ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 12.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน ตอนที่ 5 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ก๊อก... ก๊อก...

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นติดกันพร้อมกับเสียงเรียกอยู่หน้าประตูทำให้มนตร์ลดาหยีตาและผงกหัวขึ้นมามองดูรอบๆตัวเองอย่างงัวเงีย

                “ใครคะ?”

                “อัลเวส เปิดประตูหน่อย”

                มนตร์ลดาแปลกใจเพราะนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงบอกเวลาตีห้าครึ่ง และอัลเวสก็ไม่เคยมาเคาะประตูห้องอย่างนี้มาก่อน เมื่อมนตร์ลดาเปิดประตูแล้ว อัลเวสก็สอดตัวเข้ามาในห้องของพี่สาวอย่างรวดเร็วเหมือนกับกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า

                “มีอะไร? ทำไมต้องทำท่าลุกลี้ลุกลนอย่างนี้” มนตร์ลดาถามพลางถอยหลังกลับมาทรุดตัวนั่งลงที่ข้างเตียง

                “คือ... เอ่อ...” อัลเวสที่ยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะเขาจะเก็บร้านเสร็จประมาณตีห้าเศษเป็นประจำทุกวัน จากนั้นจึงจะเข้านอนในช่วงเช้าแทน หนุ่มน้อยออกอาการฮึดฮัด อ้ำอึ้งเหมือนกับจะหาจุดเริ่มต้นเรื่องไม่เจอ “คือเอาตรงๆเลยนะมิ้นต์ เมื่อคืนนี้... เธอ... เธอนอนกับลูกค้าคนนึงใช่มั้ย?”

                มนตร์ลดาเกือบหน้ามืดเมื่อได้ยืนคำถามตรงไปตรงมาของน้องชาย

                “ว่ายังไง ตอบมาเร็วๆสิ!?” อัลเวสเร่งให้ตอบคำถามแต่ในใจนั้นเชื่อว่าเป็นความจริงแล้วเพราะสีหน้าของมนตร์ลดานั้นซีดเผือด สายตาหลุกหลิกไม่มั่นคงเหมือนเดิม

                “มะ... ไม่ นายไปเอาเรื่องบ้าๆนี่มาจากไหน?” มนตร์ลดาละล่ำละลักปฏิเสธ

                “อย่ามาปฏิเสธ! เธอรู้ไหมว่าเซญอร์คนนั้นรอจนเกือบปิดร้าน เขาบอกว่าเธอจะไปแจ้งตำรวจมาลากคอเขาเข้าคุก ถ้าไม่เชื่อเข้าไปดูในห้องข้างล่างนั้นก็ได้ เขาเขียนข้อความฝากเบอร์โทรฯกลับไว้ให้เรียบร้อยเลย!”

                คำพูดของอัลเวสทำให้มนตร์ลดาถึงกับพูดไม่ออก

                อัลเวสนั่งลงตรงหน้าของพี่สาวพร้อมกับจ้องมองเธออย่างขอร้อง “ขอร้องล่ะนะมิ้นต์ มันอาจจะฟังดูแล้วเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าไปแจ้งความเราต้องเดือนร้อนแน่ โทษของการเปิดซ่องเถื่อนนี่มันไม่ใช่เล่นๆนะ เธอคงไม่อยากให้แม่เสียใจ”

                มนตร์ลดาอยากหัวเราะให้ก้องโลก ใจหนึ่งอยากให้แม่ของตนมาได้ยินนัก! ตอนนี้น้องชายของเธอกลัวว่าแม่จะเสียใจ “เฮอะ!! วันนี้ฉันเพิ่งรู้จริงๆว่านายไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นพี่สาวเลยสินะ ความจริงถ้าฉันจะแจ้งความคงทำไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะอัลเวส ถ้านายมายุให้ฉันไปแจ้งความฉันก็ทำไม่ได้หรอก แต่มันคงทำให้ฉันรู้สึกดีกว่าตอนนี้สุดๆ นายกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน กลัวไปอีกสารพัดสารพันแต่ทั้งหมดนั่นมันก็เพราะว่านายมันเห็นแก่ตัว อย่าเอาแม่มาขู่อย่าเอาแม่มาอ้างว่าแม่จะเสียใจ ถ้าฉันแจ้งความขึ้นมาจริงๆแม่จะเสียใจเพราะว่าฉันโดนข่มขืนแต่แม่จะไม่มีวันเสียใจที่ร้านนี้ต้องปิดตัวลง!”

                อัลเวสรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาวและแววตาเจ็บปวดของเธอ จึงได้แต่นิ่งเงียบ

                “ถ้ามาปลุกฉันตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เพราะเรื่องแค่นี้ล่ะก็สบายใจได้ ฉันไม่แจ้งความหรือปริปากพูดเรื่องน่าอายของตัวเองนี้ให้ใครฟังหรอก! แต่นายต้องรู้นี่อัลเวสในโลกนี้ไม่มีของฟรี ถ้านายไม่อยากให้ฉันแจ้งความมันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย” มนตร์ลดาเสียความรู้สึกกับน้องชายต่างบิดาของตนเองนัก ความผูกพันของคนนี่ต้องใช้เวลาจริงๆ ลำพังแค่สายเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในตัวของเธอกับอัลเวสมันคงสื่อถึงกันลำบาก

                “ข้อแลกเปลี่ยนอะไรของเธอ?” อัลเวสรู้สึกผิดเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น พอพี่สาวว่ากล่าวตนเองก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกตามประสาวัยรุ่นอารมณ์ร้อนพลางมองกลับด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

                “เลิกจัดปาร์ตี้อย่างเมื่อคืนนี้ซะ ห้องข้างล่างนั่นก็รื้อมันออกให้หมดอย่าให้ฉันได้เห็นมันอีก ทำแค่เปิดบาร์เบียร์อย่างที่ร้านอื่นๆเขาทำกัน อย่าริอาจทำอะไรที่มันอยู่เหนือการควบคุมของเด็กอายุไม่ถึงสิบเจ็ด ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่รักษาสัญญาเหมือนกัน” มนตร์ลดาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน จริงจัง

                “ไม่มีทาง! ฉันไม่มีทางทำอย่างที่เธอพูดแน่!” อัลเวสสวนกลับอย่างไม่ต้องคิด

                “แปลว่าอยากให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจหรือว่าบอกแม่?” มนตร์ลดาถามอย่างคนที่มีไพ่แต้มเหนือกว่าในมือ

                “อย่ามาขู่ฉันนะ เธอก็รู้ว่าว่าบ้านเราต้องหารายได้เพิ่มเพราะค่าเช่าร้านที่แพงขึ้น ลำพังแค่ขายเหล้าขายเบียร์อย่างเดียวมันไม่พอหรอก! อยากเห็นบ้านเราอดตายกันหรือไง?” อัลเวสบอกอย่างฉุนเฉียว

                “ก็ลองดูสิว่าฉันจะขู่หรือทำจริงๆ”

                อัลเวสหน้าบึ้งมองหน้าพี่สาว เสียงราบเรียบแต่จริงจังของเธอนั้นมันทำให้เขาไม่กล้าที่จะต่อรองอื่นใดอีก รับปากให้มันพ้นๆไปก่อนก็แล้วกัน ยังไงยัยพี่สาวจอมจุ้นก็คงไม่สามารถอยู่เฝ้าเขาได้ทุกคืนอยู่แล้ว “ก็ได้ๆ ฉันจะไม่ทำอีก พอใจรึยัง”

                “ตอบยังไม่ได้หรอกว่าพอใจมั้ย แต่เมื่อไหร่ที่นายคิดจะผิดคำพูดกับฉันอย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน รับรองว่าแม่น่ะเห็นดีกับการกระทำของฉันทุกอย่าง บางทีการที่ให้นายลองเข้าไปอยู่ในสถานพินิจเด็กมันอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้แม่ได้ลูกชายกลับคืนมา เป็นเด็กรู้จักหน้าที่ตามวัยที่ควรเป็นก็ได้!” มนตร์ลดามองน้องชายที่กำหมัดแน่นอย่างอดทน กำลังจะอ้าปากเฉียงกลับแต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดเขาก็หุบปากลงทันที “ถ้าเรื่องที่จะมาพูดกับฉันมีแค่นี้ก็ถือว่าเราเข้าใจกันดีทุกอย่างแล้วนะอัลเวส”

                อัลเวสมองพี่สาวอย่างเจ็บใจ ‘เธอแน่มากมนตร์ลดา ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!’ อัลเวสคิดในใจแต่เงียบไม่ได้พูดต่อความอะไรออกไป เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นก้าวออกจากห้องนอนของพี่สาวอย่างไม่สบอารมณ์ทันที

                มนตร์ลดาล้มตัวลงบนหมอนนุ่มทันทีหลังจากที่เสียงปิดประตูดังขึ้น หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ตัวเองก็เพิ่งเจอเรื่องร้ายๆมา จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เศร้าใจแต่มันยังไม่น่าหนักใจเท่าเรื่องของน้องชายที่นับวันเขามีท่าทีที่ดูน่าเป็นห่วง ถลำตัวลึกลงไปทุกที หญิงสาวหวังว่าคำขู่ของเธอจะช่วยดึงรั้งให้อัลเวสคิดให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะทำอะไรลงไป น้ำตาร้อนๆมันพาลไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

 

                ชั่วโมงต่อมาหลังจากที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหนักแล้ว มนตร์ลดาออกเปิดประตูห้องนอนออกมาเจอกับมารดาที่กำลังจะไปจ่ายตลาดเป็นประจำทุกวันพอดี

                “อ้าว! ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าจังเลย” จันทร์แรมทักลูกสาวเมื่อสองแม่ลูกเปิดประตูออกมาเจอกันพอดิบพอดี

                “หนูว่าจะโทรหาเซญอร์ฟาเบียโน่น่ะค่ะ ไม่รู้ว่าเขาจะได้พยาบาลที่จะไปดูแลคุณปู่รึยัง”

                จันทร์แรมสังเกตเห็นสีหน้าเซียวๆ แต่ดวงตากลมโตกลับบวมช้ำเหมือนคนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา “หนูร้องไห้เหรอ? ไม่สบายรึเปล่าลูกทำไมตาบวมหน้าก็ซีดเซียวอย่างนี้ล่ะ?!!”

                “ปะ...เปล่าค่ะแม่ คือหนูคงนอนคว่ำนานน่ะค่ะตาเลยบวมไม่ได้ร้องไห้หรอกค่ะ อยู่ใกล้ๆแม่จะร้องไห้คิดถึงใครอีกล่ะคะ” มนตร์ลดาถือโอกาสเข้าไปสวมกอดมารดาด้านหลังทันทีเพราะไม่อยากให้ท่านได้มองใบหน้าได้อีก “นี่หนูยังคิดมากอยู่เลย ถ้าตอบตกลงไปทำงานที่รีโอกรันดีโดซุล ก็ต้องห่างแม่อีกแล้ว”

                จันทร์แรมตบมือบอบบางของลูกสาวที่โอบเอวของตนเองอยู่เบาๆหลายๆครั้งอย่างเอ็นดูในความขี้อ้อนของลูกสาว “โตสักทีสิลูก... หนูน่ะถ้าแต่งงานก็เป็นแม่คนได้แล้วนะ ยังออเซาะแม่เป็นเด็กไปได้ ไปทำงานทำการหาความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองดีกว่า บางทีไปอยู่ที่โน่นอาจจะเจอหนุ่มคนนั้นก็ได้”

                คำพูดของมารดาทำให้มนตร์ลดาแปลกใจ เอียงศรีษะถามอย่างน่ารัก “ใครคะหนุ่มคนนั้น?”

                “เอ้า... ก็ลูกเขยของแม่ไง แม่เบื่อเด็กขี้อ้อนคนนี้เต็มทนแล้ว” พูดพลางหัวเราะไปด้วย ดึงแขนลูกสาวออกจากเอวของตัวเองให้หันมาสบสายตากันตรงๆ “รีบโทรศัพท์ไปหาเขาได้แล้วลูก งานดีๆเดี๋ยวนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะ ถ้ามีใครมาคว้าไปก่อนเสียดายแย่เลย แม่เองก็จะรีบไปจ่ายตลาดแล้วเดี๋ยวกลับมาเปิดร้านไม่ทัน”

                “ค่ะแม่” มนตร์ลดารับคำมารดาสั้นๆ พร้อมกับมองร่างสมส่วนที่ท้วมขึ้นเล็กน้อยตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นรีบเดินลงบันไดไปจนลับตา

 

                ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...

                มนตร์ลดาฟังเสียงรอสายที่ตนเองต่อสายหาฟาเบียโน่ในอีกไม่กี่นาทีถัดมาหลังจากที่คุยกับมารดาแล้ว

                “ขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนตั้งแต่เช้า คือดิฉันอยากจะทราบว่าเซญอร์ยังต้องการพยาบาลไปดูแลคุณปู่ที่รีโอกรันดีโอซุลอยู่เหมือนเดิมรึเปล่าคะ?” มนตร์ลดากล่าวขอโทษที่โทรศัพท์เข้ามารบกวนตั้งแต่เช้า

                “เหมือนเดิมครับ ตัดสินใจได้แล้วเหรอ?” ฟาเบียโน่ถามเพราะว่าเมื่อวานนี้เธอตอบคำถามเขาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ทั้งยังให้เหตุผลว่าอยากดูแลคุณแม่ที่สุขภาพไม่แข็งแรงอยู่เลย

                “อะ...เอ่อ ค่ะ แต่ถ้าคุณรับคนอื่นไว้แล้วก็ไม่เป็นไรนะคะ” มนตร์ลดาบอกอย่างเกรงใจ

                “ยังหรอกครับ แล้วคุณพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะได้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้” ฟาเบียโน่ถามพร้อมกับรู้สึกว่าเสียงของเธออู้อี้เหมือนคนเพิ่งจะผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

                “ขอเวลาอีกสักสามวันนะคะ ดิฉันจะได้เตรียมตัวเก็บของด้วย”

                “โอเค เดี๋ยวจะให้ดีเกาติดต่อคุณไปอีกทีก็แล้วกัน เอ่อ... คุณเป็นอะไรไหมน้ำเสียงดูไม่ค่อยดีเลย” ฟาเบียโน่อดที่จะถามไม่ได้

                “ดิฉันแค่เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ แล้วเซญอร่าจิงเจอร์สบายดีไหมคะ?” มนตร์ลดาพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติ

                “เธอแข็งแรงดีครับ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ตอบตกลง”

                มนตร์ลดาดึงโทรศัพท์ออกมาจากข้างหูเมื่อได้ยินสัญญาณขาดหายไป พร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันคงเป็นการดีหากจะไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่สักพัก ที่นั่นเป็นไร่องุ่นอยู่ท่ามกลางขุนเขาคงทำให้จิตใจอันว้าวุ่น มัวหมองที่เป็นอยู่นี้สงบขึ้นได้บ้าง หญิงสาวคิดในใจพลางสาวเท้าเดินลงมาจากชั้นบนเรื่อยๆอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก หากแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อต้องเดินผ่านหน้าห้องใต้บันไดที่เหตุการณ์อัปยศเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้!!

                ‘เขาเขียนข้อความฝากเบอร์โทรฯกลับไว้ให้เรียบร้อยเลย!’ คำพูดของอัลเวสดังก้องขึ้นมาในหูทันที มนตร์ลดาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องโสมมนี้อีกครั้ง

            ‘ฉันยังรอให้เธอเอาคนมาลากคออยู่นะคิตตี้ 51330XXXX โทรมาหาได้ทุกเมื่อ’

                หญิงสาวกำมือแน่น ข้อความที่เขียนอยู่บนผนังห้องมันบ่งบอกถึงความยโสโอหังของผู้ชายที่ลากเธอเข้ามาพรากความสาวในห้องนี้ได้เป็นอย่างดี เบอร์โทรศัพท์พร้อมคำเรียกขานที่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครมาเรียกว่า ‘คิตตี้!!’ แบบนี้ มนตร์ลดาคิดอย่างเจ็บใจระคนแค้นใจ

                สองเท้าบางเดินดุ่มๆออกมาจากห้องที่ทำให้เกิดความอดสูใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกพร้อมเตือนตัวเองว่าเรื่องที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน อย่าได้ทำผิดซ้ำ เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่อโคจรเช่นเคยอีกเป็นอันขาด ไม่นานนักรถกระบะคุ้นตาเข้ามาจอดเทียบที่หน้าร้าน มนตร์ลดาจัดการช่วยแม่ของตนถือข้าวของที่ซื้อมาจากตลาดพร้อมถือโอกาสแจ้งข่าวเกี่ยวกับการไปดูแลคุณปู่ของฟาเบียโน่ให้ท่านได้ทราบ จากนั้นมนตร์ลดาจึงช่วยตระเตรียมข้าวของ เป็นลูกมือช่วยท่านทำอาหารอย่างมีความสุขตลอดทั้งวัน

                ตกดึกหญิงสาวแอบมาสังเกตพฤติกรรมของน้องชายโดยไม่ให้เขารู้ตัว พลางยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสองวันที่เหลืออยู่ในรีโอเดอจาเนโรนี้ อัลเวสไม่ได้จัดให้มีการแข่งขันเต้นอีก มันเป็นการเปิดขายเหล้าและให้ลูกค้าได้สนุกสนานกับเพลงจังหวะเร้าใจธรรมดา อัลเวสเองก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มไม่ได้โต้เถียงพี่สาวเหมือนอย่างเคยจนทำให้จันทร์แรมอดแปลกใจไม่ได้ รอยยิ้มพอใจของคนเป็นแม่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเมื่อลูกทั้งสองเริ่มมีท่าทีต่อกันดีขึ้นอย่างที่ตนพร่ำสอนทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จันทร์แรมไม่มีทางรู้เลยว่าพฤติกรรมทั้งหมดที่อัลเวสแสดงออกมานั้นมันเป็นแค่การตบตาพี่สาวให้จากไปทำงานอย่างไม่สงสัยและวางใจในตัวเขาเท่านั้นเอง!!

 

            รีโอกรันดีโดซุล

                อเตต้าร์ยืนกอดอกอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาเซฮา กาอูซา ที่เต็มไปด้วยต้นองุ่นสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศแบบเมืองตากอากาศในสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้จังหวะชีวิตของผู้คนในเมืองนี้ส่วนมากเป็นไปในแบบสบายๆเหมือนกับทิวทัศน์อันเงียบสงบนี้ อากาศบริสุทธิ์ที่ปะทะเข้ามาทำให้ร่างสูงใหญ่ของชายเต็มตัวหลับตาลง สูดหายใจลึกเข้าปอด พยายามตัดภาพของผู้หญิงคนหนึ่งออกไปจากความคิดอย่างยากลำบาก!!!

                เขารึสู้อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ายืนขาแข็งรอเธอกลับมาอยู่เป็นชั่วโมง! แต่แม่คุณกลับหายหัวไปอย่างไร้ร่องรอย มันน่าเจ็บใจนัก!! นี่เห็นว่าเป็นสาวบริสุทธิ์หรอกนะเลยอยากจะแสดงความรับผิดชอบ แต่เธอกลับจองหอง ด่าว่าเขาเสียๆหายๆ ไอ้หมาขี้เรื้อนมั่งล่ะ ไอ้โจรหื่นกามมั่งล่ะ แต่เขาก็ไม่คิดจะถือสาหาความเหตุเพราะเห็นใจที่เธอไม่ได้สมยอมตั้งแต่แรก

                ใช่ว่าจะไม่เคยลองลิ้มกับสาวพรหมจรรย์อย่างเธอมาก่อน เขาเองเริ่มริรักกับแฟนสาวที่เรียนอยู่ในห้องเดียวกันตั้งแต่ไฮสคูล เธอก็ยอมรับล่ะว่าครั้งแรกของผู้หญิงมันเจ็บเจียนตาย! แต่หลังจากความเจ็บนั้นแล้วทำไมเธอถึงได้บอกว่ามันสุขสมระคนเจ็บปวดอย่างที่ยอมแลกเพื่อจะได้รับความสุขสม เสียวซ่านนั้นอีก สีหน้าเจ็บปวดของเธอนั้นมันทำให้ผู้ชายที่ยังมีความสุขอยู่กับการใช้ชีวิตโสด ยังสนุกสุดเหวี่ยงไม่เคยกระดิกนิ้วเรียกสาวบริสุทธิ์คนไหนขึ้นเตียงอีกเลย หลังจากเลิกลากับแฟนสาวคนแรกทั้งที่คบกันได้แค่เพียงสองเดือน! เพราะสาวบริสุทธิ์เป็นพวกตั้งความหวังสูงที่จะให้เขามอบตัวถวายใจให้พวกเธอเพียงผู้เดียว อเตต้าร์จึงไม่เคยคิดที่จะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงผุดผ่องอีกเป็นอันขาด!!

                หากแต่ความเข้าใจผิดก็ทำให้ได้ลิ้มลองแม่คิตตี้หน้าสวย ปากอิ่มนั่น และมั่นใจว่าเธอบรรลุความสุขสุดยอดนั้นด้วยความเชี่ยวชาญ เจนจัดของเขาเป็นแน่!! แต่เธอกลับหายหัวไม่สนใจเขาเลยสักนิด มันทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจที่ไม่เคยมีใครหน้าไหนทำได้เลย

                ฮึ!... แล้วทำไมแกต้องไปสนใจเธอด้วยวะอเตต้าร์ ก็อีแค่ได้ลิ้มรสเลือดบริสุทธิ์ของผู้หญิงที่ห่างหายไปนาน... จอมเถื่อนคิดอย่างโอหัง! พลางถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ตัดความคิดที่กวนหัวใจออกไปในทันทีแต่ก็พบกับความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะขยับตัวทำหรือคิดอะไรภาพที่เธอนอนบิดตัวส่งเสียงครวญครางอยู่ใต้ร่างมันยังอยู่ในความทรงจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

                “เซญอร์ครับ... ผมตามหาตั้งนาน หายมาอยู่ที่นี่เอง” ไมนาสลูกน้องคนสนิทวิ่งกระหืดกระหอบมาอยู่ด้านหลังเจ้านาย ซึ่งยืนทอดอารมณ์มองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย โอ้มายก๊อด!... ตั้งแต่รับใช้เซญอร์อเตต้าร์มาก็เพิ่งเห็นล่ะว่าสองสามวันมานี้ท่านทำตัวแปลกไปหลายอย่าง จนคนสนิทที่ติดตามมาหลายปีเดาใจไม่ถูกเหมือนเคย ไมนาสคิดในใจ

                “ทำไม? เจ้าอะเมซอนมันคลอดลูกได้รึไงแกถึงได้วิ่งหน้าตั้งมาหาฉัน” อเตต้าร์ถามทั้งที่ยังมองออกไปอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม

                เอ่อ... เจ้าอะเมซอนมันเป็นม้าเพศผู้มันจะท้องได้ไงกันล่ะครับ... นอกจากอารมณ์แปรปรวนยังกับผู้หญิงวัยทองแล้ว ไอ้เรื่องปากจัดนี่ยังมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า “เปล่าขอรับ... คุณท่านโทรเข้าออฟฟิศบอกให้ผมมาเรียนว่าให้เซญอร์กลับคฤหาสน์เร็วกว่าปกติสักหน่อยเพราะมีแขกคนสำคัญมาครับ” ไมนาสเรียบเคียงรายงานต่ออีกเพราะยังเห็นเจ้านายนิ่งเงียบ “อะ...เอ่อ คุณท่านยังบอกให้ย้ำเซญอร์ด้วยว่าเวลาอาหารเย็นหนึ่งทุ่มตรงครับ”

                อเตต้าร์ไม่ตอบว่าอย่างไร ร่างสูงใหญ่หมุนตัวกลับก้าวเดินลงจากเนินเขาชันแต่ไม่สูงมากอย่างคล่องแคล่วง่ายดาย กระโดดสอดตัวเข้าไปประจำที่นั่งรถจิ๊บบิ๊กฟุตคันใหญ่แล้วขับพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็ว!... แรง!... เหลือเพียงฝุ่นควันโขมงลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ปล่อยให้ไมนาสยืนมองตามงงๆเพราะเดาอารมณ์เจ้านายไม่ถูกอีกตามเคย!

 

                มนตร์ลดาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยถักไหมพรมสีเทาตัวความยาวแค่เอว กับกางเกงยีนส์ทรงพอดีตัว สวมรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมงนัก หญิงสาวเดินทางจากรีโอเดอจาเนโรด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของเซญอร์ฟาเบียโน่มาถึงรีโอกรันดีโดซุล เมื่อชั่วโมงที่แล้ว จากนั้นก็มีรถยนต์หรูคันยาวสีขาวสะอาดจอดเทียบท่ารออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวมองคฤหาสน์หรูสไตล์ฝรั่งเศสที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้านี้ด้วยความตกตะลึง สีน้ำตาลเข้มของตัวอาคารมันมีมนต์ขลังดึงดูดสายตาให้จดจ้องอยู่นิ่งนานจนคนขับรถต้องกระแอมเบาๆเพื่อเรียกพยาบาลสาวที่ยังยืนนิ่งจ้องมองคฤหาสน์ตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชม

                “เชิญเซญอริต้าครับ คุณท่านคงรออยู่ด้านในแล้ว” กานโช่พ่อบ้านวัยกลางคนบอกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ในมือหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ของพยาบาลสาวไว้ทั้งสองข้าง

                “ดิฉันช่วยนะคะ” มนตร์ลดายิ้มเขินๆพร้อมยื่นมือบอบบางออกไปเพื่อจะถือกระเป๋าของตนเอง แต่พ่อบ้านกลับไม่ยอมและยิ้มอย่างเกรงใจ กล่าวเชื้อเชิญให้พยาบาลสาวเดินนำหน้าเข้าไปก่อน “ขอบคุณค่ะ”

                ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในคฤหาสน์สไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้ มนตร์ลดาพบว่าทุกอย่างที่เห็นมันสวยงามราวกับพระราชวังที่เคยเห็นจากการท่องโลกอินเตอร์เน็ต ห้องรับแขกขนาดมหึมาที่ใช้สีขาวนวลทั่วทั้งห้อง ฝ้าเพดานเป็นชั้นๆ ตรงกลางสุดคือระย้าไฟสีทองกับฝ้าเพดานรูปท้องฟ้า หากยังคงความหรูหราในแบบอนุรักษ์นิยมด้วยผ้าม่านหลุยส์สีแดงเลือดนก หญิงสาวห่อปากกับความงดงามที่ได้เห็น แม้แต่พื้นไม้ปาร์เก้ที่วาบวับยังปูทับด้วยพรมเปอร์เซียร์หนานุ่ม ลวดลายกลมกลืนกับบรรยากาศในห้องยิ่งนัก

                “เดาว่าเธอคงจะเป็นพยาบาลคนใหม่ที่ฉันรอคอยการมาของเธออยู่ใช่ไหม แม่หนู?”

                มนตร์ลดาสะดุ้งน้อยๆพร้อมกับหมุนตัวกลับไปยังต้นกำเนิดเสียงที่ได้ยิน ดวงตากลมโตมองดูชายชราที่นั่งอยู่บนรถเข็นไฟฟ้า จ้องมองเธอตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า “สวัสดีค่ะ... ดิฉันชื่อมนตร์ลดา กิตติพานิชย์ เป็นพยาบาลที่เซญอร์ฟาเบียโน่ส่งมาค่ะ”

                การันก้า โอลีเวย์ร่า พยักหน้ารับแต่ในใจกลับคิดว่าทำไมหลานชายถึงได้ส่งเด็กสาวจบใหม่มาให้แบบนี้ แล้วพวกสาวๆก็มักจะเบื่อคนแก่ ความอดทนน้อย เขาเบื่อกับการที่ต้องหาพยาบาลคนใหม่อยู่ร่ำไป ขนาดพยาบาลคนที่แล้วอายุสามสิบกว่าๆเธอยังต้องลาออกอย่างกะทันหันเพราะพบรักกับแฟนหนุ่มชาวอาเจนไตย์ทางอินเตอร์เน็ต ตกลงแต่งงานกันอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ยุ่งยากต้องหาพยาบาลคนใหม่อีก “ยินดีที่ได้รู้จัก แต่เธอมีชื่อเรียกที่มันเรียกง่ายกว่านี้ไหม เพิ่งเรียนจบมาเหรอแม่หนู?” เสือเฒ่าอดถามเรียบเคียงถึงอายุของพยาบาลส่วนตัวคนใหม่ไม่ได้

                มนตร์ลดาเดินเข้าไปใกล้ๆและคุกเข่าลงตามมารยาทที่ได้รับการอบรมตั้งแต่ยังเล็กยังน้อยแล้ว คุณป้าราตรีผู้มีอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติสอนไว้ว่าผู้มีอายุน้อยไม่ควรยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ พร้อมแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน “เรียกหนู อะ...เอ่อ เรียกดิฉันว่ามิ้นต์ก็ได้ค่ะ ดิฉันอายุยี่สิบสามปีเต็มแล้วค่ะ เรียนจบพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทยมาได้สองปีแล้ว ปีแรกทำงานในโรงพยาบาลของรัฐที่ประเทศไทย ต่อมาย้ายมาอยู่ที่บราซิล เข้าทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนในบูซิโอสค่ะ”

                การันก้า เบ้ปากนิดๆพลางพยักหน้ารับรู้พร้อมกับยื่นมาออกไปรับซองสีน้ำตาลที่พยาบาลสาวคนใหม่ยื่นให้

                “ประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงานทั้งหมดของดิฉันค่ะ”

                “วันนี้คงเหนื่อยกับการเดินทางมามากแล้ว เดี๋ยวฉันจะให้พ่อบ้านพาไปห้องส่วนตัวของเธอ” การันก้าบอกจากนั้นกานโช่ พ่อบ้านเก่าแก่ก็ทำหน้าที่ของตนโดยเจ้านายไม่ต้องเอ่ยปากสั่งการใดๆแม้แต่น้อย

                มนตร์ลดาเดินตามกานโช่เข้าไปในตัวคฤหาสน์เรื่อยๆ และยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ได้พบว่าทุกห้องทุกมุมนั้นจัดตกแต่งไว้อย่างงดงาม ห้องนั่งเล่นที่มีอยู่หลายห้องดูเหมือนเกินความจำเป็นสำหรับบ้านคนทั่วไป ห้องอาหารที่มองผ่านเพียงแวบเดียวแต่ก็รู้ทันทีว่ามันใหญ่โตพอที่จะรองรับคนได้มากกว่าสามสิบคน พอถึงหน้าบันได พื้นไม้ปาร์เก้มันวาบวับก็เปลี่ยนเป็นหินอ่อนสีสะอาดตาที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งรอยต่อของมัน บันไดกว้างเป็นแนวโค้งวนขึ้นไปจนถึงชั้นบน ตลอดทางเดินขึ้นบันไดยังปูด้วยพรมสีแดงตัดกับสีเหลืองทองตรงขอบทั้งสองข้าง มนตร์ลดาอดยิ้มกับความงดงามของคฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้ในสมองนึกอยากเห็นหน้าของคนออกแบบตกแต่งขึ้นมาทันที คงจะเป็นคนที่มีความอบอุ่น และมีความโรแมนติกอยู่เต็มตัว

                “เชิญครับ ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของเซญอริต้า” กานโช่เปิดประตูห้องออกกว้างเดินเข้าไปวางกระเป๋าใบใหญ่ทั้งสองตรงหน้าเตียงนอน “เดี๋ยวผมจะให้เด็กขึ้นมาช่วยจัดของนะครับ”

                “เอ่อ... คือ ดิฉันว่าให้ดิฉันพักห้องธรรมดาก็ได้มั้งคะ คะ...คือ!” ห้องนี้มันสวยและหรูหราเกินฐานะพยาบาลประจำตัวของเจ้าของบ้านไปสักหน่อย มันคงจะเป็นห้องต้อนรับแขกคนสำคัญที่มาเยือนคฤหาสน์แห่งนี้มากกว่า

                “ห้องนี้เป็นห้องของพยาบาลส่วนตัวของคุณท่านครับ คุณท่านจะนอนห้องข้างๆห้องของเซญอริต้า โดยมีประตูเชื่อมอยู่ภายในและล็อกได้จากฝั่งห้องนี้เพียงด้านเดียว เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อความสบายใจของพยาบาลทุกคนว่าจะได้รับความเป็นส่วนตัวจริงๆ และถ้าหากว่ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นก็จะได้ให้ความช่วยเหลือคุณท่านได้ทันท่วงทีครับ” กานโช่พ่อบ้านเก่าแก่บอกอย่างสุภาพ ประทับใจในความเจียมเนื้อเจียมตัวของพยาบาลสาวคนใหม่นี้อยู่ไม่น้อย เธอแตกต่างจากคนก่อนๆอยู่มาก ส่วนมากพยาบาลคนก่อนๆจะดีใจที่ได้พักห้องหรูหรานี้โดยที่ไม่มีใครร้องขอห้องที่เล็กกว่าหรือเอ่ยปฏิเสธเช่นนี้มาก่อน

                “อ๋อ... ค่ะ” มนตร์ลดาพยักหน้าเข้าใจในเหตุผลทุกอย่าง “เดี๋ยวดิฉันขอเวลาไม่นานจัดของสักครู่ แล้วจะลงไปดูแลคุณท่านนะคะ อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องให้ใครขึ้นมาช่วยหรอกค่ะ ข้าวของมีไม่มากดิฉันจัดเองแป๊บเดียวเท่านั้นค่ะ”

                “ไม่ต้องรีบหรอกครับ เซญอริต้าเพิ่งจะมาถึงวันแรก อีกอย่างวันนี้คุณท่านมีแขกมารับประทานอาหารเย็นด้วย เซญอริต้าคงได้เริ่มงานพรุ่งนี้นะครับ ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเชิญที่ห้องอาหารเล็กนะครับ ลงบันไดแล้วเลี้ยวซ้าย เวลาอาหารเย็นของที่นี่ทุ่มตรงครับ”

                “ขอบคุณค่ะ” มนตร์ลดาเอ่ยพร้อมยิ้มสดใสให้กานโช่ มือบอบบางเอื้อมไปปิดประตูห้อง เมื่อพ่อบ้านเดินถอยหลังออกไป พลางหันหลังกลับมาพิจารณาห้องส่วนตัวระหว่างทีทำงานอยู่ที่นี่

                ห้องสีขาวสะอาดตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สักเนื้อดีสีเข้มเข้าชุดกันทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน โต๊ะทำงาน เก้าอี้นั่งเอนที่วางอยู่ใกล้ๆกับประตูระเบียง ผ้าม่านสีเขียวขี้ม้าเข้มที่ทำจากผ้าไหมถูกจับเรียงตัวกันไว้อย่างเป็นระเบียบสูงจากหัวเตียงขึ้นไปแล้วปล่อยชายทิ้งตัวยาวลงมาถึงพื้น แสงไฟสีเหลืองทองจากโคมไฟระย้ากลางห้องส่องสว่างลงมา ให้ความรู้สึกเหมือนเตียงของเจ้าหญิงในเทพนิยาย

                “โอ้โห... ห้องของพยาบาลยังสวยขนาดนี้แล้วห้องเจ้าของบ้านจะสวยขนาดไหนกันนะ?” มนตร์ลดาทราบคร่าวๆจากฟาเบียโน่ว่า คุณปู่การันก้าอยู่กับหลานชายคนรอง จึงคิดเอาเองว่าคนที่ตกแต่งบ้านหลังนี้คงจะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากหลานสะใภ้ของคุณปู่การันก้านั่นเอง

                หญิงสาวคิดพลางรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วจัดของใช้ส่วนตัวอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัวเดินกลับลงมาชั้นล่างอีกครั้งเพราะใกล้เวลาอาหารเย็นตามที่พ่อบ้านแจ้งให้ทราบเต็มทีแล้ว

 

                ในขณะที่ด้านหน้าของคฤหาสน์โอลีเวย์ร่านั้น อเตต้าร์มีโอกาสได้ต้อนรับมิเชล เพื่อนเก่าและลูกสาวเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายสาขาในอเมริกา มิเชลเป็นสาวเปรี้ยวผมบลอนด์ ทรงโต เปิดยิ้มกว้างให้อเตต้าร์พร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรงทันที

                “คิดถึงคุณที่สุดเลยค่ะอาร์ตี้” มิเชลเขย่งเท้าขึ้นจูบที่แก้มสากของอเตต้าร์ พร้อมหยอดคำหวานรื่นหูให้ผู้ชายที่เคยคบหากันอยู่ระยะหนึ่ง แต่มีอันต้องเลิกรากันไปตามประสาความรักหนุ่มสาวที่ไม่ยั่งยืนแน่นอน

                อเตต้าร์กอดตอบตามมารยาท แล้วก็รีบดึงตัวสาวเปรี้ยวออกห่างทันทีจนทำให้มิเชลหน้าถอดสี!

                “คุณไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะอาร์ตี้ ดู... เหมือนเดิมทุกอย่าง” มิเชลพูดประชดน้อยๆถึงการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของอเตต้าร์ ผู้ชายที่ไม่เคยแยแสในความรู้สึกของเธอเลยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเธอปราถนาเขาเพียงใด อีกสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปก็คือความหล่อเหลาแบบแบดบอยเถื่อนที่พร้อมจะกระชากหัวใจผู้หญิงทุกคนให้กองไว้ที่แทบเท้าของเขาอีกด้วย

                “ก็คนคนเดิมจะให้เปลี่ยนไปได้ยังไง เข้าไปข้างในเถอะคุณปู่รอทานข้าวอยู่” เมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงน้อยใจของเธอ อเตต้าร์จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อๆพร้อมแตะบั้นเอวของมิเชลให้เดินเข้าไปในคฤหาสน์

                “คุณปู่ท่านสบายดีรึเปล่าคะ ฉันไม่ได้เจอท่านตั้งเกือบปีแล้วมั้งคะแต่ก็โทรศัพท์ไถ่ถามสาระทุกข์สุกดิบอยู่บ่อยๆ” ทุกคำพูดของมิเชลต้องการจะสื่อให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่อยู่ข้างๆนี้ รับรู้ว่าเธอนั้นยังเป็นห่วงคนในครอบครัวของเขาอยู่เสมอ

                “ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอก คนแก่อย่างปู่เนี่ยถูกทิ้งให้เฉาตายอยู่บ้านไปวันๆ สาวๆก็ไม่เคยมีใครได้เฉียดกลายเข้ามาใกล้” คุณปู่การันก้าเป็นคนตอบคำถามนั้นเสียเอง เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาถึงห้องรับแขกใหญ่ของคฤหาสน์

                “โธ่!... ทำไมพูดจาน่าสงสารอย่างนั้นล่ะคะ แสดงว่ามิเชลมาถูกเวลาใช่ไหมคะ?” มิเชลเข้าไปกอด แนบแก้มทั้งสองข้างกับชายชราที่นั่งอยู่บนรถเข็นไฟฟ้า

                “ไม่แน่ใจว่ามาทันเวลารึเปล่า ต้องรอดูกันไปเรื่อยๆ”

                “มิเชลรู้แล้วค่ะว่าอาร์ตี้เหมือนใคร กวนใจได้น่าโมโห แต่แบบนี้ล่ะค่ะที่สาวๆชอบกันนัก”

                การันก้าโบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วย “ม่าย... เจ้าหลานไม่เอาไหนนี่เทียบกับปู่ไม่ได้หรอก สมัยที่ปู่อายุเท่าอาร์ตี้นี่ มีลูกชายแล้วส่วนเรื่องเมียน่ะนับไม่ถ้วนหรอกเพราะนับว่าเป็นเมียจริงๆก็มีแค่ย่าของอาร์ตี้คนเดียว”

                พูดจบก็หัวเราะอย่างคนแก่อารมณ์ดีจนคนเป็นหลานนึกหมั่นไส้ “ผมว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่า มิเชลน่าจะหิวแล้ว”

                จากนั้นทั้งสามคนจึงเดินเข้ามารับประทานอาหารเย็นในห้องอาหารใหญ่ซึ่งอยู่ปีกฝั่งตะวันออกของคฤหาสน์

               

                ในขณะที่มนตร์ลดานั่งกินข้าวเพียงลำพังที่ห้องอาหารฝั่งตะวันตก อาหารเย็นมื้อแรกของการเข้ามาใช้ชีวิตในคฤหาสน์โอลีเวย์ร่ามันช่างเป็นอาหารที่เลิศรสนัก หากแต่รู้สึกเงียบเหงา อ้างว้างเหลือทน ซึ่งกานโช่ก็สังเกตได้ถึงท่าทีหงอยเหงานั้น ระหว่างที่เข้ามาดูแลถามไถ่ว่าพยาบาลสาวต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่

                “ห้องข้างๆนี้เป็นห้องนั่งเล่น ถ้าเซญอริต้ายังไม่อยากกลับขึ้นห้อง ก็เข้าไปนั่งเล่นได้นะครับ ในห้องนั้นยังมีหนังสือน่าอ่านหลายเล่มเชียวครับ” กานโช่บอกหลังจากเห็นว่าพยาบาลสาวรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว

                “หยิบมาอ่านได้เลยเหรอคะ?” มนตร์ลดาทำตาโตอย่างน่ารักแบบที่เคยทำจนติดเป็นนิสัย พร้อมถามออกไปอย่างรวดเร็วเพราะโดยนิสัยแล้วเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือและรักหนังสือเอามากๆ จึงกลัวว่าเจ้าของหนังสือจะหวงของรักด้วยเช่นกัน

                “เชิญเลยครับหนังสือทุกเล่มในห้องนั้นผมรับรองได้ว่าเซญอริต้าหยิบอ่านได้ตามใจชอบ จะเอาขึ้นไปอ่านบนห้องนอนสักกี่เล่มก็ได้ขอเพียงแค่อ่านจบแล้วนำมาเก็บที่เดิมเท่านั้น เจ้าของหนังสือก็ดีใจแล้วครับที่เห็นว่ามีคนรักหนังสืออย่างท่านอยู่ในบ้านด้วยอีกคน”

                “ขอบคุณนะคะกานโช่ คุณต้อนรับฉันอย่างดีและทำให้ฉันรู้สึกดีมากเลยค่ะ” มนตร์ลดาตอบอย่างจริงใจพลางลุกขึ้นเดินตามพ่อบ้านออกมาอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน

                หลังจากที่กานโช่ออกไปจากห้องแล้วมนตร์ลดาก็หันไปมองดูชั้นหนังสือมากมายที่เรียงอยู่บนชั้นวางที่สูงจรดเพดาน มีป้ายบอกหมวดหมู่ติดเอาไว้ราวกับอยู่ในร้านหนังสือทั้งยังจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ตลาดหุ้น การทำไร่กาแฟ นิยายฆาตกรรมหรือแม้แต่นิยายความรักระหว่างแวมไพร์มนุษย์หมาป่ากับสาวสวยก็มีครบทุกเล่ม แต่ที่เห็นจะมากที่สุดก็คือหนังสือเกี่ยวกับพันธุ์องุ่น ไวน์ แก้วใส่ไวน์ วิธีบ่มไวน์เรียกว่าทุกขั้นตอนของการผลิตไวน์เลยก็ว่าได้ ไม่น่าแปลกหรอกที่หนังสือพวกนี้จะอยู่ในคฤหาสน์นี้เพราะเซญอร์ฟาเบียโน่เคยบอกว่าน้องชายทำธุรกิจเกี่ยวกับไวน์นี่นา...

                มนตร์ลดาปืนขึ้นบันไดแข็งแรงที่วางอยู่ใกล้เพราะคิดอยากชื่นชมหนังสือที่อยู่สูงเกินความสูงของตนเองจะเอื้อมถึง คุณพระช่วย!! หนังสือเพลย์บอยปลุกใจเสือป่าเรียงตัวกันเป็นระเบียบอยู่ชั้นบนสุดนั่นเอง หญิงสาวเดาออกได้อย่างง่ายดายว่าเจ้าของหนังสือมากมายพวกนี้คงเป็นน้องชายของเซญอร์ฟาเบียโน่เป็นแน่ หากแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนอยู่แล้วที่จะมีอารมณ์รัก เสน่หา แล้วในโลกสมัยนี้ก็ยังถือเป็นเรื่องเปิดเผย ศึกษาได้อย่างไม่น่าอายอีกด้วย

                มนตร์ลดาตัดสินใจหยิบหนังสือ The Diary of Anne Frank เป็นเรื่องจริงของสาวน้อยที่ตกเป็นเหยื่อของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือน่าอ่านที่เคยอยากอ่านแต่ยังไม่มีโอกาสเดินเข้าร้านหนังสือแล้วซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัวสักที ร่างอ้อนแอ้นทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวใหญ่ที่บุผ้าไหมเนื้อดีใกล้ๆกับชั้นหนังสือ

 

                ภายในห้องอาหาร อเตต้าร์รู้สึกเบื่อหน่ายกับการทำตัวเฟลิตของมิเชลเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วเธอไม่ต้องมาทำตัวจี๊จ๋ากับเขาหรอกมันเปล่าประโยชน์! เพราะถ้าได้ตัดสินใจหันหลังให้ใครแล้ว คนอย่างอเตต้าร์ไม่เคยคิดจะกลืนน้ำลายตัวเองแน่ หากเธอทำตัวเหมือนเพื่อนที่ดีต่อกันเขาคงจะไม่รู้สึกอึดอัดใจอย่างนี้

                “อาหารไม่ถูกปากเหรอคะอาร์ตี้ ทำไมทานน้อยจังหรือว่ากำลังไดเอท?” มิเชลถามขึ้น หลังจากที่จัดการตักอาหารให้ชายหนุ่มหลายอย่างแล้วเขาทำหน้าไม่สบอารมณ์

                “เปล่า... ผมคงดื่มเบียร์มากไปหน่อยเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” อเตต้าร์บอกพลางยกแก้วเบียร์เย็นเฉียบขึ้นดื่ม อาการของหลานชายนั้นทำให้คนเป็นปู่รู้ดีว่าไอ้หลานชายของตัวเองกำลังเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ตรงหน้าตั้งแต่ที่เขาสั่งเบียร์มาดื่มแทนที่จะเป็นไวน์แดงรสเลิศกับสเต็กเนื้ออย่างดีนี้แล้ว แต่ก็เลือกที่จะเงียบเฝ้าสังเกตความอดทนของหลานชายต่อไป “ความจริงอีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันงาน ไม่คิดว่าคุณจะมาเร็วขนาดนี้”

                “แหม... พูดเหมือนกับไม่อยากให้ฉันมาเลยนะคะ รู้ไหมว่าฉันเสียใจนะคะ” มิเชลพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจออกมาตรง แต่เธอหารู้ไม่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แบไต๋ออกมาหมดทุกอย่างนั้นมันช่างไร้แรงดึงดูดต่ออเตต้าร์เหลือเกิน ตรงกันข้ามมันกลับผลักดันเขาให้หนีเตลิดออกจากเธอราวกับสนามแม่เหล็กขั้วเดียวกันปะทะกันเสียเอง!

                “ผมรู้ว่าคุณงานยุ่ง ไม่คิดว่าจะมาเร็วกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง”

                มันไม่ใช่คำพูดขอโทษที่ดีนักแต่ก็ทำให้มิเชลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มันคงจะเป็นการหวังมากเกินไปสักหน่อย หากจะให้ผู้ชายที่มีความยโสโอหังอยู่เต็มตัวอย่างอเตต้าร์เอ่ยคำพูดหวานหู หรือเอ่ยคำขอโทษออกมาตรงๆ “ช่างเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าคุณพูดหวานๆไม่เป็น ฉันเองก็อยากมาพักผ่อนบ้างหลังจากที่ต้องทำงานหนักอยู่หลายเดือน”

                “งั้นพรุ่งนี้ก็ไปเที่ยวไร่องุ่นสิ ไปหัดขี่ม้าก็ได้” การันก้า เสนอโปรแกรมที่สาวลูกเศรษฐีอย่างมิเชลไม่เคยพิศวาส ท้องทุ่ง ไร่กว้างและสัตว์ที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ ไม่มีอะไรน่าอภิรมย์เลยสักนิด! “เอ่อ... คือมิเชลอยากไปนั่งรถเล่นในเมืองดูแสงสี จากนั้นเราก็ไปฟังเพลงกันต่อดีไหมคะอาร์ตี้?”

                “ช่วงนี้ผมยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเปิดตัวไวน์ที่ใกล้จะถึงนี้ ไม่อยากให้มันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น คงจะทำอย่างที่คุณว่าไม่ได้จริงๆ เอาไว้ให้งานนี้ผ่านไปก่อนแล้วเราค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลืมไปว่างานนี้สำคัญกับคุณมาก เอาไว้ว่างๆก็ดีเหมือนกันค่ะ”

                “คุยกับปู่ไปก่อนนะ ผมขอตัวออกไปข้างนอกสักครู่” อเตต้าร์พูดพร้อมลุกขึ้นออกจากสถานการณ์ที่อึดอัดใจนี้ ความจริงแล้วงานเปิดตัวไวน์ตัวใหม่ของ เซฮา เดอ ซาโต นี้มีออแกนไนซ์มืออาชีพที่จัดงานระดับโลกมาเตรียมงานอยู่กว่าร้อยชีวิต เขาแค่บอกความต้องการว่าอยากจะให้งานออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง สองขาแกร่งก้าวเดินอย่างมั่นคงออกมาจากห้องอาหาร จุดหมายของเขาคือระเบียงฝั่งตะวันตก ที่ที่สามารถอัดเอาสารนิโคตินเข้าปอดได้อย่างเต็มที่!!

                แสงไฟสว่างที่ลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นทำให้สายตาคมกริบของอเตต้าร์เหลือบมองเข้าไปด้านใน... ประตูห้องปิดสนิทแต่กระจกใสแผ่นเล็กๆที่สามารถมองลอดเข้าไปเห็นคนด้านในได้อย่างชัดเจน ภาพของผู้หญิงที่นั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจอยู่ข้างในนั้นมันทำให้สมองของเขาแทบจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ!

                พระเจ้าช่วย!... ใบหน้างดงามที่ยังอยู่ในความทรงจำนั้นยังชัดเจนนัก แม้เธอจะก้มหน้าสนใจกับหนังสือนั่นเสียเต็มประดาแต่เขาก็ยังจำเธอได้แม่นยำ แม่คิตตี้คนงามที่ทำให้เขาเสียความมั่นใจในตัวเองโดยการหายหัวไปอย่างไร้ร่องรอยปล่อยให้เขายืนรออยู่เป็นชั่วโมง เธอมานั่งทำห่าเหวอะไรอยู่ตรงนี้ เธอเข้ามานั่งอ่านหนังสือของเขาอย่างสบายอารมณ์แล้วปล่อยให้เขาทนอยู่กับความว้าวุ่นใจได้ยังไงกัน?!

                “เซญอร์อาร์ตี้ต้องการอะไรไหมครับ?” เสียงของกานโช่ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มยังนิ่งอยู่หน้าห้องหนังสือสักพักหนึ่งแล้ว

                อเตต้าร์หมุนตัวกลับมามองกานโช่ด้วยสีหน้าตกตะลึง นิ้วชี้แกร่งชี้เข้าไปยังประตูห้องนั่งเล่น “ใคร? เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!!”

                “เซญอริต้ามิ้นต์ครับ เธอคือพยาบาลคนใหม่ที่เซญอร์เฟลิกซ์ส่งมาดูแลคุณท่านครับ เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อหัวค่ำนี้เอง ผมเห็นว่าเธอดูซึมๆเลยให้เข้าไปหาหนังสืออ่านครับ” กานโช่ตอบ

                “แล้วจะอยู่นานไหม? เอ่อ... ฉันหมายถึงว่าเธอมาดูแลแค่ชั่วคราวรึเปล่า?” เป็นครั้งแรกที่คนมีความมั่นใจสูงอย่างอเตต้าร์เรียบเรียงคำพูดติดขัด!!

                “ได้ยินคุณท่านเปรยว่าจะให้พยาบาลคนใหม่เซ็นสัญญาอย่างน้อยหนึ่งปีนะครับ ต้องบอกก่อนที่จะลาออกล่วงหน้าสองเดือนท่านบ่นว่าขี้เกียจหาคนใหม่” กานโช่โค้งให้เจ้านายหนุ่มแล้วถอยหลังเดินกลับไปอย่างสุภาพเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มพยักหน้ารับ ส่งสัญญาณมือให้กลับไปทำงานของตัวเองต่อ อเตต้าร์เดินผ่านหน้าห้องนั่งเล่นไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวในห้องเงยหน้าขึ้นมองออกมาด้านนอกเพราะรู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านแวบๆ แต่ก็ก้มหน้าลงอ่านหนังสือดังเดิมเมื่อไม่เห็นว่ามีผู้ใด

                ควันบุหรี่สีเทาถูกพ่นออกจากปากและจมูกโด่งของแบดบอยจอมเถื่อน ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าไม่เคยมีใจให้สาวหน้าไหนทั้งนั้นแต่บัดนี้ หัวใจชายเต็มตัวกลับเต้นระรัวจับจังหวะไม่ได้ บุหรี่ยี่ห้อดังถูกอัดเข้าปอดซ้ำหลายครั้ง มันเหมือนทำให้เขาคลายความตึงเครียดที่มีอยู่ในตัวลดลงได้ เขาเสียเวลารอเธออยู่เป็นชั่วโมงเพียงเพื่ออยากให้เธอมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากเขา แต่เปล่าเลย เธอเงียบหายไปราวกับตายไปจากโลกใบนี้แล้ว สองวันที่ผ่านมารสชาติเรือนร่างของเธอมันยังเหมือนติดอยู่ที่ปลายลิ้นและจมูก ทั้งยังไม่เคยตัดภาพและความรู้สึกวิเศษยอดเยี่ยมนั้นออกไปจากสมองได้เลย!...

                แล้วเธอยังต้องมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแบบนี้ เขาจะข่มใจ ข่มความกระสัน เก็บไม้เก็บมือตัวเองให้ห่างจากเธอได้อย่างไร!?? ที่สำคัญถ้าเธอได้รู้ว่าเขาคือคนที่จ่ายเงินเดือนให้เธอทุกเดือนแล้วแม่คิตตี้จะไม่หนีเตลิดเปิดเปิงไปอย่างคราวที่แล้วหรืออย่างไร

                สมองอันชาญฉลาดกำลังคิดหาหนทางที่จะมัดให้แม่คิตตี้คนงามยอมอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขาไปอย่างไม่มีกำหนด!!

 

                ก๊อก... ก๊อก...

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้อเตต้าร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำขมวดคิ้วงงๆเพราะน้อยครั้งนักที่จะมีใครมารบกวนเวลายามเมื่ออยู่ในห้องนอนส่วนตัวแบบนี้

                “ใคร?”

                “ฉันเองค่ะ มิเชล” มิเชลรีบจัดชุดนอนเนื้อบางเบาให้หลุดจากหัวไหล่ตัวเองข้างหนึ่ง หวังจะยั่วเย้าอเตต้าร์ เพราะรู้ดีว่าคนที่มีพลังขับเคลื่อนทางเพศสูงอย่างเขาคงไม่อาจต้านทานรูปร่างอวบอัดของเธอได้ ไม่นานเสียงกริ๊กปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น

                “มีอะไรรึเปล่ามิเชล โทษทีที่ให้เข้ามาไม่ได้ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ได้แต่งตัวเลย” อเตต้าร์แง้มประตูห้องนอนออกมา ทำให้มิเชลได้เห็นภาพอกกว้างแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตึงอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเกาะไปด้วยหยดน้ำทั่วทั้งใบหน้าและลำตัว ส่วนล่างพันด้วยผ้าขนหนูสีสะอาดอย่างหมิ่นเหม่

                “ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาน่ะค่ะ” มิเชลออกแรงดันประตู สอดตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วหน้าตาเฉย “ไม่เป็นไรค่ะเรื่องแค่นี้ฉันไม่ถือ เมื่อก่อนฉันจำได้ว่าคุณชอบที่จะคุยกับฉันแบบเนื้อแนบเนื้อ...” มิเชลลากเสียงยาวยั่วยวน มือเรียวที่เคลือบเล็บไว้ด้วยสีแดงแปร็ดวางทาบบนอกกว้างแกร่ง รอยสักเสือย่างก้าวของเขานั้นมันยิ่งกระตุ้นความปราถนาให้ต้องการมีสัมพันธ์เร่าร้อนอีกสักครั้ง

                “ไม่เอาน่ามิเชล คุณก็รู้ว่าเรื่องของเรามันจบไปแล้ว” ชายหนุ่มพยายามควบคุมมือยุ่มย่ามราวหนวดปลาหมึกของเธอออกจากตัวเอง

                “ฉันรู้ค่ะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะตัดขาดกันไปเลยนี่คะ เรายังเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนนอนกันได้”

                อเตต้าร์หยิบซองบุหรี่พร้อมไลท์เตอร์เดินออกมาที่ระเบียงห้อง เขามักสูบบุหรี่เวลาเครียดจนติดเป็นนิสัย สายตาคมมองออกไปในความมืดเงียบสงัดของราตรีเที่ยงคืน ในขณะที่มิเชลเดินตามออกมาแล้วสวมกอดแผ่นหลังเปลือยเปล่าจากด้านหลัง แนบใบหน้า เนื้อตัวอวบอัดเข้าอย่างยั่วยุ

                “หรือแค่ความเป็นเพื่อนคุณก็มีให้ฉันไม่ได้?”

                “ผมไม่นอนกับเพื่อน!” อเตต้าร์โต้กลับทันควัน

                “งั้นฉันไม่ใช่เพื่อนคุณ เพราะฉันทำธุรกิจกับคุณ และฉันก็ไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาคุณไม่เคยขึ้นเตียงกับลูกค้าของคุณ” มิเชลไม่ยอมเลิกราง่ายๆ มือไม้เคลื่อนไหวไปทั่วกายแกร่งปลุกสัมผัสวาบหวามให้เกิดกับชายหนุ่ม

                อเตต้าร์จับข้อมือทั้งสองข้างของมิเชลออกพร้อมกับหมุนตัวมาเผชิญหน้าเธอ “มิเชล...”

                ก่อนที่อเตต้าร์จะพูดอะไรออกมามากว่านั้น มิเชลก็เหนี่ยวต้นคอหนาลงมาบดจูบเร่าร้อนให้ชายหนุ่มเนิ่นนาน

 

                ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ มนตร์ลดากำลังยืนคุยโทรศัพท์ส่งข่าวให้มารดาที่อยู่ในรีโอเดอจาเนโรได้ทราบข่าว หญิงสาวกำลังเล่าถึงความสวยงามของคฤหาสน์โฮลีเวย์ร่า สมาชิกในบ้านก็ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น หากแต่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับผู้สูงวัยที่จะมาดูแลมากนัก จากนั้นจึงถามถึงสุขภาพของท่านทั้งเตือนให้รักษาสุขภาพสุดท้ายก่อนที่จะวางสายหญิงสาวอดถามถึงพฤติกรรมของน้องชายไม่ได้ หากได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นว่าอัลเวสปฏิบัติตัวดีขึ้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มออกมาได้เพราะจับน้ำเสียงของคนเป็นแม่ได้ว่าท่านมีความสุขมากเพียงใด

                หลังวางสายโทรศัพท์มนตร์ลดาหมุนตัวหมายจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ดวงตาดำขลับเบิกตากว้าง เมื่อได้เห็นภาพวาบหวิวซึ่งควรจะเกิดขึ้นในสถานที่ที่เป็นส่วนตัวมากกว่าระเบียงห้องแบบนี้ คฤหาสน์โอลีเวย์ร่านี้ออกแบบให้ปีกทั้งสองด้านโค้งเข้าหากันเล็กน้อย ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ห้องใดของคฤหาสน์ ถ้าออกมายืนที่ระเบียงก็จะสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมดนั่นเอง

                ภาพแผ่นหลังเปลือยเปล่าของชายชาตรีกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ระเบียงอีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ มนตร์ลดาเบือนหน้าหนีจากภาพนั้นทันที โหย!... เล่นบทรักกันที่ระเบียงบ้านเลย ชายหญิงที่เห็นนั่นน่าจะเป็นน้องชายของเซญอร์ฟาเบียโน่และภรรยาของเขา หญิงสาวคิดพร้อมกับคลานขึ้นเตียงนอนที่นุ่มที่สุดในชีวิตที่เคยได้สัมผัสมา พลางคิดว่าคืนนี้คงนอนหลับฝันดีพรุ่งนี้เช้าจะได้เริ่มทำงานจริงๆเสียที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา