มลทินปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.58 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,539 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) มลทินปรารถนา ตอนที่ 6 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้า... นีราภากำลังนั่งหน้าง้ำอยู่บนสปอร์ตคาร์สุดหรู ซึ่งแล่นออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืน คนข้างกายที่กำลังบังคับพวงมาลัยอย่างสบายอุราก็ชอบใช้สายตาสู่รู้ ล้อเลียนเธอเหลือเกิน เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็คร้านจะนับที่เรียกร้องให้เขาปล่อยเธอกลับไปตามทางเดินเสีย

                “จอดป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับเอง”

                เสียงหวานทำลายความเงียบงันลง เมื่อรถยนต์สุดเฉี่ยวแล่นมาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ “บ้านอยู่ตรงไหน บอกมาสิจะไปส่งให้ถึงบ้าน”

                “ก็บอกว่าไม่ต้อง ฉันจะลงตรงนี้ จอด!” ถึงไม่มีบ้านเป็นแค่หอพักก็อย่าฝันไปเลยว่าฉันจะปริปาก กรวดน้ำคว่ำขันเจอกันครั้งเดียว ไม่ว่าจะชาตินี้ชาติหน้าก็อย่าได้มาพบเจอกันอีก คิดในใจว่าต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาสักวัน

                อาการนิ่งเงียบของเธอยิ่งทำให้เขาพอใจ ในเมื่อไม่ยอมบอกว่าพักที่ไหนก็หิ้วเธอไปด้วยกันอย่างนี้แหละ ดีเสียอีกเพราะใจจริงก็ไม่ได้อยากให้เธอไปไหนอยู่แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันมาใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการบังคับพวงมาลัยให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ไม่สนใจกับอาการฮึดฮัดของผู้หญิงสวยข้างๆที่สั่งให้จอดรถอยู่เป็นระยะๆ แต่กลับไม่ยอมปริปากบอกเส้นทางสู่ที่พักของตน

                นีราภาสะบัดหน้าหนีจากรอยยิ้มร้ายกาจที่เขาจงใจส่งมันมาให้เพื่อกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัว ในสมองกำลังทำงานอย่างหนักคิดหาทางเอาตัวรอดจากผู้ชายหน้าทน พูดไม่รู้ฟังคนนี้ สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะสลัดผู้ชายที่พร่ำบอกว่าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จนเมื่อซุปเปอร์คาร์สุดหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่โชว์รูมสูงเสียดฟ้า ซึ่งเป็นแห่งเดียวในจังหวัดที่ขายรถยุโรป ที่สำคัญเขาเป็นใคร? ทำไมพนักงานรักษาความปลอดภัยถึงได้เชิญให้ไปจอดรถในบริเวณที่ติดป้ายไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นส่วนของผู้บริหาร!

                ตายล่ะ! อย่าบอกนะว่าเขาเป็นผู้บริหารของบริษัทนี้เพราะเธอเองก็เพิ่งมายื่นใบสมัครงานที่นี่เมื่อสามวันที่ผ่านมา หญิงสาวกวาดสายตาตามร่างสูงใหญ่ที่เดินลงจากรถแล้วหันไปสั่งการบางอย่างกับพนักงานรักษาความปลอดภัย เชื่อแน่ว่าเรื่องนั้นมันต้องเกี่ยวกับเธอเพราะชายร่างกำยำที่ยืนรับคำสั่งมองมายังตนแล้วก้มหน้ารับคำอย่างเคารพ

                หลังจากที่สั่งการให้พนักงานรักษาความปลอดภัยห้ามไม่ให้ผู้หญิงของตนออกจากอาณาบริเวณนี้เด็ดขาด ทัตเทพก็เดินอ้อมมาเปิดประตูรถออกกว้าง “เชิญจ้ะ สาวน้อย”

                “ฉันจะกลับบ้าน คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?” นีราภาถามทั้งที่ยังนั่งอยู่ดังเดิม

                “ฉันก็ต้องทำงานของตัวเองน่ะสิ เมื่อกี้นี้จะไปส่งก็ไม่ยอมบอกว่าบ้านอยู่ไหน เลยต้องหิ้ว... เอ่อ ไม่ใช่! เลยต้องพามาทำงานด้วยกัน”

                นีราภามองค้อนชายหนุ่มตาเขียวปัดกับคำพูดที่ดูเหมือนไม่ได้คิดซึ่งหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ โดยที่หารู้ไม่ว่าท่าทางของตนนั้นมันช่างน่ารัก น่าชังในสายตาของเขานัก “ฉันไม่ใช่เด็กประถมน่ะที่จะหาทางกลับบ้านไม่ถูก แล้วจะเตือนไว้ว่าถ้าคุณยังตอแยฉันไม่เลิก ฉันจะแจ้งความจับคุณข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวอีกกระทงเลย”

                “อู๊ว... น่ากลัวจนตัวสั่นหมดแล้วทูนหัว แล้วจะบอกให้ว่าคนอย่างทัตเทพ วิชิตเมธาไม่เคยมีประวัติเรื่องบังคับใจสาวๆ แต่ถ้าเธอจะแจ้งความจริง ฉันก็คงจำเป็นต้องเล่ารายละเอียดให้ตำรวจฟัง แต่จะบอกให้รู้เอาไว้ว่าตำรวจน่ะถามซอกแซก เธอจะรับได้เหรอถ้าฉันต้องบรรยายลึกซึ้งอย่างนั้น ไฝทุกเม็ดฉันก็นับได้นะ”

                นีราภาอ้าปากค้างพูดไม่ออก ทั้งโกรธทั้งอายเมื่อเหลือบสายตาไปมองพนักงานรักษาความปลอดภัยที่รีบหันหลัง ก้มหน้างุด ก็เขาพูดเบาเสียเมื่อไหร่ “ไอ้!...”

                “จุ... จุ... จุ... อยู่กันสองคนเธอจะจิกเรียก เอาแต่ใจตัวเอง เรียกร้องมากแค่ไหนฉันก็ไม่เกี่ยงแต่ต่อหน้าคนอื่นต้องรู้จักเชื่อฟังคำสั่งฉันนะสาวน้อย” ทัตเทพบอกพลางแปลกใจตัวเองว่า ทำไมสายตาของเขาถึงได้มองว่าเธอน่ารักไปหมด แม้กระทั่งตอนกำลังโกรธจัดยังน่าจูบ หากไม่พาเธอออกจากตรงนี้มีหวังได้ลงไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้สมใจจึงแสร้งกดเสียงต่ำขู่ “จะเดินเองหรือจะให้อุ้ม?”

                นีราภาสะบัดหน้าหนีทิ้งตัวลงบนเบาะหนังเนื้อดีอย่างไม่กลัวเจ็บ เอะอะขู่ เอะอะบังคับทุกอย่างใครจะไปทำใจรับได้ แต่ชั่วอึดใจต่อมาก็ต้องร้องโวยวายเป็นการใหญ่เพราะร่างสูงใหญ่ของเขาโน้มตัวเข้ามาในรถยนต์ ทำท่าว่าจะอุ้มเธอจริงๆ “ก็ได้ๆ ฉันจะเดินเอง โรคจิตหรือไง ชอบบังคับคนอื่น”

                “โรคจิตหรือไง ชอบให้คนอื่นบังคับ” ทัตเทพโต้กลับอย่างสำราญใจ

                นีราภาเม้มปากแน่น เถียงกับผู้ชายคนนี้มาสิบครั้งก็ต้องแพ้ทั้งสิบครั้ง มันจึงไม่มีปะโยชน์ที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา แล้วถ้ายังโยกโย้อยู่เช่นนี้ก็รังแต่จะเป็นเป้าสายตาของคนอื่นให้ได้อับอายขายหน้าไปมากกว่านี้ คิดได้ดังนั้นจึงรีบใช้ท่อนแขนดันหน้าอกกว้างให้ถอยห่างจากตนทันที “ถอยไปสิ มาขวางอยู่อย่างนี้จะลงไปยังไง”

                ทัตเทพยิ้มอย่างพอใจเปิดทางให้เธอก้าวลงมาจากรถด้วยตนเอง แต่เมื่อเธอเริ่มเดินก็ไม่รอช้าที่จะฉวยมือบางไปกำไว้แน่น และเมื่อเธอขัดขืนมองด้วยสายตาเขียวปัดก็เปลี่ยนเป็นสอดนิ้วทั้งหมดเข้าประสานกันอย่างแนบแน่นราวกับคู่รักที่กำลังตกหลุมรักซึ่งกันและกัน โดยไม่สนใจสายตาของพนักงานร่วมร้อยที่จ้องมองด้วยความตกตะลึง!

                “เดินช้าจริง ขาสั้นนะเรา รู้งี้อุ้มเข้ามาก็หมดเรื่อง”

                นีราภาก้มหน้างุดด้วยความอายเมื่อเห็นสายตานับร้อยมองมายังตนด้วยความสนใจ รู้ว่าพวกเขาต้องอ่านปากของคนข้างกายได้เป็นอย่างดีว่าพูดอะไรออกมา ทั้งยังเหลือบสายตาเห็นพนักงานสาวสวย นุ่งกระโปรงสั้นมองตามด้วยสายตาริษยาแต่ตัวก่อเรื่องยังมีใบหน้าระรื่น จนเกิดความหมั่นไส้อยากหาไม้แข็งๆมาฟาดหนักๆให้เขารู้สำนึกเสียบ้าง

                “ปล่อยได้ไหมเล่า...”

                “เฉยๆน่า... เดี๋ยวหลงหรอก”

                “หลงบ้าอะไร ฉันอายคนอื่นจะตายอยู่แล้ว ทำไมพวกเขาต้องจ้องขนาดนี้ด้วย” นีราภาบอกเมื่อเดินลึกเข้ามาด้านในซึ่งเป็นส่วนที่มีผู้คนน้อยกว่าเดิมอยู่มาก จนเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในลิฟต์กันตามลำพังแล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครจำหน้าตนได้รึเปล่า ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งเข้ามากรอกใบสมัครงานในบริษัทแห่งนี้

                ทัตเทพแปลกใจกับท่าทางของเธอหลายอย่างนัก เธอควรที่จะเชิดหน้าเดินเคียงคู่เขา จิกตามองผู้หญิงอื่นราวกับประกาศความเป็นเจ้าของในตัวเขาอย่างผู้หญิงที่ผ่านมา แต่ปฏิกิริยาที่สาวน้อยคนนี้แสดงออกมามันตรงกันข้ามเสียหมด เธอประหม่าอาย เคอะเขินราวกับสาวน้อยที่เพิ่งมีความรักแล้วกลัวว่าผู้ปกครองจะล่วงรู้แต่อาการทั้งหมดนั่นมันสามารถเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าไร้หัวใจ ไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนทั้งสิ้น เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้สัมผัสเนื้อแท้ของเขาเช่นเดียวกับที่เขาเป็นคนแรกของเธอ

                นักธุรกิจหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ส่วนตัวพร้อมสาวน้อยนิรนามคนหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ทั้งบริษัทเกิดเรื่องกล่าวขานจนอื้ออึงเพราะเธอไม่ได้เป็นเซเลบริตี้ ดารา นางแบบหรือผู้หญิงที่อยู่ในกระแสสังคมชั้นสูงเหมือนคู่ควงที่ผ่านมา!

 

                นีราภาถือโอกาสสะบัดมือของตนออกสุดแรงหลังจากที่เข้ามาอยู่ในห้องทำงานใหญ่แล้ว พลางทำหน้าบึ้งใส่ผู้ชายที่เลิกคิ้ว ส่ายหน้าราวกับว่าตนเป็นเด็กเกเร ไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่! ดวงตาสีน้ำตาลสดใสมองร่างสูงใหญ่ที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่พลางถอนหายใจออกมาเมื่อคิดว่าต้องจับเข่าพูดคุยกันกับเขาให้รู้เรื่องเสียที

                ทัตเทพมองร่างระหงที่เดินมานั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับตนอย่างรอดูท่าทีว่าเธอต้องการอะไร

                “ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆไหม คือฉันอยากกลับบ้าน จะมาอยู่อย่างนี้กับคุณไปเรื่อยๆไม่ได้ แล้วที่สำคัญคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมากักขังตัวฉันไว้อย่างนี้ด้วย” นีราภาพูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “คือ... เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนฉันจะถือซะว่ามันเป็นความผิดพลาด เข้าใจผิดหรืออะไรสักอย่างที่ฉันเองก็ไม่ได้เรียกร้องและโยนความผิดทั้งหมดให้คุณ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไร เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?”

                ทัตเทพมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับขึ้นลงอย่างเพลินตา “อะไรนะ ถามว่าไงนะ?”

                “ถามว่าเข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า?” นีราภาแย้มยิ้มอย่างคนมีความหวังเมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้ารับ “งั้น... ฉันกลับแล้วนะ”

                “ม่ายยย... ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะปล่อยเธอไป” ทัตเทพปฏิเสธพร้อมกลั้นยิ้มจนปวดกรามเมื่อเห็นใบหน้าผ่องใสหุบยิ้มฉับ จ้องมองอย่างเอาเรื่อง “ถ้าเกิดท้องขึ้นมาจะทำยังไง เธอก็รู้ว่าเราไม่ได้ป้องกัน”

                “ก็ฉันบอกแล้วว่าจะต้องกินยา คุณก็ไม่ยอม แล้วตอนนี้กลัวขึ้นมาใช่ไหม” นีราภาถามด้วยน้ำเสียงเหลืออด “คุณกลัวคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ถ้าเกิดฉันท้องขึ้นมาจริงๆ คนที่ตกที่นั่งลำบากคือฉันต่างหาก รู้อย่างนี้แล้วก็ควรปล่อยให้ฉันกลับบ้าน หายาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากินป้องกันไว้ คุณไม่รู้หรือไงว่ายิ่งกินยาเข้าไปช้าประสิทธิภาพมันก็ยิ่งจะน้อยลง”

                ทำไมเขาจะไม่รู้ในสิ่งที่เธอพูดมาแต่มันเกิดความรู้สึกไมชอบใจขึ้นมาอย่างรุนแรงที่เธอพูดราวกับว่าศึกษาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีจนอดที่จะพูดประชดออกไปไม่ได้ “รู้ละเอียดดีเหลือเกินนะ เป็นเด็กเป็นเล็กจะศึกษาเรื่องพวกนี้ไปทำไม ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับมาโบยก้นหนักๆให้นั่งไม่ลงเชียว”

                “เด็กบ้าอะไรล่ะ ฉันเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว หรือถ้าฉันเป็นเด็กจริงคุณมันก็ผู้ใหญ่นิสัยเสีย ทำตัวเลวพรากผู้เยาว์!” นีราภาโต้กลับทันควัน “แล้วก็ไม่ต้องมามองฉันเหมือนฉันเป็นเด็กใจแตก ความรู้พวกนี้มันต้องมีติดตัวเอาไว้ ไม่ได้หมายความว่ารู้แล้วต้องปล่อยตัวมั่วสักหน่อย รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามน่ะ ไม่เคยได้ยินรึไง!?”

                เอาล่ะเทมส์! แกหยุดความรู้สึกหึงหวงที่เกิดขึ้นมาจนระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้สักที ก่อนที่จะทำให้เธอตวาดแว็ดๆต่อหน้าคนอื่น ชายหนุ่มบอกกับตัวเองเพราะไม่อยากจะคิดว่าการได้ล่วงล้ำพรหมจารีย์ของผู้หญิงที่บรรลุนิติภาวะแล้วแต่หน้าเด็ก! ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองไปหลายอย่าง เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่มีเธอข้างกายมันทำให้เขาต้องหาทางต่อเวลาเพื่อให้ได้อยู่กับเธอออกไปด้วยเหตุผลข้างๆคูๆ ซึ่งมันไร้สาระสิ้นดี

                “ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไปจนกว่าจะแน่ใจว่าเธอไม่ได้ท้อง”

                “อะไรนะ?” นีราภาถามเสียงหลงราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง

                “เพราะฉะนั้นจากนี้ไปอีกสองสัปดาห์ เราต้องอยู่ด้วยกัน ครบสองสัปดาห์เมื่อไหร่แล้วค่อยไปตรวจ ให้หมอเป็นคนยืนยันว่าเธอไม่ได้ตั้งท้อง โอเค้?”

                “ไม่โอเค! คุณบ้าไปแล้วใช่ไหม ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากอย่างนั้นด้วย ฉันบอกแล้วว่าจะกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน” นีราภาต้องหยุดพูดเมื่อผู้ชายตรงหน้าดักคอขึ้นมาทันที

                “เรื่องกินยาคุมบ้าบออะไรนั่น เลิกคิดไปได้เลยมันอันตราย ถึงมันจะมีความเสี่ยงน้อยนิด ฉันก็ไม่อยากให้เสี่ยง หัดรักตัวเองมั่งสิแม่คุณ”

                “ที่ทำอยู่ตอนนี้ฉันรักตัวเองอย่างที่สุดแล้ว การที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกขืนใจหรือพลั้งเผลอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งแล้วกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ฉันก็ว่ามันเป็นคอมมอนเซนส์ที่ใครก็คิดได้และควรทำ”

                “ให้ตายเถอะทูนหัว! เรารักกันออกจะร้อนแรง สุขสมอย่างนั้น เธอกล้าดียังไงเรียกมันว่าความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายแปลกหน้า” ทัตเทพกลอกตาขึ้นฟ้าไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของเธอพลางแก้คำพูดของเธอเสียใหม่ “ที่เราทำกันน่ะ เขาเรียกว่าเมคเลิฟ ร่วมรักจ้ะ”

                นีราภาหลับตาลง กำมือแน่นอย่างคนที่กำลังใช้ความอดทนอย่างหนัก และคิดได้ว่ากับผู้ชายคนนี้แล้วอัตตาที่มีอยู่ในตัวเขาปะทะเข้ากับความโมโหที่กำลังคุกรุ่นของเธอมันยิ่งจะทำให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้ จึงข่มน้ำเสียงพูดกับเขาด้วยเหตุผลอีกครั้ง “แล้วถ้าไม่ให้ฉันกินยานั่นเข้าไป เกิดท้องขึ้นมาจะทำยังไง?”

                “หาหมอ ฝากครรภ์” ทัตเทพตอบหน้าตาย

                “เข้าใจไหมว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะท้อง ไม่พร้อมที่จะเป็นแม่ ไม่พร้อมที่จะแบกรับภาระของเด็กที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าคุณไม่เห็นแก่ฉันก็ขอให้เห็นแก่เด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นมาเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเห็นเขาเป็นเด็กมีปัญหา” เธอรู้ดีเชียวล่ะว่าเด็กที่เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวแตกแยกนั้นต้องแบกรับความรู้สึกปวดร้าวเพียงใด ขนาดเธอเองเติบโตมาอย่างอบอุ่นแต่การที่ท่านทั้งสองมาด่วนจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับนั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้าง ไร้ที่พึ่งในระยะหนึ่งแต่ยังโชคดีที่มีพี่สาวคอยทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

                ทัตเทพนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าเธอเงียบไปครู่ใหญ่ซ้ำร้ายแววตาสีน้ำตาลยังเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก อ้างว้างจนทำให้ใจหายเกือบเดินเข้าไปดึงร่างมาเข้ามากอดปลอบ ถ้าหากเธอไม่ผลุนผลันลุกขึ้นแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว...

                แต่ความเร็วนั้นยังน้อยกว่าการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นักเพราะเพียงไม่กี่ก้าวที่ร่างระหงจะเอื้อมมือไปเปิดประตูบานใหญ่ ท่อนแขนแข็งแรงก็จัดการรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้จนปลายเท้าลอยหวือขึ้นจากพื้น

                “กรี๊ด... ปล่อยฉันนะ คุณไม่มีสิทธิ์มากักขังตัวคนอื่นแบบนี้” นีราภาตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ดิ้นเร่าๆเมื่อเขารัดร่างแน่นไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองได้

                “คนอื่นที่ไหน เธอเป็นเมียเด็กของฉันต่างหาก” ทัตเทพบอกพลางปล่อยร่างระหงให้นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ ก้าวเข้าประชิดร่างกะทัดรัดด้วยการยืนกางขาออกคร่อมเรียวขาเพรียวที่นั่งอยู่บนโซฟา ออกแรงบีบหัวเข่ามนเล็กน้อยเพื่อกักขังไม่ให้เธอได้พยศไปมากกว่านี้

                นีราภาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเขาเรียกตนว่า ‘เมียเด็ก’ อาการตกตะลึงนั้นยิ่งส่งผลเสียให้ตัวเองต้องตกอยู่ในการควบคุมของเขาในท่านั่งที่ชวนหวาดเสียวยิ่งนัก!

                “ถ้าเธอยังคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของฉันอีกครั้งล่ะก็... อย่าหาว่าใจร้ายนะ!” ทัตเทพขู่ด้วยน้ำเสียงดุ

                “เอาสิ จะฆ่าจะแกงฉันก็เชิญเลย คุณเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันอย่างนี้ อย่าให้ฉันสลัดคุณได้แล้วกัน ฉันจะแจ้งความเอาตำรวจมาลากคอคุณเข้าคุก”

                ทัตเทพหัวเราะร่วนกับคำขู่อาฆาตของเธอ “ถ้าฆ่า ก็จะฆ่าด้วยพิศวาสเหมือนเมื่อคืนเอาให้ท้องจริงๆไปเลย คราวนี้ดูซิว่ายังจะกล้าหนี ทำให้ลูกเป็นเด็กกำพร้าอีกรึเปล่า แล้วอย่าเอาตำรวจมาขู่ฉันหน่อยเลย ถึงตอนนั้นจริงๆ หมอที่ตรวจร่างกายคงลงความเห็นว่าเธอขืนใจฉันมากกว่า รู้ไหมว่าที่หลังฉันมีรอยเล็บเธออยู่เต็มไปหมด เมื่อเช้าอาบน้ำยังแสบอยู่เลย แล้วเคยสำรวจตัวเองบ้างรึเปล่าแม่คุณว่ามีร่องรอยทำร้ายร่างกายตรงไหนบ้าง นอกเสียจากว่ารอยช้ำเป็นจ้ำๆซึ่งมันก็เป็นร่องรอยของคนที่มีกิจกรรมรักกันอยู่แล้ว”

                “คุณมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณคิดจะเอาความพลาดพลั้งของฉันแค่ครั้งเดียวมาเป็นข้อบังคับให้ฉันเป็นนางบำเรอ แต่ไม่มีวันฉันยอมตาย!” นีราภาบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาเจ็บช้ำน้ำใจ

                “ฉันจ่ายเงินซื้อเธอรึยัง ถึงได้คิดอย่างนั้น ก็แค่บอกว่าอยู่ด้วยกันก่อน เอาให้แน่ใจว่าไม่ได้ท้อง ถ้าปล่อยให้เธอไปตอนนี้แล้วเกิดท้องขึ้นมา ลูกของฉันไม่ต้องเติบโตขึ้นมาอย่างแร้นแค้นหรือไง หรือถ้าฉันปล่อยให้เธอกินยาเข้าไป เกิดเธอมีอาการข้างเคียงขึ้นมาเป็นอันตรายถึงชีวิต มันคงเป็นตราบาปติดตัวฉันไปจนวันตาย” ทัตเทพลอบถอนหายใจเมื่อสามารถอธิบายเหตุผลข้างๆคูๆจบลงและหวังว่ามันจะมีน้ำหนักให้เมียเด็กเชื่อบ้าง

                นีราภาหน้าบึ้ง จ้องมองเขาด้วยความเคียดแค้น “เก็บคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นคนดีของคุณไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นดีกว่า เรื่องทุกอย่างมันจะไม่วุ่นวายอย่างนี้เลยถ้าคุณปล่อยฉันไป”

                “นอกเสียจากว่าเธอจะมีหนทางที่ดีกว่ากินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แล้วค่อยมาว่ากัน ไม่อย่างนั้นก็ทำตามที่ฉันบอก แล้วอย่าได้คิดหนีเพราะถ้าหนี ฉันจะเอาคลิปสาวน้อยร้อนรัก นวดพร้อมนาบโพสต์ลงในโซเซียลมีเดีย” เรื่องโกหกที่ไม่เคยคิดจะทำก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว

                “อย่ามาหลอกฉันเสียให้ยาก ฉันไม่ได้ขาดสติจนไม่รู้ว่าคุณไม่ได้ทำเลวๆอย่างนั้น” นีราภาทบทวนภาพความทรงจำอันอัปยศที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกวินาที หากเสียงห้าวทรงพลังที่ดังก็ทำลายสมาธิอันมั่นคงนั้นลงจนหมดสิ้น

                “ฉันซ่อนกล้องไว้บนหัวเตียง ไม่เชื่อเดี๋ยวเย็นนี้จะเปิดให้ดู ดีเหมือนกันเธอจะได้เลิกพูด เลิกคิด เลิกมองฉันด้วยสายตาประณามว่าขืนใจเธอเสียที” ทัตเทพกระหยิ่มยิ้มย่องในใจเพราะรู้ว่าคราวนี้เธอคงไม่กล้าที่จะหนีไปไหนอีก แต่เพียงแค่ใบหน้าผ่องใสเงยหน้าขึ้นสบสายตาด้วยความปวดร้าว ดวงตาสีน้ำตาแดงก่ำ ปลายจมูกแดงอย่างคนที่กำลังบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เพียงเท่านี้มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดราวกับเป็นไอ้หน้าตัวเมียที่ชอบข่มขู่ผู้หญิง บังคับคนที่ไม่มีทางต่อสู้จนต้องรีบทรุดตัวนั่งลงบนโต๊ะกลางตัวเตี้ยที่ตั้งไว้หน้าโซฟา “เป็นอะไร พูดแค่นี้ก็ต้องร้องไห้ด้วย?”

                นีราภาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่เคยต้องเสียใจเช่นนี้มาก่อนในชีวิตพลางเบือนหน้าหนีจากหลังมือแข็งแกร่งที่ยกขึ้นหมายจะซับน้ำตาให้โดยไม่รู้ตัวว่า ท่าทีเจ็บปวดหัวใจของตนนั้นมันสามารถบีบคั้นหัวใจของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างยิ่ง

                “บ่อน้ำตาตื้นจังเลยสาวน้อย... ฉันชักตามอารมณ์เธอไม่ทันแล้วนะ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้” ทัตเทพยังไล้หลังมือซับน้ำตาที่แก้มนุ่มอย่างแผ่วเบาราวกับขอลุแก่โทษ นี่ละมั้งคือมนตร์เสน่ห์ที่ร่ายออกมามัดตัวเขาไว้ให้ติดใจนักหนา ความมีชีวิตชีวา แสดงอารมณ์ที่เกิดขึ้นออกมาอย่างเปิดเผยมันคงเป็นเสน่ห์ของผู้หญิงวัยสดใสสินะ!

                “ไม่ต้องมาเสแสร้งพูดดี ฉันไม่หลงกลผู้ชายอย่างคุณหรอก จำเอาไว้เลย” นีราภารู้สึกได้ถึงความปวดร้าวที่เกิดจากการกระทำของเขาเหลือเกิน แต่ทำไมนะ?! ทำไมถึงได้ยอมให้เขากอด พ่ายแพ้ให้กับสัมผัสอบอุ่น ทะนุถนอมราวกับเป็นเจ้าหญิงคนพิเศษ สองครั้งสองคราที่ยอมร้องไห้เงียบๆในอ้อมแขนของเขา แสดงความอ่อนแอออกมาจนหมดสิ้น ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่กำลังปลอบประโลมกับคนที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจก็คือผู้ชายคนเดียวกันที่ยังตระกองกอดตนไว้อย่างหนาแน่น

                “นิ่งซะคนดี ก็แค่สามวันเท่านั้นเอง เชื่อฉัน... เพราะมันคือทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย” นักธุรกิจหนุ่มผู้มากประสบการณ์งัดเอาทั้งเล่ห์และกลออกมาใช้กับสาวน้อยวัยกระเตาะ ทั้งหมดนั่นมันเป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเพื่อเก็บเธอไว้ข้างกายได้เท่านั้นเอง และเขาก็ไม่รู้ว่าทำเรื่องทุกอย่างให้มันวุ่นวายอย่างนี้ไปเพื่ออะไร รู้แต่ว่าอยากมองเธออย่างนี้ไปเรื่อยๆ อยากเห็นเธออยู่ในระยะสายตา หลายครั้งที่เหมือนจะตัดใจบอกตัวเองให้ปล่อยเธอไปตามทางแต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งหาเหตุผลบ้าๆบ้อๆมีฉุดรั้งเธอไว้อีกเช่นเคย

                ทัตเทพส่ายหน้าให้กับตัวเองแล้วกลับไปจัดการกับเอกสารกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน หลังจากที่เมียเด็กของเขาหยุดร้องไห้ อาการนิ่งเงียบ นั่งดูทีวีพร้อมอ่านนิตยสารไปพร้อมๆกันก็เป็นเหมือนสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าจะได้เห็นเธอวนเวียนอยู่ในชีวิตเช่นนี้ต่อไปอีกสองสัปดาห์

               

                ตลอดทั้งวันทัตเทพไม่ยอมปล่อยให้นีราภาคลาดสายตา อาหารเที่ยงก็สั่งขึ้นมารับประทานกันสองคนบนห้องทำงาน เธออยากไปไหนเขาไม่ปฏิเสธแต่มีข้อแม้ว่าต้องมีเขาอยู่เคียงข้างเท่านั้น เพียงเท่านี้สาวน้อยก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟา หน้าง้ำหน้างอดูทีวีต่อไปจนกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

                ทัตเทพเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารกองโตอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าภายในห้องเงียบผิดปกติ ร่างระหงที่เดินวนไปมาไม่อยู่นิ่ง บัดนี้กำลังนั่งหลับอยู่บนโซฟา ภาพงดงามนั้นมันเหมือนมีมนตร์ขลังสะกดให้นักธุรกิจหนุ่มละทิ้งจากงานสำคัญ ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาช้อนอุ้มร่างหลับใหลนั้นแล้ววางลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเบามือพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ไล้มือเข้ากับแก้มนุ่มละมุน เกี่ยวเอาลูกผมที่ตกลงมารุ่ยร่ายทัดใบหูบางด้วยความอ่อนโยน จนตกใจกับการกระทำของตัวเองที่ไม่เคยคิดจะเอ็นดูผู้หญิงคนไหนเช่นนี้มาก่อน

                แกรักเธออย่างนั้นรึ?!

                มันเป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในความคิดจนทำให้ต้องดึงมือกลับจากใบหน้าผุดผ่องด้วยความตกใจ คงจะแค่ชอบล่ะมั้ง ติดใจเธอเป็นพิเศษเพราะเธอแปลกไม่เหมือนใคร มีชีวิตชีวา มีหลายสิ่งหลายอย่างให้น่าค้นหา ไม่ตามตื้อเหมือนคนอื่นเมื่อรู้ว่าฐานะของเขามั่งคั่งเพียงใด ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าอาจจะเบื่อจนสลัดเธอทิ้งแทบไม่ทันก็เป็นได้

                นั่นคือคำตอบง่ายๆที่มีให้กับตัวเองและมันทำให้สามารถตัดใจเดินกลับไปทำงานที่คั่งค้างไว้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็อดที่จะเหลือบสายตามองร่างงดงามอยู่บ่อยครั้งจนนึกระอาใจตัวเอง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา