาน่ะถูกอุปโลกน์ขึ้นหรือเปล่า ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่กล้าปีนช่องลมเข้าไปปาไข่ใส่แขกคนสำคัญของครูใหญ่เอชแถมยังพุ่งไปขวนหน้าเขาอีกจะสามารถเอาตัวรอดจากป่าลึกลับนั่นได้อย่างแน่นอน

“ใครคือเฟร็ดดี้ขี้แพ้” ยูจีนวางกระจกลงบนหน้าขาของตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม

“นิทานหลอกเด็กน่ะ” พยาบาลลินวู๊ดตอบพร้อมกับรูดผ้าม่านที่กั้นระหว่างเตียงของยูจีนกับอีกหนึ่งเตียงที่ว่างอยู่ “ส่วนแผลนี่ แค่รอยถลอกเท่านั้นทายาสองสามวันก็หาย ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะจ๊ะ”

“ขอบคุณนะครับ” ยูจีนตอบโดยไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มมหาเสน่ห์ของตัวเองไปให้แล้วส่งกระจกคืน เขาหันมาพูดกับฉันอีกครั้งเมื่อพยาบาลลินวู๊ดเดินออกไปนั่งประจำที่เคาน์เตอร์หน้าห้องพยาบาล “ว่าแต่เย็นนี้เธอจะไปนั่งเล่นกับฉันไหม เราอาจจะหาร้านอาหารสักร้านที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก”

“ฉันคิดว่านายจะกลัวแอลลี่จนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วเสียอีก”

“ไอ้ที่ว่าตกใจน่ะก็ถูก แต่ไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้นหรอก” อีกฝ่ายยิ้มอย่างสบายๆ แล้วเป็นฝ่ายเริ่มออกเดิน “ฉันเป็นดารานะเธอลืมไปแล้วเหรอ บางครั้งเจอพวกแอนตี้แฟนน่ากลัวกว่านี้ก็มี” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่เจือหัวเราะ “สรุปเราไปเที่ยวด้วยกันนะ”

อันที่จริงเย็นนี้ฉันมีแผนว่าจะไปที่ไหนสักแห่งอยู่แล้ว แต่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มน่ารักๆ นั่นก็ทำให้ฉันต้องกลับมาคิดอีกทีแล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้ารีบหน่อยก็คงจะไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง

“หกโมงเย็นที่ร้านชเลนเดอร์สนะ”

 

แอลลี่ดูกระวนกระวานใจไม่น้อยเมื่อถูกครูแม็คเคนซีตัดสินว่าให้ไปเข้าค่ายเชื่อมสัมพันธ์ ฉันบอกเธอในคาบเรียนพละว่าเธอควรที่จะไปขอร้องครูเอ็มอีกครั้งว่าอย่าให้เรื่องถึงขั้นนั้นเลย อาจจะบอกไปว่าเธอขาดสติชั่ววูบ หรือไม่ก็โกหกไปว่าเธอเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่ไม่อาจทนเห็นใบหน้าหล่อๆ ของยูจีนได้ อันที่จริงเธอชวนฉันให้เข้าไปคุยกับครูเอ็มเป็นเพื่อนหลังเลิกเรียน แต่ขอเถอะนะ ฉันมีเหตุผลหลายประการพอดูเลยล่ะที่จะขอผ่านเรื่องนี้

                ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรเกี่ยวมามากพอแล้ว ฉันจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปให้แอลลี่อีกเด็ดขาด เพราะดูจากท่าทีแล้วต่อให้ฉันแค่เข้าไปนั่งฟังครูเอ็มกับแอลลี่คุยกันเฉยๆ ก็ยังมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงมากที่ฉันจะโดนหางเลขไปด้วย อีกอย่างก็คือเย็นนี้คิวของฉันแน่นเอี๊ยดจนแทบจะไม่เหลือช่องว่างตรงไหนแล้ว และน่าเสียใจสำหรับแอลลี่ที่หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มที่ชื่อยูจีน โคลแมนจองเอาไว้ก่อน

                ฉันเดินตรงไปยังด้านหลังของเด็กน้อยวัยสิบเอ็ดปีที่กำลังนั่งอยู่คนเดียวบนชิงช้าที่มีสนิมเกาะอยู่ เขาแกว่งมันช้าๆ พร้อมกับสายตาที่เหม่อมองไปยังเครื่องเล่นที่มีเด็กวัยใกล้เคียงกันหลายคนกำลังเล่นอยู่

                “ไม่เข้าไปเล่นกับพวกเขาเหรอ” ฉันกระซิบถามเบาๆ แต่คิดว่าคงดังเกิดไปทำเอาเด็กน้อยสะดุ้งจนต้องรีบเอาเท้ายันพื้นเพื่อหยุดการเหวี่ยงของชิงช้า

                “ลีอาห์” เขาเรียกเสียงใส ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้ฉันจนตาหยี “พี่จะมาไม่เห็นบอกผมก่อนเลย”

                ฉันเดินไปนั่งบนชิงช้าตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่แล้วตอบยิ้มๆ “บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”

                “มาไม่บอกล่วงหน้า แถมยังยิ้มแบบนี้ด้วย พี่มีอะไรเหรอ” นิคถามอย่างรู้ทัน

                อันที่จริง ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างฉันไปเพ้นต์เฮ้าส์ของแม่กับนิคมาร้านของพ่อนั้นความถี่ต่างกันลิบลับเลยล่ะ นิคมาที่ร้านชเลนเดอร์สทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์มามากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับแทบจะไม่ได้ไปเหยียบบ้านของแม่เลย ฉันเลือกที่จะส่งข้อความไปหาหรือไม่ก็ดักรอนิคที่โรงเรียนแบบนี้มากกว่า แต่นั่นก็ยังนับว่าน้อยจนทำให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่า ฉันจะต้องมีธุระสำคัญอะไรแน่ๆ

                “ก็…ไม่มีอะไรมาก พี่แค่อยากจะมาถามเรื่อง…”

                “ถ้าเป็นเรื่องโจล่ะก็ ผมไม่รู้หรอกนะ”

บางครั้งฉันก็แอบสงสัยว่านอกจากนิคจะสามารถทำนายอนาคตได้แล้ว เขายังสามารถอ่านใจคนได้อีกหรือเปล่า

“ไม่เอาน่า พี่รู้ว่าเธอต้องรู้อะไรมากกว่านั้น” ฉันคะยั้นคะยอ

ฉันตัดสินใจแล้วว่า ถ้าหากฉันไม่มีหลักฐานอะไรที่มากพอจะให้เขาเชื่อได้ว่าฉันไม่ได้บ้าหรือไม่ได้กุเรื่องขึ้น ฉันจะไม่มีทางบอกโจเด็ดขาด และถ้าไม่สามารถหาหลักฐานได้เลยล่ะก็ ฉันนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายคอยดูแลเขาไม่ให้ได้รับอันตรายเอง

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การที่บอดี้การ์ดจะดูแลเจ้านายสักคน เขาจะต้องมีรายละเอียดไม่มากก็น้อย เพื่อที่จะได้รู้ว่าควรจะระวังอะไร ใคร ที่ไหน และเมื่อไหร่กันแน่

“ผมไม่รู้จริงๆ ลีอาห์ ขอร้องล่ะ พี่อย่าเซ้าซี้ได้ไหม” นิคพูดพลางลุกขึ้นจากชิงช้าแล้วตั้งท่าจะเดินหนีจากตรงนี้ไป แต่ด้วยความที่ฉันโตและไวกว่ามากจึงยื่นมือออกไปคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน

“โธ่ นิค เรื่องแค่นี้เองบอกกันหน่อยไม่ได้เหรอ พี่ไม่ได้จะเอาเรื่องนี้ไปบอกโจเสียหน่อย พี่แค่จะ—” ฉันชะงักไปทันทีเมื่อสังเกตเห็นรอยช้ำสีม่วงๆ บริเวณเหนือคิ้วของอีกฝ่ายในจังหวะที่เขาหันมาตามแรงฉุด “นี่ไปทำอะไรมาน่ะ”

                นิคตกใจกับคำถามของฉันก่อนจะรีบสะบัดมือของฉันออก แล้วลูบไรผมของตัวเองลงมาปิดรอยช้ำนั่น “เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก”

                “โดนเขาแกล้งมาอีกแล้วเหรอ” จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาจะรู้ทันฉันฝ่ายเดียวหรอกนะ

                นิคสบตากับฉันอยู่พักหนึ่งก็จะเอ่ยขึ้น “พี่อย่าบอกแม่นะ”

                สิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่มีเหมือนกันก็คือ การทำงานแบบไม่มีวันหยุด ไม่มีวันไหนเลยที่ชเลนเดอร์สจะปิด พ่อตื่นเช้ามาเปิดร้านทุกวัน ก่อนที่จะปิดมันตอนสองทุ่ม ส่วนแม่เองก็อยู่แต่ในออฟฟิศกับโทรศัพท์สามเครื่องที่ใช้ในสถานการณ์และบุคคลอันแตกต่าง พร้อมกับเลขาฯ คนโปรดที่มักจะมีโทรศัพท์แนบอยู่ระหว่างหูกับไหล่และแฟ้มหนึ่งตั้งใหญ่ๆ บนสองมือของเธอ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือต่อให้พ่อจะต้องวิ่งวุ่นอยู่กับการเอาเบอร์เกอร์ขึ้นเตาย่าง และทำหน้าที่เป็นทั้งแคชเชียร์กับพนักงานเก็บโต๊ะควบคู่ไปด้วยแค่ไหน พ่อก็มักจะมีเวลาให้ฉันเสมอ

                พ่อมักจะพูดว่า ‘สามทุ่มแล้วนะ ลีอาห์’ มันเป็นเหมือนออดดังๆ ที่คอยเตือนฉันว่าถึงเวลาที่จะต้องเอาป๊อปคอร์นออกจากไมโครเวฟ และโค้กเย็นๆ สองกระป๋องจากตู้เย็นมาตั้งเอาไว้หน้าทีวี ก่อนที่เราจะเปิดหนังสักเรื่องดู และนั่นก็เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ฉันจะสามารถเล่าอะไรก็ได้ที่ฉันอยากเล่าให้พ่อฟัง แม้ว่าบางครั้งพ่อจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ระหว่างแสตนเบิร์กเจอร์นัลกับแคทส์ อายนัก แต่พ่อก็พยายามที่รับฟังมันเสมอ ฉันจึงไม่เคยที่จะกังวลเมื่อต้องเล่าอะไรสักอย่างกับพ่อ และคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกที่ฉันควรจะทำ

                ต่างกับแม่ที่ไม่เคยถามนิคเลยสักครั้งว่า ‘ไปโรงเรียนมาเป็นอย่างไรบ้าง’ ฉันรู้ว่าแม่เหนื่อยกับธุรกิจอะไรสักอย่างและตัวเลขที่มักจะวิ่งขึ้นๆ ลงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านิคจะสามารถอยู่ได้ด้วยโทรศัพท์ที่ล้ำสมัยที่สุด เสื้อผ้าคอลแลคชั่นใหม่ล่าสุด และเงินจำนวนมากที่แม่ใส่เอาไว้ใน ‘พิกจี้’ กระปุกออมสินรูปหมูที่วางอยู่บนเตาผิงไฟในห้องนั่งเล่นของแม่ นิคแค่ต้องการแม่ที่เขาสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้ เอาแค่ตัวอย่างนี้ง่ายๆ นะ นิคไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังด้วยซ้ำว่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนเขาถูกพวกเพื่อนแกล้งยังไงบ้าง และมันก็น่าเศร้าเข้าไปอีกเมื่อแม่ไม่ได้สังเกตเห็นรอยช้ำบนหน้าของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                “แล้วเธอจะทนให้พวกเขาแกล้งต่อไปแบบนี้น่ะเหรอ” ฉันถามกลับ “พี่ว่าเธอควรเล่าให้แม่ฟังสักที”

                “ไม่เอาหรอก ลีอาห์” นิคพึมพำ “แม่ไม่อยากรู้หรอก”

                ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ฉันคิดว่าฉันทนกับเรื่องนี้มานานพอแล้ว อย่างน้อยๆ ก็เกือบจะเท่าอายุของนิคได้ล่ะมั้ง และตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ฉันย่อตัวลงไปนั่งย่องๆ อยู่ตรงหน้าน้องชายที่ตัวเล็กกว่า ก่อนจะพูดขึ้น “ฟังนะ ทำไมแม่ถึงจะไม่อยากรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอ การที่แม่ไม่ได้อยู่กับเธอทั้งวัน มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ใส่ใจเธอเสียหน่อย”

                โอเค ยอมรับก็ได้ว่า ‘ความใส่ใจ’ นั่นแหละคือสิ่งที่แม่ขาด

                “ผมคิดว่าแม่ชอบฟังเรื่องที่เลขาฯ เล่ามากกว่า” อีกฝ่ายพูดออกมาเบาๆ

                “ตอนนี้เธออาจจะทนไหวกับสิ่งที่คนพวกนั้นทำ แต่ในอนาคตถ้าพวกเขาทำมากกว่านี้ล่ะ” ฉันพูดเสียงจริงจัง “พี่เชื่อว่าแม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับปัญหานี้ยังไง”

                “แต่ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่”

                เชื่อฉันเถอะว่า มันเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าเขาย้ายมาเรียนที่แสตนเบิร์กน่ะนะ

                “เอาเป็นว่าเธออยู่นิ่งๆ ไว้ เดี๋ยวพี่จะคุยกับแม่ให้รู้เรื่องเอง” ฉันตัดประเด็น นิคทำท่าอย่างกับจะเถียงฉันอีกรอบแต่ยังไม่ทันทีเขาจะได้พูดอะไรก็มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กวิ่งช้าๆ เข้ามาหาเรา

                “นิค! แม่กับฉันกำลังจะไปกินไอศกรีมด้วยกัน ร้านแถวนี้เอง เราไปด้วยกันนะ” ฉันว่าฉันจำเด็กผู้หญิงคนนี้ได้ ถ้าจำไม่ผิดน่ะนะ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ฉันคิดว่าเธอคือมิลเดร็ด ฉันรู้ว่านิคมีเพื่อนสนิทที่ชื่อมิลเดร็ด แต่จำหน้าเธอไม่ได้สักเท่าไหร่ เพราะคุณก็น่าจะรู้ดีว่าพวกเด็กๆ น่ะโตไวกันจะตาย โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่อายุราวๆ นี้น่ะตัวดีเลย “อ้าวลีอาห์ หนูไม่รู้ว่าพี่มารับนิคกลับบ้าน”

                “เปล่าหรอก พี่แค่มาหานิคเฉยๆ น่ะ ถ้าพวกเธออยากจะไปกินไอศกรีมด้วยกันก็ไปเถอะ” ฉันยืนขึ้นก่อนจะตอบเด็กหญิงที่ตอนนี้ฉันมั่นใจว่าเธอคือมิลเดร็ด จากชื่อที่เขียนเอาไว้ตรงด้านหน้าของกระเป๋าเป้ของเธอว่า ‘ใบนี้เป็นของมิลเดร็ด มาร์แชล’ ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

                “ไปด้วยกันไหมคะ” ฉันยิ้มพลางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ เด็กหญิงคว้ามือของนิคมาจับเอาไว้พลางจะพาไปหาแม่ของเธอที่ยืนรออยู่ตรงไหนสักแห่งที่ฉันมองไม่เห็น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เดินออกไป มิลเดร็ดก็หันกลับมามองฉันราวกับว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน “จริงหรือเปล่าคะ ที่เขาบอกว่ายูจีน โคลแมนไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนของพี่”

                ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ถามถึงยูจีนและจ้องหน้าฉันอย่างคาดหวังในคำตอบ

                “พี่ไม่รู้ว่าเธอเป็นแฟนคลับของเขาด้วย”

“หนูนี่ยูจีเนียตัวจริงเลยล่ะค่ะ!” เด็กหญิงที่เพิ่งประกาศตัวว่าเป็นยูจีเนียยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ฉันเพิ่งรู้เฮะว่า ตอนนี้ยังมีเด็กที่ยังชื่นชอบยูจีนอยู่ หลังจากที่มีข่าวออกมาว่าผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยต่างร่วมกันต่อต้านเขา นับว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวดีสำหรับซูเปอร์สตาร์ที่กำลังอยู่ในขาลงเลยว่าไหม

“พี่ขอลายเซ็นเขาให้หนูหน่อยได้ไหมคะ” มิลเดร็ดปล่อยมือจากนิคก่อนจะคว้าสองมือของฉันเข้าไปกุมเอาไว้

ไม่ต้องให้มิลเดร็ดทำตาเยิ้มๆ แบบลูกหมาขี้อ้อน ฉันว่าฉันก็ใจอ่อนพอที่จะรับคำขอร้องนั่น หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ในฐานะของผู้ดูแลและคอยชี้นำสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างคนธรรมดาให้แก่ยูจีนอย่างฉันน่ะ แค่ขอลายเซ็นแค่นี้…สบายหายห่วง

                “เตรียมตัวหากรอบสวยๆ เอาไว้ใส่รูปพร้อมลายเซ็นของยูจีนได้เลย” ฉันบอกมิลเดร็ดที่ตอนนี้ยิ้มจนแก้มสีชมพูระเรื่อแทบจะปริออกมาอยู่แล้ว ก่อนจะหันไปกระซิบเบาๆ กับนิค “ว่าแต่…เธอไม่คิดจะเล่าเรื่องโจให้พี่ฟังจริงๆ เหรอ”        

 

                เมื่อตอนหกโมงกว่าของวันนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ฉันจัดว่าดีที่สุดของวันเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ตอนเช้าฉันถูกโจกับลอนดอนกระหน่ำยิงคำถามใส่ทางโทรศัพท์ เมื่อตอนกลางวันแอลลี่กับลอนดอนเองก็เปิดศึกกันกลางห้องประชุม ก่อนจะต่อด้วยเหตุชุลมุนของแอลลี่กับยูจีน และไหนจะตอนเย็นที่นอกจากนิคจะไม่ยอมบอกฉันเรื่องของโจแล้ว ฉันยังรู้มาอีกว่าฉันมีอีกหนึ่งประเด็นใหญ่ๆ ที่ต้องบอกแม่ให้ได้ ฉันคิดว่าฉันคงจะโดนยูจีนบ่นหูชาอีกแน่ๆ ที่เป็นฝ่ายนัดเขาไว้เองแต่กลับไปสาย แต่ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่ฉันขึ้นรถเมล์สายยี่สิบเจ็ดที่วิ่งลากผ่านตลอดถนนไวท์ แอชฉันจะเจอกับอเล็กซ์เข้าโดยบังเอิญ!

                โชคดีเป็นของฉันที่ตอนนั้นเย็นแล้วจึงแทบไม่มีนักเรียนคนไหนเดินอยู่แถวนี้อีก ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราสามารถคุยกันได้โดยปราศจากสมาชิกของแคทส์ อาย ฉันคิดว่าฉันต้องมั่นใจในระดับหนึ่งก่อนที่จะเลือกเดินไปนั่งข้างอเล็กซ์ตามรอยยิ้มแสนจะเชิญชวนของเขา เพราะแค่ยอดจำหน่ายที่ตกต่ำลงและการกระทำของแอลลี่ในวันนี้ก็สร้างปัญหาให้กับแคทส์ อายมากเกินพอแล้ว ฉันไม่อยากจะเพิ่มภาระให้โจอีก เพื่อว่าบางทีเขาอาจจะเล็งเห็นถึงความเป็นสมาชิกผู้ภักดีของฉันก่อนจะมอบพื้นที่ในการเขียนข่าวให้มากกว่าหนึ่งร้อยตัวอักษรขึ้นมานะน่ะ…ฉันหมายถึง ถ้าคำว่า ‘ภักดี’ ในที่นี้ไม่รวมการที่ฉันแอบคุยกับคนของฝั่งตรงข้ามอย่างลับๆ น่ะ

                อเล็กซ์ถามฉันว่าทำไมฉันถึงโบกรถขึ้นตรงหน้าโรงเรียนของนิค แทนที่จะเป็นที่ป้ายหน้าโรงเรียนของเรา ฉันไม่เห็นว่านั่นจะเป็นปัญหาอะไรที่ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ทั้งหมดที่ว่านี่ก็คือทั้งหมดเลยล่ะนะ

                ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงกล้าเล่าเรื่องของนิคและคำทำนายของเขาให้อเล็กซ์ฟัง แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ อเล็กซ์ไม่ได้มีท่าทีขบขัน หรือหัวเราะแล้วหาว่าฉันเพี้ยนไปแล้วอย่างที่ฉันคิดว่าลอนดอนน่าจะทำเลยสักนิด เขากลับดูสนใจและทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น แถมยังให้คำแนะนำว่าฉันควรจะเตือนโจตรงๆ ไม่ควรจะเก็บเงียบเอาไว้คนเดียวแบบนี้

                ให้ตายเถอะ ฉันจะไม่ตกหลุมรักเขาได้อย่างไหร่กัน ในเมื่อทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าโจเป็นศัตรู แต่ยังพูดจาเป็นห่วงเป็นใยเสียขนาดนี้ พนันได้เลยว่าถ้าเป็นลอนดอนล่ะก็ มีหวังเธอเนี่ยแหละที่เป็นฝ่ายทำให้โจเจ็บตัว

                ส่วนเรื่องที่นิคโดนเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน อเล็กซ์เองก็บอกว่าเด็กเกเรพวกนั้นสมควรที่จะถูกลงโทษเสียบ้าง และนิคเองก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้เด็กพวกนั้นได้ใจไปเชียว เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสเขาอยากจะทำโครงการต่อต้านความรุนแรงและหยุดการทำตัวเป็นอันธพาลแบบนี้

โธ่ พระเจ้าเจ้าขา ทำไมคนเราสักคนถึงได้ทั้งหล่อและจิตใจดีขนาดนี้! มันช่างไม่ยุติธรรมต่อหัวใจอันบอบบางของคนที่อยู่ใกล้อย่างฉันเลยว่าไหม

เราคุยกันอีกหลายเรื่องกว่าที่รถจะจอดลงที่หน้าร้านชเลนเดอร์ส แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันรู้มาและคิดว่าน่าจะเป็นประเด็นสำคัญอยู่ไม่น้อยก็คือ โจน่ะคิดผิดไปแล้ว ไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่เริ่มทำงานการกุศลก่อนชมรมอื่น เพราะฝั่งแสตนเบิร์กเจอร์นัลเองก็เพิ่งเริ่มประชุมกันไปเมื่อเย็นวันนี้เอง และนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อเล็กซ์ต้องกลับมาเย็นกว่าปกติ

บอกเลยว่า ขอบคุณการประชุมครั้งนี้ชะมัดที่ทำให้เราได้เจอกัน!

ฉันไม่ได้ถามต่อว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรไปขายสำหรับงานการกุศลปีนี้ เพราะคิดว่าเขาคงจะไม่อยากบอกหรอก หรือถึงเขาบอก เขาอาจจะถามฉันกลับก็ได้ และฉันเองก็คงจะอึกอักไม่น้อยถ้าต้องพูดออกไป เพราะเมื่อประชุมของแคทส์ อายครั้งก่อน โจยังย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเชียว

เรามาถึงที่ชเลนเดอร์สตอนห้าโมงเกือบจะครึ่งได้ อเล็กซ์ถามว่าจะเป็นอะไรไหมถ้าเขาจะขอเข้าไปหานาโชส์กินสักถาดก่อนกลับบ้าน เพราะกลับไปตอนนี้เขาก็คงจะต้องอยู่คนเดียว แถมเขายังบอกอีกว่า

“คุยกับเธอแล้วสนุกดีนะ ลีอาห์” พร้อมกับโปรยยิ้มหวานๆ ของเขา และเท่านั้นแหละที่ฉันไม่จำเป็นต้องคิดต่อให้เสียเวลา ในเมื่อตอนนี้ก็เย็นแล้วลูกค้าก็คงจะมีแต่คนทั่วไปไม่ใช่นักเรียนของแสตนเบิร์ก แถมคนที่ฉันนัดมาก็คือยูจีน ไม่ใช่คนของแคทส์ อายเสียหน่อย ฉันค่อยห้ามไม่ให้เขาพูดเรื่องนี้ทีหลังก็ได้

ฉันจึงตอบกลับไปว่า “ฉันแถมโค้กให้อีกหนึ่งแก้วเลย”

เราเดินเข้าไปในร้านที่ตอนนี้คนยังไม่เยอะมากนัก ฉันเห็นยูจีนนั่งหันหน้าเข้าประตูทางเข้าอยู่แถวๆ เคาน์เตอร์สั่งอาหาร เขากำลังนั่งคุยอยู่กับใครสักคนที่ฉันรู้สึกคุ้นเหลือเกิน แต่ก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นใคร

ยูจีนหันมาสบตากับฉันพอดีก่อนที่เขาจะโบกขึ้นแล้วตะโกนว่า “ลีอาห์! ทางนี้!”

ฉันกำลังจะยกมือขึ้นชี้ไปทางโต๊ะที่ยูจีนนั่งอยู่แล้วหันไปบอกอเล็กซ์ว่าให้ไปนั่งทางนู้นด้วยกัน แต่ยังไม่ทันทีที่ฉันจะอ้าปากพูดอะไร รอยยิ้มที่เคยประดับไว้ตรงมุมปากของฉันตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้านก็ต้องหายไปในทันทีเมื่อชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้ประตูคนนั้นหันหน้ากลับมามองตามสายตาของยูจีน

“โจ!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา