ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  33.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ตอนที่ 9 ภาพสุดท้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 9 ภาพสุดท้าย

 

                วันรุ่งขึ้นครอบครัวทวีกิจไพศาลก็จะต้องเดินทางกลับ ดังนั้นเย็นนี้ทางเจ้าภาพจึงจัดอาหารค่ำมื้อพิเศษเป็นการทิ้งทวนเพื่อไม่ให้เสียชื่อได้ มีแขกรับเชิญเป็นชายชราใจดีคือคุณลุงกระสินธุ์ผู้เป็นเจ้าของเกาะแสนสวย แทนดาวกับปลายเดือนสวมใส่แม็กซี่เดรสผ้าฝ้ายสีขาวพลิ้วไหวที่พี่ชายปากร้ายแต่ใจดีอย่างเทียมภพลงทุนซื้อให้เพื่อการณ์นี้ เจ้าตัวบอกว่าอยากให้สาวๆแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศชายทะเล แล้วก็เป็นที่ถูกอกถูกใจพี่ใหญ่เป็นอย่างยิ่งที่มีสาวสุดสวยสองคนนั่งขนาบข้างซ้ายขวา ได้โอกาสคอยส่งสายตาเยาะเย้ยให้คู่อริที่นั่งตรงข้ามอยู่เป็นระยะประมาณว่า ‘ข้าแน่กว่า’ อะไรทำนองนั้น

                “สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่...และ” ผู้มาใหม่ทำให้เทียมภพสำลักไวน์ขาวราคาแพงที่เจ้าภาพจัดมาเป็นของกำนัล งงกับสรรพนามที่หนุ่มหน้าละอ่อนใช้เรียกบุพการีอย่างสนิทชิดเชื้อ

                “เอ็ง..ไอ้น้อง...” เขาอ้าปากจะด่าแต่ก็ต้องยั้งไว้เพราะมีคนที่ไม่ใช่ญาตินั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยก็เลยได้แต่คิดถามอยู่ในใจว่า

                “ไอ้หน้าปลาหมึกบดมันจะเสนอหน้ามาทำไมกัน?”

                “ผึ้งชวนคุณเวมาเองแหละค่ะ เห็นว่าเป็นเพื่อนยัยพลู อีกอย่างพรุ่งนี้ก็จะกลับกันแล้ว ควรจะทานอาหารพร้อมกันอีกสักมื้อนะคะ” ปลายเดือนรีบออกตัวทำให้เทียมภพหันมามองน้องสาวเบอร์หนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก

                “อะไรกันสีผึ้ง ตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่เราแอบไปนัดแนะเจอกับเจ้านี่เมื่อไหร่ฮึ?” เขาต่อว่าทันที จะอย่างไรก็เถอะ...สีผึ้งก็เป็นน้องสาว แม้จะไม่ใช่น้องแท้ๆแต่ก็ห่วงหวงไม่แพ้กัน

               “พี่หมากขา...แค่กินข้าวนะคะ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน” หล่อนเถียง

               “พี่เวบินคืนนี้ไม่ใช่เหรอคะ? แล้วนี่ต้องไปสนามบินกี่โมง?” แทนดาวหันไปคุยกับรุ่นพี่บ้าง

                “พี่เปลี่ยนไฟลท์จ้ะ บินกลับพรุ่งนี้พร้อมน้องพลูเลย” เขาตอบด้วยความร่าเริงทำเอาเทียมภพหนวดกระตุก

                “เชิญพ่อหนุ่มนั่งเถอะ...ตามสบาย” เมื่อคุณลำเภาเชื้อเชิญก็เป็นอันว่าจบ เทียมภพยิ่งฟึดฟัดฮึดฮัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หนุ่มอ่อนวัยกว่าจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆแทนดาวแต่ก็ถูกยึดเก้าอี้ไว้

                “เฮ้ย! อย่ามานั่งตรงนี้นะ” เทียมภพตวาดพลางโอบบ่าน้องสาวไว้แน่น แทนดาวได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ ก้มหน้าลงด้วยความอายเพราะว่าเสียงของพี่ชายนั้นดังขนาดทำให้คนโต๊ะข้างๆได้ยินและหันมามองอย่างสนใจ แอบชำเลืองมองคนฝั่งตรงข้ามที่ยิ้มตอบกลับมาอย่างขำๆ ส่วนเวทิวุฒิก็เริ่มรำคาญกับความบ้าไม่เลือกเวลาของเทียมภพ เลยจะเดินไปนั่งข้างปลายเดือนแทนแต่ก็ยังถูกกันท่าอีกอยู่ดี

                “ตรงนี้ก็ไม่ได้!” เวทิวุฒิถอนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี

                “พี่หมาก!” ปลายเดือนเรียกชื่อพี่ชายเสียงดุ จะเป็นผู้คุมให้ยัยพลูก็เป็นไปเถอะไม่ต้องเผื่อแผ่มาถึงหล่อนหรอก

                “นั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ” รมณ์นลินต้องปิดเคสในที่สุด ชลธีแอบมองน้องสาวอย่างไม่พอใจนิดๆ ถึงจะเกลียดเทียมภพแค่ไหนแต่ก็เข้าใจดีว่าไอ้ความรู้สึก ‘หวง’ มันเป็นยังไง แต่จะไม่แสดงอาการบ้าระห่ำอย่างที่อีกฝ่ายทำไม่เลือกสถานการณ์หรอก

                “เออ...ตรงนั้นน่ะนั่งได้ เจ้าของที่เค้าเชิญแล้ว” เทียมภพปรายตามองไปทางรมณ์นลินอย่างเหยียดๆ คิดในใจว่าอีกฝ่ายช่างไม่รักนวลสงวนตัวเอาเสียเลยที่เชิญชวนผู้ชายมานั่งข้างๆหน้าตาเฉย ชลธีไม่พอใจที่เทียมภพว่ากระทบน้องสาวของตนเช่นนั้นจึงจะลุกไปเอาเรื่องแต่น้องสาวยืดมือไว้ คนถูกว่ากระทบรู้สึกขัดเคืองกับความคิดน่าอายและสายตาดูถูกของอีกฝ่ายที่ตั้งใจเหน็บแนมตนเอง พอจะรู้หรอกว่ามันพยายามจะสื่อว่าอะไรแต่ก็เลือกที่จะเฉยเสียไม่ต่อความให้เยิ่นเย้อ ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมเวลาผู้ชายคนนี้ไปที่ไหนถึงมีเรื่องได้ทุกครั้งไป

                แทนดาวที่อาการดีขึ้นแล้วก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารได้เหมือนเดิม คอยอ้อนพี่ชายให้คอยตักโน่นตักนี่ให้ไม่ขาด จะเงยหน้าขึ้นมาคุยบ้างเป็นครั้งคราวระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ คนอื่นๆพูดคุยกันสบายๆ

                “อืม...ผมว่าเราขาดอะไรไปอย่างนึงนะ” คุณเที่ยงธรรมกล่าวขณะที่การรับประทานอาหารเย็นดำเนินมาถึงช่วงเวลาของหวาน

                “อะไรหรือคะ?” คุณวารีถาม

                “เสียงเพลงไง” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย อาหารกับดนตรีเป็นของคู่กันอยู่แล้ว

                “อ๋อ..รู้สึกว่านักดนตรีที่เล่นประจำอยู่จะมาราวๆสองทุ่มค่ะ” คุณวารีตอบ

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีนักดนตรีของผมมา” คุณเที่ยงธรรมมองไปที่ลูกสาวแล้วก็ยิ้ม

                “ว่าไงน้องพลู? เล่นเพลงเพราะๆให้พ่อฟังสักเพลงได้มั้ยลูกสาว” แทนดาวพยักหน้าทันที รีบเคี้ยวขนมกลืนลงท้อง เรื่องโชว์เพลงนี่ไม่เคยพลาด จะเล่นให้สุดฝีมือเลย

                “ถ้างั้น...ทางฝ่ายดิฉันก็ขอส่งหนูแฟงอีกคนนะคะ” ทั้งโต๊ะปรบมือเป็นกำลังใจให้นักดนตรีทั้งสองที่กำลังเดินไปยังเวทีที่เป็นยกพื้นไม่สูงนัก บนเวทีไม่มีเปียโนที่เคยเล่นประจำแต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค มีดิจิตอลอิเลคโทนยามาฮ่าอีกทั้งยังมีกีตาร์ กลองและเบส แทนดาวนั่งประจำที่ตรงอิเลคโทน ส่วนรมณ์นลินจะเล่นกีตาร์โปร่ง

                “เพลงอะไรดีคะพี่แฟง?” แทนดาวหันไปถามครูสาวหลังจากเลือกเสียงเปียโนจากฟังก์ชั่นเครื่องดนตรีบนแผงหน้าจอพลางลองกดนิ้วทดสอบเสียงสองสามครั้ง

                “Right here waiting ก็ได้ค่ะ” รมณ์นลินเสนอ

                “ได้เลยค่ะ” มือเรียวบางค่อยๆจรดปลายนิ้วลงบนคีย์โดยไม่ต้องดูโน้ต เสียงทำนองเพลงไพเราะนุ่มไหลลื่นสมกับเป็นเพลงรักแสนหวานในตำนาน รมณ์นลินเกลากีตาร์โปร่งและขับร้องเพลงอย่างไพเราะสะกดผู้คนที่กำลังรับประทานมื้อค่ำให้ตั้งใจมองดูการแสดงดนตรีสดของสองสาว คนที่ขี้สงสัยก็สะกิดถามบริกรว่าสองสาวนั้นเป็นใคร พอบริกรกระซิบบอกก็ยิ่งสร้างความน่าสนใจมากขึ้นเพราะคนหนึ่งเป็นญาติเจ้าของรีสอร์ทส่วนอีกคนก็เป็นถึงลูกสาวอดีตท่านทูต

                 ชลธีมองสาวนัยน์ตาสวยที่กำลังบรรเลงเพลงอย่างตั้งใจแล้วก็เผลอยิ้มอุบอุ่นออกมา รอยยิ้มน้อยๆผลิออกมาตลอดการแสดงสร้างความสดชื่นให้คนรอบข้างจนต้องพลอยยิ้มตามไปด้วย ดูหล่อนมีความสุขมากเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝันเมื่อได้เล่นดนตรี พอเพลงจบเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง สองสาวยืนขึ้นโค้งให้ผู้ชมอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแผ่กระจายไปทั่ว เวทิวุฒิดึงกุหลาบสีแดงสองดอกในแจกันกลางโต๊ะเอาไปมอบให้สองสาวท่ามกลางเสียงปรบมือ แต่พอกลับมาถึงโต๊ะ เทียมภพก็แย่งกุหลาบดอกนั้นมาวางไว้ในจานใส่เศษอาหารทันที

                “เก่งมากจ้ะใบพลู น้องพี่เก่งจัง’” เทียมภพดึงตัวน้องสาวมากอดและหอมแก้มโชว์แขกเหรื่อราวกับจะประกาศให้รู้ว่า ‘นี่แหละน้องผม’

                “ศิษย์เอกของครูแฟงไงคะ” คุณดวงทิพย์ชมพลางหันไปมองรมณ์นลินที่ยิ้มรับ ชลธีแอบชูแก้วไวน์ให้นักดนตรีกิตติมศักดิ์ แทนดาวยิ้มหวานตอบอย่างไม่รู้ตัวและมื้อค่ำนี้ก็ผ่านพ้นไปด้วยความประทับใจ ทุกคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน เทียมภพก็เร่งให้น้องสาวรีบอาบน้ำกินยาและบังคับให้นอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง     ส่วนตัวเองก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเช่นกันแต่ว่าไม่ได้เข้านอนอย่างคนอื่นๆเพราะว่าคืนนี้เขามีนัด ‘สั่งลา’ กับสาวรัสเซียคนเดิม ชายหนุ่มเร่งสปีดสุดชีวิตเพราะไม่อยากจะเสียเวลาแห่งความหฤหรรษ์ แต่ยังไม่ทันจะเสร็จเสียงน้องสาวตัวดีก็มาเคาะประตูเร่งให้เปิด

                “พี่หมากขา...ไม่ง่วงอ่ะ” พอเข้ามาได้ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงกว้าง พลางก้มลงจ้องแท็บเล็ตที่เปิดค้างค้างไว้ที่คลิปวิดิโอคัฟเวอร์เพลง

                “อะไรอีกล่ะ? กินยาแล้วทำไมไม่นอนล่ะคะ”     

“ก็พี่ผึ้งเปิดโทรทัศน์เสียงดังนี่...พลูเลยนอนไม่ได้” เทียมภพเกาหัวแกรก จะอะไรกันนักหนานะคู่นี้

                “งั้นเดี๋ยวพี่ไปบอกสีผึ้งให้เปิดเบาๆแล้วกัน มาเร็ว...ไปนอน” เทียมภพฉุดแขนน้องสาวให้เดินกลับบ้านพัก

                “ไม่เอาอ่ะ...ไม่อยากนอนบ้านนู้นแล้ว พี่ผึ้งอยากดูทีวีก็ให้เขาดูไปเถอะค่ะ น้องพลูนอนห้องพี่หมากก็ได้” ว่าแล้วก็ล้มลงบนเตียงกว้าง เจ้าของห้องหน้าเหวอ มาง๊องแง๊งอะไรกันตอนนี้นะ

                “ไม่ได้...ไปเร็วไปนอนห้องตัวเอง พี่ง่วงแล้ว หรือจะไปนอนบ้านนู้นกับคุณย่า?” เขาดึงดันที่จะให้น้องสาวกลับไปเร็วๆ

                “ไม่เอาอ่ะ...พลูจะนอนนี่” เมื่อน้องสาวไม่ยอมก็ไม่อยากจะขัดใจ เดี๋ยวแม่คุณจะสงสัยเอา

                “งั้นนอนไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ออกไปโทรศัพท์แป๊บนึงนะคะ” เขาพยายามหาข้ออ้างออกไปโทรเลื่อนเวลานัดกับสาวคู่ขา

                “อย่าเพิ่งไป...มาเกาหัวให้ก่อน” แทนดาวดึงแขนพี่ชายลงมานั่งข้างๆ เอาศีรษะเกยตักในท่าเตรียมพร้อม

                “เฮ้อ...เมื่อไหร่จะโตสักทีนะ นี่พี่ต้องเลี้ยงเราอย่างนี้ไปจนแก่ตายมั้ยเนี่ย” เทียมภพมองหน้าน้องสาวที่หลับตาพริ้ม อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มใสๆนั้นด้วยความมันเขี้ยวแล้วลูบผมยาวดำขลับนุ่มมือที่แผ่กระจายอยู่บนตัก แทรกนิ้วลงไปเกาศีรษะให้ตามคำขอ

                “ซ้ายหน่อยๆ นั่นแหละ” คนหนุนตักสั่งพลางครางงึมงำอย่างพอใจสักพักก็เคลิ้มหลับ

“ทำตัวอย่างกับลูกหมา ต้องให้เกาหัวเกาพุงก่อนนอน” คนเป็นพี่บ่นแต่ยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วจึงค่อยๆยกศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมนุ่มดุจไหมออกจากตัก จัดท่าทางนอนให้เรียบร้อยและดึงผ้าห่มคลุมให้

                “ฝันดีค่ะ นางฟ้าของพี่” เขาก้มลงจูบหน้าผากน้องสาวแผ่วเบาก่อนจะย่องออกจากห้องอย่างเงียบกริบและล็อกประตูให้อย่างดี พลิกดูนาฬิกาข้อมือที่ชี้บอกเวลาห้าทุ่มกว่า ป่านนี้แม่สาวผมบลอนด์คนนั้นคงจะรอเขาแย่แล้ว

                เทียมภพเดินผิวปากมุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าร้านเดิม เวลายามวิกาลเช่นนี้ทำให้เขาสามารถปล่อยตัวตามสบายไม่ต้องกังวลใจว่าจะเจอคนรู้จักหรือมีใครแอบจับตามองอยู่หรือเปล่า แต่โชคก็ไม่เข้าข้างนักเมื่อต้องเจอคนที่ ‘ไม่อยากรู้จัก’ จะเลี่ยงไปก็ไม่ทันเพราะฝ่ายนั้นเห็นเข้าเสียแล้ว

                “สวัสดียามดึกค่ะคุณหมาก จะไปไหนเหรอคะ?” รมณ์นลินร้องทักเสียงใสเมื่อเห็นพี่ชายของลูกศิษย์สาวกำลังเดินผ่านมา

                “อ้อ...เจอตัวสักที” คนถูกทักหยุดยืนใกล้ๆน้องสาวศัตรู

                “จะบอกว่าวันนี้คุณร้องเพลงได้เพราะมากนะ ค่อยคุ้มค่าหน่อยที่จ้างมาแพง” เทียมภพพูดอย่างเย็นชา คนฟังถึงกับหน้าถอดสี เขาเห็นหล่อนเป็นตัวหิวเงินหรือไร

                “ขอบคุณที่ชมค่ะ ที่แฟงมาสอนน้องพลูไม่ใช่เพราะเห็นว่าให้ค่าจ้างสูงเป็นอันดับแรกหรอกนะคะ” หญิงสาวตอบเสียงเย็นเช่นกัน

                “งั้นถ้าให้สอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าจ้างจะเอามั้ยล่ะ? มีพี่รวยอยู่แล้วนี่ ไอ้ค่าจ้างไม่กี่หมื่นคงไม่มีความหมายอะไรกับคุณนักหรอกมั้ง” น้ำเสียงของเขาฟังดูหยันจนคนฟังรู้สึกได้

                “คุณหมาก!” รมณ์นลินอึ้ง ไม่คิดว่าจะโดนดูถูกแบบนี้ ใจก็อยากตบปากเสียๆให้เลือดกลบ

                “ความจริงผมน่าจะสืบประวัติคุณก่อนจะจ้างมาสอนน้องสาวผมนะ ถ้าได้รู้ก่อนว่าเป็นญาติกับไอ้ชลล่ะก็...ผมไม่เอาแน่! คุณเป็นคนชักนำพี่ชายให้เข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวผม คอยดูนะ...กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ผมจะหาครูให้ใบพลูใหม่ทันที” เทียมภพพูดใส่หน้าอย่างไม่เกรงใจ

                “แฟงไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ!” หล่อนท้วง จะเลิกจ้างก็เอาเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้มาอ้างหน่อยสิ แค่เป็นญาติกับชลธีนี่มันเสียหายตรงไหน

                “ไม่ล่ะ...ผมไม่ไว้ใจพี่ชายคุณ มันจ้องจะเขมือบน้องผม ทำไมจะไม่รู้...คุณเองก็คอยเป็นหูเป็นตาให้กับมันใช่มั้ย?” นัยน์ตาของเขาแข็งกร้าวยามจ้องมองมา หญิงสาวรู้สึกโกรธแต่ก็พยายามระงับโทสะที่กำลังคุกรุ่น

                “แล้วนี่...ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ? หรือว่า...มีนัดกับไอ้หน้าแมงกะพรุนปิ้งเพื่อนยัยพลูล่ะ เห็นคุยกันถูกคอเล่นเอากุ้งหอยปูปลามันอิจฉา น้ำทะเลจืดไปเลยนี่นา” เทียมภพพูดเยาะๆพร้อมกับกับส่งสายตาให้อย่างมีความหมาย (ที่หยาบคาย) รมณ์นลินรู้สึกราวกับว่ามีอะไรร้อนๆวิ่งผ่านหน้าไป รู้สึกผิดที่ตัวเองช่างเป็นคนมารยาทดีแต่ผิดกาลเทศะที่ไปทักเขาเข้า

                “แฟงช่วยแม่กับพี่ชลจัดกระเป๋าน่ะค่ะ พอดีลืมของไว้อีกบ้านเลยเดินมาเอา” หล่อนตอบกลับห้วนๆและกำลังจะเดินหนีไปแต่คนชอบหาเรื่องดักไว้

                “ฮึ...มีนัดกับไอ้เวรตะไลนั่นก็บอกมาเถอะน่า...ไม่ต้องอายหรอก หน้าจืดๆซีดๆยิ่งกว่าปะการังฟอกสีแถมเป็นจอแบนยี่สิบนิ้วแบบนี้ มีผู้ชายมาออกเดทด้วยมันน่าปลื้มออกจะตายไป อีกอย่าง...จะได้เอาไปคุยได้บ้างว่า ฉันน่ะก็ได้กินผู้ชายมาแล้วนะ” เขาลอยหน้าพูดจากวนๆ คนฟังแทบกรี๊ดไม่คิดว่าคนที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเทียมภพจะมีความคิดที่สุดแสนจะต่ำตมไม่สมกับนามสกุลที่ต่อท้ายสักนิด

                “ก็ยังดีกว่าคนบางคนที่ต้องซื้อกิน! ผู้หญิงดีๆที่รู้นิสัยตื้นลึกหนาบางคงขยาดไม่กล้าควงด้วย เลยต้องไปหิ้วเอาตามร้านเหล้า!” คำยอกย้อนดุเดือดที่ออกจากปากสตรีตรงหน้าทำให้คนโดนด่าแทบกระอักเลือด

                “คำว่าสกปรกนี่คงไม่สมกับนิยามความคิดอันอัปลักษณ์ของคุณเป็นแน่ สงสัยในสมองคงมีแต่ตัวปรสิตอาศัยอยู่ละมั้ง? ความสามารถในการคิดกลั่นกรองอะไรก่อนจะพูดถึงได้บกพร่อง!” คนถูกย้อนถึงกับทำปากหวอด้วยไม่คิดว่าสาวหงิมถนิมสร้อยเวลาด่าจะด่าได้มันถึงพริกถึงขิงเช่นนี้

                “เฮ้ย! แรงไปมั้ยแม่คุณ? ด่าขนาดนี้ไปเอาน้ำร้อนมาสาดไล่กันเลยดีกว่า” เทียมภพเต้นผาง

                “อ้อ...แล้วผมก็ไม่ได้ซ้งซื้ออะไรกินอย่างที่ว่าด้วย ของแบบนี้เขาเรียก วิน-วิน รู้จักป่ะ?” เขาพยายามแก้ตัว ไอ้ที่สำคัญคือหล่อนรู้ได้อย่างไรว่าเขาไปหิ้วใครมา

                “จะวินหรือไม่วินอันนั้นดิฉันไม่ทราบเพราะว่าไม่ได้ไปนอนฟังอยู่ใต้เตียงคุณ เชิญไปสมสู่อยู่ในที่อโคจรที่ชอบๆของคุณเถอะค่ะ” คนฟังถึงกับจุกเมื่อเจอพ่นคำผรุสวาทใส่รอบสอง

                “โห...ผู้หญิงอะไรวะ! ปากจัดฉิบ…” เขาว่าให้

                “ดิฉันเลือกปฏิบัติเป็นรายบุคคลค่ะ” รมณ์นลินจ้องกลับอีกฝ่ายไม่ลดละ

                “ฮึ่ย...” คนชอบเบ่งถึงกับไปไม่เป็นเมื่อเจอย้อนเอาบ้าง ได้แต่กัดฟันกรอดๆ

                “ถ้าคุณหมากคิดเรื่องที่จะกล่าวหากันไม่ออกแล้ว ดิฉันก็ขอตัวไปทำธุระต่อนะคะ” เทียมภพรีบยึดมือคนที่ยืนด่าปาวๆเอาไว้ไม่ปล่อยไปง่ายๆ รมณ์นลินรู้สึกถึงความร้อนแล่นไปทั่วร่างกายเมื่อฝ่ามือหยาบหนาสัมผัสกับข้อมือตน

                “เอ๊ะ!” หล่อนร้องพร้อมๆกับที่เจ้าของมือหนาดึงร่างบางเขาไปหาตัว

                “ด่าเสร็จก็จะชิ่งหรือแม่ตัวดี เคลียร์กันก่อนดีกว่าม้าง...” เขาลากเสียงยาวพร้อมกับกระตุกร่างนั้นให้เข้าใกล้มาอีกนิดจนได้กลิ่นเอียนๆจากยาสูบผสมเบียร์ รมณ์นลินรีบหลบตาคมที่มองมาแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ความกลัวเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เอาล่ะ...ไปว่าให้โกรธขนาดนี้ จะโดนหาเรื่องแบบไหนอีกเนี่ย

                “ปรกติแล้วผมน่ะ...จะสุภาพอ่อนโยนกับสาวๆเสมอ” เขาพูดเสียงนุ่มขณะที่อีกมือหนึ่งก็ไล้แก้มนวลเนียนอย่างจงใจลวนลามก่อนจะบีบแก้มทั้งสองข้างอย่างแรง

                “ก็คงจะเหมือนที่คุณบอกตะกี้แหละ....ผมเองก็เลือกปฏิบัติเป็นรายบุคคลเหมือนกัน” คนตัวโตเขยิบเข้าไปหาหญิงสาวใกล้ขึ้นที่ละนิดเสียจนรู้สึกถึงไออุ่นๆของลมหายใจที่เป่ารดหน้าผาก

                “เจ็บค่ะ” แม้จะร้องขอแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยกลับบีบแขนอีกข้างด้วย

                “ฝากไปบอกไอ้พี่ชายคุณนะ...ว่าอย่ามายุ่งกับแทนดาว ไม่งั้นผมจะซัดมันให้น่วมเลย” เขาก้มหน้าลงมาอีกจนแก้มแนบแก้ม

“แล้วก็ไอ้โรคปากจัดจ้านแบบนี้เนี่ย...ผมรักษามาหลายคนแล้ว หายขาดเลยล่ะ...อยากลองมั้ย?” รมณ์นลินกลัวสุดขีดจนน้ำตาคลอ เทียมภพไม่ได้ทำอะไรต่อนอกจากผลักคนตัวเล็กอย่างแรงจนเซไปชนกอไม้ที่อยู่แถวนั้น ดีที่คว้ากิ่งไว้ทันไม่เช่นนั้นคงล้มกลิ้งไม่เป็นท่า คนถูกผลักน้ำตาร่วงเผาะมองตามคนที่ต่อว่าตนเมื่อครู่เดินจากไป ทั้งตกใจ โกรธ น้อยใจ ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ทั้งที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย ทำไมต้องถูกเข้าใจผิดหนำซ้ำยังถูกทำร้ายจิตใจแบบนี้ด้วย

 

แทนดาวรีบตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น มองไปปลายเตียงเห็นพี่ชายนอนสลบอยู่บนโซฟาในเสื้อผ้าชุดเดิมก็เบ้ปากแล้วรีบกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาจากนั้นก็เดินลงชายหาดด้วยจิตใจที่แสนจะร่าเริงสดใสไม่แพ้ดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตที่เพิ่งจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า หญิงสาวสูดไอทะเลเข้าปอดรับอากาศบริสุทธิ์ผสมกลิ่นหอมจางๆของน้ำทะเลยาม มือก็ยกกล้องดิจิตอลเก็บภาพพระอาทิตย์สีแสดเข้มครึ่งดวงอย่างเพลิดเพลิน อยากจะลองเดินลุยฟองคลื่นที่สาดซัดกระทบฝั่งดูบ้างก็กลัวแผลจะอักเสบ ว่าจะถ่ายรูปตอนเล่นน้ำไปอวดเพื่อนๆให้อิจฉากันเล่นๆอดเช่นกัน

                “ตื่นเช้าจังนะครับหนูน้อย” แทนดาวหันขวับไปตามเสียงทักทายก็เห็นชลธียืนยิ้มเผล่อยู่ตรงทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดี เขาสวมเสื้อกีฬาแขนกุดสีน้ำเงินกับกางเกงสีเดียวกัน มีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอ ดูจากเหงื่อที่ซึมออกมาจนเป็นรอยเปียกชุ่มบริเวณอกเสื้อก็เดาได้ว่าคงออกมาวิ่งนานแล้ว หญิงสาวจ้องมองเขาเพลินเพราะไม่เคยเห็นผู้ชายหลังออกกำลังกายหมาดๆ ก็พี่ชายของหล่อนเอาแต่กินกับนอน จะออกกำลังกายบ้างก็แค่ยกดัมเบลล์สองสามที

                “มองอิ่มเมื่อไหร่ก็ปลุกพี่ด้วยนะครับ” แทนดาวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที รีบก้มหน้างุดหลบตาคมคายคู่นั้นด้วยความอายเมื่อถูกจับได้

                “น้องพลู...เอ่อ มาถ่ายรูปเล่นค่ะ พี่หมากยังไม่ตื่นเลยลงมาเดินชายหาดแล้วแผลก็จะหายแล้วค่ะ” ด้วยความประหม่าจึงทำให้พูดรัวจนไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไรออกไป คนฟังหัวเราะเบาๆ

                “ใจเย็นๆจ้ะ ค่อยๆพูด พี่น่ากลัวขนาดทำให้น้องพลูขวัญเสียขนาดนี้เลยเหรอ?” ชลธีแซวเลยได้เห็นแต่ยิ้มแหยๆจากสาวน้อยตรงหน้า

                “เอาเป็นว่า พี่เข้าใจว่า...พี่ชายนอนหลับอยู่ น้องพลูเลยมาถ่ายรูปเล่นที่ชายหาดคนเดียว” เขาเรียบเรียงประโยคให้ใหม่ แทนดาวเงยหน้าขึ้นมายิ้มเก้อๆ

                “ว่าจะมาหาอะไรแปลกๆทานด้วยค่ะ เบื่ออาหารเช้าที่รีสอร์ท”

                “พี่ก็เหนื่อยแล้วพอดี วิ่งกลับไปกลับมาหลายรอบแล้ว ไปทานข้าวเช้าด้วยกันมั้ย?” แทนดาวคิดหนักกับคำเชิญชวน ไอ้อยากก็อยาก...แต่ถ้าไปกับชลธีคงได้เกิดเรื่องอีก

                “ถ้าน้องพลูกลัวพี่ชายจะรู้...พี่บอกเลยว่าตัดปัญหานี้ไปได้เลย รับรองจะไม่มีใครรู้แน่ๆเพราะพี่จะพาไปร้านๆนึง รับรองว่าน้องพลูจะต้องชอบ” ดูเหมือนเขาจะรู้ถึงความคิดของอีกฝ่ายจึงพูดให้คลายกังวล

                “แต่ถ้าน้องพลูไม่สะดวกใจ...ก็ไม่บังคับนะครับ” เขามองแววตากระตือรือร้นนั้นอย่างชั่งใจ นึกโมโหคนเป็นพี่ชายว่าเลี้ยงน้องเป็นหรือเปล่า หล่อนเหมือนนกน้อยที่รักอิสระและพร้อมที่จะโผบินอยู่เสมอ แต่เพราะถูกกักขังอยู่แต่ในกรงถึงได้กลัวที่จะออกมาสู่โลกที่สวยงาม  

                “ไกลมั้ยคะ?”

                “ไม่ไกลหรอก เดินไปตามหาดเดี๋ยวเดียวก็ถึง แต่ถ้าน้องพลูเจ็บแผล...จะให้พี่อุ้มอีกก็ยินดีนะครับ” แทนดาวถลึงตาใส่คนช่างแซว

                “ตกลงค่ะ เอ่อ...อย่าเข้าร้านหรูมากนักนะคะ น้องพลูจิ๊กเงินพี่หมากมาห้าร้อยเอง” หล่อนพูดอ่อยๆ ชลธีถึงกับปล่อยก๊าก แทนดาวงงว่าเขาขำอะไรนักหนา

                “ครับๆ...รับรองว่าพอน่า ถ้าไม่พอเดี๋ยวค่อยช่วยเค้าล้างจานก็ได้” ชลธีเย้า

                สองคนเดินเคียงคู่กันไปตามหาดทราย ชลธีอาสาเป็นตากล้องถ่ายรูปให้นางแบบจำเป็น แทนดาวโพสต์ท่ายิ้มสดใสอย่างไม่ขัดเขิน พอถ่ายรูปเล่นไปได้สักพักกล้องดิจิตอลก็ส่งสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้จะหมด แทนดาวก็เลยอยากถ่ายรูปคู่กับเขาเป็นที่ระลึก

                “เดี๋ยวน้องพลูจะตั้งเวลานะคะ พี่ชลไปยืนตรงนั้นเป็นจุดโฟกัสให้ที ห้ามขยับเขยื้อนเลยนะ” สาวน้อยชี้มือชี้ไม้ไปยังจุดที่ต้องการตรงแนวโค้งของชายหาดมีฉากหลังเป็นดวงอาทิตย์ที่เพิ่งจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าทั้งดวงบนเวิ้งทะเลสีเขียวใส เสียงคลื่นอ่อนๆซัดกระทบฝั่งฟองแตกกระจายเป็นระยะๆ แทนดาววางกล้องบนตอไม้ตายซากแถวนั้นๆแล้วกดฟังก์ชั่นจับเวลาก่อนจะเดินแกมวิ่งไปยืนเคียงข้างเขา พอจะถึงก็กลับเหยียบชายกระโปรงผ้าฝ้ายของตัวเองจนถลาเข้าไปหาเขาที่เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเสียหลักเลยเตรียมกางแขนตั้งรับไว้ได้ทันพอดี แทนดาวหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งสองมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

                “ขอบคุณนะคะ” หล่อนขืนตัวออกมาจากวงแขนนั้นช้าๆ ก้มหน้าซ่อนความอาย ชลธีเองก็ต้องแก้เก้อด้วยการเดินไปเก็บกล้อง

                “คงต้องถ่ายใหม่ล่ะมั้ง ว้า...แบตหมดพอดีเลย” เขาลองกดปุ่มเปิดกล้องอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แทนดาวมองอย่างเสียดาย คิดว่ารูปเมื่อกี้คงถ่ายไม่ทันเพราะแบตหมดก่อน

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ น้องพลูถ่ายไปแล้วตั้งเยอะ” แม้ในใจจะนึกเสียดายว่าไม่มีภาพถ่ายคู่กับเขาเลย แต่อีกใจก็คิดว่าอาจจะดีกว่าเพราะถ้าพี่ชายเห็นก็ต้องเป็นเรื่องอีก

                “งั้นก็ไปต่อครับ อีกนิดเดียว...เห็นมั้ยร้านอยู่ตรงนั้น” ชลธีชี้ให้ดูร้านค้าเล็กๆหลังคามุงหญ้าแฝกที่อยู่ไม่ไกลนัก แทนดาวเดินต่อไปตามหาดทรายสีขาวภายใต้แสงแดดอ่อนใสยามเช้า ไม่นานก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆริมทะเลรายล้อมไปด้วยต้นมะพร้าวสูงชะลูด สายลมอ่อนๆที่พัดผากลิ่นไอทะเลขึ้นมาชวนให้สดชื่น เสียงคลื่นกระทบฝั่งอย่างต่อเนื่องแทนเพลงคลาสสิคบรรเลงคลอ แทนดาวชอบบรรยากาศแบบนี้มากๆซึ่งน้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสสัมผัส โดยมากแล้วถ้าไปต้องไปรับประทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวทีไรก็มักจะเป็นภัตตาคารหรือในห้างสรรพสินค้า แทนดาวนึกสงสัยเหมือนกันว่ามหาเศรษฐีอย่างชลธีรับประทานอาหารแบบนี้ได้ด้วยหรือ

                “เอาโจ๊กทะเลใส่ไข่สองชามนะครับ แล้วก็น้ำมะพร้าวกับกาแฟดำ” ชลธีสั่งอาหารด้วยภาษาท้องถิ่นขณะที่นั่งลงบม้าไม้เก่าคร่ำคร่าจนหล่อนกลัวว่ามันจะหักเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว

                “น้องพลูทานได้มั้ย? ไม่ชอบก็บอกนะพี่จะพากลับ” พอเห็นคนตัวเล็กทำท่าทางแปลกๆก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คนถูกถามส่ายหน้าเร็วๆ ไม่ใช่ไม่ชอบแต่กลัวม้านั่งมันจะหักโครมลงไปน่ะสิ

                “น้องพลูชอบบรรยากาศแบบนี้จัง” หญิงสาวบอกพลางมองสำรวจไปรอบๆอย่างพอใจ บรรยากาศริมทะเลยามเช้าชวนให้สดชื่น ชลธียกกาแฟดำในแก้วสีขุ่นจิบเรื่อยๆระหว่างรออาหาร แทนดาวอมยิ้ม...นึกเปรียบเทียบระหว่างหนุ่มมาดเข้มตรงหน้ากับพี่ชายเจ้าสำอางของตัวเองว่าทั้งคู่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆกันอยู่หลายอย่าง เช่นว่า ชอบกาแฟดำเหมือนกัน ใช้รถรุ่นเดียวกัน ใช้อาฟเตอร์เชฟยี่ห้อเดียวกัน แถมยังสูบบุหรี่ยี่ห้อเดียวกันอีก

พอโจ๊กทะเลหอมกรุ่นมาตั้งตรงหน้าก็ไม่รีรอที่จะลองชิมจนลืมคิดไปว่ามันยังร้อนอยู่ ผลที่ได้ก็คืออาการปวดแสบปวดร้อนในปาก ชลธีขันกับอาการรีบร้อนจนไม่ทันระวังแบบเด็กๆของคนตรงข้าม

                “ค่อยๆสิครับ เป่าให้เย็นก่อน”

                “รู้หรอกน่า พี่ชลทานไปเถอะค่ะ” หล่อนทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมทำตาม ค่อยๆตักโจ๊กทะเลรวมมิตร กุ้ง หอย ปู ปลาเข้าปากช้าๆ ค่อยๆลิ้มรสชาติทะเลแท้ๆ

                “อร่อยจังเลยค่ะ อร่อยกว่าในร้านที่คุณพ่อชอบพาไปเสียอีก ต้องบอกให้เฮียเบิ้มมาขอสูตรเสียแล้ว” แทนดาวชมเปาะหลังจากจัดการโจ๊กเสียเกลี้ยงชาม ชลธีอึ้งเล็กน้อย ก็แม่คุณจัดการโจ๊กชามเบ้อเริ่มหมดภายในเวลาไม่ถึงห้านาที

                “พี่บอกแล้วว่าน้องพลูต้องชอบ อิ่มมั้ยครับ...เอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?” ตอนแรกคิดว่าสาวๆอย่างหล่อนคงจะปฏิเสธเพราะว่าตอนเช้าๆคงยังไม่ค่อยหิวแต่ไม่ใช่กับแทนดาวหรอกนะ

                “อืม...ขนมน่าทานจัง ผัดไทยก็น่าอร่อย อืม...ลองชิมผัดไทยทะเลอีกจานแล้วกันค่ะ” ว่าแล้วก็เดินไปสั่งอาหารตามที่ต้องการ ชลธีมองตามแล้วก็ยิ้มออกมา

                “ขอบคุณพี่ชลมากนะคะสำหรับมื้อเช้า น้องพลูชอบที่นี่มากๆเลยค่ะ ถ้าเรียนจบจะขอพี่หมากพาเพื่อนๆมาฉลองที่นี่อีก”

                “พี่ยินดีนะครับ จะมาเมื่อไหร่ก็บอกพี่หรือแฟงได้เลย จะได้บอกให้ทางนี้เตรียมที่พักไว้ให้”

                “ขอบคุณนะคะ เอ่อ...เรากลับไฟลท์บ่ายสามเหมือนกันใช่มั้ยคะ?”

                “ครับ...แต่เฉพาะแม่กับแฟงเท่านั้น ส่วนพี่จะบินต่อไปซิดนีย์พรุ่งนี้จ้ะ”

                “เอ๊ะ...เอ่อ...เหรอคะ อย่างนี้ไม่เพลียแย่เหรอคะ ไม่ได้พักเลย”

                “พี่เดินทางบ่อยจนชินแล้วล่ะ ทางโน้นเชิญไปดูประกวดเชฟเบเกอรี่ชิงแชมป์โลก เค้าจัดทุกปี พี่ก็อยากไปดูเผื่อจะมีไอเดียอะไรเอามาใช้ที่โรงแรมบ้าง” แทนดาวฟังด้วยความตื่นเต้น

                “โห...น่าสนุกจัง จัดที่โอเปร่าเฮ้าส์หรือเปล่าคะ?” หล่อนถามต่อ จำได้ว่าเคยไปเที่ยวที่นั่นกับครอบครัวเมื่อนานมาแล้ว

               “ใช่แล้ว...ไปอยู่อาทิตย์นึง น้องพลูอยากได้อะไรมั้ย?” แทนดาวทำตาโต คิดทันทีคิดว่าที่ออสเตรเลียมีอะไรบ้าง เวลาพี่ชายไปต่างประเทศก็มักจะซื้อแต่ขนมมาให้ เลยไม่ได้มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนั้นๆเก็บเป็นที่ระลึก ยิ่งพวกขนมล่ะก็จะหมดไปตั้งแต่วันแรกๆแล้ว

                “อยากได้จิงโจ้ค่ะ ตุ๊กตาก็ได้ พวงกุญแจเล็กๆก็ได้ค่ะ” ชลธีพยักหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ

                “แต่ถ้าไม่มีเอาหมีโคอาล่าแทนก็ได้ค่ะ”

                “ครับๆ พี่จะพยายามหามาให้นะครับ” แทนดาวยิ้มกว้างเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ ชลธีมองกิริยานั้นอย่างเอ็นดู ถ้าเป็นสาวๆที่เคยควงระยะสั้นบ้างยาวบ้างล่ะก็...พวกหล่อนมักจะบอกว่า ‘แล้วแต่คุณสิคะ ซื้ออะไรให้ก็ชอบทั้งนั้น’ หรือ ‘ไม่ต้องซื้อมาหรอกค่ะ แค่คุณกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ’ แต่แม่สาวคนนี้บอกว่าอยากได้จิงโจ้กับหมีโคล่า ชายหนุ่มคิดขำๆในใจว่า

                “เอาเถอะ...ถ้าหนูอยากได้พี่ชลจะซื้อมาให้นะจ๊ะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา