Lightillusen- ศึกมนตราทะลุมิติ

-

เขียนโดย MaJesteR

วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18.46 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  6,120 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 19.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) The Breaking World

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

01

 

เว็บขีดเขียน

 

 ตูมม ตามม  ตูม ตามมมม

            เสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  เสียงผู้คนที่กรีดร้อง ตะเกียกตะกายหาหนทางที่จะมีชีวิตรอดต่อไป ท่ามกลางภัยพิบัติที่ระดมเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าโลกนี้จะแตกสลายไปแล้ว ผู้คนแก่งแย่ง ช่วงชิง เอาเปรียบผู้คนที่อ่อนแอกว่า เพียงเพื่อแค่ให้ตนรอดชีวิตไปได้เท่านั้น

            ท่ามกลางผู้คนที่กำลังหนีตายกันอยู่นั้น กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อายุราวๆ 13 ปี สูงราวๆ 160 เซนติเมตร ผมหยักศกแค่ช่วงปลายผมเพียงเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน กลับมีผมเส้นหนึ่งที่เป็นสีขาวขัดกับเส้นอื่นๆอยู่เส้นหนึ่งอยู่ที่กลางศีรษะ ที่สำคัญมันตั้งและชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าดูคล้ายกับเสาอากาศ รูปร่างผอมบาง แต่ดูไม่อ่อนแอ นัยน์ตาสีแดงฉานที่แฝงความมุ่งมั่นจากภายใน เขาสวมเสื้อยืดสีขาวที่ใส่สบาย คลุมด้วยเสื้อแขนกุดยาวลากจนถึงเข่าสีดำสนิท กางเกงที่เขาใส่นั้นเป็นกางเกงสแล็คสีดำที่ไม่รัดขามากจนเกินเหมือนกางเกงขาเดฟ รองเท้าหนังสีดำดูมีราคา พร้อมกับพันผ้าพันคอสีดำผืนหนึ่ง เขาแบกเป้สะพายข้างอยู่ใบหนึ่ง ภายในมีของไม่มากนัก มีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่หนึ่งผืน น้ำดื่มหนึ่งขวด กับขนมปังครัวซอง อยู่หนึ่งชิ้นเท่านั้น  ชื่อของเขาคือ “แลนด์ อีเกล”

            แลนด์เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่บังเอิญเดินทางผ่านมาแถวๆนี้เฉยๆ เขาเดินทางเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆตามสไตล์ของเขา เขารักธรรมชาติมากๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สายลม พัดอ่อนๆพัดพาเส้นผมสีน้ำตาล ปลิวว่อนไปตามทางของมัน เขาสามารถสูดอากาศอย่างสดชื่นเต็มปอดทั้งสองข้าง

 เขายังคงเดินทางต่อไป จนเหลือบไปเห็นเมืองหนึ่งจากบนเนินเขา เมืองเล็กๆนั่นที่ร้อนระอุไปด้วยไฟ แผดเผาทำลายบ้านเมืองจนพังทลายในอยู่ทะเลเพลิงที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุขนาดใหญ่ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า อุกกาบาตตกลงมาสร้างความเสียหายมหาศาล ทำให้ผู้คนต่างพากันล้มตายกันไป พวกที่รอดก็หนีตายออกนอกเมืองกันอย่างเร่งด่วน แลนด์หยุดยืนดูภาพที่เห็นตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง

            “เห้อ..อย่างนี้ทุกทีเลยสินะ ที่นี้ก็ด้วยอย่างนั้นเหรอ??”   เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจกับความหน่ายกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่

            “ที่นี้คงจะไม่ใช่จริงๆสินะ อย่างนั้นไปต่อข้างหน้าดีกว่า เราคงช่วยอะไรหมู่บ้านนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”  แลนด์ส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ และกำลังจะเดินเบี่ยงออกจากหมู่บ้านเล็กๆนั่นไป

          กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 

            ทันใดนั้น…เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นสนั่น แลนด์รีบหันไปทางต้นเสียงทันที แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็น เด็กสาวคาดว่าวัยไม่ถึง10 ขวบที่ติดอยู่ในซากปรักหักพังและห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนระอุจนเด็กน้อยจนไม่ไหวและร้องไห้เสียงสั่นด้วยความกลัว

            “แย่แล้ว!!”   แลนด์รีบกระโจนจากเนินเข้าที่สูงเหนือหมู่บ้านเกือบสิบเมตร และไถลไปตามทางลาดลงไปเรื่อยๆ โดยภายในใจก็ได้ภาวนาให้เด็กคนนั้นมีชีวิตรอด

            เมื่อลงมาถึงหมู่บ้าน แลนด์รีบกวาดสายตามองรอบๆหมู่บ้าน ควานหาบริเวณที่เด็กคนนั้นอยู่ เพราะถ้ามองจากต่างมุม จะให้วิสัยทัศน์ที่เห็นก็แตกต่างกันอยู่ เขารีบกวาดสายตาไปทั่วจนเจอซากของบ้านและตึกที่หักพังลงมาปิดทางเข้าออก ดูเหมือนสถานที่ที่เห็นเด็กสาวคนนั้นอยู่ จึงรีบวิ่งตรงไปทันที

            “รอก่อนนะเดี๋ยวพี่ช่วยเองนะ ไม่ต้องร้องนะ พี่มาช่วยแล้ว”  แลนด์มาถึงพร้อมกับใช้สองมือเคลื่อนสิ่งกีดขวางแต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ มันไม่ยอมขยับเลยซักมิลลิเมตร มันยิ่งทำให้เขาวิตก ตอนนี้เขาไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถช่วยเด็กคนนี้ได้หรือไม่? ในขณะที่เด็กก็ร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่ตลอดเวลา สร้างความกดดันให้เขามากยิ่งขึ้นไปอีก

            อยู่ๆอุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้น แลนด์ปาดเหงื่อไคลที่ไหลย้อยลงมา พร้อมกับแสดงอาการเหนื่อยหอบเน่าจะเป็นอาการเริ่มต้นของคนที่ขาดน้ำ เขาหลุดขึ้นในซากปรักหักพังได้แล้วก็พบกับเด็กสาวผมสีแดงยาวปะบ่ากำลังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ยังไม่ทันไรเปลวไฟได้ล้อมรอบเขาและเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำสิ่งที่แลนด์เห็นนั้น มันทำให้เขาแทบเข่าอ่อนไม่มีเรี่ยวแรงเลย เพราะสิ่งนั้นคือ ลูกอุกกาบาตที่พุ่งตรงมาตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ เขาหัวเราะในใจเบาๆสำเนียกถึงความไร้พลังของตัวเองจากภายใน

 “เป็นอะไรไปเหรอคะ? พี่ชาย”  เด็กสาวถามด้วยใบหน้าบริสุทธิ์ที่ยังเปลื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

            “ไม่เป็นอะไรหรอกหนู สบายมากพี่สัญญาว่าจะช่วยให้ได้เลย ไม่ต้องกลัวนะ”  แลนด์ตบไหล่เด็กสาวเบาๆเพื่อปลอบใจ จากนั้นจึงปีนขึ้นไปขึ้นบนซากปรักหักพังพวกนั้น

            “ฉันจะปกป้องเธอให้ได้!”   แลนด์ตะโกนลั่น

            ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม   อุกกาบาตตกลงมาตรงแลนด์พอดีจนระเบิดออกอย่างรุนแรง

 

            เวลาผ่านไปราวๆ 10 นาที

            อะ….อะ…โอยยยย

                เสียงร้องโอดโอยจากเด็กสาวที่เพิ่งได้สติคืนกลับมา ในอ้อมอกของแลนด์ที่ประคองร่างเด็กสาวไว้ และยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

                “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”  แลนด์ถามพร้อมกับวางร่างเด็กสาวลง ใช้ฝ่ามือปัดเสื้อผ้าเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนมอมแมม ผมเผ้าก็พันกันระโยงรยางค์ เขาจึงหยิบหวีจากในกระเป๋ากางเกงและหวีตามแนวเส้นผมสีแดงสด จนมันเรียบตรงกลายเป็นเส้นผมสวยงาม และพลิ้วไหวไปตามลม

                “คะ…ค่ะ”   เด็กสาวยิ้มกล่าวขอบคุณแลนด์ที่ได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้

                “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ เอา..นี้!!”  แลนด์พลางลูบศีรษะเด็กสาวเบาๆ และหยิบครัวซองในกระเป๋าและยืนให้เด็กคนนั้น พร้อมๆกับ ใช้ผ้าเช็ดหน้าน้ำตาของเด็กที่สะอื้นอยู่เล็กน้อย

                “หนูชื่ออะไรเหรอ? ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียว?”  แลนด์เปิดด้วยคำถามที่เขาสงสัย

                “ฮือ…หนู…”  คำถามของแลนด์มันดันไปกระตุกความรู้สึกของเด็กสาวเสียอย่างนั้น   จนเขาทำอะไรไม่ถูก ได้ปลอบใจไปพลางๆ

                “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่พาไปหาพ่อแม่ของหนูเอง”  แต่มันกับได้ผลตรงกันข้ามเด็กสาวยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมอย่างหาสาเหตุไม่ได้

                “หนู…ไม่มีพ่อแม่หรอก หนูอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว ฮือออ..”  คำตอบจากเด็กสาวทำให้แลนด์สะอึกไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับยืนมือให้เด็กสาว

                “หนูชื่ออะไรเหรอ…ถ้าไม่รังเกียจมากับพี่ได้นะ ยังไงก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้วทั้งคู่นินา มาสิ”  สิ้นเสียง เด็กสาวกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ เธอจับมือแลนด์ไว้และกระโจนขึ้นกอดเขาไว้

                “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ  หนูชื่อริน” เธอกอดแลนด์ไว้แน่น ด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก ส่วนแลนด์ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะยกร่างที่ผอมบางลงสู่พื้นและพูดว่า

                “พี่ชื่อแลนด์นะ ต่อจากนี้ไปเราเป็นพี่น้องกันแล้วนะ ริน เธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้วนะ เพราะเธอมีพี่ชายอยู่ตรงนี้นะ เราจะไปตามหาโลกอันสงบสุขอยู่กันเถอะ”  เขาพูดโดยที่เผยรอยยิ้มที่งดงาม

                รินอึ้งกับคำพูดของแลนด์ไปซักครู่ จนเธอปะติดปะต่อคำพูดของแลนด์ได้ทัน และยิ้มรับทันที จากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางออกจากหมู่บ้านเล็กๆนั่นทันที

                ในระหว่างทางที่ทั้งคู่พี่น้อง หยุดนั่งพักริมแม่น้ำ นั่งกินบรรยากาศ…ที่ไม่น่ารื่นรมย์อะไรนัก ทั้งคู่ได้พักดื่มน้ำ นั่งบนโขดหิน และใช้กระติกน้ำเล็กๆของแลนด์ในการตักน้ำมาดื่ม

                “นี้คะ พี่แลนด์” รินเดินขึ้นมานั่งที่โขดหินพร้อมกับยื่นกระติกน้ำที่มีน้ำเต็มให้ เขาก็รับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนที่รินจะเปิดประเด็นคำถามที่ว่า  “พี่นี้เรากำลังจะไปที่ไหนเหรอคะ?”

                แลนด์นั่งเพ่ง จ้อง รินอยู่ซักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถอดเสื้อคลุมออก…และเขาหันมามองรินอีกครั้ง.และเขาก็ถอดเสื้อยืดด้านในออกและนำไปสวมให้กับริน พร้อมบอกไว้ว่า

                “เมืองที่เรากำลังจะไปถึงนี้ อาจจะเป็นเมืองที่ไม่สงบสุขอย่างที่เราหวังไว้ก็เป็นไปได้นะ เพราะมันก็มีความเสี่ยงที่ว่าเมืองทุกเมือง จะโดนรุกรานจากโลกภายนอก อย่างน้อยๆ เธอสวมเสื้อพี่ไว้ พี่ก็จะได้รู้ตำแหน่งของรินเมื่อเกิดอะไรขึ้นได้จากกลิ่นยังไงล่ะ” แลนด์อธิบาย

                กลิ่น…!?  คำคำนี้ที่เป็นคำถามเวียนวนอยู่ในหัวของรินว่า กลิ่น? อะไรยังไง? แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เธอพยักหน้ารับรู้ จากนั้นแลนด์ก็ลุกขึ้นใส่เสื้อคลุมเรียบร้อยเก็บสัมภาระเรียบร้อยและเดินจูงมือริน เดินทางต่อไป

                แลนด์และรินที่กำลังเดินทางอยู่และใกล้จะถึงเมืองเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้าแล้ว มองจากไกลๆเห็นเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่อุดมไปได้ต้นไม้นานาพรรณ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ดูแล้วเป็นเมืองที่น่าจะสงบสุขอย่างแท้จริง แลนด์เห็นป้ายของทางของเมืองนี้ มันมีชื่อว่า อีแลนเดีย จากนั้นเขาก็เดินตรงไปในเมืองทันที

                แต่..ไม่ทันจะเข้าเมือง ก็ดันมีเรื่องเกิดขึ้นเสียก่อน ดูเหมือนว่าจะมีกองโจรบุกเข้ามาปล้นหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างพากันหนีออกจากบ้าน บ้างก็ปิดประตูแน่นหนา แลนด์เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจเพราะไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ จึงรีบพารินหลบอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน ทันทีที่พิงต้นไม้อยู่นั้น ก็เกิดช่องว่างขึ้นทำให้ทั้งคู่หงายหน้าเข้าไปในนั้น

                “มะ..มะกี้มันเกิดอะไรขึ้นคะ!!”  รินร้องลั่นด้วยความตกใจ แลนด์ก็ส่ายหน้าตอบ พร้อมกับกวาดสายตามองรอบข้างแล้วสันนิษฐานได้ว่า ตอนนี้พวกเขาได้กลิ้งเข้ามาอยู่ในต้นไม้ขนาดใหญ่นั่นแล้วแน่ๆ แต่ทว่า..จากที่เขาสังเกตโดยรอบแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะ รูปร่างรูปทรงนั้นค่อนข้างแตกต่างจากลักษณะภายนอกเป็นอย่างมาก ภายในนี้มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยม ภายในนั้นมีการตกแต่งในลักษณะคล้ายกับโบสถ์คริสต์ ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา เป็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดแบบซิสเตอร์สีดำสนิท เส้นผมสีขาวยาวปะบ่าหยิกเป็นคลื่นเล็กน้อย เส้นผมส่วนที่หยิกนั้นจะเป็นสีเทาไล่ไปจนปลายผมเป็นสีดำสนิท  สูงพอๆกับแลนด์ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มสว่างสดใสเหมือนแซฟไฟร์ เธอกำลังมองมาที่แลนด์อยู่..

                “ซิสเตอร์!?” แลนด์นึกประหลาดใจเล็กน้อย มีคำถามผุดขึ้นมามากมายในหัวของเขา เช่น สถานที่เขาอยู่นั้นคืออะไร คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร? ในระวังที่อ้ำๆอึ้งๆอยู่ ซิสเตอร์ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนทันที

                “พวกเธอเข้ามาในต้นไม้อย่างที่พวกเธอ เข้าใจกันไว้นั้นถูกต้องแล้ว…เพราะภายในนั้นเป็นมิติหลอก สร้างขึ้นเพื่อปกป้องสถานที่แห่งนี้เอาไว้จากบุคคลภายนอก ใช่!จากที่เห็นสภาพภายนอกนั้นเหมือนต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง”

                สองพี่น้องอึ้งทึ้งตกตะลึงกับคำพูดของซิสเตอร์สาวเป็นอย่างมาก  รินไม่เข้าใจเนื้อหาก็เดินเล่นตามโบสถ์ดูนู้นนี้ไปเรื่อยๆตามประสาเด็ก ส่วนแลนด์เกิดข้อข้องใจเล็กน้อยจึงถามกลับไปว่า

                “แล้วที่นี้โดนไม่ทำลายเหมือนกับหมู่บ้านอื่นอย่างนั้นเหรอ”  ซิสเตอร์สาวส่ายหน้า แล้วจึงเริ่มพูดต่อ  “เธอคงรู้แล้วสินะเรื่องปรากฏการณ์โลกซ้อนทับ?”

                ปรากฏการณ์โลกซ้อนทับ? แลนด์รู้สึกตะลึงกับคำศัพท์ใหม่นี้อยู่ ซิสเตอร์สาวเดินอย่างช้าๆมาบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นทางออกจากโบสถ์และหันมาพูดกับแลนด์

      “ที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันจะต้องปกป้องไว้ด้วยชีวิต”  จากนั้นเธอพยายามจะเดินออกไป แต่แลนด์ก็รีบตามไปคว้าแขนเพื่อหยุดเธอไว้อย่างรวดเร็ว           

                “เธอจะไปหยุดพวกโจรนั่นไม่ได้หรอกนะ!!”  แลนด์รีบห้ามทันที แต่เธอก็ส่ายหน้าอีกครั้ง และตอบกลับไปว่า

                “นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ โจรพวกนั้นทำอะไรที่นี้ไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นเจ้าพวกนั้นต้องทำลายที่นี้จนไม่เหลือแน่ๆ” จากนั้นเธอเงยขึ้นท้องฟ้า จนแลนด์ก็มองสายตาของเธอไป ก็พบกับ….

 

 

 The Breaking World

 

 

 

 

02

 

   “ไม่….ไม่จริงนา”

   เสียงที่สั่นเทา ร่างกายแข็งจนจะขยับไม่ได้ มือที่จับแขนซิสเตอร์สาวอยู่ก็คลายลง เมื่อแลนด์ได้เห็น อุกกาบาตขนาดมหึมากำลังหล่นจากฟากฟ้า มันดิ่งลงมายังอีแลนเดียตรงกลางหมู่บ้านพอดี

            “ถ้าปล่อยไว้ ทั้งหมู่บ้านได้แหลกละเอียดเป็นขุยผงแน่ๆเลย”  เธอทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะกระโจนออกไป ปล่อยให้แลนด์ยืนเข่าอ่อนอยู่ด้วยความกลัว แต่เมื่อเห็นความกล้าที่ยิ่งใหญ่ของซิสเตอร์สาวผู้นี้ ทำให้ร่างกายของแลนด์ตามออกไปอัตโนมัติ

            “แบบนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าหมู่บ้านนั้นอีกนะ!”  แลนด์ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นภาพของ อุกกาบาต เล็กใหญ่จำนวนมหาศาลทั่วฟ้าราวกับห่าฝน มันช่างเหมือนฝันร้ายเลยก็ว่าได้ ไม่กี่วินาทีหมู่บ้านก็ถูกทำลายนพินาศสิ้น ห้อมล้อมไปด้วยทะเลเพลิงอย่างรวดเร็ว กองโจรนับร้อยก็ต่างพากันล้มตาย ส่วนพวกที่รอดก็หนีเอาชีวิตรอด ที่แย่ไปกว่านั้นในบรรดาอุกกาบาตที่ร่วงหล่นลงราวห่าฝนนั้น มีอุกกาบาตขนาดใหญ่มากจนเห็นได้อย่างชัดเจนมันกำลังพุ่งดิ่งลงมาที่ต้นไม้กลางเมืองอย่างช้าๆ ผิดกับลูกอื่นๆที่ทิ้งดิ่งกระจัดกระจายไม่มีตำแหน่งตกที่แน่นอน

             ชิลด์ แบเรียเออร์! 

 เสียงจากซิสเตอร์สาวน้อย เธอยืนมือออกไปทั้งสองข้าง หลับตาลง ปากของเธอขยับพึมพัม ก่อนที่จะเกิดวงแหวนเวทย์ขึ้นที่ฝ่ามือทั้งสองข้างเล็กๆ และเกิดแสงสีเหลืองทองสว่างห้อมล้อมต้นไม้แห่งนี้ แสงสว่างที่ปกคลุมต้นไม้กลางเมืองอยู่นั้น ช่วยต้านแรงกระแทกจากอุกกาบาตได้ จึงไม่เกิดความเสียหายใดๆกับต้นไม้กลางเมือง

            “วะ..เวทมนตร์…เธอใช้เวทมนตร์ได้อย่างนั้นเหรอ?” แลนด์ตกใจกับเหตุการณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไล่ลำดับไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น ปรากฏการณ์โลกซ้อนทับเอย อุกกาบาตเอย กองโจรเอย หรือจะเป็นเวทมนตร์ ในระหว่างที่เขายังคงยืนงงงวยอยู่ เขาเหลือบไปเห็นซิสเตอร์สาวแสดงอาการเหนื่อยหอบออกมา เธอหายใจถี่ๆ มือไม้เริ่มสั่น แข้งขาเริ่มไม่ค่อยจะมีแรงพยุงตัวเอง จวนจะล้มลงอยู่แล้ว

            ดูเหมือนว่าการร่ายเวทมนตร์ใหญ่ขนาดนี้เพื่อปกป้องต้นไม้ขนาดใหญ่นี้ เธอคงใช้พลังมากมายอย่างแน่นอน ดูท่าซิสเตอร์สาวใกล้หมดแรงลงเต็มที เธอชันเข่าลงและหันไปพูดกับแลนด์ด้วยเสียงสั่นๆ

            “ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของฉันคงป้องกันการระเบิดและอุกกาบาตได้นะ อีกไม่เกินสามสิบวินาทีมันจะหายไปพร้อมๆกับเรี่ยวแรงของฉันอย่างแน่นอน ลำพังฉันสามารถหยุดลูกเล็กๆพวกนั้นได้แต่ก็หนักเอาการแล้วล่ะ พลังของฉันคงจะหยุดลูกใหญ่ที่กำลังจะตกลงมาถึงในอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีนี้แน่ๆ ฉันรู้นะว่าเธอ…เธอทำได้แน่ ฉันเชื่ออย่างนั้นนะแลนด์…”   เธอพูดฝากฝั่ง

          กะ..กะ…แกร๊ก…แกร๊กก

            เสียงของเกราะแสง บางที่เริ่มแตกร้าว แลนด์เหลือบไปดูจนพบแสงที่ปกป้องพวกเขาอยู่นั้นมีลักษณะคล้ายกระจกอยู่ แต่ตอนนี้มันเริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การป้องกันของซิสเตอร์สาวทำให้ปัดป้องการถูกทำลายจากอุกกาบาตไปได้มาก แต่ทว่าปัญหาหนักอย่างเดียวก็คือ ไอ้ลูกที่ใหญ่ที่สุด มันกำลังตกลงมาจะถูกกำแพงเวทย์ที่อ่อนแรงแล้ว

          “ถ้าเป็นอย่างนี้ รับไว้ไม่ได้แน่นอน” แลนด์ครุ่นคิดอยู่ซักครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจยืดอกตั้งมั่นแน่วแน่พร้อมที่จะเผชิญกับวิกฤตการณ์ตรงหน้า อยู่ๆทันใดนั้นกระแสลมได้เปลี่ยนไป แถมพัดรุนแรงขึ้น ราวกับว่าท้าทายให้เผชิญกับก้อนอุกกาบาตนั่น สถานการณ์แย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเจ้าอุกกาบาต มันดูดอากาศเข้าไปทำให้มันลุกไหม้ยิ่งกว่าเดิม และมีขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่ายิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีกด้วยผลจากกระแสลม

            มิหนำซ้ำลมกรรโชกพัดอย่างบ้าคลั่ง พัดพาร่างของเด็กน้อยที่ชะเง้อออกไปดูพี่ชาย ลอยละลิ่วขึ้นไปหาอุกกาบาตนั่นเลย

            “ริน!! ไม่นะ”  แลนด์ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก หันมองดูรอบข้าง เห็นซิสเตอร์ที่ล้มคุกเข่าลง แต่ทำไมไม่โดนพัดไปด้วย หรือแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ได้โดนพัดไปด้วยแม้แต่อย่างใด แลนด์คิดหนักและยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี เรื่องโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เอย หรือช่วยน้องสาวที่กำลังตกที่นั่งอันตราย เขาคิดวิตกเป็นอย่างมาก

          จนอยู่ๆก็มีเสียงดัง ตุบ!! เกิดขึ้น เขาหันไปตามต้นเสียงทันที ก็พบซิสเตอร์ล้มลงนอนสลบกับพื้นไป เขาตกใจมาก หันกลับมามองกำแพงแสงค่อยๆเริ่มจางลงไปเรื่อยๆ เวทมนตร์ของเธอคงใกล้จะคลายเต็มทนแล้ว

         ความกดดันทุกอย่างตกมาอยู่ที่แลนด์ ในหัวของคิดไม่ออกว่าจะหาทางออกอย่างไรดี อยู่ๆโลกก็มืดลงแลนด์รู้สึกตัวว่าตนกำลังอยู่ในมิติเวลาหรืออะไรซักอย่าง เพราะทุกสิ่งมันหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า ใบไม้ สายลม ผู้คน ต่างพากันหยุดนิ่ง แลนด์ตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

            “นาย..จะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปอย่างนั้นเหรอ” เสียงประหลาดดังขึ้นในหัวของแลนด์เป็นเสียงของผู้หญิงแต่ไม่ใช่ของทั้งรินและซิสเตอร์ที่สลบอยู่อย่างแน่นอน

            “ใครกัน!?” แลนด์ถามในห้วงความคิดของเขา แลนด์รู้สึกมึนหัวและเริ่มปวดหัวจนเอามือกุมหัวและคุกเข่าลง

            “นายอยากช่วยทั้งน้องสาว และ โบสถ์แห่งนี้ไม่ใช่อย่างเหรอ”  คำถามจากเสียงนิรนามดังขึ้นให้หัวของแลนด์  แลนด์ส่ายหัว และตอบกลับไปทันที   “ฉันจะไปทำอะไรอย่างนั้นได้? ฉันเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเองนะ”

          “นายจำตอนที่นายช่วยรินไม่ได้เหรอ? นายมีพลังที่จะสามารถช่วยได้ทั้งสองอย่างนะ มั่นใจในตัวเอง แล้วนายจะดึงพลังของนายออกมาได้!” เสียงที่ไม่ทราบแหล่งที่มาดังขึ้นอีกครั้ง

         

            “ช่วยทั้งสองคนได้อย่างนั้นเหรอ? มั่นใจ? พลัง?” คำพูดเหล่านี้มันเวียนวนอยู่ในหัวของแลนด์ จนอยู่ดีๆเขาก็นิ่งเงียบหายไปและลุกขึ้นยืนอย่างสมภาคภูมิ เขากำมือขวาแน่น และเริ่มสังเกตได้ว่าเวลากับมาเดินเป็นปกติแล้ว ลูกอุกกาบาตขนาดนั้นค่อยๆร่วงลงอย่างช้าๆ มันเคลื่อนที่เข้ามาเรื่อยๆจนทำลายกำแพงแสงที่อ่อนแอลงจากแตกสลายหายไปในพริบตา จนจะชนกับร่างของรินที่โดนพัดลอยสวนทางกันแล้ว

            กรี๊ดดดดดดดดด พี่แลนด์

            “ฉันจะช่วยทั้งสองอย่างเอง!!” แลนด์กระโดดขึ้นสูงข้ามผ่านรินไปอยู่ตรงหน้าของเธอ กางแขนทั้งสองข้าง แววตาสีแดงกร่ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น จิตใจที่อยากจะช่วยเหลืออย่างแท้จริง จนเกิดเป็นออร่าสีเหลืองทองออกมาจากร่างของเขา จากนั้นมือขวาของเขาเหมือนมีพลังงานบางอย่างมาสะสมรวมอยู่ที่มือของเขาจนเกิดเป็นแสงรอบๆมือของเขา

            “ความรู้สึกนี้? เหมือนกับตอนนั้นเลย…ดีล่ะ”  แลนด์รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่มือขวาของเขา ออร่าที่แผ่กระจายไหลรวมมาอยู่ที่มือขวา จากนั้นเข้าจึงกระโจนเข้าไปใช้มือขวารับอุกกาบาตขนาดใหญ่นั่นไว้ น่าแปลกใจที่เปลวไฟที่ห้อมล้อมอุกกาบาตกำลังมลายหายไปจนเหลือเพียงก้อนหินขนาดใหญ่เท่านั้น

          แลนด์โดนดันถอยกลับหลังทีละนิดทีละนิด ถึงขาทั้งสองข้างเหยียบพื้นสนิท เขาหันไปมองรอบข้าง เห็นว่า รินตกลงพื้นได้อย่างปลอดภัยด้วยความช่วยเหลือจากซิสเตอร์สาวที่สามารถคว้าร่างเล็กๆได้ทัน

            แลนด์รู้สึกโล่งใจ แต่ทว่าซิสเตอร์ได้ตะโกนลั่นว่า “มันยังไม่จบแค่นั้นนะ!!” มันทำให้แลนด์สะดุ้งขึ้นมา ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเขามีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีกอย่าง ก็คือการหยุดอุกกาบาตลูกนี้ให้ได้ เขาหันกลับเพ่งสมาธิรวมรวบพลัง ในขณะที่มือขวาจะหยุดความรุนแรงของอุกกาบาตรไว้แทบไม่ไหว เปลวไฟที่ร้อนระอุกำลังจะลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

            “จะบอกอะไรให้นะ..ฉันถนัดซ้ายเฟ้ย!” จากนั้นแลนด์กำหมัดซ้ายแน่น และชกเข้าไปที่อุกกาบาตด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เกิดเป็นแรงกระแทกที่รุนแรงทำให้ก้อนหินจากนอกโลกขึ้นรอยร้าว เปลวไฟที่ร้อนระอุกลับถูกแสงสว่างฉาบไปทั่วจนดับมอดลง ในที่สุดอุกกาบาตก็แตกสลายไม่ต่างกันเศษหินธรรมดา

            ขอบคุณนะคะ คำขอบคุณจากซิสเตอร์สาวที่กำลังยิ้มให้แลนด์อย่างอ่อนโยน ดวงตาสีแซฟไฟร์นั้นช่างเปล่งประกาย รอยยิ้มอย่างจริงจัง ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณ จนไม่อาจจะอธิบายได้นั้น มันทำให้แลนด์ตะลึงและจ้องมองตาม และเขาก็ยิ้มตอบ รินสัมผัสได้ถึงออร่าอะไรบางอย่างแปลกๆจึงรับกระโดดเกาะหลังแลนด์กล่าวขอบคุณเขา เขาพยักหน้าตอบ ซิสเตอร์สาวเดินเข้าไปในโบสถ์พร้อมกับพายมือเหมือนเชิญชวนให้เข้าไป พวกแลนด์ก็เดินเข้าตามไป

            ทั้งสามคนเดินเข้ามาในโบสถ์แล้วหาที่นั่งกันทั้งสามคน ซิสเตอร์สาวเห็นหน้าตาที่เหมือนมีคำถามข้องใจ เธอเห็นและแอบหัวเราะคิกคัก ก่อนที่จะเริ่มพูดว่า

            “ฉันชื่อ อีฟ ดิ เอมเพรส เรียกฉันว่าอีฟก็ได้นะ”  ซิสเตอร์สาวเริ่มจากการแนะนำตัวเอง แลนด์ก็พยักหน้าตอบและแนะนำตัวเองกับน้องสาวให้อีฟได้รู้จัก จากนั้นอีฟกเปิดประเด็นที่ว่า

            “ปรากฏการณ์โลกซ้อนทับ!” คำพูดนี้กำลังทั้งสองคนที่นั่งฟังอยู่ตะลึง เธอเห็นอย่างนั้นจึงดีดนิ้ว เกิดมิติปิดกั้นรอบโบสถ์ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยท้องฟ้าสีคราม ดวงดวงเล็กใหญ่ต่างพากันส่องปรายระยิบระยับ ทั้งสองมองลงใต้ขาตัวเองพบกับ ผืนแผ่นที่แยกกันอยู่ 8 แห่ง โดยมีแก่นตรงกลาง แต่ทว่าผืนแผ่นดินเหล่านั้นกำลังเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ เหมือนดูดวงดาวสามมิติที่ท้องฟ้าจำลอง

            “ทั้งหมดนี้คือแพนเจียคะ นี้คืออีแลนเดียที่เราอยู่กัน มันเป็นดินแดนหนึ่งที่อยู่ในแพนเจีย ดินแดนทั้งแปดเหล่านี้แยกกันขาดอย่างสมบรูณ์แบบจากเรียกได้ว่ามี 8 โลกก็เป็นไปได้ ซึ่งถ้าหากโลกใดโลกหนึ่งมาชนกันอีกโลกก็จะสลายหายไป แน่นอนถ้ามันชนแก่นกลางทั้งหมด โลกจะล่มสลายทั้งหมดอย่างแน่นอน”

            สองพี่น้องนั่งอึ้งเงียบไม่พูดจาอะไร แต่อีฟก็พูดต่อไป

          “ความจริงแล้วปรากฏการณ์โลกซ้อนทับไม่ใช่เพียงเกิดอุกกาบาตมากมายอย่างนี้เท่านั้นหรอกนะคะ ไม่ว่าจะเป็นระเบิดหรือภัยพิบัติหรืออื่นๆ ซึ่งแต่ละโลกก็จะเจออะไรที่แตกต่างกันไป ซึ่งสาเหตุไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆเป็นเพราะแก่นแห่งโลกที่อยู่ตรงกลางนั้นสูญเสียพลังและความสมดุล ตรงนี้ไม่รู้เพราะอะไรแต่ทว่าจากเหตุการณ์นั่น จึงทำให้เกิดสภาวะเช่นนี้แหละคะ ”  จากนั้นอีฟจ้องมาที่แลนด์

           “ฉันเหรอ?” แลนด์เอ่ยขึ้นมา อีฟยิ้มตอบ และพูดต่อไป

            “ใช่แล้ว…เขาสัมผัสพลังบางอย่างได้จากนาย และได้ร่ายก้อนหินขนาดใหญ่นั่นขึ้นมาเอง เพื่อที่จะทดสอบนายยังไงล่ะ”

           “แต่วินาทีนั้นอยู่ๆฉันก็ได้ยินของใครของบางคนด้วย..”  แลนด์พูดเริ่ม

          “นายได้ยิน? อย่างนี้…นี้เอง”  อีฟตกใจเล็กน้อย แลนด์พยักหน้าตอบ อีฟจากพูดกลับไปว่า

            “อย่างที่ฉันคิดจริงๆด้วย นายคือผู้กอบกู้คนนั้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นนายไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงเขาอย่างแน่นอน”  อีฟตอบกลับทันที

          “เขา?”  แลนด์สงสัย  และอีฟก็รีบตอบกลับทันที 

          “เขาที่พูดถึงกันนี้ เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ด้านหลังของโบสถ์แห่งนี้ เป็นจิตวิญญาณแห่งแสงที่เรียกว่า สปิริต ออฟ ไลท์”

          แลนด์ยิ้ม….และตอบกลับไปทันทีว่า  “ฉันต้องการพบเขา!”

 

 

The Breaking World II

 

 

 

 

 

 

03

 

          จากคำพูดของเด็กหนุ่ม ทำให้อีฟประทับใจจนเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เธอจะหันและเดินไปที่หน้าประตูหลัง หันมาพูดกับเขาว่า

            “ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาสิ แลนด์ เขาคงรอเธอนานแล้วล่ะ” เธอหันมาเชิญชวนแลนด์ให้ตามเข้าไป เขารีบตามรับคำเชิญและตามเข้าไปทันที

            วิ้งงงงงง!!!

            วินาทีที่เข้าเดินเข้าไปในประตูนั้น แสงสว่างจากเศษอุกกาบาตที่เขาเก็บไว้ได้ก็เปล่งแสงสว่างขึ้น เขาแบมือออก ก้อนหินนั่นลอยขึ้นจากมือเขา เปล่งแสงสว่างวาบไปทั่วห้อง จากนั้นก็เกิดวงแหวนเวทย์ขึ้นที่หลังมือของแลนด์ทั้งสองข้าง

            “นี้มันอะไรกัน!”  แลนด์ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่รินสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างอย่างมากจึงยืนจ้องมองไม่กระพริบตาเลย จากนั้นก้อนหินที่ลอยอยู่มันแยกออกเป็นหินกลมมน ขนาดพอๆกับลูกปิงปอง สองลูกไร้สี มันค่อยๆลอยลงมาอย่างช้าๆลงอยู่ที่วงแหวนเวทย์ที่ฝ่ามือของเขา

            “อึ้ก! นี้มันอะไรกัน”  ลูกแก้วใสมันกำลังลงทะลุวงแหวนเวทย์เข้าไปในฝ่ามือของเขา แลนด์รู้สึกเจ็บปวดบริเวณฝ่ามือทั้งสองเป็นอย่างมาก จนเขาร้องเสียงลั่นด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งลูกแก้วเข้าไปทั้งหมด เขาล้มลง และมองที่แขนของตนเอง พบว่า มีสัญลักษณ์คล้ายรูปปีกนก อยู่ตรงกลางหลังมือ

            อีฟยิ้ม และพูดว่า  “เป็นนายจริงๆสินะ ที่นี้นายก็แค่ไปเอาพลังที่แท้จริงของนายกลับมา ในห้องนั้น”   จากนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าทั้งสามคนอยู่ในห้วงเวลาอะไรซักอย่าง มีอีฟนำอยู่ข้างหน้า กวักมือเรียกสองพี่น้องให้ตามเธอไป

            เมื่อสองพี่น้องตามอีฟจนถึง ปลายสุดของแสงสว่างก็พบกับ ห้องโถงขนาดใหญ่กว้างมาก แถบจะหามุมห้องไม่ได้เลย ตรงหน้าพวกเขามีแท่นศิลาอยู่ อีฟผายมือให้แลนด์เดินเข้าไป เขาดูแผ่นศิลานั่น ทันใดนั้นที่หลังมือของเขาก็เกิดแสงสว่างขึ้น คราวนี้แสงกระจายออกเป็นรูปร่างเหมือนปีกสีเหลืองสวยงาม จากนั้นศิลาบนแท่นก็ส่องแสงด้วยเช่นกัน

            เพล้งง!!

            ศิลาแตกออก เกิดเป็นกลุ่มก้อนพลังออกมา มันลอยขึ้นเหนือหัวแลนด์และส่องแสงสีเหลืองทองอร่ามเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้อง จากมีปีกสีเหลืองทองออกจากก้อนพลังนั่น

            “ปีกนั่น!”  แลนด์เกิดข้อสงสัย

            จากนั้นก้อนพลังงานก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น สิ่งบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงมนุษย์แต่ขนาดใหญ่ว่าหลายเท่าตัว ไม่มีหน้าไม่มีอะไรเลย นอกจากแสงที่เหลืองทองอร่ามไปทั้งตัว

            “นายเป็นผู้ที่ปลุกฉันขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ” ร่างสีทองเอ่ยคำถาม แลนด์พยักหน้าตอบ

            ได้ยินเสียงของฉันด้วยสินะ นายนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ทว่าการที่ปลดปล่อยฉันออกมาได้ใช่ว่าฉันจะยอมรับนายหรอกนะ นายต้องทำให้ฉันยอมรับก่อน

            “ยอมรับอะไรกัน เธอคือพลังของฉันอยู่แล้วนินา!”  แลนด์ตอบกลับทันที แววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน เขายืนมือออกไปข้างหน้า แต่มือของเขาโดนดีดออกด้วยพลังมหาศาล แลนด์ยิ้มและพูดว่า  “ถ้าอย่างนั้นฉันจะแสดงพลังที่แท้จริงเอง”

            ทันใดนั้น สปิริต ออฟ ไลท์ ก็เปลี่ยนรูปร่างอีกครั้งกลายลูกไฟสีเหลืองทอง และพุ่งตรงมายังแลนด์ เขายิ้ม และตั้งขายืนอย่างมั่นคง กุมมือซ้ายไว้ที่หัวใจ และกวาดขวามาทางด้านซ้ายและบิดลำตัวช่วงบนไปด้านซ้าย จากนั้นก็เกิดแสงเล็กสีเหลืองสว่างที่บริเวณมือซ้ายของเขา เขาพลิกลำตัวของเขากลับมาหย่อนแขนซ้ายโดยที่มือซ้ายคว่ำไว้ พร้อมกับมือขวาจับข้อมือซ้ายอย่างมั่นคง พลังที่รวมรวบกันเกิดเป็นแสงที่เหลืองสว่างจ้า แสงสว่างรอบมือเขานั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แสงสว่างขยายออกจากจุดกึ่งกลางที่มือของเขาเป็นปีกทั้งสองข้างสีเหลืองสว่าง

            ย๊ากกกกกกกก  

            จากนั้นยกมือซ้ายและมือขวาทั้งอย่างนั้นขึ้นและตั้งท่าพร้อมตั้งรับทันที เขาปลดปล่อยพลังจากฝ่ามือซ้ายของเขา กลายเป็นปีกแสงสีเหลืองขนาดใหญ่ติดอยู่ที่หลังของมือ ส่วนทางสปิริต ออฟ ไลท์ พุ่งดิ่งตรงมาปะทะกันกับมือซ้ายของแลนด์ทันที พลังทั้งสองนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างพากันต่อต้าน ต่างฝ่ายต่างพากันป้องกัน

            “เป็นนายจริงๆด้วยสินะ แลนด์….” แสงสีเหลืองทองเอยขึ้น

            ทันใดนั้น จากก้อนพลังของสปิริต ออฟ ไลท์ ก็เกิดแสงสว่างขึ้น และแผ่รังสีออกมาเป็นเหมือนปีกเหมือนมือของแลนด์  และจู่ๆแลนด์ก็รับพลังงานนั่นได้ทันที เขารู้สึกตัวใจเล็กน้อย ดูสิ่งที่อยู่บนฝ่ามือ เป็นวัตถุเท่าลูกปิงปอง มันลอยขึ้นและพุ่งเข้าไปในหัวใจของแลนด์ จากนั้นแลนด์ก็ล้มลง เขาใช้เข่ายันพื้นเอาไว้ ดวงตาที่ค่อยๆลืมขึ้น เผยให้เห็นดวงตาข้างซ้ายเหลืองปนเขียว(คล้ายๆสีเลม่อน+ผสมกับเขียวเล็กน้อย) กับดวงตาด้านขวาที่แดงกร่ำดังเดิม สีผมของเขาเปลี่ยนไปกลางเป็นสีเหลืองเข้มแทรกด้วยสีเขียวตามเส้นผมเล็กๆทั่วศีรษะ และเสาอากาศเส้นเดียวนั่นก็เป็นสีเขียวเข้มอย่างชัดเจนเด่นสง่าอยู่เส้นเดียว

            “นี้มันอะไรกัน”  ท่าทางของแลนด์เปลี่ยนไป เขาดูเคร่งขรึม วาวตาสีเลม่อนที่สดใส เขามองรอบข้าง จนเห็นหลังมือทั้งสองข้างของเขาก็พบว่า สัญลักษณ์รูปปีกได้หายไปแล้ว

            “เอาฉันออกไปที!”  แลนด์ได้ยินเสียงประหลาด เขามองหารอบข้างแต่ก็ไม่พบอะไร

            “เอาฉันออกไปที!!”   แลนด์ตอบกลับ “ทำยังไงเล่า!” 

            “ทำเหมือนที่เอาฉันเข้ามา! เซ่”  แลนด์ได้ยินเสียงนั่นอีกครั้ง

            จากนั้นแลนด์ก็ตั้งท่าเอามือกุมหัวใจอีกครั้ง แต่ในขั้นตอนที่ปีกได้ส่องสว่างออกมา ก็มีบางสิ่งแยกออกมา เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ยาวเพียงแค่ 7-8 นิ้วเท่านั้น รูปร่างเหมือนมนุษย์ผู้หญิงเล็กๆ มีปีกสีเหลืองสว่าง ผมสีเหลืองอ่อนออกครีมๆ ดวงตาสีเขียวอ่อนๆ ดูไปดูมาก็คล้ายกับแฟรี่

            “ทีหลังไม่ต้องท่าเว่อร์ขนาดนั้นได้นะ มันเสร่อนะแลนด์ …. แค่รวมพลังไว้ที่หัวใจก็ดึงฉันออกมาได้”

            แลนด์คืนสภาพเหมือนอย่างเก่า ผมสีกลับมาเป็นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาซ้ายกลับมาเป็นสีแดงดั่งเดิมแล้ว เขาตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะถามภูติน้อยว่าเป็นใคร

            “ฉันนี้แหละ สปิริต ออฟ ไลท์ แต่ร่างนี้เป็นร่างที่แท้จริงของฉัน จริงๆฉันชื่อ เบล นะ”

            “หะ! แล้วที่ร่างกายโอเวอร์เมื่อกี้คือ??”  แลนด์ตะลึงจนอ้าปากค้าง

            เบลพยักหน้าตอบ  “เป็นพลังของฉันเองแหละ”  จากนั้นเบลก็พูดต่อทันที

            “ตอนนี้พลังของฉันอยู่ในหัวใจของนายแล้ว การจะนำมาใช้ก็ทำอย่างที่บอกแต่ไม่เอาท่านั้นแล้วนะ(ถ้าทำไม่ออกมานะเออ) ส่วนเมื่อที่ร่างกายของนายเปลี่ยนแปลงเป็นเพราะ เกิดการรวมกันของวิญญาณ หรือประสานวิญญาณ (Soul Linked!) จะทำให้ทั้งนายทั้งฉันช่วยกันคอนโทรลร่างกาย การเคลื่อนไหว ในกรณีนี้นายก็จะสามารถใช้รูน(พลังเวทย์)ของฉันได้เช่นกัน ”

            “ขอฉันอธิบายเพิ่มนะ” อีฟพูดแทรกขึ้นมา

            “ตอนนี้ได้รับพลังของเบลจังแล้ว นายจะ Soul Linked กับเธอได้ไหมก็อยู่ที่ว่าจิตใจ ลมหายใจของพวกเธอนั้นประสานกันเป็นหนึ่งเดียวหรือไม่ ถ้าได้ นายก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแบบนั้นแหละ และนายก็จะสามารถใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของ สปิริต ออฟ ไลท์ ได้”

              แลนด์พยักหน้าตอบ

            “พลังของนายจริงๆแล้วคงไม่ได้มีแค่นี้หรอกจริงไหม ฉันเชื่ออย่างนั้น นายอาจจะได้ค้นพบโลกที่สงบสุขไปพร้อมๆกับพลังที่แข็งแกร่งของนายอย่างแน่นอน ในทางกลับกันถ้านายแข็งแกร่งนายก็จะหยุดความวุ่นวายบนโลกนี้ได้ ก็จะทำให้โลกสงบสุขได้เช่นกัน” เบลพูดเสริม

            แลนด์มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะยุติความวุ่นวายครั้งนี้ด้วยมือของเขาเองและจะตามหาสถานที่เงียบสงบ อยู่ด้วยกันกับน้องสาวของเขา

            รินยิ้มตอบเขาพยายามอ้อนขอติดตามเขาไปด้วย  เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

            ทันใดนั้นก็เกิดวงแหวนเวทย์ขึ้นกลางวงสนทนา สองพี่น้องสะดุ้งเฮือก จูงมือกันทำใจรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

            “เราจะใช้อีแลนเดียแห่งนี้เป็นที่มั่นของเรานะ เราจะเคลื่อนไปยังโลกต่างๆด้วยรูนของฉันเอง” ไม่มีปัญหา   ทุกคนพยักหน้าตอบ

            “แลนด์!”  อีฟเดินตรงมาหาที่แลนด์  แลนด์พยักหน้าตอบ จากนั้นเธอกับจับมือซ้ายของเขาขึ้นมาวางทาบตรงหน้าอกเธอ

            “เห้ย! จะทำอะไรหนะ?” แลนด์ตกใจจนเขินหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก ส่วนรินก็ตั้งใจดูอย่างจดจ่อ

            ทันใดนั้นเกิดวงแหวนเวทย์ขึ้นบนฝ่ามือของเขา ก็เกิดปีกสีเหลืองกลางวงแหวนเวทย์ จากนั้นเธอก็นำมือของทะลวงเข้าไปให้อกเธอ

            “ถึงเวลาที่ต้องคืนของที่ฉันรับฝากมาจากเบลจังแล้ว มันสิ่งที่เบลจังให้ฉันไว้เพื่อปกป้องอีแลนเดียนี้เอาไว้ แต่ทว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเนื่องจากจิตใจของฉันเอง…แลนด์ฉันของฝากจิตใจของฉัน อีแลนเดีย และแพนเจียด้วยนะ” อีฟพูดขึ้น

            แลนด์ยิ้มตอบ และพูดว่า “ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะอีฟ ฉันจะปกป้องไว้เอง”  สิ้นคำพูด เธอก็อดกลั้นน้ำตาไม่ได้ เธอขอบคุณแลนด์จากใจจริง ก่อนที่แลนด์นำมือเขาออกมา ปรากฏเป็นดาบสีเหลืองทองอร่ามรูปทรงค่อนข้างประหลาดเพราะ ช่วงด้ามดาบกับตัวดาบบิดงอคล้ายรูปสายฟ้า

            “ดาบนี้จะคืนสภาพเป็นเครื่องประดับธรรมดาเมื่อนายไม่ได้ต่อสู้ มันคือดาบที่มีไว้ปกป้องอีแลนเดีย ชื่อว่า อีแลนเดอร์”  เบลจังพูดเสริม จากนั้นอีแลนเดอร์ก็ย่อขนาดลง กลายเป็นสร้ายข้อมือที่ห้อยดาบขนาดเล็ก            

          “อีแลนเดอร์อย่างนั้นเหรอ น่าสนุกแหะ!”  แลนด์ยิ้มตอบ 

            จากนั้นทุกคนมายืนพร้อมเพรียงกันในวงแหวนเวทย์ เบลจังก็เริ่มร่ายเวทย์ก็เกิดแสงสว่างจากวงแหวนตรงพื้น มันพุ่งขึ้นเป็นลำแสงยาวทอดไปบนท้องฟ้า จากนั้นต้นไม้อีแลนเดียก็หายไป…

            ไพร์มเมซิส นั้นคือดินแดนแรกที่เราจะไปกัน

             

                                        

 

                                                                  The Breaking World III [End]

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา