จำนนเสน่หาแบดบอย

3.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.04 น.

  21 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) จำนนเสน่หาแบดบอย ตอนที่ 1 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงฮัมเพลงที่ดังกว่าเสียงนักร้องจากเครื่องเสียงในรถยนต์หรู ทำให้พิลาสินีอมยิ้มและปรายตามองน้องสาวคนเล็กที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 6

พิชชุดายิ้มอย่างมีความสุขให้พี่สาวเมื่อผลการเรียนออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม และจากนี้อีกเกือบเดือนสาวน้อยจะได้อยู่บ้านกับพ่อและแม่ในช่วงปิดภาคเรียนแรก “หนูร้องเพลงเพราะไหมคะ คุณเพลง”

“เพราะมากๆ แต่พี่ว่าที่ร้องเพลงได้เพราะแบบนี้น่าจะมาจากน้องพลับมีความสุขมากกว่า” พิลาสินีบอกพลางละสายตาจากน้องสาวที่อยู่ในชุดนักเรียน รวบผมขึ้นสูงไว้กลางกระหม่อมแล้วปล่อยลงเป็นหางม้า

“แต่จะมีความสุขกว่านี้ถ้าคุณป๋าให้พลับเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ในไทยนะคะ” ใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุขดูหงอยเหงาลงในทันตาเมื่อนึกได้ว่าจะอยู่บ้านกับพ่อและแม่ได้ไม่ถึงสองเดือน จากนั้นต้องเดินทางไปเรียนต่อปริญญาในต่างแดน

“น้องพลับก็รู้ว่าไม่มีใครขัดใจคุณป๋าได้” พิลาสินีบอกและอดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสลดของน้องสาวคนเล็ก “เอาน่า... เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งปี บางทีถ้าน้องพลับอ้อนคุณป๋าทุกวันอาจจะได้เรียนต่อที่บ้านเราก็ได้”

“ไม่มีทางหรอกค่ะ พลับทั้งอ้อนทั้งชักแม่น้ำมาโน้มน้าวใจคุณป๋าเป็นพันสายแล้ว คุณป๋าก็ไม่ยอมแถมยังห้ามพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินอีก ไม่อย่างนั้นปิดเทมอหรือเสาร์-อาทิตย์จะให้พลับอยู่ที่โรงเรียนตลอด” พิชชุดาทำหน้าง้ำเมื่อนึกถึงคำขู่ของผู้เป็นพ่อ ซึ่งทำให้เธอต้องปิดปากเงียบไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องเรียนต่อในต่างประเทศขึ้นมาอีก

พิลาสินีหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นท่าทางงอนของน้องสาวคนเล็ก ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ “คิดในแง่ดีๆสิจ๊ะ คุณป๋าก็คงอยากให้น้องพลับได้ภาษาด้วย รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ที่สำคัญ...”

“ที่สำคัญมันใช้เงินเยอะมากนะคะ” ถึงแม้จะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่แต่พิชชุดาก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ยังไม่ความคิด ไม่รู้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวอยู่ในขั้นวิกฤต “พลับรู้นะคะว่าบ้านเรากำลังเจอปัญหา แล้วการที่พลับเรียนที่เมืองไทยก็ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้มากโข พลับไม่อยากเพิ่มภาระให้คุณเพลงนะคะ”

พิลาสินียิ้มให้กับความรู้จักคิดของน้องสาวคนเล็ก แม้ว่ายังไม่สามารถช่วยงานของครอบครัวได้แต่ก็ยังรู้ความ คิดหาทางช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย “เรื่องเรียนพี่ว่าตามใจคุณป๋าดีกว่า ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเล่าเรียน พี่อยากบอกให้น้องพลับรู้ว่าน้องๆทุกคนไม่ได้เป็นภาระของพี่เลย ทุกคนมีเงินในส่วนค่าเล่าเรียนที่คุณป๋าแบ่งไว้ต่างหากอยู่แล้ว หน้าที่ของน้องพลับคือตั้งใจเรียนแล้วรีบมาช่วยพี่บริหารสิริแอทเซท”

“งั้น... คุณเพลงทำไมไม่เอาเงินในส่วนค่าเล่าเรียนของพลับไปใช้ก่อนล่ะคะ อาจจะช่วยได้บ้าง”

        พิลาสินีนึกสงสารสาวน้อยที่พยักหน้าเร็วๆทั้งยังอาสาด้วยความเต็มใจ แต่เงินทุนหมุนเวียนที่สิริแอทเซทต้องการนั้นไม่ใช่แค่หลักล้าน หากแต่มันมากกว่านั้นและยังต้องเรียกความเชื่อมั่นซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้นักลงทุนเกิดความไว้วางใจ “น้องพลับรู้ได้ยังไงว่าบริษัทของเรากำลังเจอปัญหาใหญ่”

        ความจริงแล้วสาวน้อยได้ยินเพื่อนๆคุยกันซึ่งก็คงได้ยินจากผู้ปกครองนั่นเอง จากนั้นจึงลองตามข่าวสารในหนังสือพิมพ์ประกอบกับคราวที่ผู้เป็นพ่อถูกหามส่งโรงพยาบาลก็ด้วยเรื่องหุ้นของสิริแอทเซทดิ่งลงไปในแดนลบ แม้ว่าจะพยายามสอบถามกับผู้เป็นแม่แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ความกระจ่างนัก “ความจริงพลับก็ทราบจากเพื่อนบ้าง ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง แล้วถ้ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยคุณป๋าก็คงไม่เห็นข่าวแล้วหมดสติไปแบบนั้น”

        “เรื่องบริษัทเอาเป็นว่าให้พี่จัดการ ส่วนน้องพลับก็ตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วกัน อีกอย่างห้ามน้องพลับเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพรีมกับคุณพราวเด็ดขาด” พิลาสินีบอกก่อนที่จะจอดรถยนต์ด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เล็ก

        “ทำไมล่ะคะ ถ้าคุณพรีมกับคุณพราวรู้ อาจจะหาทางช่วยบริษัทของเราก็ได้ เบรนสตรอมดีกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบนะคะ” สาวน้อยเอ่ยถึงพี่สาวต่างมารดาอีกสองคน ซึ่งศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างแดน

        “ไม่ได้เด็ดขาดเพราะเป็นคำสั่งของคุณป๋า อีกไม่กี่เดือนคุณพรีมกับคุณพราวจะเรียนจบแล้วและเป็นช่วงที่ต้องใช้สมาธิ พี่ไม่อยากให้เรื่องนี้ไปรบกวนจิตใจแล้วจะทำให้เสียการเรียนไปอีก น้องพลับเข้าใจที่พี่พูดไหมจ๊ะ?” พิลาสินีบอกเหตุผลที่แท้จริงและขอคำสัญญาจากน้องสาวคนเล็กอีกครั้งเมื่อได้รับการพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ “สัญญาแล้วนะ”

        “ค่ะ สัญญาว่าจะไม่ปริปากเรื่องนี้ให้คุณพรีมกับคุณพราวรู้เด็ดขาด” พิชชุดาบอกพลางเปิดประตูก้าวลงจากรถเมื่อพี่สาวคนโตยิ้มรับกับคำสัญญานั้น

        พิลาสินีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามร่างน้องสาวที่เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ก่อนจะคิดถึงอดีตของตน ความจริงแล้วเธอเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริง โดยคิดว่าเจ้าสัวสันต์และคุณสมพิศเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้า

วันหนึ่งเธอเข้าไปทำความสะอาดห้องนอน เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้ท่านตามหน้าที่ของลูก แม้ว่าจะมีแม่บ้านคอยทำหน้าที่ให้อยู่แล้วแต่ท่านก็สอนให้หยิบจับงานบ้านงานเรือนเสมอมา การมุดตัวเข้าไปทำความสะอาดใต้โต๊ะทำงานในวันนั้นจึงเป็นวันที่ได้รู้ความจริง ท่านสองคนหลุดปากเรื่องเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านรับมาอุปการะ

แม้ว่าเจ้าสัวสันต์และคุณสมพิศจะแต่งงานกันมาหลายปีแต่ก็ยังไม่มีลูกจึงเข้าปรึกษาแพทย์เตรียมจะทำกิ๊ฟท์ และเป็นช่วงเวลาที่เธอถูกแม่บังเกิดเกล้าเอามาทิ้งไว้ในป้อมยามหน้าโรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ยามเข้าไปทำธุระส่วนตัวและกลับออกมาอีกครั้งก็เห็นทารกอายุราวสามเดือนวางไว้บนเคาน์เตอร์ ทั้งคู่ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลช่วงเวลานั้นพอดีจึงเข้าไปสอบถามและได้เห็นใบหน้าหมดจดของทารกน้อยจึงรู้สึกถูกชะตาและขอเป็นผู้อุปการะตั้งแต่ตอนนั้น

ครั้งแรกที่ได้รู้พิลาสินียอมรับว่าเสียใจมาก จากที่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลใหญ่ เป็นความหวังแรกของพ่อแม่กลับได้รู้ว่าตนเป็นเพียงเด็กที่ท่านทั้งสองเก็บมาเลี้ยงดู ความกังวลต่างๆนานาเกิดขึ้นในหัวใจเด็กสาววัยสิบห้าปีแต่ก็ได้ท่านทั้งสองคอยปลอบประโลมให้กำลังใจ ทั้งยังย้ำให้ได้รู้ว่าความรักและปรารถนาดีของท่านไม่มีเปลี่ยนแปลง เธอยังเป็นลูกสาวคนโตที่มีน้องสาวอีกสามคน

พอฤทัยหรือพรีม ในตอนที่รู้ว่าเธอไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่เด็กวัยสิบขวบกลับให้กำลังใจและโอบกอดมองเธอด้วยความรักและเคารพเช่นเคย ตอนนี้สาวสะพรั่งวัยยี่สิบสองปีกำลังศึกษาปริญญาตรีในต่างแดนและติดต่อกับเธอทางโซเชียลมีเดีย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่เสมอ เป็นน้องสาวที่เธอเลือกระบายปัญหาในชีวิตคู่ให้ฟังหลายเรื่อง ด้วยความที่พอฤทัยเป็นคนใจเย็นจึงมักจะมีข้อคิดในมุมมองของคนนอกที่เธอมองข้ามไปให้ได้ขบคิดอยู่เสมอ

แตกต่างกับพราวพุธหรือพราว หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปี รายนี้มีความมั่นใจมากกว่าใครในบรรดาพี่น้อง หากเกิดเรื่องกับพี่น้องแล้วละก็... พราวพุธจะต้องออกโรงปกป้องโดยไม่ถามความเป็นไปเพราะเชื่อสนิทใจว่าพี่น้องของตัวเองเป็นคนดี ไม่ทำเรื่องเอารัดเอาเปรียบใครก่อน ด้วยเหตุนี้พิลาสินีจึงไม่ค่อยเล่าปัญหาในชีวิตคู่ให้กับพราวพุธฟังนักแม้ว่าจะพูดคุยกันผ่านโซเชียลมีเดียบ่อยที่สุด

ส่วนพิชชุดาหรือพลับ น้องสาวคนสุดท้องเป็นลูกสาวที่เกิดจากเพกา ภรรยาคนรองของเจ้าสัวสันต์ น้องสาวคนสุดท้ายที่นิสัยจะคล้ายคลึงกับพราวพุธ แต่ถูกผู้เป็นแม่ซึ่งเป็นภรรยาคนรองคอยปรามเอาไว้ ด้วยความที่เป็นผู้มาทีหลังจึงอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แม้ว่าคุณสมพิศ ภรรยาคนแรกจะเสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้วแต่เพกา ก็ยังไม่เคยยกตัวเองขึ้นมาแทนที่และยังสอนลูกสาวให้อยู่อย่างเจียมตัว เชื่อฟังคำสั่งของพี่ๆเสมอมา

ครอบครัวสิริสกุลจึงไร้ซึ่งปัญหาภายใน แม้ว่าจะมีภรรยาสองคน มีลูกๆที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันเต็มตัว แต่ด้วยเจ้าสัวสันต์เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีความยุติธรรม อบรมให้ลูกๆรักและสามัคคี ทุกคนเรียนจบชั้นมัธยมในโรงเรียนเดียวกันและศึกษาชั้นสูงขึ้นในต่างแดน ตามรอยของพิลาสินี

ความรักและความเมตตาที่เจ้าสัวสันต์และคุณสมพิศมีให้เป็นบุญคุณที่หญิงสาวไม่สามารถทดแทนได้หมดสิ้น แม้ว่าการแต่งงานกับชินเขตเมื่อห้าปีที่ผ่านมาจะไม่ต่างจากการคลุมถุงชน แต่เธอก็ยินดีที่จะทำตามเพราะรู้ว่านั่นคือความปรารถนาดีของเจ้าสัวสันต์ ทั้งยังต้องหักใจตัวเองจากคนรัก แต่เธอก็ไม่เคยโยนความผิดในการครองคู่ที่ล้มเหลวให้ใครได้แต่คิดว่ามันคือโชคชะตา หรืออาจจะเป็นเวรกรรมในครั้งเก่าที่เธอต้องชดใช้ให้ชินเขต คงจะเป็นความคิดที่ทำให้จิตใจเป็นปกติที่สุดแล้ว

 

ชั่วโมงต่อมาพิลาสินีถูกเพกาคะยั้นคะยอให้รับประทานอาหารหลายอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารบำรุงสุขภาพทั้งนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังเป็นไปด้วยความอบอุ่น แม้ว่าพิลาสินีจะข่มอารมณ์เก็บเรื่องกังวลใจต่างๆเอาไว้แล้วทำตัวร่างเริงเช่นเดิม แต่มีหรือที่เจ้าสัวสันต์ นักธุรกิจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งชีวิตจะไม่รู้ว่าลูกสาวกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ

“ชินเขตกลับถึงไทยวันนี้ใช่ไหม?” สันต์ สิริสกุลถามขึ้นหลังจากที่วางแก้วโสมลงตรงหน้า

“ค่ะ” พิลาสินีรับคำสั้นๆและก้มลงจัดการกับแปะก๊วยนมสดในถ้วยแก้วต่อไปเงียบๆ หากเสียงถอนหายใจของผู้เป็นพ่อ ทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารชะงักการรับประทานของหวานและมองใบหน้าประมุขของบ้านที่ดูกังวลใจยิ่งนัก

“นี่กลุ่มเงินทุนดับเบิ้ลซี ก็ต้องมาถูกร่างแห่ไปกับเราด้วย แล้วยังต้องให้ชินเขตบากหน้าไปขอกู้เงินจากต่างประเทศมาอีก ป๋าไม่เคยคิดเลยว่าบริษัทเราจะย่ำแย่ถึงขนาดนี้” สันต์บอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

หากลูกสาวที่ได้ยินพ่อเอ่ยถึงสามีของตนเช่นนั้นกลับพูดไม่ออกอย่างคนน้ำท่วมปาก ไม่กล้าที่จะบอกเล่าความจริงทั้งหมดให้ท่านรับรู้เพราะสุขภาพไม่สู้ดี เป็นตัวแปรหลักให้พิลาสินีต้องอดทน แบกรับเรื่องทุกอย่างเอาไว้เพียงผู้เดียว

“อย่าคิดแบบนั้นสิคะ คุณชินเขตเขาเป็นสามีของเพลงก็เท่ากับเป็นคนในครอบครัวของเราเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วที่ต้องแก้ไขปัญหาช่วยกัน” พิลาสินีบอกพลางยื่นมือไปวางทับลงบนหลังมือของผู้เป็นพ่อ บีบกระชับและคลายเป็นจังหวะอย่างให้กำลังใจ “คุณป๋าปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของเพลง เพลงสัญญาว่าจะทำให้ทุกวิถีทางกอบกู้สถานการณ์ของสิริแอทเซทให้ดีขึ้น ขอแค่อย่างเดียว... คุณป๋าต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ต้องเห็นกับตาว่าหุ้นของเรากำลังไต่ระดับขึ้นจนถึงจุดที่คุณป๋าพอใจ ได้ไหมคะ?”

“นั่นสิคะ ถ้าคุณมีร่างกายแข็งแรง ลูกๆก็จะสบายใจ ไม่เป็นกังวลอะไรแล้วก็ยังทุ่มเทกับการได้เต็มที่ คุณเหนื่อยมามากแล้วคอยเป็นกำลังใจและคอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างหลังดีกว่านะคะ ที่สำคัญคือต้องรักษาสุขภาพให้มาก” เพกากล่าวเสริม

“พลับก็จะพูดกับคุณป๋าเหมือนกันค่ะ แต่คุณแม่กับคุณเพลงแย่งพูดไปหมดแล้ว” พิชชุดาบอกพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงร่าเริงเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งหมดบนโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี แม้จะมีเรื่องทุกข์ใจแต่ความรักและอบอุ่นในครอบครัวก็เป็นภูมิคุ้มกันให้จิตใจแข็งแรง

เจ้าสัวสันต์ยิ้มให้กับครอบครัวของตน กำลังใจเดียวที่ทำให้ยังสู้กับโรคประจำตัวที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ อย่างน้อยก็อยากเห็นลูกสาวคนเล็กประสบความสำเร็จในการเรียน ถึงวันนั้นก็คงจะนอนตายตาหลับแล้ว แต่เวลานี้สิ่งที่ต้องทำคือกอบกู้สถานการณ์ของสิริแอทเซทให้ได้ จึงหันไปถามพิลาสินีที่ไม่ได้มีสายเลือดของตนไหลเวียนอยู่ในตัวเลยสักนิดแต่กลับรักและกตัญญูจนไม่เคยคิดว่าพิลาสินีเป็นเด็กที่เก็บมาอุปการะเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นทานของหวานแล้วก็รีบกลับบ้านซะนะ ชินเขตกลับมาเหนื่อยๆคงอยากจะเจอหน้าเรา” สันต์บอก

“เอ่อ...”

เมื่อเห็นลูกสาวทำท่าอ้ำอึ้งจึงย้ำถามด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าเราจะค้างที่นี่”

“กลับไปถามคุณชินเขตให้รู้เรื่องก็ดีนะคะคุณเพลง จะได้รู้ว่าแบงก์ที่สวิตเซอร์แลนด์ เขาปล่อยกู้ให้เรารึเปล่า” เพกา ออกรับแทนเพราะพอจะรู้อยู่บ้างว่าชีวิตครอบครัวของทั้งคู่ไม่ราบรื่นนักแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกสามีเพราะพิลาสินีขอร้องเอาไว้

“พูดอะไรอย่างนั้น การกู้เงินมันก็เหมือนการเสี่ยงดวง ต่อให้หลักฐานแน่นแค่ไหนแต่ดวงไม่ดีก็จบกัน” สันต์พูดและหันไปย้ำกับลูกสาวอีกครั้ง “ถ้าชินเขตบอกว่าไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องไปต่อว่าอะไรเขาหรอกนะ เท่าที่เขาตั้งใจจะช่วยนี่ป๋าก็ขอบใจแล้ว”

พิลาสินียิ้มรับกับคำสั่งสอนของผู้เป็นพ่อและลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเมื่อรับประทานของหวานเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆและพยักหน้ารับเมื่อผู้เป็นพ่อบอกให้รีบกลับไปปรนนิบัติสามี ทั้งยังย้ำให้ค้างที่บ้านของชินเขตซึ่งใช้เป็นเรือนหอตั้งแต่มีพิธีวิวาห์ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้นร่วมกับแม่สามีเสียมากกว่า เรื่องเล็กๆน้อยๆในการดำเนินชีวิตซึ่งบางครั้งทำให้อารมณ์เสีย นั่นคือการกระทบกระทั่งกับแม่สามีซึ่งเธอไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเป็นอารมณ์และไม่เคยปริปากเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าสัวสันต์ฟังสักครั้ง จะมีก็แต่เพกาซึ่งกำลังเดินตามออกมาจากห้องรับประทานอาหารที่พอจะทราบถึงความสัมพันธ์ของเธอและชินเขต

“แม่เล็กว่าไม่ต้องไปถามให้เสียอารมณ์หรอก ยังไงๆคุณชินเขตก็ไม่มีทางหาเงินมาให้เราได้เพราะว่าเขาไม่ได้ไปทำงานแต่ไปเที่ยว หนำซ้ำคงควงผู้ชายไปพลอดรักกันให้ฉ่ำปอดกระมัง”

“ชูว์... เบาๆค่ะ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า” พิลาสินียกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากและชะเง้อมองรอบๆอย่างระแวดระวัง

เพกาถอนหายใจนึกสงสารพิลาสินีที่เธอรักไม่ต่างจากลูกในไส้ของตน “คุณเพลงไปเก็บเสื้อผ้ากลับมาอยู่บ้านเราเถอะค่ะ เรื่องมันมาจนถึงป่านนี้แล้ว ยังไงซะคุณป๋าก็ต้องรู้ความจริงว่าลูกเขยที่เลือกเองกับมือเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”

“อย่าเชียวนะคะ... “ ห้ามยังไม่ทันจบประโยค เพกาก็ดักคอขึ้นเสียก่อน

“เรื่องสุขภาพของคุณป๋านั่นอย่าห่วงเลย แม่เล็กรู้ว่าเรื่องของชินเขตไม่มีผลต่อจิตใจของคุณป๋าเท่ากับเรื่องสิริแอทเซทหรอก คุณเพลงรีบไปเก็บเสื้อผ้าแล้วมาอยู่บ้านเราเป็นการถาวรเลยดีกว่า เดี๋ยวแม่เล็กจะให้น้องพลับไปด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เพลงไปคนเดียวจะคล่องตัวกว่า” พิลาสินีรั้งแขนของเพกาเอาไว้และขอร้องด้วยเหตุผลที่ตนคำนึงถึงเป็นอันดับแรก “เพลงยังไม่อยากให้ใครได้รู้เรื่องความสัมพันธ์นี้ค่ะ เพราะมันจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของผู้บริหาร คนที่มองเข้ามาต้องเห็นว่าครอบครัวเราดูวุ่นวาย จัดการเรื่องธุรกิจผิดพลาดไม่พอ เรื่องส่วนตัวก็เป็นปัญหา มันมีแต่เสียกับเสียนะคะ”

เพกาส่ายหน้าอย่างจนใจ ไม่มีเหตุผลจะไปโต้แย้งกับพิลาสินีแม้ว่าใจจริงจะไม่เห็นด้วยที่คนของตนต้องจมปลักอยู่กับผู้ชายที่ไม่เคยมีจิตพิศวาสในเพศตรงข้าม แน่นนอนว่าเธอไม่ได้เป็นพวกเหยียดเพศแต่สิ่งที่พิลาสินีได้รับอยู่นี้ไร้ซึ่งความยุติธรรมนัก

“เชื่อเพลงสักครั้งนะคะ ถือว่าขอร้องก็ได้ เพลงจะไม่ยอมอยู่ในสภาพแบบนี้ไปเรื่อยๆแน่ แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา” พิลาสินีบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังต้องพยักหน้ารับ “นับจากวันนี้เพลงจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเรา เพลงอยากให้แม่เล็กเป็นธุระคุยกับคุณป๋าให้ด้วย จะยกเหตุผลอะไรขึ้นมาอ้างไปก่อนก็ได้ จัดการเรื่องสิริแอทเซทเรียบร้อยเมื่อไหร่เราค่อยหาโอกาสเหมาะๆเลียบเคียงบอกคุณป๋า”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่เล็ก คุณเพลงรีบไปรีบกลับนะ ถ้ากลับมาไม่ดึกนักแม่เล็กมีเรื่องจะคุยด้วย”

“ค่ะ... งั้นเพลงไปก่อนนะคะ”

เพกามองตามร่างระหงของพิลาสินีที่ลงบันไดไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล บ่อยครั้งที่มีโอกาสได้พบเจอกับชวนพิศ ผู้เป็นแม่ของชินเขตตามงานสังคม คำโอ้อวดที่ออกจากปากของชวนพิศนั้นทำให้สะอิดสะเอียนไม่น้อย บ่อยครั้งที่อยากป่าวประกาศให้คนในวงสังคมได้รู้ในยามที่ชวนพิศโยนความผิดให้กับพิลาสินีในเรื่องทายาท ชาตินี้ชวนพิศคงไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุลเพราะลูกชายมีจิตใจชอบพอไม้ป่าเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องนับหนึ่งถึงร้อยในใจปล่อยให้ชวนพิศพูดได้อย่างสนุกปากและหวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้แก้ต่างแทนพิลาสินีบ้าง

คิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องเดินกลับเข้าไปด้านใน สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเป็นการสวดมนต์ไหว้พระ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ตนและครอบครัวผ่านพ้นจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ไปได้ด้วยดี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา