สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์

8.7

เขียนโดย ชาร์ลี

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.

  6 ตอน
  4 วิจารณ์
  8,153 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) III: บนกำแพงเมืองทิศเหนือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

III
บนกำแพงเมืองทิศเหนือ

 

ไม่เคยมีวันไหนที่บ้านหอคอยจะเงียบสงบ แม้ตอนนี้จะค่ำแล้วแต่ก็ยังมีเสียงโหวกแหวกดังมากจากชั้นบนสุดของบ้าน เสียงนั่นมาจากรีมัส ผู้พยายามจะแย่งหนังสือสุดล้ำค่าของนิโคลัส โดยมีวิลเลียมกับเทรซีให้การสบับสนุนอยู่ห่าง ๆ


“พวกพี่ถอยไปห่าง ๆ เลยนะ เลิกยุ่งกับฉันสักทีจะได้มั้ย เทรซีเธอหลบไปเลย!” นิโคลัสบอกอย่างรำคาญ มือทั้งสองกอดหนังสือสีแดงแน่นแนบอก


“อย่าหวงไปหน่อยเลย นายรักหนังสือมากกว่าพี่ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” รีมัสว่า สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าอยากเปิดดูภายในหนังสือแทบคลั่ง


“ก็ฉันไม่ไว้ใจนี่นา เกิดทำขาดขึ้นมาจะทำยังไง” นิโคลัสบอกอย่างหวงแหน กวาดสายตามองรีมัส วิลเลียมกับเทรซีไปมา ราวกับว่าคนใดคนหนึ่งอาจฉกมันไป


“เอาล่ะ พวกเราก็ไม่ได้สนใจหนังสือห่วย ๆ ของนายเท่าไหร่หรอกนะ” วิลเลียมทำเสียงประชดประชัน จากนั้นก็เดินไปกอดคอรีมัสที่ยืนอยู่ปลายเตียงไม้เล็ก ๆ ขนาดสามฟุต


“ช่าย” รีมัสเสริม ก่อนจะพูดอย่างล้อเลียน “ก็แค่หนังสือภาพวาดเด็ก ๆ โถ่น้องพี่”


บางอย่างในตัวนิโคลัสกรีดร้อง เขาไม่ใช้เด็กและเขาก็อายุตั้งสิบสองปีแล้วด้วย


นิโคลัสบีบหนังสือแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นให้รีมัสอย่างไม่เต็มใจ รีมัสเหลือบมองนิโคลัสแวบหนึ่งก่อนจะรีบดึงมันไปและหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็พากันขึ้นไปนั่งบนเตียงและพลิกเปิดหน้ากระดาษจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ


เทรซีเดินเข้ามาใกล้นิโคลัส แต่เขากลับมองหล่อนด้วยสายตาพิฆาต เธอเองก็มีส่วนร่วมในการแย่งชิงหนังสือ แล้วตอนนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ


“ไม่เอาน่านิโคลัส พวกนั้นไม่ระเบิดหนังสือนายหรอกฉันรับรอง” เทรซีพยายามเพิ่มความเชื่อมั่นให้นิโคลัส “ฉันดีใจนะที่นายขยันอ่านหนังสือมากกว่าเดิม”


“โอ ขอบใจนะยัยตัวแสบ” นิโคลัสแดกดัน “ฉันจะอ่านก็ต่อเมื่อมันน่าสนใจ ซึ่งฉันก็พบว่ามันน่าสนใจจริง ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าบันทึกการเดินทางของแอ็งกัส ไม่ก็วัฏจักรชีวิตของกบบลูฟร็อกของเธอแน่นอน”


เทรซีหน้าแดง เธอไม่ชอบให้คนอื่นติรสนิยมการอ่าน ซึ่งเธอถือเป็นเรื่องหยาบคายมาก ปกติเทรซีคงปี๊ดแตกไปนานแล้วแต่คราวนี้บางอย่างทำให้เธอสามารถระงับมันไว้ได้


“ก็อาร์ทิมีสให้ฉันนิ เป็นใครก็ต้องอ่าน”


ขณะที่เทรซีตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมวงกับพวกพี่ ๆ ที่เตียงนอน น้ำเสียงผิดหวังของวิลเลียมก็เอ่ยขึ้น


“นิค นายล้อฉันเล่นใช่มั้ย ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” วิลเลียมบอกเสียงสูง พร้อมกับชูหนังสือขึ้นเหนือศีรษะ “มีแต่หน้ากระดาษเปล่า ๆ”


รีมัสพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเห็นพร้อง ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก นิโคลัสหันไปจ้องหน้าเทรซีตาโตและหันกลับไปมองหน้าหนังสือที่ถูดเปิดอย่างสุ่ม ๆ โดยวิลเลียม ทุกอย่างยังคงปกติดี ตัวอักษรเล็กจิ๋วอัดแน่นอยู่ในแผ่นกระดาษปาปิรุสเล็ก ๆ ส่วนด้านล่างข้อความมีภาพวาดมังกรนอนขดตัวอยู่


“พี่ตาบอดเหรอวิล ตัวหนังสือพวกนั้นแทบจะกระโดดออกมาต่อยหน้าพี่อยู่แล้วนะ”


พูดจบนิโคลัสก็เดินเข้าไปคว้าหนังสือมาจากวิลเลียมและชี้นิ้วไปยังรูปมังกรที่วาดด้วยหมึกสีดำ


“นี่เรียกว่ามังกร…โถ่รีมัส พี่ไม่ต้องทำหน้าน่าสมเพชขนาดนั้นก็ได้” นิโคลัสว่าอย่างเหลืออด เขาไม่ตลกเลย ทุกคนทำเหมือนกับว่าหนังสือนี่ไร้สาระสิ้นดีและเขากำลังกลายเป็นตัวตลก


รีมัสถลึงตาใส่นิโคลัสก่อนจะเริ่มโวยวาย


“ก็ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลยนี่น่า ฉันไม่เห็นตัวหนังสืออะไรเลยสักตัว ส่วนมังกรนั่นยิ่งแล้วใหญ่”


“พวกพี่เลิกแกล้งฉันสักทีเถอะ ไม่ตลกเลยนะ” นิโคลัสเริ่มหงุดหงิดและปิดหนังสือเสียงดังลั่น


“นิโคลัส พี่ถือเป็นข่าวดีนะที่นายเริ่มรักการอ่านขึ้นมาบ้าง แต่นายชักจะอาการหนักแล้วนะ บางทีนายน่าพักผ่อนเสียบ้าง”


วิลเลียมบอกอย่างเห็นใจ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสงสารน้องชายตัวผอมแห้งตรงหน้า บางทีนิโคลัสอาจจะยังเด็กอยู่และโลกส่วนตัวก็ยังสูง


เทรซีที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเข้ามายุติทุกอย่าง


“พอเลย ๆ หยุดเถียงเรื่องนี้กันได้แล้ว” เธอบอก “แยกย้ายกลับห้องตัวเองซะ ดึกมากแล้วนะ”


“โอเค” รีมัสตอบ ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงในท่วงท่าสง่างาม


วิลเลียมเห็นว่าน่าสนใจดีจึงทำตามบ้าง เขาขึ้นมายืนข้างรีมัสและหัวเราะชอบใจ


“เอาล่ะ เข้านอนได้แล้วเด็ก ๆ” รีมัสบอก ก่อนจะยิ้มให้นิโคลัสอย่างเป็นห่วง เขาเกลียดรอยยิ้มนั่น


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็เดินลงบันไดไปยังห้องนอนของตัวเองที่ชั้นล่าง ปล่อยให้นิโคลัสจ้องมองหนังสือ “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ” เหมือนคนเสียสติ


เขากล้าสาบานว่าไม่ได้คิดไปเอง เนื้อเรื่องที่อดัม โฮลลิงสวอร์ธประพันธ์ขึ้นถูกถ่ายถอดเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนบนปาปิรุสเนื้อดี น้ำหมึกเองก็ฝังแน่นและไม่มีทางจะเลือนลางได้ง่าย ๆ นิโคลัสพลิกเปิดไปหน้าอื่นเพื่อพิสูจน์สายตาตัวเอง ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ตัวหนังสือ ภาพวาด ตัวหนังสือ แล้วก็ภาพวาด


“เทรซ ฉันไม่ได้คิดไปเองนะ พวกนั้นอำฉันไม่เข้าเรื่องเลย” นิโคลัสบอกอย่างมั่นใจและส่ายหัวเบา ๆ


เทรซีกลับไปยังเตียงของเธอซึ่งอยู่ติดขอบหน้าต่าง เธอเอนหลังพิงหัวเตียงและขบเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด


“ไม่รู้สินิค” เธอว่า เสียงเบาผิดปกติ “ฉันไม่คิดว่าตัวเองเห็นอะไรในหนังสือของนายเหมือนกัน”


“โอเค้ เธอก็เอากับพวกนั้นด้วยใช่มั้ย” นิโคลัสพูดอย่างโมโห ก่อนจะซุกหนังสือไว้ใต้หมอน “เชิญตามสบายแล้วกัน ฝันดี!”


นิโคลัสเป่าตะเกียงน้ำมันที่หัวเตียง ทันใดนั้นครึ่งหนึ่งของห้องก็ถูกความมืดกลืนกิน ยกเว้นฝั่งเทรซีที่อยู่ติดกับหน้าต่าง เธอนั่งมองคู่แฝดนอนหันหลังให้อย่างรู้สึกผิด พูดกันตามตรงเธอไม่ได้โกหกเขาเพื่อปั่นหัวเล่น แต่เธอไม่เห็นอะไรในหนังสือเล่มนั้นจริง ๆ แม้แต่หยดน้ำหมึก มีเพียงแค่หน้ากระดาษเปล่า ๆ


“ฝันดีนิโคลัส” เทรซีบอก เสียงของเธอแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ


สายลมหนาวพัดเข้ามาในห้อง มันหอบเอากลิ่นน้ำค้างมาด้วยซึ่งเป็นกลิ่นที่เทรซีแสนจะโปรดปราน ผ้าม่านที่ทำจากเศษผ้าเย็บติดกันปลิวสะบัดไปตามแรงลม ก่อนจะสงบนิ่งอีกครั้ง เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กในบ้านหอคอยเริ่มเงียบหาย และถูกแทนที่ด้วยเสียงเห่าน่ารำคาญของโจอี้


นับเป็นความโชคดีที่เธอเกิดมาเป็นลูกคนสุดท้อง (กับนิโคลัส) ห้องนอนบนชั้นเจ็ดต้องขอบอกว่าวิวดีใช่เล่น มันอยู่สูงมาก เลยหลังคาอาคารบ้านเรือนหลังอื่น ๆ ในระแวกใกล้เคียง เทรซีทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งเธอมักจะทำเป็นประจำก่อนอ่านหนังสือ เผยให้เห็นภาพวิวทิวทัศน์ยามราตรีของเมืองเดอะ เกรนจ์ มันช่วยทำให้สมองปลอดโปล่ง เมื่อมองต่ำลงไปเบื้องล่างก็พบกับแสงไฟจากตะเกียงจากบ้านหลังอื่น ๆ ที่ยังคงสว่างอยู่ มันส่องลอดออกมาทางบานหน้าต่าง ทอแสงสีเหลืองนวลชวนอบอุ่น


ไกลออกไป เทรซีสามารถมองเห็นพระราชวังมอนต์โกเมรีได้อย่างชัดเจน ที่นั่นมีคบไฟจุดสว่างไสวตลอดทั้งคืน ซึ่งทำให้เป็นจุดเด่นมากในยามราตรี โดมสีทองส่องประกายวิบวับเมื่อต้องแสงจากคบไฟ เธอชอบมัน และอดคิดไม่ได้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้เข้าไปในนั้น โดยปราศจากความช่วยเหลือจากมาร์ลี


บางครั้งเธอคิดว่าเห็นแสงไฟจากภูเขามีกส์ที่อยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศเหนือ เทรซีคิดว่านั่นอาจเป็นแสงจากคบไฟของพวกนายพราน บางทีอาจมีฮิวโก้ร่วมขบวนด้วย เธอมองจุดแสงเล็ก ๆ นั่นจนพระทั่งลมหนาวพัดมาอีกละลอก เทรซีก็ตัดสินใจละสายตาจากภาพเบื้องหน้าและก้มหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางไว้ใต้เตียง เธอวางมันลงที่ขอบหน้าต่าง เผยให้เห็นหน้าปกสีเขียวมีตัวหนังสือสีเงินว่า


บันทึกการเดินทางของแอ็งกัส
โดย แอ็งกัส เบิร์ก


เทรซีลูบมือไปบนหน้าปกอ่อนนุ่ม ก่อนจะพลิกเปิดไปยังหน้าที่อ่านค้างไว้เมื่อคืน ความจริงเทรซีเองก็ไม่แน่ใจนักว่าอาร์ทิมีสเป็นคนให้หนังสือเล่มนี่กับเธอ เธอได้รับมันมาจากชายคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบสีน้ำตาลของนายทะเบียน เขามีรูปร่างผอมบาง เส้นผมสีดำมันเยิ้มกับฟันคู่หน้าที่ใหญ่ผิดปกติ ขณะที่เทรซีกำลังมกมุ่นอยู่ในแผนกหนังสือจำแนกกลุ่มดวงดาว ชายผู้นี้ก็ปรากฎตัวและตรงเข้าหา เขามอบหนังสือเล่มนี้ให้โดยอ้างว่าอาร์ทิมีสเป็นคนฝากมา ตอนนั้นเทรซีดีใจมากจนไม่ทันคิด เมื่อเธอรับมันมาและชายคนนั้นก็จากไป ก่อนกลับเธอขอบคุณอาร์ทิมีสสำหรับหนังสือ แต่หญิงชราสวมแว่นตาหนาเตอะกับจ้องหน้าเธอย่างงุนงง ดังนั้นเทรซีจึงรีบออกมาจากร้านโดยไม่ลืมซ่อนหนังสือไว้ในเสื้อคลุม


แสงจันทร์สว่างมากพอจนไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง ซึ่งเทรซีเองก็ระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมากเพราะเธอไม่อยากให้ไฟไหม้หนังสือสุดโปรดแน่ ๆ บนหน้าที่เปิดทิ้งไว้มีชื่อแผนที่เขียนอยู่ตรงกลางที่หัวกระดาษ “เมืองหิมะ” ลายเส้นอ่อนช้อยบรรจงลากตัดผ่านกันจนเกิดเป็นรูปเป็นร่าง เทรซีใช้นิ้วไล่ไปตามลายเส้นและหยุดที่จุดต่าง ๆ ที่เธอสงสัย ก่อนจะพาตัวเองจมดิ่งเข้าสู่อีกโลกอย่างช้า ๆ


•••


เสียงเห่าตอนเช้ามืดของโจ้อี้ทำให้ซูซานสะดุ้งตื่น เธอใช้มือคลำไปที่นอนข้าง ๆ มันว่างเปล่า ไซมอนคงนอนหลับในคลินิกอีกแล้ว ซูซานลุกขึ้นจากเตียงอุ่น ๆ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว


เธอมวยผมด้วยปิ่นเงินขณะเดินออกจากห้องนอนสู่ห้องครัวอันมืดสลัว ซูซานเทน้ำในไหใส่กาต้มน้ำทองเหลืองบุบบี้ จากนั้นก็แขวนไว้เหนือกองไฟในเตาผิงเล็ก ๆ เธอเตรียมรากสมุนไพรใส่ถุงชาขณะรอน้ำเดือด ไม่นานโจ้อี้ก็ตั้งต้นเห่าอีกครั้งและซูซานก็จะไม่ทนอีกต่อไป เธอเดินจำอ้าวไปตามทางเดินแคบ ๆ ตรงไปยังประตูบ้าน และเปิดออกโดยไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้ที่ข้างประตูมาด้วย


สุนัขผอม ๆ ขนสีดำยาวกำลังวิ่งไปมาบนทางเดินสู่ประตูรั้ว ด้านขวาคือคลินิกของไซมอนซึ่งทอดยาวไปถึงรั้วบ้านเช่นกัน ซูซานมองเข้าไปภายในคลินิกผ่านทางหน้าต่าง ทุกอย่างเงียบสงบ ซึ่งแปลว่ามันเรียบร้อยดี โฮ้ง โฮ้ง


“โอย สวรรค์โปรดโจอี้ หยุดเห่าได้แล้ว” ซูซานตวาดเจ้าสุนัขพันธุ์คอเคเชียน เซพเพิร์ด มันหยุดวิ่งทันทีและหันมามองเธอ บางอย่างในประกายแววตาของมันทำให้ซูซานรู้สึกแปลก ๆ มันพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง


เมื่อเสื้อคลุมสีม่วงถูกสวมใส่ ความอบอุ่นก็หุ่อหุ้มร่างผอมบางของซูซาน เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับต้านทานอากาศหนาวเย็นภายนอก เธอสวมรองเท้าบู้ตหนังเก่า ๆ ก่อนจะเดินไปยังรั้วบ้านที่ก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่
ซูซานเปิดประตูเล็ก ๆ ที่ทำจากเศษไม้ ซึ่งไซมอนใช้ความพยายามอย่างมากในการทำประตูบานนี้ขึ้นมา เพราะไม้ไม่ใช่ของที่หาได้ง่าย ๆ เมื่อเธอแง้มเปิดบานประตู บรรยากาศภายในตรอกสายฟ้าก็ปราฏตรงหน้าซูซาน แม้มันจะค่อนข้างมืดแต่ก็พอมองเห็นได้ว่าถนนเส้นเล็ก ๆ โล่งเปล่า เธอยื่นหน้าออกไป มองไปทางซ้าย ขวา ซึ่งก็ไม่พบอะไร จู่ ๆ เจ้าโจอี้ก็เดินแทรกเข้ามาในหว่างขา


“เห็นมั้ย ไม่มีอะไรเลย” ซูซานบอกโจอี้ที่ยืนอยู่ใต้หว่างขา หูของมันตั้งตรง ราวกับกำลังดักฟังเสียงที่ซูซานไม่มีทางได้ยิน


มันทำจมูกฟุตฟิตอย่างที่สุนัขชอบทำ จากนั้นก็ทำเสียงขู่ในลำคออย่างเตือนอันตราย ช่วงเวลานั้นเองมีบางอย่างเคลื่อนไหวที่ซอกตึกมืด ๆ ตรงข้ามถนน เจ้าสุนัขตั้งท่าจะวิ่งไล่กวด แต่ซูซานคว้าเข้าที่คอของมันเอาไว้ได้ ดังนั้นสิ่งที่มันทำได้คือแค่เห่าอย่างบ้าคลั่งต่อไป โฮ้ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


“ใจเย็นเด็กดี ไม่มีอะไรหรอก” ซูซานบอก พร้อมกับลูบหัวเล็ก ๆ ที่เปียกน้ำค้างของมัน “คงเป็นพวกขอทานละมั้ง”


โจอี้ครางหงิง ๆ อย่างรู้สึกเสียดาย ก่อนจะลอดจากอ้อมแขนของซูซานกลับเข้าไปในบ้าน เธอลุกขึ้นยืนและมองตรงเข้าไปในซอกตึกมืด ๆ พลางคิดในใจ มีเหตุผลที่เธอไม่ยอมปล่อยโจอี้ออกจากบ้าน ก่อนหน้านั้นซูซานเคยเลี้ยงแมวตัวเมียสีขาวตัวหนึ่ง มันตัวเล็ก ซุกซนและน่าเอ็นดู แต่แล้ววันหนึ่งมันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไซมอนบอกว่ามันอาจปีนรั้วหนีออกไปข้างนอก ดังนั้นเธอจึงออกตามหามันจนทั่วตรอกจากนั้นก็ทั่วทั้งเมือง ช่วงนั้นซูซานร้องไห้หนักมาก ไม่เป็นอันกินอันนอน จนกระทั่งฮิวโก้กลับมาจากไปล่าสัตว์และเก็บสมุนไพรที่ภูเขามีกส์ เขากลับมาพร้อมเสบียงและสมุนไพรมากมาย โดยมีของแถมเป็นลูกสุนัขสีดำตัวเล็ก ๆ ในถุงย่าม


หลังจากนั้นมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซูซานไม่มีทางปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของเธอวิ่งเข้าไปในตรอกนั้นแน่ ๆ เธอรีบปิดประตูรั้วและวิ่งแจ้นเข้าไปในบ้านเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้มน้ำทิ้งเอาไว้


เวลาผ่านไปจนกระทั่งหกโมงครึ่ง ไซมอนเดินเข้ามาในครัวอย่างมึน ๆ หลังจากตื่นได้ไม่นาน เป็นอีกวันที่เขาเผลอหลับในห้องทำงาน ซึ่งทำให้รู้สึกผิดต่อภรรยาผู้ที่กำลังคนซุปถั่วในหม้ออย่างเหม่อลอย ก่อนที่ไซมอนจะทันได้กล่าวอรุณสวัสดิ์ เขาสังเกตุเห็นบางอย่างในครอบครัวที่เปลี่ยนไป


“ที่รัก คุณทำอะไรกับห้องครัว” ไซมอมถามภรรยาอย่างประหลาดใจ “มันดู…สะอาด”


ซูซานเกือบเผลอทำทัพทีหลุดมือเมื่อได้ยินเสียงของสามี เธอมองไปรอบ ๆ ห้องครัวอย่างพอใจก่อนจะหันไปพูดว่า


“สะอาด ใช่แล้วล่ะ มันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วไซมอน”


ไม่มีกองถ้วยชามบนทางเดิน กองหนังสือบนโต๊ะหรือกองเครื่องไม้เครื่องมือทำอาหาร ซึ่งตัวการที่ทำให้ห้องครัวรกและคับแคบ ทั้งหมดนั่นถูกซูซานขนเอาไปไว้ในห้องเก็บสมุนไพรของไซมอน และคลุมด้วยผ้าอย่างดีเพื่อกันฝุ่น เธอวางแผนจะทำแบบนี้มานานแล้วแต่ไม่เคยมีเวลา หลังจากได้จิบชาสมุนไพรรากไม้และความกระปี่กระเป่าสูบฉีดไปทั่วร่าง ซูซานก็เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่


“ผมว่าแบบเก่าก็ดีอยู่แล้วนะซูซาน” ไซมอนบอกอย่างอาลัยอาวรณ์ “ดูอบอุ่นดี”


“เหลวไหล” ซูซานถลึงตาใส่ “ให้ฉันได้มีพื้นที่ขยับตัวหน่อยเถอะ”


ขณะที่ซูซานหันไปสนใจของเหลวสีเขียวที่กำลังเดือดปุด ๆ ในหม้อ เสียงเดินลงบันไดของใครบางคนก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูครัว


“อรุณสวัสดิ์ครับ” นิโคลัสเอ่ยทักทายอย่างกระฉับกระเฉ่ง


ทั้งสองหันมาลูกชายพร้อมกัน ไซมอนสังเกตุเห็นว่านิโคลัสสะพายย่ามคู่ใจไว้ จึงอดสังสัยไม่ได้


“นิค นั่นลูกจะไปไหน” ไซมอนถาม “ยังเช้าอยู่เลยนะ”


“ไปบ้านลุคครับ เรานัดกันทำการบ้าน”


พูดจบเขาก็ชี้นิ้วไปที่ย่ามสีดำ ตรงกลางมีลายที่ปักเป็บดาวห้าแฉกสีขาว มันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเดอะ เกรนจ์ ซูซานทำให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว


“ทำการบ้าน?” ไซมอนพูดเสียงสูง ไม่แน่ใจว่าควรเชื่อหูตัวเองดีไหม “เอ่อ…ตั้งใจนะลูก”


ซูซานเร่งรีบทำอะไรบางอย่าง มีเสียงจานชามดังกระทบกัน ไม่นานเธอก็มายืนตรงหน้านิโคลัส พร้อมกับกล่องสำรับอาหารที่ทำจากสแตนเลส เธอปิดฝาจนแน่นและยัดมันลงในถุงย่ามของนิโคลัส


“เอาไปกินด้วยเผื่อลูกหิว” ซูซานบอก จากนั้นก็จูบที่หน้าผากของเด็กชาย “มื้อเช้าสำคัญที่สุด”


ไซมอนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถูกตามที่ภรรยาของเขาว่า มื้อเช้าสำคัญที่สุด


“ขอบคุณครับแม่” นิโคลัสบอกพร้อมกับกอดซูซานแน่น “ตอนเย็นผมจะกลับมา”


พูดจบนิโคลัสก็สะพายย่ามที่หนักกว่าเดิมตรงไปยังประตูบ้าน เขาหมุนลูกบิดและเปิดมัน แสงแดดยามเช้าสาดกระทบใบหน้าจนเขารู้สึกปวดลูกตาตุบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ปรับสายตาได้ในไม่ช้า อากาศไม่หนาวเท่าไหร่นัก ซึ่งนิโคลัสชอบสุด ๆ เขาเกลียดอากาศหนาว


จริงอยู่ที่นิโคลัสมีการบ้าน แต่เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเพราะเช้านี้เขามีนัดกับลุคตอนเจ็ดโมงที่หน้าพระราชวัง ถึงอย่างนั้นเขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้เสร็จก่อนกลับบ้าน แต่สำหรับตอนนี้ ขบวนแห่เรือสามัญประจำวันอาทิตย์น่าสนใจกว่าเยอะ


•••


นิโคลัสเดินออกมาจากตรอกสายฟ้าและมุ่งหน้าไปยังพระราชวังมอนต์โกเมรี ถนนราชายังคงเป็นเช่นเดิม กว้างใหญ่และสกปรก เขาไม่เห็นวี่แววอัลบี้กับเพื่อนขอทานเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะได้พบอัลบี้อีกครั้ง แต่นิโคลัสก็ไม่สามารถไปยุ่งกับเขาได้อยู่ดี รังแต่จะเดือดร้อนเปล่า ๆ


ไม่นานนักก็มาถึงทางแยกเข้าสู่ถนนมาแล้วไป มันเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ที่แบ่งกั้นเขตแดนระหว่างพระราชวังกับบ้านเรือนของราษฏร นิโคนัสตัดสินใจเดินเลี้ยวซ้ายลงไปทางใต้


ถนนสายนี้มีลักษณะเป็นวงแหวน ล้อมรอบบริเวณพระราชวังเอาไว้ มันเชื่อมต่อกับถนนสายหลักสองแห่งซึ่งก็คือถนนราชาและถนนราชินีที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก อีกทั้งมันเป็นจุดรวมของเหล่าพ่อค้าจากนอกเมืองที่ขนเอาสินค้ามาขาย พวกนี้เข้ามาเพื่อแสวงหากำไร แต่ไม่เคยยอมหยุดพักที่นี่เลย ตกเย็นพวกเขาก็พากันหอบสินค้าที่เหลือขึ้นเกวียน จากนั้นก็เดินทางออกจากเมือง ความหวาดกลัวและเรื่องเล่าขานมากมายเกี่ยวกับเดอะ เกรนจ์มีอิทธพลต่อการค้าอย่างมหาศาล


นิโคลัสพบว่าช่วงเช้าบริเวณนี้คราคร่ำไปด้วยพ่อค้าที่มาพร้อมกับสัตว์พาหนะ มีเสียงพูดคุยจอแจตลอดเวลา ซึ่งทำให้ดูมีสีสัน บนถนนมีเกวียนคันหนึ่งลากด้วยม้าสีน้ำตาลสองตัว มันบรรทุกบางอย่างที่เป็ฯสีขาวและระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดด


“เกลือครับเกลือ มีใครจะซื้อเกลือมั้ย” พ่อค้าที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยายามตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกับเสียงตะโกนโวกแวกจากพ่อค้าคนอื่น ๆ


“เกลือดี ๆ จากทะเลชีบา หาซื้อยากนะจะบอกให้”


นิโคลัสยังคงเดินตามหลังเกวียนคันนี้ พร้อมกับมองดูพ่อค้าเกลือพยายามขายสินค้าของตน จู่ ๆ เกวียนก็หยุดเอาเสียดื้อ ๆ มีหญิงร่างอ้วนคนในชุดกันเปื้อนคนหนึ่งโบกมือเพื่อขอซื้อเกลือ พ่อค้าดีดนิ้วดังเปี๊ยะอย่างชอบใจก่อนจะรีบหยิบตาชั่งออกมาชั่งเม็ดเกลือ หลังจากนั้นทั้งสองก็ต่อราคากันไปกันมาซึ่งดูจะไม่จบง่าย ๆ
แม้นิโคลัสจะขัดใจกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ตื่นเต้นที่ได้มาถนนมาแล้วไปทุกครั้ง


เขาขึ้นไปยืนบนสะพานสำหรับข้ามแม่น้ำสายยาวที่ตัดผ่านกลางเมืองและพระราชวังมอนต์โกเมรี ทันเห็นพวกทหารกำลังจัดเตรียมเรือแห่จากข้างในรั้วพระราชวัง มีผู้คนมากมายเบียดเสียดกันบนสะพาน น่ากลัวว่ามันอาจจะถล่มลงไปในแม่น้ำ พวกพ่อค้าพากันชี้มือชี้ไม้ไปทางขบวนเรืออย่างตื่นเต้น จากนั้นก็พูดภาษาที่นิโคลัสฟังไม่เข้าใจ


ขณะเดียวกันนิโคลัสก็มองหาเด็กชายที่มีผมสีบลอนด์ทองและใบหน้าโดดเด่นซึ่งเต็มไปด้วยกะ เขาเดินไปทางฝั่งขวาของสะพานซึ่งใกล้กับพระราชวังมากที่สุด และพบลุคกำลังยืนเกาะราวเหล็กของสะพานอยู่
“ไงลุคกี้” นิโคลัสทักทายเด็กชายผมบลอนด์


ลุคพยักหน้าและทักทายกลับโดยไม่หันมามอง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เรือยาวซึ่งทำจากไม้เนื้อดี หัวเรือแกะสลักเป็นรูปปลา (เทรซีบอกว่ามันคือปลาโลมา) ลำเรือมีลวดลายสีทองปราณีตเป็นรูปดอกและใบบัว มีแท่นพระที่นั่งหรูหราตรงกลางและถูกครอบด้วยหลังคาที่ทำจากผ้าบาง ๆ คล้ายมุ้ง มีบริพาลสองคนกำลังจัดแต่งม่านนั่นให้เรียบร้อย เหล่าฝีพายนับสิบประจำตำแหน่งของตนที่กาบเรือสองฝั่ง หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ก้มคำนับเมื่อชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสีเขียวมรกตย่างกายขึ้นมาบนเรือ


“นั่นไง ฉันเห็นพระองค์แล้ว ทั้งสองเลย!” ลุคชี้นิ้วไปยังเรือพระที่นั่ง ตอนนี้มันถูกโดยสารโดยเจ้าของเรือผู้ทรงเกียรติ์


ไม่บ่อยครั้งที่จะได้เห็นองค์ราชากับองค์ราชินีเสด็จมาด้วยกัน ปกติแล้วจะสลับกันมาประกอบพิธี นับว่าเป็นความโชคดีของนิโคลัสกับลุคที่ได้เห็นพร้อมกันทั้งสองพระองค์


มอลคอล์ม สเปียร์ (อาจารย์ประจำวิชาสังคมศาสตร์) บอกว่าขบวนแห่เรือสามัญประจำวันอาทิตย์มีไว้สำหรับให้พระราชากับพระราชินีเสด็จให้ขวัญกำลังใจประชาชนของพระองค์ พิธีนี้เกิดขึ้นหลังจากวันแห่งหายนะเจ็ดสิบวัน และถือปฎิบัติทุก ๆ วันอาทิตย์โดยเหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกรุ่นสืบมา ก็คงจะจริงอย่างที่อาจารย์สเปียร์บอก ทุกคนอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้เพราะได้เห็นพระพักต์ของกษัตริย์เฟล็ตเชอร์และราชินีธีโอโดรา พระองค์เปรียบดั่งแสงสว่างแห่งความหวังในช่วงเวลาอันแสนมืดมน ทุกคนต่างเชื่อว่ากษัตริย์เฟล็ตเชอร์จะสามารถทำให้เมืองเดอะ เกรนจ์กลับมาเป็นดังเดิม แต่นี่ก็ผ่านมาหลายรุ่นแล้วจนกระทั่งกษัตริย์เฟล็ตเชอร์ที่สามขึ้นครองราชย์ นิโคลัสแน่ใจว่าไม่อาจทนรอไปถึงการครองราชย์ของกษัตริย์เฟล็ตเชอร์ที่สี่อย่างแน่นอน


เสียงแตรและเสียงดนตรีดังขึ้นจากที่ไกล ๆ มันดังมาจากเรือยาวลำนั้นก่อนที่เสียงโห่ร้องอย่างปริติยินดีของประชาชนจะกลบเกลื่อนมันไปในที่สุด ฝีพายทั้งหลายจ้วงไม้พายลงในน้ำอันขุ่นคลัก ขับเคลื่อนเรือพระที่นั่งหรูหราตรงไปยังประตูรั้วสีดำ เมื่อนายทหารประจำประตูรั้วทั้งสองเห็นเรือเคลื่อนเข้ามาใกล้ พวกเขาก็รีบเร่งเปิดประตูเปิดทางให้ กษัตริย์เฟล็ตเชอร์ลุกจากพระที่นั่งและเสด็จมายืนอยู่ที่หัวเรือ พร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนที่ยืนอยู่บนสะพานอย่างอ่อนโยน มงกุฏทองคำฝังเพรชของพระองค์สะท้อนแสงเจิดจ้า ไม่นานราชินีธีโอโดราก็เสด็จตามมาสมทบ


นิโคลัสกับลุคเฝ้ามองเรือพระที่นั่งสีทองล่องไปตามแม่น้ำตื้น ๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย ริมถนนสองฝั่งแม่น้ำมีผู้คนจำนวนมากรอต้อนรับการเสด็จ พร้อมกับตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจ โดยมีเรือเล็ก ๆ สองลำขององครักษ์ตามรั้งท้าย


ขบวนเรือแห่จะล่องไปรอบเมืองตามคลองน้ำที่ขุดไว้ ซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะล่องขึ้นไปยังประตูเมืองทิศเหนือและกลับเข้าสู่เขตพระราชวังในที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนก็กระจัดกระจายไปตามทางของตนและทุกอย่างก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง


•••


หลังจากนิโคลัสทานอาหารที่แม่เตรียมมาให้ เขาใช้เวลาที่เหลือของวันหมดไปกับการทำการบ้านต่าง ๆ นิโคลัสนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องนอนของลุค ซึ่งบ้านของเขาตั้งอยู่แถวประตูเมืองทิศเหนือ จากนั้นก็นั่งจมอยู่กับกองกระดาษปาปิรุสจำนวนมากมานานหลายชั่วโมง เมื่อเทรซีและมาร์ลีตามมาสมทบ นิโคลัสก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขากับลุคไม่มีทางทำการบ้านกองนั้นได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากสาว ๆ ทั้งสอง
ก่อนหน้านั้นนิโคลัสอ่าน “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ” เมื่ออ่านไปได้สักพักเขาก็ชักชวนลุคให้ลองอ่านดู ลุคหยิบหนังสือสีแดงไปตามคำเรียกร้องของเพื่อนก่อนจะนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ


“ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย ฉันซื้อหนังสือที่ไม่มีอะไรเลยให้นายอย่างนั้นเหรอนิค?” ลุคทำเสียงเหมือนคนเสียสติ จากนั้นก็มองหน้านิโคลัส


“ไม่เอาน่าลุค ฉันไม่โง่นะ” นิโคลัสว่า ก่อนจะทำหน้าบูดอย่างอารมณ์เสีย


“ก็มันจริงนี่นา ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย นอกจากกน้ากระดาษปาปิรุสเปล่า ๆ”


พูดจบลุคก็เปิดหน้าหนังสือทุกหน้าอย่างรวดเร็ว นิโคลัสสัมผัสในน้ำเสียงของเพื่อนรักได้ว่าเขารู้สึกเสียดายเงินมากแค่ไหน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้นิโคลัสรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น เขาคว้าหนังสือมาจากลุคอย่างรวดเร็วและยัดมันใส่กระเป๋าย่าม


“อ่อ งั้นฉันคงเป็นคนเดียวที่อ่านมันได้สินะ” นิโคลัสพูด รู้สึกน้อยใจที่แม้แค่เพื่อนสนิทอย่างลุคยังทำให้เขาผิดหวัง “เยี่ยมเลย!”


หลังจากนั้นนิโคลัสก็ตัดสินใจว่าจะไม่ให้ใครแตะต้องหนังสือเล่มนี้อีกต่อไป ทำไมใคร ๆ ถึงบอกว่ามันคือหนังสือเปล่า ๆ ทั้งที่มันมีทุกอย่างที่พวกเขาจะต้องร้อง “ว้าว” อย่างแน่นอน เรื่องนี้เริ่มรบกวนจิตใจของนิโคลัสมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกเขาคิดว่ารีมัส วิลเลียมกับเทรซีคงจะหลอกเขาเล่น ๆ แต่ลุคดันเป็นไปกับพวกนั้นด้วย ซึ่งทำให้นิโคลัสเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว


การบ้านเสร็จไปได้ด้วยดี โดยมีมาร์ลีพยายามสอนอย่างสุดความสามารถอย่างที่นักเรียนชั้นประถมจะทำได้ นิโคลัสพยักหน้ารับตอนที่เธอตั้งต้นอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการหักเหของแสง ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรนัก นิโคลัสกระพริบตาปิบ ๆ อย่างุนงงและตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่มีทางเรียนต่อทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน


“ฉันกลับก่อนดีกว่า เย็นมากแล้ว” มาร์ลีบอก ก่อนจะเดินไปยังหน้าต่างที่หัวเตียงของลุค ชะโงกหน้าออกไปส่องดูบรรยากาศยามเย็นภายนอก


“ฉันว่าเราก็ควรจะกลับได้แล้วนะนิโคลัส” เทรซีบอกเมื่อได้ยินมาร์ลีพูดเช่นนั้น เธอนั่งเล่นหมากฮอสกับลุคมาได้สักพักหนึ่งแล้วหลังจากทำการบ้านเสร็จ


นิโคลัสเดินไปทางหน้าต่างเช่นกัน บรรยากาศภายนอกเริ่มมืดสลัว เขามองเห็นดวงอาทิตย์กับท้องฟ้าสีแดงที่ฝั่งประตูทิศตะวันตก มีนกกลุ่มหนึ่งโผบินอยู่บนท้องฟ้า ก่อนพวกมันจะลับหายไปในหมู่เมฆ พวกมันมีอิสระที่จะไปไหนก็ได้ บางทีเขาก็อิจฉานกเหล่านั้น ชั่ววูบนิโคลัสเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้า เขาอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่นอกรั้วเมืองแห่งนี้ เขาแทบจะเฝ้ารอตัวเองอายุครบสิบสี่ปีไม่ไหว วันนั้นเขาถึงจะได้รับอนุญาตจากทางการให้มีอิสระในการเดินทาง


“เรากลับกันเถอะ” นิโคลัสพูด ยังคงมองออกไปยังที่ไกลแสนไกลจากหน้าต่าง


ลุคเก็บกระดานหมากฮอทที่ทำจากกระเบื้องไว้ใต้เตียง เทรซียิ้มให้ลุค แต่เขากลับยิ้มแหย ๆ


“เป็นอะไรไปนิโคลัส” มาร์ลีถามอย่างเป็นห่วง เขาเกือบลืมไปเลยว่าเธอก็ยืนอยู่ที่ข้าง ๆ หน้าต่าง


“เปล่า ๆ ฉันสบายดี” นิโคลัสบอก ก่อนจะเดินไปหยิบย่ามสีดำลายดวงดาวที่โต๊ะเขียนหนังสือ


มาร์ลีมองตามหลังอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่คิดติดใจอะไร


“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ลุค” นิโคลัสบอกหลังจากเดินมาถึงประตูหน้าบ้าน ลุคเดินตามมาส่งพวกเขาด้วย


“โอเค” ลุคบอก ยกมือโบกไปมา “บายเทรซี เธอด้วยมาร์ลี”


“เรากลับก่อนนะคะคุณนายแครมป์ตัน ขอบคุณที่ให้เรามารบกวน”


เทรซีบอกลาแม่ของลุคซึ่งกำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น หญิงผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมาและยิ้มกว้างให้


หลังจากออกมาจากบ้านของลุค นิโคลัสกับเทรซีก็เดินไปส่งมาร์ลีที่หน้าพระราชวัง ครอบครัวของเธอทำงานและพักอาศัยอยู่ที่นี่ พ่อของมาร์ลีเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัย ส่วนแม่ของเธอเป็นแม่ครัว พวกเขาเคยขอให้มาร์ลีพาเข้าไปข้างในพระราชวัง แต่มาร์ลีบอกว่ามันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ และเธอเองก็ไม่เคยไปส่วนในที่ลึกเกินกว่าห้องเก็บวัตถุดิบ


พระจันทร์ฉายรัศมีเปล่งปลั่งบนท่องฟ้าสีดำ แต่นิโคลัสกับเทรซียังเดินทางไม่ถึงบ้าน ทั้งสองเดินอยู่บนถนนมาแล้วไปซึ่งวังเวงพิกลในยามราตรี จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนราชาซึ่งนำไปสู่ทางกลับบ้านหอคอย พวกเขาเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านเร็วที่สุด วิลเลียมบอกว่าพวกทหารยามไม่ค่อยชอบใจนักถ้าเห็นเด็กเดินเตร่ข้างนอกยามวิกาล พวกเขาอาจจับไปโบยก่อนจะพาไปส่งที่บ้านในสภาพสะบักสะบอม แม้จะไม่อยากเชื่อวิลเลียมเท่าไหร่นัก แต่พวกทหารยามก็ดูน่าเกรงขามใช่เล่น


เมื่อมาถึง นิโคลัสปฏิเสธมื้อค่ำที่ซูซานสุดแสนจะตั้งใจทำ เขาให้เหตุผลว่าทานมาจากบ้านของลุคเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ ซูซานไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายของเธอพลาดมื้อค่ำแสนสำคัญไปได้ง่าย ๆ เธอขู่จะให้นิโคลัสไปแยกและคัดสมุนไพรที่ฮิวโก้เอากลับมาหากไม่ยอมทานมื้อค่ำ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่านิโคลัสไม่มีทางยอมทำงานนั้นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลับขึ้นไปบนห้องนอน


มีบางอย่างที่ทำให้นิโคลัสสนใจมากกว่าอาหารมื้อค่ำ สมองของเขากำลังจดจ่ออยู่กับภาพบางอย่างที่ปรากฏในหนังสือหน้าสุดท้ายของ “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ” เขาพบมันตอนนที่อ่านอยู่ที่บ้านลุค มันคล้ายตัวอักษร อาร์ หรืออาจเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง


นิโคลัสกระโดดขึ้นเตียงโดยที่ยังไม่ถอดเสื้อคลุม เขาเปิดย่ามและหยิบหนังสือสีแดงออกมา จากนั้นก็พลิกไปยังหน้า 232

 

เว็บขีดเขียน

 

ตัวอักษร อาร์ สีดำปรากฏชัดเจนอยู่กลางหน้ากระดาษ นิโคลัสเพ่งมองมันอย่างตั้งใจราวกับพยายามจะหาความหมายให้ได้ หลังจากที่เขาอ่านเนื้อเรื่องจนจบ ผู้เขียนก็ทิ้งท้ายด้วยตัวอักษรปริศนาโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ซึ่งนั่นทำให้นิโคลัสอึดอัดเหลือเกิน เขาตั้งใจจะถามเทรซีตอนเธอขึ้นมา แต่เมื่อนึก ๆ ดูแล้วไม่ถามเสียจะดีกว่า นิโคลัสไม่อยากถูกล้อว่าเป็นเด็กช่างจินตนาการเพ้อฝัน


เขาพับปิดหนังสือและลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็ถอดถุงเท้าและเสื้อคลุมสีน้ำตาลไว้ที่ตะขอบนผนัง เขากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้งและเปิดหนังสือสีแดงไปยังหน้าที่มีตัวอักษร อาร์


“มันคือสัญลักษณ์อะไรกันแน่” นิโคลัสพึมพำกับตัวเอง “หรือมันอาจเป็นรหัสลับ”


“รหัสลับอะไร” จู่ ๆ เสียงของเทรซีก็ดังมาจากประตูห้อง นิโคลัสสะดุ้งสุดตัว เขาลุกขึ้นนั่งหลังตรงและหันไปจ้องเทรซีตาโต ไม่รู้ว่าหล่อนยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน


เขาปิดหนังสือและซุกมันไว้ใต้หมอน จากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ


“ไม่มีอะไร” นิโคลัสเพิ่งรู้ตัวว่าพูดเสียงสูงกว่าปกติ


เทรซีหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ก่อนจะสบัดหน้าเบา ๆ และเดินตรงไปยังเตียงนอนติดริมหน้าต่าง


“เอาล่ะ ฉันก็ไม่รู้นายจะอ่านเจออะไรในหนังสือนั่นได้หรอกนะ” เธอบอก


จากนั้นเทรซีก็ก้มหยิบหนังสือสีเขียวออกมาจากใต้เตียง นิโคลัสมองหล่อนอย่างไม่ไว้ใจ


“แต่นายรู้มั้ย ฉันก็เจออะไรบางอย่าง…”


“เธอเองก็เอาแต่อ่านหนังสือนั่นเหมือนกัน” นิโคลัสโผงออกมา ชี้นิ้วผอม ๆ ไปที่หนังสือสีเขียวในมือของเทรซี “ฉันไม่เคยเข้าใจอะไรในนั้นเลยสักนิดเดียว มีแต่บันทึกประจำวันไร้สาระของนายพรานต๊องแอ็งกัส เขาเขียนตัวหนังสือกลับด้านนะเทรซ เธออ่านของแบบนั้นไปได้ยังไง?”


“มันคือแผนที่ต่างหากนิค!” เทรซีแย้งขึ้นทันทีอย่างเคือง ๆ ตามด้วยเสียงปิดหนังสือดังปัง “แล้วแอ็งกัสก็ไม่ใช่นายพรานด้วย เขาเป็นนักโบราณคดีที่เดินทางไปสถานที่ที่เราทำได้แค่ฝัน เขาไปแทบจะทั่วทุกซอกทุกมุมของโลก โดยบันทึกความทรงจำและรายละเอียดทุกอย่างเป็นแผนที่อย่างปราณีตสุด ๆ ฉันว่าสมองของนายทึบเกินจนมองไม่เห็นคุณค่าของมันมากกว่า ทีนี้ก็หยุดวิจารณ์หนังสือฉันเสียที!”


วินาทีนั้น อากาศหนาแน่นไปด้วยความเงียบ เมื่อครู่เทรซีเพิ่งจะระเบิดมันออกมา ราวกับว่าเธอเก็บมันไว้มานานแสนนาน เธอหอบหายใจอยู่บนเตียง พร้อมกับจ้องหน้านิโคลัสตาเป่ง เมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ดวงตาของเธอค่อย ๆ อ่อนแสงลง พร้อมกับความรู้สึกทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด


“นิโคลัส ฉะ…ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เทรซีพยายามแก้ตัว รู้สึกผิดที่ไม่เก็บอารมณ์ของตัวเองให้ดีกว่านี้ “ฉันขอโทษ”


นิโคลัสจ้องหน้าฝาแฝดของเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ คำพูดทุกอย่างของเทรซียังคงดังก้องอยู่ในหัว ขอบคุณที่เธอช่วยเน้นย้ำให้เขาให้ตระหนักถึง หล่อนไม่ได้พูดอะไรเกินจริงเลย


“ไม่หรอกเทรซ” นิโคลัสบอก น้ำเสียงราบเรียบ “เธอพูดถูก ฉันน่าจะรู้ตัวเองดี ฉันไม่มีอะไรดีเลย”


เทรซีทำหน้าเหหมือนจะร้องไห้ เธอกำลังจะลุกขึ้นจากเตียงนอนและตรงมาหานิโคลัส แต่เขาปรามเธอเอาไว้
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องฉันหรอกเทรซ” นิโคลัสบอก ก่อนจะเป่าตะเกียงน้ำมันที่หัวเตียง ทันใดนั้นซีกหนึ่งของห้องเล็ก ๆ ก็มืดลง


นิโคลัสล้มตัวนอนลงบนเตียงและหันหลังให้เทรซีอย่างจงใจ ดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง


“ฝันดีนะ”


เทรซีไม่ได้พูดอะไรอีกต่อจากนั้น เธอได้แต่กล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ในลำคอ จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมออกและแขวนไว้ที่ตะขอบนผนัง เปลี่ยนไปใส่ชุดนอนที่สบายตัวกว่าและอุ่นกว่า


ยอมรับว่าเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น ราวกับบางอย่างในตัวของเธอขาดออกจากกัน ซึ่งคงเป็นเส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างโทสะและสติ เทรซียกมือทั้งสองขึ้นปิดใบหน้าอย่างเสียใจ เธอปล่อยให้ร่างสั่นเพราะแรงสะอื้นต่อไปอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง หลังจากผ่านไปนานหลายนาที เทรซีก็รู้สึกเหนื่อยล้า เธอเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือและลุกขึ้นเป่าตะเกียงน้ำมันที่หัวเตียง ทั้งห้องทุกความมืดกลืนกินโดยสมบูรณ์แบบ ไร้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง คืนเดือนคว่ำมักจะนำพามาแต่เรื่องร้าย ๆ เสมอ


นิโคลัสผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกหนาวเหลือเกิน เขาสัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง มีเสียงหวีดหวิวดังเป็นจังหวะทุกครั้งที่ลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามา นิโคลัสนอนตัวสั่นและดึงผ้าห่มให้กระชับมากขึ้น สงสัยเหลือเกินว่าเทรซีคงจะลืมปิดหน้าก่อนเข้านอน แต่อากาศหนาวขนาดนี้หล่อนต้องลุกขึ้นมาปิดมันไปนานแล้วสิ


ขณะที่นิโคลัสพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตัวสั่นเพราะความหนาว อีกทั้งยังฝืนตัวเองให้ข่มตาหลับ เขาคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงกุกักเหมือนเสียงคนกำลังรื้อของดัง มันดังมาทางเตียงนอนของเทรซี เสียงนั่นยังคงดังต่อไปจนนิโคลัสตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง เมื่อไหร่เทรซีจะเลิกทำตัวน่ารำคาญกันนะ


นิโคลัสยังมัวขี้ตาอยู่ เขาใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างก่อนะจะปรับสายตาให้เข้ากับความมืดภายในห้อง เขาเห็นเงาดำ ๆ ของเทรซีกำลังทำก้มหยิบอะไรบางอย่างจากใต้เตียง เธอลุกขึ้นเต็มความสูง ใช้เหล็กไฟจุดตะเกียงที่หัวเตียง ก่อให้เกิดแสงสว่างวาบ แสงสีเหลืองนวลทอประกายรัศมีไปทั่วบริเวณนั้น อาบใบหน้าเรียวของเทรซีเหมือนคนผิวสีบ่มแดด นิโคลัสมองเธอย่างงุนงง ดึกขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่ยอมหลับยอมนอน เขาเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเธอสะพายกระเป๋าย่ามสีม่วงลายดาวไว้ที่ไหล่ซ้าย (เป็นของขวัญวันเกิดที่ได้มาจากซูซาน เธอทำสีดำให้นิโคลัส ส่วนสีม่วงเธอมอบให้เทรซี) และแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำ


เมื่อเธอเห็นว่านิโคลัสกำลังจ้องอยู่ เทรซีก็เอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากและทำเสียงชู่ จากนั้นก็หยิบตะเกียงออกมาจากฐานที่ตั้ง


“นั่นเธอจะทำอะไรน่ะเทรซี” นิโคลัสถามเสียงงัวเงีย “ดึกแล้วทำไมเธอถึงไม่นอน”


พูดจบนิโคลัสก็ดึงผ้าห่มมาพันตัว ลมหนาวยังคงพัดเข้ามาทางหน้าต่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เทรซีไม่ยอมตอบคำถาม เธอเพียงแค่ส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า แสงไฟจากตะเกียงทำให้เธอดูน่ากลัวมากจริง ๆ ทำให้เขานึกถึงความฝันในสุสาน


เทรซีหันหลังให้นิโคลัสและเดินไปทางหน้าต่าง ตอนนี้เองที่นิโคลัสกระโดดเด้งลุกขึ้นจากเตียง เขารู้ว่าเทรซีรู้สึกผิดที่เผลอหลุดปากต่อว่าเขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เธอก็ไม่ควรจะคิดสั้นแบบนี้ นิโคลัสเดินไปหาเทรซีที่ยืนอยู่ทางหน้าต่าง แม้จะใช้ความพยายามอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อาจควบคุมขาที่กำลังสั่นอย่างรุนแรงได้


“จะ…ใจเย็น ๆ ก่อนนะเทรซี” นิโคลัสยกมือสองข้างขึ้น “ฉันไม่ได้โกรธเธอแล้วนะ เธอคงไม่คิดจะกระโดดลงไปจริง ๆ ใช่มั้ย”


พูดจบนิโคลัสก็พยักเพยิดไปทางหน้าต่าง เขามองเห็นพื้นเบื้องล่างที่ดูห่างไกลจากข้างบน รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันที


สิ่งที่ได้รับคือความเงียบ เทรซียังคงไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ ของนิโคลัส เธอวางตะเกียงลงที่ขอบหน้าต่างและหันไปหยิบกองผ้าบนเตียง แม้นิโคลัสจะรู้สึกเปลกใจว่าทำไมตะเกียงถึงไม่ดับตอนที่ลมแรงระลอกหนึ่งพัดเข้ามา อย่างไรก็ตามตอนนี้เทรซีกำลังทำบางอย่างที่บ้าบิ่นเอามาก ๆ เธอกำลังผูกเชือกเส้นยาวที่ทำจากผ้าหลาย ๆ ผืนผูกต่อกันเข้าที่ขาเตียง เธอทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วก่อนจะโยนปลายเชือกออกไปทางหน้าต่าง


“เทรซ เธอบ้าไปแล้วเหรอ” นิโคลัสพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เธอคงไม่คิดจะหนีออกจากบ้านเพียงเพราะเราทะเลาะกันด้วยเรื่องงี่เง่าพวกนั้นหรอกใช่ไหม”


กระแสลมเย็นเยือกพัดมาอีกระลอก ทำให้เส้นผมสีดำหยักศกของเทรซีพลิ้วไหว เธอจัดการถักเปียเดี่ยวอย่างชำนาญการและมัดมันด้วยริบบิ้นที่ผูกไว้บนข้อมือ จากนั้นก็หยิบตะเกียงขึ้นมาจากขอบหน้าต่าง
“ฉันจะไปหาอาร์ทิมีส” เทรซีพูดขึ้นมาในที่สุด นิโคลัสไม่เคยรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงเธอเท่านี้มาก่อน แต่บางอย่างในน้ำเสียงของเทรซีแปลกไป มันฟังดูกลวง ๆ และก้องกังวานแปลก ๆ เหมือนเสียงของอัลบี้ที่ได้ยินในฝันร้ายครั้งก่อน


นิโคลัสกระโดดเข้าไปขวางหน้าต่างทันทีและกางแขนทั้งสองข้างออก เขาไม่มีวันปล่อยให้เทรซีออกไปข้างนอกคนเดียวยามวิกาลเด็ดขาด โดยเฉพาะการกระโดดออกไปทางหน้าต่างด้วยสิ่งรั้งชีพเพียงชนิดเดียวที่แสนจะไม่ปลอดภัย


“ไม่มีทางเทรซี ฮันเตอร์” นิโคลัสประกาศเสียงหนักแน่น “เธอเสียสติไปแล้วหรือไงหะ”
“เป็นทางเดียวที่จะรู้ความหมายของตัวอักษรนั่น” เทรซีตอบเสียงนิ่งเรียบ แต่เย็นเยียบเหมือนกระแสลมที่พัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


นิโคลัสจ้องหน้าเทรซีอย่างประหลาดใจ เธอพูดถึงตัวอักษรนั่นราวกับว่าเธอเองก็เคยเห็นมันมาก่อน เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาที่ใคร ๆ ควรจะไปหาอาร์ทิมีส หญิงชราเจ้าของร้านหนังสือคงนอนหลับฝันไปร้อยตลบในกองผ้านวมอุ่น ๆ กับแมวอ้วนสีดำสัตว์เลี้ยงของหล่อน


“เธอลงไปตามบันไดก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องทำเรื่องอันตรายแบบนี้เลย” นิโคลัสบอกอย่างเป็นห่วง


“เธอไม่เข้าใจนิโคลัส พวกเขาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ฉันไม่อยากปลุกคนอื่น ๆ ยังไม่ใช่ตอนนี้”


คำพูดของเทรซีดูมีลับลมคมในเอามาก ๆ ทำไมพ่อแม่และพี่คนอื่น ๆ จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้ แต่แล้วเขาก็นึกถึงคำพูดของรีสมัส วิลเลียมและลุคได้ ทุกคนคงคิดว่าเขาบ้าไปหมดแล้ว ไม่มีใครเชื่อว่าเขาอ่านหนังสือนั่นได้สักคน


“แต่นี่มันดึกมากแล้วนะเทรซี เธอจะไปหาอาร์ทิมีสตอนนี้ไม่ได้ ไหนจะพวกทหารยามอีกเป็นโหล ฉันเดาว่าเธอคงไปไหนไม่ได้ไกลเพราะดูจากสภาพเชือกนั่นแล้ว”


นิโคลัสชะโงกมองเชือกที่ห้อยต่องแต่งข้างนอก มันอาจยาวไปจนถึงหลังคาคลีนิก เขามองเห็นไม่ชัดนักเพราะสายลมที่พัดมันจนปลิวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ดูไม่ปลอดภัยเข้าไปอีก


แต่เทรซีไม่ฟังคำเตือนของนิโคลัส เธอใช้มือข้างที่ไม่ถือตะเกียงผลักเขาไปให้พ้นจากหน้าต่าง นิโคลัสกระเด็นไปกองกับพื้นราวกับถูกเหยี่ยงด้วยแรงมหาศาล เทรซีขึ้นไปยืนที่ขอบหน้าต่าง ไหล่ซ้ายสะพายย่ามสีม่วง มือข้างหนึ่งถือตะเกียง ส่วนอีกข้างจับเชือกเอาไว้โดยมีเสื้อคลุมของเธอกระพือไปมาเป็นฉากหลัง หล่อนยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระโดดลงไป นิโคลัสรู้สึกเหมือนลำไส้หดเกร็งและอยากอาเจียน


“ไม่ เทรซี!” นิโคลัสรีบลุกขึ้นยืนและพุ่งไปเกาะที่ขอบหน้าต่าง เมื่อชะโงกหน้าก้มมองเบื้องล่าง เขาก็เห็นเทรซีกำลังไต่เชือกลงไป เธอใช้เท้ายึดเกาะกับผนังบ้านทำและแนวเก้าสิบองศา ค่อย ๆ ปล่อยเชือกที่มือและกระโดดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอกระโดดลงไปทรงตัวที่หลังคาคลีนิก นิโคลัสอ้าปากค้างขณะมองทุกการกระทำของเทรซี จากนั้นเมื่อตั้งสติได้ เขาก็ตระหนักว่ามีเวลาไม่เหลือมากนักหลังจากนี้ เขารีบไปหยิบเสื้อคลุมตัวโปรดที่ห้อยอยู่บนตะขอจากนั้นก็สวมใส่ คว้าถุงย่ามออกมาจากใต้เตียงและไม่ลืมหยิบหนังสือ “คู่หูอัศวินพิชิตเจ้าแห่งไฟ” จากใต้หมอนและยัดลงในถุงผ้า แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่นิโคลัสก็อุ่นใจที่มีมันติดตัวมาด้วย


ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว และกำลังยืนอยู่อย่างหมิ่นแหม่ที่ขอบหน้าต่าง นิโคลัสเห็นเทรซีกำลังหาทางลงจากหลังคาคลีนิก ซึ่งเธอคงจะทำสำเร็จในไม่ช้า เขาตัดสินใจคล้องถุงย่ามไว้ที่คอ จากนั้นก็คว้าเชือกแสนอันตรายขึ้นมาและกำมันไว้ในมือแน่น นิโคลัสมองลงไปข้างล่างซึ่งความสูงชวนคลื่นไส้หวนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง ถ้าหากพลาดละก็มีหวังศพไม่สวยแน่ หัวใจของเขาเต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมาและจู่ ๆ ภาพใบหน้าของพ่อกับแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง นิโคลัสยังไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูพวกท่านเลย เขายังไม่อยากตาย
เด็กชายสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกลั้นเอาไว้ ก่อนจะผ่อนออกมาดังเฮือก


“เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน”


จากนั้นนิโคลัสก็กระโดดลงจากหน้าต่าง เขาถูกกระแสลมพัดจนเสียหลักจนทำให้ห้อยต่องแต่งกลางอากาศ เมื่อนิโคลัสสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็กลับมาตั้งหลักได้สำเร็จ เขาทำตามวิธีที่เทรซีปฏิบัติก่อนหน้า ใช้ขายึดเกาะกับผนัง โดยทำมุมเก้าสิบองศาและค่อย ๆ ปล่อยเชือกจากมือขณะกระโดดลงไปทีละนิด ทีละนิด เขาผ่านหน้าต่างห้องนอนของพี่ชายทีละชั้น ไล่มาตั้งแต่ชั้นหก ชั้นห้า ชั้นสี่ ชั้นสาม จนกระทั้งความยาวของเชือกมาสิ้นสุดอยู่ที่ชั้นสอง


หน้าต่างชั้นสองมืดสนิท ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นมานานแล้ว หลังจากเจอร์ราร์ดค้นพบพรสวรรค์ทางด้านงานวาดเขียน เขาก็ออกเดินทางไปที่ไกลแสนไกลเพื่อหาแรงบันดาลใจ หลังจากนั้นเขาไม่เคยกลับบ้านอีกเลยซึ่งก็ผ่านมากว่าเจ็ดปีแล้ว


อย่างไรก็ตาม นิโคลัสพบว่าตัวเองกำลังห้อยอยู่กึ่งกลางระหว่างชั้นสองและชั้นหนึ่ง เขาพยายามพาตัวเองไปยังหลังคาคลีนิกซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลทางซ้ายมือ เขาก้มลงมองเบื้องล่างเพื่อกำหนดตำแหน่งกระโดดลง นิโคลัสย่อเข่าและปล่อยมือจากเชือก ร่างของเขาล่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง ก่อนที่ก้นจะกระแทกกับหลังคากระเบื้องอย่างจังจนทำให้นิโคลัสต้องนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด


เทรซีนำหน้าไปก่อนแล้ว เธอไต่ลงไปตามขอบหน้าต่างและกระโดดลงพื้นอย่างสง่างาม


นิโคลัสลุกขึ้นยืนและก้าวเดินบนหลังคามุงกระเบื้องอย่างระมัดระวัง เขาไม่อยากทะลุลงไปนอนกองข้างล่าง พ่อคงไม่ชอบใจแน่ ๆ


เขาเดินตามรอยเทรซีไปเพราะคิดว่าคงปลอดภัยสุดแล้ว (ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ นิโคลัสคิดว่าคงไม่มีอะรเกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน) เขาหย่อนตัวลงจากหลังคาและเกาะตามขอบหน้าต่างโดยใช้เท้าเหยียบขอบหน้าต่างที่ยื่นออกมา เมื่อแน่ใจแล้ว นิโคลัสก็กระโดดลงมายืนบนพื้นได้สำเร็จ เขายังมีชีวิตรอด ขอบคุณพระเจ้า


ทัศนียภาพแย่มาก บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างมืดซึ่งทำให้มองไม่ค่อยเห็นทางนัก นิโคลัสเดินอ้อมด้านหลังคลีนิกและเจอกับบ้านสุนัขเล็ก ๆ ของโจอี้ ภายในนั้น เจ้าสุนัขนอนขดตัวกลมอยู่บนกองผ้าห่มผืนเล็กและสกปรก ดูเหมือนมันจะไม่รู้ตัวว่านิโคลัสกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่นานก็มีบางอย่างดึงความสนใจจากไปจากเขา แสงไฟจากตะเกียงที่ส่องแสงเจิดจ้าอยู่ตรงประตูรั้วนั่น เทรซีกำลังเปิดประตูรั้ว จากนั้นก็วิ่งออกไป ทำให้นิโคลัสต้องวิ่งตามเธอไปติด ๆ


เมื่อออกมาสู่ถนนในตรอกสายฟ้า นิโคลัสพบว่ามีหมอกหนาลงต่ำปกคลุมไปทั่วทั้งตรอก ซึ่งนิโคลัสแน่ใจว่ามันอาจจะปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองก็เป็นได้ สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคือดวงไฟสีเหลืองส้มจากตะเกียงของเทรซี ซึ่งมันค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างไปไกล เขาวิ่งตามแสงนั่นไปพร้อมกับสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองตะโกนเรียกชื่อเทรซี เขาไม่อยากปลุกคนทั้งตรอกให้ตื่นขึ้น อีกทั้งพวกทหารยามคงจะพากันแห่มาทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เทรซียังคงพาแสงไฟของเธอเคลื่อนไปตามถนนอันคับแคบ นิโคลัสเพ่งสายตามองตามเพราะกลัวจะคลาดเคลื่อน เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องเป็นจังหวะไปทั่วตรอกอันมืดมิด และในที่สุดก็มาถึงปากทางเข้าตรอก สังเกตุได้จากเสาหินต้นใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ตั้งตระหง่านอยู่ทางซ้ายมือ


แสงไฟนั่นมุ่งไปยังตำแหน่งที่น่าจะเป็นทางเข้าสู่ถนนนักปราชณ์ มันเคลื่อนตัวไวเหลือเกินจนกลุ่มหมอกเกือบจะบดบังแสงไปหมด นิโคลัสวิ่งตามไปพร้อมกับนึกรายละเอียดเส้นทางในหัว เขาเห็นอะไรไม่ชัดเจนนักและเกือบสะดุดล้มเข้ากับก้อนอิฐบนถนนที่เงิงขึ้นมา


“เทรซี หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” นิโคลัสพูดเสียงกระซิบ ซึ่งไม่ช่วยอะไรเลยเพราะเทรซียังคงมุ่งหน้าต่อไป
ตอนนี้เขาเข้าสู่ถนนนักปราชญ์ที่ลาดต่ำแล้ว หมอกหนายังคงลายล้อมบดบังวิสัยทัศน์ยามราตรี แสงไฟจากตะเกียงคืออย่างเดียวที่นิโคลัสใช้ยึดเหนี่ยวนำทาง นิโคลัสคิดว่าผ่านทางเข้าโรงเรียนมาแล้ว เขามองเห็นร้านค้าตามข้างทางไม่ชัดเจนนักและไม่มั่นใจว่าผ่านร้านอะไรไปแล้วบ้าง ตอนนี้เขาวิ่งเยาะ ๆ เพราะทางที่ลาดต่ำลงไป นิโคลัสเปลี่ยนตำแหน่งสะพายย่ามที่คอมาเป็นที่ไหล่ซ้ายแทน จังหวะเดียวกันเขาก็เห็นแสงไฟเลี้ยวหายไปตรงจุดที่เป็นทางโค้ง เดาว่าคงถึงร้านกระดาษปาปิรุสของมาดามกริฟฟิธและร้านน้ำหมึกหลากสีของกัปตันฟิลด์แล้ว


หลังจากวิ่งไล่ตามเทรซีไปได้สักพัก นิโคลัสคิดว่าพวกเขาเลยร้านหนังสือทุกประเภทของอาร์ทิมีสไปแล้ว ขณะเดียวกันก็นึกเกลียดหมอกพวกนี้ขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ มันทำให้เขาเหมือนคนใกล้ตาบอดเต็มที


“เทรซ เธอเลยร้านของอาร์ทิมีสไปแล้วนะ” นิโคลัสกระซิบบอก แม้จะรู้ดีว่าเทรซีไม่มีทางได้ยินเสียงของเขาก็ตาม


เทรซีไม่เลี้ยวเข้าไปที่ร้านหนังสือ แต่กลับเดินตรงไปยังซอยซิกแซก นิโคลัสเริ่มกลัวว่าอาจถูกทหารยามพบตัว ยามวิกาลเช่นนี้ไม่ควรออกมาเดินเตร่ข้างนอก เขาได้แต่หวังว่าหมอกหนานี้จะช่วยอำพรางเรือนร่างของพวกเขาไว้ได้


เทรซียังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละพร้อมกับตะเกียงของเธอ หล่อนเลี้ยวเข้าไปในซอยซิกแซกแล้วโดยมีนิโคลัสตามรั้งท้าย ซอยนี้ไม่มีอะไรมาก มันเป็นช่องเล็ก ๆ พอให้เดินผ่านไปได้ซึ่งเกิดขึ้นจากตอนที่พวกเขาสร้างบ้านโดยเหลือบริเวณข้างบ้านเอาไว้ คนสมัยก่อนไม่นิยมปลูกบ้านติด ๆ กัน ภายหลังมันจึงกลายเป็นทางลัดซิกแซกไปสู่ประตูเมืองทิศเหนือ


จากจุดนี้นิโคลัสต้องใช้ประสาทสัมผัสและสมาธิเป็นอย่างมาก เขาต้องคอยจับจ้องอยู่ที่แสงไฟวูบไหวของเทรซีตลอดเวลา ในซอยซิกแซกมีเส้นทางแตกกระจายไปหลายสาย ถ้าหากคลาดกันแล้วเขาคงไม่มีทางตามเทรซีทันแน่ ๆ


ในที่สุดเทรซีก็พานิโคลัสมาโผล่ที่ถนนทางริมตลิ่งแม่น้ำ เขาพบว่าบริเวณนี้มีหมอกไม่มากนัก มันเบาบางลงและมันไหลไปรวมตัวอยู่บนผิวน้ำในแม่น้ำแทน นิโคลัสมองซ้ายมองขวาซึ่งก็ไม่พบอะไร นอกจากพระราชวังมอนต์โกเมรี สะพานข้ามแม่น้ำและเทรซีซึ่งกำลังวิ่งไปทางประตูเมืองทิศเหนือ เสื้อคลุมของเธอสะบัดปลิ้วไปมาตามแรงลมและร่างของเธอก็เกือบจะถูกหมอกกลืนหายไปอีกครั้ง


นิโคลัสเริ่มใจคอไม่ดี เทรซีไม่ควรจะไปแถวนั้น ที่นั่นอาจมีทหารยามประจำการอยู่ที่หอสังเกตุการณ์บนกำแพงเมือง พวกนั้นอาจมองลงมาและเห็นพวกเขา จากนั้นก็ส่งคนมาจับไปลงโทษ


อย่างไรก็ตาม นิโคลัสไม่มีทางปล่อยให้เทรซีไปคนเดียวอย่างแน่นอน แม้เขาจะรู้สึกหวาดกลัวต่ออะไรต่าง ๆ มากมาย แต่นั่นคือพี่น้อง อีกครึ่งชีวิตของนิโคลัสกำลังก่อความวุ่นวาย


เทรซีวิ่งมาถึงจุดสิ้นสุดของแผ่นดิน ตรงหน้าเธอคือคลองที่ถูกขุดขึ้นมากั้นระหว่างกำแพงเมืองและฝั่งที่อยู่อาศัย ทางซ้ายมือ ที่หัวมุมปากอ่าวมีโป๊ะเล็ก ๆ กับเรือแคนูสองลำผูกไว้ เทรซีเดินไปยังโป๊ะนั่นก่อนจะลงไปนั่งในเรือไม้ลำเล็ก ซึ่งมันโคลงเคลงมากจนน่ากลัวว่าจะพลิกคว่ำ เธอแก้มัดเชือก ก่อนจะหยิบไม้พายที่วางอยู่ในเรือขึ้นมาและจ้วงลงในแม่น้ำอันเย็นเยือกซึ่งมีหมอกบาง ๆ ปกคลุมเหนือผิวน้ำ นิโคลัสอ้าปากค้างกับสิ่งที่เทรซีทำ เธอขโมยเรือของคนแจ้วเรือรับจ้าง เธอเสียสติโดยสมบูรณ์แบบไปแล้ว ซึ่งเขาเป็นคนสติดีเพียงคนเดียวที่ต้องนำตัวเธอกลับมา


นิโคลัสตัดสินใจก้าวลงไปในเรือแคนูอีกลำ เรือโคลงเคลงตามน้ำหนักตัวและท่าเดินของนิโคลัส เขาพยายามทรงตัวและนั่งลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบไม้พายขึ้นมาซึ่งมันค่อนข้างหนักกว่าที่เขาคิด จากนั้นก็จ้วงมันลงในน้ำ พยายามพายตามหลังเทรซีไปอย่างทุลักทุเลเพราะไม่เคยพายเรือมาก่อน อาจจะไม่น่าดูนิดนึงแต่เขาก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว


เรือแคนูสองลำล่องข้ามฟากตรงไปยังช่องแตก ๆ บนกำแพงเมือง มันเป็นรอยแตกขนาดไม่ใหญ่มาก พอให้คนมุดเข้าไปได้ ขณะเดียวกันนิโคลัสก็รู้สึกแปลกใจที่ตนไม่เคยเห็นช่องแตกนี้มาก่อน เหมือนกับมันเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน ซึ่งถ้ามองผ่าน ๆ คงไม่มีใครมองเห็นมันอย่างแน่นอน เพราะระดับน้ำขึ้นลงในคลองที่เอาแน่เอานอนไม่ได้


เทรซีจอดเทียบเรือที่ข้างกำแพงเมืองโดยผูกมันไว้กับเหล็กเส้นยาวที่ยื่นออกมาจากรอยแตก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีเธอก็ลุกขึ้นยืนและปีนป่ายขึ้นไปข้างบน จากนั้นก็มุดเข้าไปข้างในช่องมืด ๆ นั่น ตอนนี้นิโคลัสเริ่มกลัวขึ้นมาจับจิต ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยทำเรื่องบ้าบิ่นเท่านี้มาก่อน ถ้าเกิดพ่อกับแม่รู้ละก็เรื่องใหญ่แน่
เขาเทียบเรือไว้ข้าง ๆ กันกับเรือแคนูของเทรซี และผูกมันไว้อย่างแน่นหนากับเส้นเหล็กหงิกงอ จากนั้นก็ตามเทรซีเข้าในข้างในนั้น พยายามควบคุมไม่ให้ปากและขาสั่นจนเกินไปเพราะอาจลื่นตกน้ำได้


เมื่อเข้ามาข้างใน อากาศเย็นเยือกเสียดกระดูกก็จู่โจมทันที นิโคลัสได้กลิ่นอับชื้นผสมกับกลิ่นบางอย่างที่เหมือนปาปิรุสเก่า ๆ ในนี้มีพื้นเป็นหินซึ่งถมขึ้นเป็นเนินและสูงจนเหนือผิวน้ำ แสงไฟวูบไหวของเทรซีตอนนี้สาดส่องอยู่เหนือศีรษะของนิโคลัส เธอกำลังปืนบันไดเหล็กที่เกาะติดผนังหินขึ้นไปข้างบน โดยมีเสียงก๊องแก๊งคลอเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ช่างไปเอาความกล้าบ้าบิ่นนี้มาจากไหนกันนะ


จากสถานการณ์แล้วนิโคลัสไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นเขาจึงต้องปืนบันไดเหล็กขึ้นสนิมตามเทรซีไป ทุกขั้นที่ไต่ขึ้นไปมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของโลหะผสมกับเสียงฝีเท้า นิโคลัสไม่กล้าแม้แต่จะก้มมองลงข้างล่าง เขาเพ่งความสนใจไปยังเปลวไฟของเทรซีและแสงสว่างจากทางออกข้างบน ซึ่งอยู่สูงหลายเมตร เมื่อปีนขึ้นมาถึงช่องวงกลมเหนือศีระษะ นิโคลัสพาตัวเองตะกายขึ้นไปบนนั้น ก่อนจะพบว่าตนกำลังนั่งอย่างหมดแรงอยู่บนกำแพงเมืองทิศเหนือ เขาเหนื่อยและหอบหายใจจนตัวโยน แต่เทรซีกลับดูสบายมาก เธอปัดมือและเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ บนกำแพงโดยมีผนังที่ก่อด้วยอิฐกั้นไว้สองฝั่ง เธอเดินตรงไปยังหอสังเกตุการณ์หลังเล็ก ๆ ที่สร้างจากอิฐและก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ละด้านมีช่องเล็ก ๆ สำหรับกล้องส่องทางไกล แต่ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยแสงไฟมีเหลืองนวลทอรัศมีออกมา นิโคลัสมองตามแผ่นหลังเทรซีไป ในจังหวะเดียวกันนั้น ประตูหอก็ถูกเปิดออกโดยชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีเทา ชายคนเดียวกันกับที่นิโคลัสเห็นในความฝัน ตอนนี้เขาปรากฏเด่นชัดอยู่ที่หน้าประตู


นิโคลัสกระเถิบถอยหลัง อ้าปากค้าง พร้อมกับชี้นิ้วอันสั่นเทาไปยังชายผู้นั้น จู่ ๆ เทรซีก็ล้มพับลงไปโดยที่ชายคนนั้นรับตัวเธอเอาไว้ทันเวลาพอดี


“ขอบคุณอักษรรูนไรโดที่นำทางผู้เปลี่ยนชะตามาถึงที่นี่อย่างปลอดภัย”


นั่นคือคำทักทายของชายแปลกหน้า

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา