ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  33.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) ตอนที่ 15 ดอกไม้แห่งพฤษภา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            คุณเที่ยงธรรมได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องไอซียูเร็วกว่ากำหนดเพราะฟื้นตัวเร็วเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งอาการดีขึ้นไปอีกเมื่อท่านได้รับทราบเรื่องที่ธารากำลังจะเข้ามาช่วยกอบกู้ทวีกิจ คุณเที่ยงธรรมพยายามยิ้มเป็นเชิงบอกว่าลูกชายคนโตคิดถูกแล้ว

            “ขอบใจลูก” ท่านกระซิบแผ่วเบา แทนดาวที่นั่งข้างๆกุมมือบิดามาแนบแก้ม

            “วันจันทร์...ทางเรากับ ฝั่งนั้น จะเซ็นสัญญากัน ผมกับอาแท้ช่วยกันตรวจทานร่างสัญญาเรียบร้อยแล้ว ยังไงก็รบกวนคุณพ่อมอบอำนาจให้ผมด้วยนะครับ” ลูกชายคนโตบอก สรรพนาม ‘ฝั่งนั้น’ แสดงถึงทิฐิที่มีต่อผู้ที่กำลังถูกกล่าวถึง คุณเที่ยงธรรมฝืนยิ้มเพลียๆให้บุตรชายคนโต ท่านไม่กังวลแล้วว่าทวีกิจจะเป็นอันตรายตราบใดที่ยังมีกำลังหลักอย่างเทียมภพอยู่ ความเงียบถูกทำลายลงเมื่อประตูห้องพิเศษเปิดขึ้นอีกครั้งและผู้มาใหม่ก็ทำให้เทียมภพหน้าตึง

            “สวัสดีค่ะคุณวารี” คุณดวงทิพย์ไหว้สตรีวัยกลางคนที่เดินเข้ามาพร้อมกับบุตรชาย

            “เพิ่งรู้ว่าคุณธรรมออกจากไอซียูแล้วก็เลยมาเยี่ยมค่ะ” แล้วบทสนทนาก็ดำเนินไปเรื่อยๆ เทียมภพพยายามมองหาหญิงสาวอีกคนที่คิดว่าน่าจะมาด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

            “พี่แฟงไม่มาด้วยหรือคะ?” แทนดาวเอ่ยถามในที่สุด ซึ่งคนตั้งใจฟังคำตอบที่สุดเห็นจะเป็นเทียมภพที่พยายามยืนบังน้องสาวให้พ้นจากสายตาเยือกเย็นของผู้มาเยือน

            “น้องแฟงของอาท่าทางจะป่วยอีกคนแล้วล่ะค่ะ” คุณวารีตอบ ‘คนตั้งใจฟัง’ ถึงกับใจหาย วูบ ความเป็นห่วงประหลาดวิ่งพล่านไปทั่วร่าง

            “แย่จัง...เมื่อกลางวันยังดูปกติอยู่เลยค่ะ”

            “คงเป็นหวัดละมั้ง หนูก็ต้องดูแลตัวเองนะคะ” แทนดาวพยักหน้า เทียมภพรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเสมือนไม่สนใจอยากจะฟังเรื่องราวอันเกี่ยวข้องกับครอบครัวของศัตรู หากแต่ในใจนั้นอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดและเป็นห่วงท่วมท้น ที่รมณ์นลินมีอันต้องเจ็บป่วยคราวนี้ต้องมีตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุแน่ๆ

            “อ้อ...อาได้ข่าวว่าน้องพลูแข่งเปียโนเหรอคะ เป็นยังไงบ้าง?” คุณวารีถาม

            “อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปออดิชั่นมาค่ะ พรุ่งนี้ถึงจะประกาศผลค่ะ” แทนดาวตอบด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วมองไปที่บิดา “น้องพลูมั่นใจค่ะ...ว่าต้องผ่านเข้ารอบไปชิงชนะเลิศ” สาวน้อยพูดอวดๆ บิดายิ้มให้บางๆ

             “มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะใบพลู?” ปลายเดือนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงฟังคล้ายเยาะหยัน หล่อนทำความเคารพคุณวารีก่อนจะหันไปคุยกับชลธีเสียงหวานเช่นเคย

             “คุณชลมาเยี่ยมเกือบทุกวันเลย เกรงใจจัง” ร่างระหงนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขา เทียมภพมองอย่างไม่พอใจ

            “มิได้ครับ ลุงธรรมก็เหมือนญาติของผม” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

            “เหรอ...ฝ่ายไหนไม่ทราบ” คนชอบหาเรื่องสะบัดเสียงถามชนิดไม่เกรงใจใครในห้อง

นี้

            “พี่หมาก...คุณลุงเพิ่งจะออกจากไอซียู อยากให้พ่อตัวเองกลับเข้าไปอยู่ในนั้นอีกใช่มั้ยถึงได้พูดจาแบบนี้” ปลายเดือนดุพี่ชายเบาๆ เทียมภพเงียบกริบ ชลธีแอบสมน้ำหน้า

            “คุณชล...” คุณเที่ยงธรรมเปล่งเสียงเรียกแผ่วเบา ชลธีรีบเดินไปยืนข้างๆเตียง

            “ขอบใจนะ” ท่านบอกเพียงสั้นๆแค่นั้น แทนดาวที่นั่งอยู่อีกฟากเตียงมองหน้าคุณพ่อสลับกับแขกผู้มาเยือนอย่างสงสัยใคร่รู้

            “ครับลุงธรรม ผมจะทำตามที่พูดไว้ทุกอย่าง” เขายิ้มอ่อนๆให้คนป่วยแล้วเลยมามองหน้าสาวน้อยที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง หล่อนดูสดใสขึ้นตามอาการของบิดาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

            “แล้วนี่แต่งตัวสวยจะไปไหน?” เทียมภพถามน้องสาวคนรอง

            “พอดีว่า...จะไป The Prestige Thara ค่ะ ผึ้งนัดพบกับลูกค้าจากไต้หวันที่นั่นค่ะ” หล่อนตอบพี่ชายด้วยความร่าเริงพลางส่งยิ้มให้ชลธีที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง

            “แล้วทำไมต้องนัดไปที่นั่น?” พี่ชายถามโกรธๆ

            “เอ๊ะ...พี่หมากจะอะไรนักหนา ก็ลูกค้าเราพักอยู่ที่นั่นนี่คะ” น้องสาวตอบกลับอย่างไม่สนใจนัก ชลธีนึกสนุก อยากรู้ว่าคู่แค้นจะว่าอย่างไรที่ลูกค้าตัวเองมาเปิดห้องพักที่โรงแรมของตน

            “คุณชลเค้าอุตส่าห์ช่วยดูแลอำนวยความสะดวกลูกค้าของเราอย่างดี พี่หมากควรจะต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำ” เทียมภพตาขวางทันที รู้สึกเสียหน้าขึ้นมากะทันหัน

            “อย่าเพิ่งสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตอนนี้เลยค่ะ ผึ้งไปก่อนล่ะ...แล้วเจอกันที่โน่นนะคะคุณชล ” ปลายเดือนยิ้มสวยให้พลางมองน้องสาวอย่างกระหยิ่มใจที่ถือไพ่เหนือกว่า

            “เฮ้ย...นี่ไปพบลูกค้าอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ?” พี่ชายโวยวาย คนอื่นมองสองพี่น้องเถียงกันตาปริบๆ

            “คุณชลเชิญทั้งผึ้งกับลูกค้าทานข้าวเที่ยงด้วยค่ะ ชัดเจนนะคะ” น้องสาวบอกอย่างเหนื่อยใจ

            “ฉันเลี้ยงรับรองลูกค้าของฉัน นายเดือดร้อนตรงไหนหรือ? ในเมื่อค่าข้าวฉันก็เป็นคนจ่าย” ชลธีที่ยืนดูอยู่นานถามกลับเสียงเย็น คนเจ้าปัญหาเลยพูดไม่ออกได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงนั้น แทนดาวแอบยิ้มขำที่พี่ชายถูกต้อนจนมุม

            “งั้นรีบไปเถอะชล ต้องไปส่งแม่ที่บ้านอีก จะได้กลับไปดูยัยแฟงด้วย ถ้าอาการไม่ดีจะพาไปหาหมอ” คุณวารีตัดบทด้วยไม่อยากให้สองคนนี้มาทะเลาะกันต่อหน้าคนป่วย

            “งั้นผมลาล่ะครับ พี่ไปก่อนนะน้องพลู” เขาหันมาบอกลาคนตัวเล็ก แทนดาวยิ้มให้น้อยๆขณะยกมือไหว้เขากับมารดา

            “เดี๋ยวพี่จะซื้อขนมมาฝากนะน้องพลู เบเกอรี่ที่ธาราอร่อยมาก คุณชลพาพี่ไปชิมมาหลายครั้งแล้ว เสียดายที่เราต้องอยู่นี่ ไม่งั้นจะพาไปด้วย” ปลายเดือนพูดกับน้องสาวเสียงหวานแต่สายตาเชือดเฉือน ชลธียังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่อยากจะขัดให้เสียหน้าว่าไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วก็ให้ลูกน้องพาไปต่างหาก

            “อย่าลำบากเลยค่ะพี่ผึ้ง ทานหวานมากไปก็เลื่ยน เอียน พูดแล้วก็จะอาเจียนค่ะ” หล่อนตอบพี่สาวแบบประชด ปลายเดือนออกจะเคืองนิดๆแต่ก็ไม่แสดงอาการอะไร ชลธีแอบอมยิ้ม...รู้แหละว่าหล่อนว่ากระทบเขาด้วย

            “น้องพลูพูดกับพี่ผึ้งดีๆสิคะ” คุณแม่เอ็ดแต่ก็ไม่ได้สลดเลย    

           

 

            เทียมภพผู้ร้อนรนทนไม่ไหวกับข่าวการล้มป่วยของรมณ์นลินไม่อาจทนนั่งกังวลอยู่ได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจวางแผนสดๆไปดูให้เห็นกับตาว่าอาการของหล่อนเป็นหนักมากน้อยแค่ไหน หลังจากหันรีหันขวางอยู่ชั่วครู่ก็ฉวยเอาปิ่นโตที่คุณลำเภาใส่ขนมกล้วยบวดชีกับข้าวเหนียวมะม่วงสำหรับให้คนเฝ้าไข้ไว้รับประทาน

            “นั่นพี่หมากจะเอาไปไหนเหรอคะ?” แทนดาวร้องถามพองพี่ชายหิ้วปิ่นโตขนมเตรียมจะออกไป

            “อ๋อ..คือพี่เพิ่งนึกได้ว่าลืมของไว้ที่ออฟฟิศว่าจะกลับไปเอา ส่วนขนมนี่จะเอาไปกินด้วย” คำตอบแถสีข้างถลอกทำให้น้องสาวหน้าเหวอ

            “กินหมดเหรอคะนั่น?” แทนดาวยิ่งงงหนัก ก็พี่ชายเกลียดขนมหวานจะตาย ขนาดดื่มกาแฟยังไม่ใส่น้ำตาลเลย

            “หมดสิ พี่ชอบกินจะตาย คุณย่าทำทีไรพี่ก็ฟาดเรียบทุกทีแหละ” เขาอ้อมแอ้มตอบน้องสาวก่อนจะรีบเร่งออกไป แทนดาวมองตามพร้อมกับส่ายหน้า

            “ทำไมช่วงนี้มีแต่คนชอบกินขนมหวาน ก็บอกแล้วไงว่ากินมากๆมันเลี่ยน!”

 

            ชั่วโมงต่อมาเทียมภพก็มาอยู่ที่บ้านคู่อริ คุณวารีออกมาเปิดประตูให้ด้วยท่าทางงงๆ ที่อยู่ดีๆลูกชายคนโตของบ้านทวีกิจก็มายินยิ้มเผล่อยู่ที่นี่ทั้งๆที่เมื่อกี้ทำท่าจะวิวาทกับบุตรชายของนาง

            “ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ลืมบอกไปเลยว่าคุณย่าทำขนมมาฝากด้วย พอท่านรู้ว่าคุณอาจะขึ้นมาก็เตรียมทำขนมไว้ให้ แหม...ลืมเสียสนิท พอนึกขึ้นได้คุณอาก็กลับมาเสียก่อน ผมเลยรีบขับรถตามเอามาให้” เขายืนยิ้มด้วยความภูมิใจที่ท่องบทได้แม่นเป๊ะ

           “อ้อ..ขอบคุณมากเลยค่ะ เข้าบ้านก่อนสิคะ” คุณวารีเชื้อเชิญ เขาถือปิ่นโตเดินตามเข้า  ไป

          “เอ่อ...อยู่ไหน? เอ้ย..วางไว้ตรงไหนดีครับ?” เขาหันซ้ายหันขวาหา ‘คนป่วย’ แต่กลบเกลื่อนด้วยการถามหาที่วางปิ่นโต

           “เดี๋ยวอาจัดการเองค่ะ อ้อ...ส้มมาพอดี เอาขนมถ่ายใส่จานไว้นะแล้วล้างปิ่นโตมาคืนคุณหมาก” นางยื่นปิ่นโตให้แม่บ้าน

          “แล้วน้องแฟงเป็นไงมั่ง กินข้าวกินยาแล้วหรือยัง?” นางถามถึงบุตรสาวที่นอนพักอยู่บนห้อง เทียมภพพลอยตั้งใจฟังไปด้วย

           “ตัวร้อนกว่าเดิมค่ะ ส้มต้มข้าวให้กินก็กินสามคำเอง บอกว่าเพลียกับมึนหัวอย่างเดียว” สาวใช้รายงาน คุณวารีมีสีหน้ากังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

             “เดี๋ยวอาขึ้นไปดูลูกสักครู่นะคะ” นางรีบร้อนเดินขึ้นบันไดไป เขาเองก็อยากจะตามไปด้วยแต่ก็อาจจะดูไม่ค่อยดีนักก็เลยเดินวนไปวนมาโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะต้องมาวิตกกับการเจ็บไข้ได้ป่วยของน้องสาวศัตรูทำไมกัน

            “คุณหมาก...มาช่วยหน่อยเถอะค่ะ!” เสียงคุณวารีร้องเรียกด้วยความร้อนใจทำให้เขาต้องรีบสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดตามไปทันที ในห้องนอน...ครูสอนเปียโนของน้องสาวนอนกระสับกระส่าย หน้าตาแดงก่ำเพราะพิษไข้

            “ต้องพายัยแฟงไปหาหมอแล้วล่ะ แฟงลุกขึ้นสิลูก” คุณวารีพยายามประคองตัวลูกสาวให้ลุกขึ้นแต่ดูเหมือนคนป่วยจะไม่มีแรงเอาเสียเลย

          “ผมช่วยดีกว่าครับ คุณอาลงไปรอผมที่รถได้เลย” เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่นอนซมแล้วช้อนตัวขึ้นมาอุ้มไว้ ทันที่ร่างกายสัมผัสกันเขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนรุมจากเนื้อตัวนุ่มนิ่ม รมณ์นลินรู้สึกตัวปรือตาขึ้นมองคนที่กำลังโอบอุ้มตัวเองอยู่ก็ดิ้นแต่แรงแทบจะไม่มีเอาเสียเลย

          “ปล่อย!” หล่อนประท้วงแม้จะไม่มีแรง

         “คุณไม่สบายนะแฟง ผมกำลังจะพาคุณไปโรงพยาบาล อย่าดิ้นสิ! กำลังจะเดินลงบันไดเดี๋ยวก็ตกลงไปเดี้ยงกันทั้งคู่หรอก” เขาดุเมื่อหล่อนยังพยายามที่จะดิ้นรนหาอิสรภาพ

         “อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” เขาบอกหล่อนขณะค่อยๆวางร่างคนป่วยตรงห้องโดยสารด้านหลังพร้อมกับหยิบเสื้อแจ็คเก็ตมาห่มให้ คุณวารีนั่งขนาบข้างลูกสาว

           “ไปโรงพยาบาลประชาเวชนะคะ อยู่ไม่ไกล” เทียมภพพยักหน้ารับ

          รมณ์นลินเจอไข้หวัดใหญ่เล่นงานเสียแล้วก็เลยต้องแอดมิทอยู่ที่นี่ เทียมภพยังคงเฝ้ารอดูอาการด้วยความเป็นห่วงระหว่างรอคุณวารีกลับไปเอาเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นสำหรับการอยู่เฝ้าไข้ เขาส่งไลน์บอกน้องสาวซึ่งฝ่ายนั้นออกจะตกใจอยู่มากที่ครูสาวป่วยหนักแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

            -พี่หมากอยู่เป็นเพื่อนพี่แฟงไปก่อนนะคะ ทางนี้ไม่ต้องห่วง นี่อารินกับคุณย่ามาถึงแล้ว กำลังคุยกันอยู่เลย เดี๋ยวน้องพลูไปบอกแม่ก่อนนะว่าพี่แฟงไม่สบาย- เขาอ่านข้อความสุดท้ายจากน้องสาวแล้วเดินไปหยุดยืนข้างเตียงพลางมองใบหน้าที่ซีดเผือดด้วยความกังวล หล่อนยังหลับสนิทด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์ไข้ ริมฝีปากที่ได้สัมผัสกันไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาก็ดูซีด เขาแตะมือที่หน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นเบาๆ ตัวยังคงร้อนรุม

              “แฟง...คุณต้องอดทนนะ เดี๋ยวก็หาย ผมอยากให้คุณหายเร็วๆ” เขาพูดกับร่างที่นอนหลับสนิท ทั้งห่วงทั้งรู้สึกผิดปนเปกันไป

            คุณวารีกลับมาพร้อมลูกชายในชั่วโมงต่อมา เทียมภพเลี่ยงออกมารออยู่นอกห้องเพื่อให้สามแม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่นานนักพี่ชายของคนป่วยก็เดินมาหาเขาด้วยท่าทีเครียดขึง

            “แม่บอกว่าแกเป็นคนพายัยแฟงมา” เขาถามเสียงห้วน

            “เออ” คนถูกถามตอบกลับสั้นๆ

            “ไปบ้านฉันทำไม? เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ารู้สึกผิดก็เลยต้องตามไปดู?” เขาบอกอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน เทียมภพสะดุ้งนิดหนึ่ง

            “แกหมายความว่าไง? รู้สึกผิดอะไร? ฉันก็แค่เอาขนมไปให้คุณอาแล้วบังเอิญน้องสาวแกไม่สบายมาก คุณอาเลยขอให้ฉันขับรถมาให้” เขาอธิบายโดยไม่กล้าไม่มองหน้าอีกฝ่าย           “ตอนที่แฟงไปสอนเปียโนที่บ้านแกยังเป็นปกติดีอยู่แต่พอกลับมาก็ซึมแล้วก็ป่วย มันบังเอิญมากไปมั้ยวะ! ที่พอเจอหน้าแกแล้วไม่สบายหรือว่าแกเป็นพาหะนำโรค!” เขาแค่นเสียงถาม คราวนี้เทียมภพจ้องกลับ

            “จะไปรู้ได้ไง น้องแกอาจจะป่วยอยู่แล้วก็ได้ อาการเลยกำเริบ” เขารีบแก้ตัว

            “ไอ้หมาก!” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเครียด “วันนี้ที่กูไม่เอาเรื่องมึงมากไปกว่านี้ก็ เพราะยังนึกถึงน้ำใจที่พาน้องมาส่ง แต่อย่าให้กูรู้นะ...ว่ามึงรังแกหรือทำอะไรให้ยัยแฟงเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นทั้งทางร่างกายและจิตใจเพราะกูจะไม่ใจเย็นแน่ๆ” เขาพูดกับอีกฝ่ายอย่างโกรธเคืองและเชื่อใจว่าเทียมภพต้องมีส่วนทำให้น้องสาวล้มป่วยในครั้งนี้แน่ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะไอ้ที่คู่ปรับพูดมามันจริง!

            “น้องตื่นแล้วชล” คุณวารีเดินมาบอกลูกชาย เทียมภพกำลังจะข้าวขาเดินเข้าไปดูเช่นกัน

            “ไม่ต้องเลย...มึงหมดหน้าที่แล้ว กลับไปได้!” ชลธีรีบสกัดดาวรุ่ง

            “ทำไมกูจะเข้าไปดูแฟงไม่ได้? กูเป็นเป็นคนพาเธอมานะ” เขาไม่ยอม

            “แล้วตรรกะที่ไหนบอกว่าคนพามาจำเป็นต้องเข้าไปเยี่ยมคนป่วยเสมอ” ชลธีแย้ง เทียมภพได้แต่ฮึดฮัดทำอะไรไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง     

            “เป็นไงเรา? อยู่ดีๆก็ไม่สบายซะงั้น” เขาถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

            “รู้สึกว่าหัวมันหนักอึ้ง ปวดเนื้อตัวไปหมดเลยค่ะ อ้อ...แล้วเค้า...” ชลธีรู้ว่าน้องสาวกำลังถามถึงใคร

            “กลับไปแล้วล่ะ พี่ให้กลับไปเมื่อกี้เพราะเห็นว่ามาอยู่ตั้งแต่บ่าย” เขามองตาน้องสาวอย่างค้นคว้า

            “ให้แข็งแรงดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยเล่าให้พี่ฟังว่าเมื่อวานตอนเจอไอ้หมากที่บ้านโน้น มันทำอะไรเรา” เขาพูดเสียงจริงจังเมื่อพาดพิงถึงคู่อริ รมณ์นลินเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน

            “ก็ไม่มีอะไรนี่คะ แฟงไม่สบายเอง แล้วคุณหมากก็เป็นคนพามาโรงพยาบาล” หล่อนหลบตาพี่ชาย ชลธีไม่ซักไซ้ต่อด้วยอยากให้น้องพักผ่อนมากๆ

            “เอาเถอะ...เดี๋ยวค่อยว่ากัน นอนพักซะเดี๋ยวคืนนี้แม่อยู่เป็นพื่อนนะแล้วเดี๋ยวตอนเช้าจะให้ส้มมาเปลี่ยน” เขาลูบศีรษะน้องสาวแล้วก้มลงจุมพิตแผ่วเบา

            “ไอ้หมากมันผิด แต่พี่ผิดมากกว่า ผิดที่เป็นพี่แต่ไม่สามารถปกป้องดูแลน้องสาวคนเดียวได้...พี่ขอโทษนะ” เขาพูดพึมพำกับน้องสาวที่ค่อยๆหลับไปด้วยฤทธิ์ยา

 

           วันรุ่งขึ้นครอบครัวทวีกิจไพศาลส่งสามพี่น้องเป็นตัวแทนไปเยี่ยมไข้ เทียมภพถึงกับหน้าสลดเมื่อเห็นสภาพหญิงสาวที่นอนซม มีสายน้ำเกลือโยงอยู่ที่แขน หน้าตาไม่มีสีเลือดเอาเสียเลย

            “แย่จังเลยนะคะ มีแต่คนป่วย” แทนดาวมองครูสาวด้วยความสงสาร

            “พี่คงต้องหยุดสอนน้องพลูไปหลายวัน ต้องขอโทษด้วยนะคะ” รมณ์นลินพยายามฝืนยิ้มให้ลูกศิษย์สาว

            “ไม่เป็นไรเลยค่ะ น้องพลูซ้อมทบทวนเองได้สบาย ว่าแต่วันนี้น้องพลูมีข่าวดีมาบอกพี่แฟงด้วยล่ะ” คนตัวเล็กยิ้มกว้างจนพี่ชายคนป่วยที่ยืนห่างออกไปต้องตั้งใจฟังด้วยความสนใจ

            “น้องพลูผ่านรอบออดิชั่นไปชิงชะเลิศ” แทนดาวแจ้งข่าวดีกับครูสาว หล่อนตรวจประกาศผลการแข่งขันในเฟสบุ๊คเมื่อเช้าแล้วก็กรี๊ดลั่นรถทำเอาพี่ชายเกือบเหยียบเบรกหัวทิ่ม

          “ดีใจด้วยนะลูกศิษย์คนเก่ง....คิดไว้ว่าต้องผ่านอยู่แล้ว” รมณ์นลินยิ้มสดชื่นขึ้นทันตาเห็นทำให้เทียมภพเผลอยิ้มตามไปด้วยก่อนจะหันมาสั่งงานน้องสาวคนรองและคนเล็ก

            “สีผึ้งไปส่งน้องที่โรงพยาบาลด้วยล่ะ วันนี้อาจจะอยู่ทรีดีทั้งวันรอเคลียร์ปิดงบ ต้องฝากผึ้งดูแลทวีกิจด้วยนะจ๊ะ ส่วนน้องพลูดูแลคุณพ่อนะคะ วันนี้ม๊าหลีว่าจะมา เฮียบุ้งก็น่าจะมาด้วย ถ้าอยากกลับบ้านก่อนก็ให้เฮียบุ้งไปส่งนะคะ” น้องสาวทั้งสองรับคำ

            “ผมต้องไปทำงานก่อน คุณพักผ่อนเยอะๆนะ” เขาบอกรมณ์นลินเสียงนุ่มกว่าทุกครั้งพร้อมกับทอดสายตามองด้วยความห่วงเป็นใยเปิดเผย เป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาทรและหวานซึ้ง รมณ์นลินยิ้มให้น้อยๆแต่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ใครไม่รู้สึกแต่ว่าชลธีเท่านั้นที่รู้สึกสะกิดใจกับแววตาของศรัตรูที่มองน้องสาว ชายหนุ่มยืนมองเงียบๆอย่างพิจารณา ด้วยความที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนก็เลยอดคิดไม่ได้ว่า ในอดีต...มีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เทียมภพมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมอาทรเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้...อดีตเพื่อนรักก็กำลังมองรมณ์นลินด้วยสายตาแบบเดียวกัน

            “อ้อ..น้องพลูมากับพี่เดี๋ยวสิคะ” เขาเรียกน้องสาวขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูไป

            “ไปไหนคะ?” เทียมภพไม่ตอบคำถาม รีบจูงมือน้องสาวลงลิฟต์ไปชั้นล่าง

            “พี่หมากคงพายัยพลูไปเอาอะไรที่รถมั้งคะ งั้นคุณชลไปดื่มกาแฟกับผึ้งมั้ย? เห็นเมื่อเช้าบอกว่ายังไม่ได้ทานอะไรมานี่นา” ปลายเดือนชวน ชลธีลังเลเพราะห่วงน้อง

            “ไปเถอะค่ะพี่ชล แฟงอยู่กับส้มได้ เดี๋ยวคุณแม่ก็มา” คนป่วยบอกพี่ชายและยิ้มให้ปลายเดือน คนชวนจึงคล้องแขนชายหนุ่มพาลงไปยังร้านกาแฟข้างล่าง

            “ช่วยพี่เลือกดอกไม้หน่อยสิ คุณครูของเราชอบดอกอะไรล่ะ” แทนดาวถึงบางอ้อว่าทำไมพี่ชายถึงชวนลงมาที่นี่ คนตัวเล็กอมยิ้มขณะมองพี่ชายที่ยืนเลือกดอกไม้ท่าทางเก้ๆกังๆ

            “น้องพลูไม่รู้หรอกค่ะว่าพี่แฟงชอบดอกอะไร รู้แต่ว่าชอบสีเหลือง” พอได้ยินน้องสาวบอก ก็ทำท่าคล้ายบรรลุสัจธรรม คนตัวสูงเลือกเอาแต่ดอกไม้สีเหลืองส่งให้พนักงานจัดแจกัน แทนดาวมองแจกันดอกไม้สีเหลืองแซมขาวอย่างชื่นชมปนอิจฉา สวยกว่าลิลลี่ของพี่เวเยอะเลย...

            “เดี๋ยวน้องพลูช่วยเอาไปให้คุณครูของเราทีนะ” เทียมภพหันมาบอกน้องสาว

            “ทำไมพี่หมากไม่เอาไปให้เองล่ะคะ แวะขึ้นไปแป๊บเดียวเอง”

            “พี่รีบนี่นา ป่านนี้พวกเพื่อนๆมันชะเง้อรอคอยาวแล้ว เอาน่า...ช่วยพี่หน่อย เดี๋ยวเพิ่มค่าขนมเดือนนี้ให้

            “เอ...ว่าแต่ว่าทำไมพี่หมากถึงได้ให้ดอกไม้พี่แฟงล่ะ ลืมไปแล้วเหรอ...พี่แฟงน่ะเป็นญาติพี่ชลนะ” ” แทนดาวตาโตรีบตกลงให้ความช่วยเหลือแต่ก็แกล้งถามแหย่พี่ชาย ใจก็รำคาญคนเกิดก่อนที่มัวแต่รักษาเชิงอยู่นั่น

            “ทำไมล่ะ ครูเราป่วยพี่ก็ดอกไม้ไปเยี่ยมในนามนายจ้างแค่นั้นเอง แต่ถ้าไอ้นั่นมันป่วย...พี่ถึงจะส่งพวงหรีดไปให้” แทนดาวเพียงแค่ยิ้มแล้วนึกถึงเรื่องที่ระหว่างพี่ชายกับครูสาวที่ร้านอาหารวันนั้น แล้วจึงหอบหิ้วแจกันดอกไม้ไปส่งให้ตามที่พี่ชายขอ แถมยังยังกำชับอีกว่า

            “ไม่ต้องบอกว่าพี่ให้นะ ถ้าเค้าถามก็บอกว่าเราให้ก็แล้วกัน”

            “เรื่องแบบนี้ขอให้ไว้ใจน้อง” แทนดาวรับคำเป็นมั่นเหมาะ เทียมภพหอมแก้มน้องสาวแรงๆก่อนจะแยกกัน

 

            วันนี้เทียมภพไม่เป็นอันทำงานเพราะนอกจากจะกังวลเรื่องอาการเจ็บไข้ของบิดาแล้ว ็บไข้ของดูเหมือนสมาธิทั้งหมดจะถูกส่งไปยัง ‘คนป่วย’ อีกคน ความรู้สึกผิดยิ่งมีมากขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้หล่อนต้องเข้าโรงพยาบาล ให้ตายเถอะ...เขาเสียใจที่ไปล่วงเกินหล่อนด้วยโทสะ เป็นการไม่ให้เกียรติสตรีเพศซึ่งไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษที่ดีเลย ตอนนี้ในใจมีแต่ความรู้สึกห่วงที่เจือปนด้วยเยื่อใยบางอย่างที่มองไม่เห็นแม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร

            ด้วยความที่ใช้ชีวิตเฉกเช่นหนุ่มโสดไร้พันธะมาเนิ่นนาน นิสัยรักสนุกที่มีมากกว่าจึงบดบังความละเอียดอ่อนภายในจิตใจ ดังนั้นเมื่อมีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างค่อยๆเผยออกมาทีละน้อยก็เลยทำให้เขาสับสน ความรู้สึกห่วงหายามห่างไกลและอยากดูแลยามป่วยไข้ที่เป็นอยู่นี้ไม่เคยบังเกิดขึ้นกับสตรีคนใดเลยนับจากความรักครั้งแรกในอดีตที่มอบให้ผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เขาไม่เคยได้รับความรักกลับมา

            เขารอไม่ได้อีกต่อไปแล้วที่นั่งจะบื้ออยู่ในห้องทำงานทั้งที่ๆไม่มีอารมณ์จะหยิบจับอะไร นอกจากจะทำให้เปลืองแอร์เปลืองไฟเสียก็เท่านั้น เทียมภพตัดสินใจลุกออกจากห้องทำงานเงียบๆ อีกชั่วโมงต่อมาก็กลับมาหยุดยืนหน้าห้องพักคนไข้คนเดิมอีกครั้ง

            “อ้าวแก...มาทำไมอีกล่ะ?” เสียงทักเย็นชาจากคู่อริไม่อาจทำให้เทียมภพรู้สึกดุเดือดอย่างเคย ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงจะได้วางมวยกันแน่แล้ว

            “ไม่ได้มาหาแกก็แล้วกัน” เทียมภพตอบกลับไปอย่างเย็นเยือกเช่นกัน ชลธีมองอย่างไม่ไว้ใจนักแต่ก็ไม่ใจดำถึงขนาดไม่ให้เข้าเยี่ยม ยอมเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้วตัวเองก็กลับไปนั่งทำงานต่อแต่สายตาก็คอยสอดส่องคอยจับผิดผู้มาเยือน

            “อย่านานนักนะ เพิ่งจะกินยาเข้าไปเดี๋ยวต้องนอนพัก” พี่ชายคนไข้กำชับเสียงกระด้างก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งที่มุมพักญาติที่แบ่งไว้เป็นสัดส่วนภายในห้องพักพิเศษนี้

            “แฟงอยากกินพายมะนาวจังค่ะพี่ชล ที่นี่มีขายมั้ย?” หล่อนร้องถามโดยไม่ลืมตามามอง เลยไม่รู้ว่าคนที่มายืนใกล้ๆนั้นไม่ใช่พี่ชาย

            “ถ้าอยากกิน พรุ่งนี้จะซื้อมาให้” เขาสังเกตว่าหล่อนดูดีขึ้นแม้จะยังซูบซีดอยู่ก็ตามที

            “คุณหมาก” คนป่วยเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นเขา

            “คุณเป็นไงบ้าง?” แววตาที่ทอดมองมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยจนคนป่วยใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

            “ก็ดีขึ้นค่ะ ยังไม่ตาย...อาจจะ...ผิดหวัง” ความน้อยใจวิ่งแล่นไปทั่วร่าง น้ำตาที่พยายามกักเก็บไว้ทำท่าว่าจะไหลออกมา ตลอดทั้งคืนหล่อนพยายามไม่คิดถึงเขา พยายามลืมเรื่องเลวร้ายที่เขาทำเอาไว้ แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย...มันจึงส่งผลให้หล่อนคิดมากจนร่างกายที่อ่อนล้ายิ่งอ่อนแอและไม่สบายในที่สุด

            “เอ่อ...ผม” เทียมภพกลืนก้อนแข็งๆลงคอ พลางจ้องมองริมฝีปากซูบซีดที่เมื่อวานได้ระบายอารมณ์โกรธลงไปอย่างขาดสติ รมณ์นลินดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงคอเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองแบบนั้น ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เขากระทำกับตนก็โกรธระคนเก้อกระดาก

            “ผมเสียใจ…ขอโทษนะ” เขาเอ่ยปากขอโทษด้วยความรู้สึกสำนึกผิดจากใจจริง เห็นปฏิกิริยาหวาดระแวงที่หล่อนแสดงออกมาแล้วก็ยิ่งละอายใจ นี่ถ้ามีใครมาทำแบบนั้นกับแทนดาวบ้าง...เขาจะข่มโทสะไม่ฆ่ามันให้ตายได้หรือเปล่า

            “คนอย่างคุณเสียใจเป็นด้วยหรือไง ออกไปเถอะ...ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกแล้ว” หล่อนไล่พลางแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเป็นการตอกย้ำว่าไม่อยากเห็นหน้าจริงๆ

            “รมณ์นลิน!” เทียมภพใจกระตุกวูบ แค่ได้ยินที่หล่อนบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าตนก็รู้สึกเหมือนโลกกำลังจะแตก

            “หมดเวลาแล้ว...แกกลับไปได้” ชลธีที่คอยจับเวลาอยู่เดินมาไล่แขกเมื่อครบห้านาทีเป๊ะ เทียมภพหันหลังกลับไปเงียบๆด้วยความรู้สึกร้าวราน ชลธีมองหน้าชายหนุ่มรุ่นเดียวกันแล้วเม้มปากจนเป็นเส้นตรง สีหน้าและแววตาร้านรานของคู่ปรับทำให้ภาพความทรงจำในอดีตค่อยๆชัดเจนอีกครั้ง

 

            “ชล...กูขอโทษ แต่มันห้ามใจไม่ได้จริงๆ กูมันคนทรยศหักหลังเพื่อน

            “กูเข้าใจความรู้สึกของมึง ขอบใจที่เปิดอกคุยกัน ยังไงเสีย...กูก็ไม่มีวันเกลียดมึงหรอก...เรายังจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

 

            “มันพูดอะไรไม่ดีกับแฟงหรือเปล่า” เขาหลับตานิ่งอยู่ชั่วอึดใจรอจนอีกฝ่ายออกไปแล้วจึงหันมาพูดกับน้องสาว

            “ไม่หรอกค่ะ เค้าแค่ถามอาการ”

            “แฟง...พี่รักแฟงมากนะ มีอะไรก็บอกพี่ได้นะ” ชลธีลูบศีรษะน้องสาวแผ่วเบา รมณ์นลินมองตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาทรอย่างซาบซึ้ง ใจจริงก็อยากจะระบายเรื่องราวที่อัดอั้นตันใจให้พี่ชายรับรู้ แต่หล่อนเลือกแล้วว่าจะยอมแบกรับความเจ็บช้ำไว้เพียงผู้เดียว

            “ค่ะพี่ชล ตอนนี้ชักง่วงแล้ว แฟงนอนดีกว่า” ชลธีไม่ถามอะไรต่อเมื่อน้องสาวบอกว่าอยากนอน หญิงสาวเหลือบไปเห็นแจกันดอกไม้ข้างเตียงก็ยิ้มบางๆ

            “น้องพลูนี่น่ารักจังเลยนะคะ พี่ชลว่ามั้ย?” รมณ์นลินเอื้อมมือไปสัมผัสดอกไม้ในแจกันอย่างทะนุถนอม

            “เอาล่ะ...นอนซะ แล้วพี่จะไปบอกน้องพลูว่าเราชอบมาก” ชลธีดึงผ้าห่มคลุมร่างน้องสาวก่อนจะปรับเตียงให้ราบลง

            “พี่ชลยังไม่ได้ตอบแฟงเลย ว่าน้องพลูน่ารักมากๆใช่หรือเปล่า?” เขามองหน้าน้องสาวนิดแล้วเอื้อมมือไปหยิกจมูกซีดๆนั้นเบาๆ

            “จ้า...น่ารักมากๆเลย พอใจแล้วก็นอนได้แล้ว ถ้าตื่นมาแล้วอาการไม่ดีกว่านี้ล่ะจะบอกให้คุณหมอจับฉีดยานะ” รมณ์นลินย่นจมูกใส่พี่ชายก่อนจะหลับตาลง

           

             “ปราง! นั่นคุณจริงๆใช่มั้ย?” เขาชะงักเห็นสตรีรูปร่างดูคุ้นตาลงจากรถยนต์ที่จอดอยู่ช่องเยื้องๆกัน เทียมภพก้าวพรวดพราดลงจากรถที่ติดเครื่องพร้อมจะขับออกไป เขาเดินแกมวิ่งไปหาหญิงสาวร่างโปร่งบางคนนั้น หล่อนมองคนเรียกอยู่ชั่วขณะก่อนจะเบิกตากว้างและรีบเดินยิ้มปรี่เข้ามาหาเขาเช่นกัน

             “ปรางดีใจจริงๆที่เจอคุณอีก” เปรมยุตายิ้มให้บุรุษตรงหน้าด้วยความยินดี สองคนจับกุมมือกันอย่างคนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานโข

            “แปดปีแล้วสินะ” ความยินดีฉาบไปทั่วใบหน้างามลออนั้น เปรมยุตาในอดีตของเขางดงามเพียงใด ปัจจุบันความงามนั้นก็คงอยู่มิได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

            “นั่นสิ...ว่าแต่ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” เขาถามด้วยความตื่นเต้น มือยังคงกุมกันไว้แน่น

            “พอดีญาติของเพื่อนสนิทไม่สบายค่ะ ปรางเลยแวะมาเยี่ยม แล้วหมากล่ะคะ?”

            “เหมือนกันเลย ผมก็มาเยี่ยมคนรู้จัก” เขาตอบตายิ้มแต่ใจก็แอบคิดแวบหนึ่งว่าเพื่อนสนิทที่ว่านี่จะใช่ชลธีหรือเปล่า

            “บังเอิญจริงเชียว โลกมันกลมกว่าที่คิดไว้มาก” ประโยคนี้ดูเหมือนคู่สนทนาจะพูดกับตัวเองมากกว่า

            “ปรางรีบหรือเปล่า? เราไปหาที่นั่งคุยแถวๆนี้กันสักแป๊บมั้ย” พอเพื่อนสาวตกลงเขาก็รีบไปดับเครื่องยนต์แล้วพากันเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง

            “คุณไปอยู่ที่ไหนมาน่ะปราง? หลังจากที่...เรียนจบผมก็ติดต่อคุณไม่ได้อีก” เขาถามขณะนั่งคุยในร้านกาแฟข้างล่าง

            “ปรางไปอยู่เยอรมันมาค่ะ แต่งงาน...แล้วก็ทำงานที่บริษัทขายรถยนต์ จะกลับมาบ้านปีละครั้ง” เปรมยุตาเล่าเรื่อยๆ เทียมภพยังคงกุมมือบางคู่นั้นไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนเป็นการชดเชยที่ในอดีตตนเองไม่เคยได้ครอบครองมืออบอุ่นนี้ สายตาจับจ้องที่วงหน้างามละมุนด้วยความคิดถึง

            “แล้วตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? ทำอะไรอยู่?”

            “ชีวิตครอบครัวมันไม่ประสบความสำร็จอย่างที่ปรางหวัง พอหย่าขาดจากสามีปรางก็กลับมาอยู่บ้าน ดีที่เราไม่ได้มีลูกด้วยกัน” แววตาของหล่อนสลดลง เทียมภพรู้สึกสะเทือนใจกับคำว่า ‘ลูก’

            “เสียใจด้วยนะ เริ่มใหม่นะปราง” เขาบีบมือให้กำลังใจ เปรมยุตารู้สึกมีกำลังใจกว่าเดิมมาก เพื่อนเก่าทั้งสองคนยังคงปราถนาดีกับตนเสมอ

             “อ้อ...งั้นผมขอเบอร์คุณได้มั้ย? ไม่ได้เจอเสียนานจะได้หาเวลาว่างมาคุยกัน” ทั้งคู่แลกเบอร์กันแล้วนั่งคุยต่อสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไป

 

               เทียมภพไปหาบิดาที่โรงพยาบาลแล้วรับน้องสาวออกมาด้วย สองพี่น้องฝ่าการจราจรติดขัดมาจนถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงจนได้ วันนี้แทนดาวเปลี่ยนสไตล์เลือกร้านอาหารญี่ปุ่นแบบที่มีอาหารวิ่งมาตามสายพานที่เทียมภพรังเกียจเอามากๆ บอกว่าจะกินทีก็ต้องคอยตั้งท่าเล็งตะเกียบให้ดี แถมบางทีก็อาจชวดเพราะมีคนคีบตัดหน้าไปก่อน เลยสั่งที่เป็นอาหารชุดมาทานคนเดียวดีกว่า...ง่ายดี

            “น้องพลูอยากดูหนังจัง เรื่องนี้ใกล้จะออกโรงแล้วยังไม่ได้ดูเลย” แทนดาวพูดถึงภาพยนตร์แอ๊คชั่นไตรภาคที่อยากดูมานาน

            “ก็ได้ งั้นกินเสร็จก็ไปซื้อตั๋วแล้วก็ไปเดินซื้อของ เสร็จแล้วเอาของไปเก็บที่รถแล้วค่อยมาดูหนัง” พี่ชายจัดตารางให้เสร็จสรรพ น้องสาวพยักหน้าเห็นด้วย พลางคีบนั่นคีบนี่ใส่ปากไม่หยุด

            “เรียนใกล้จบซะทีนะเรา” พี่ชายเปิดประเด็นสนทนาขึ้น

            “ใช่ค่ะ เฮ้อ...จบซะทีชีวิตการเรียน” หญิงสาวกล่าวพลางพ่นลมหายใจออกมาราวกับว่าเหนื่อยเหลือแสน

            “จบอะไรที่ไหน ปริญญาตรีเดี๋ยวนี้ใครๆเค้าก็มีกัน พี่จะให้เราต่อโทเลยหลังจากเรียนจบ แล้วก็เลือกมหา’ลัยเอาไว้แล้วด้วย เราแค่เลือกมาว่าอยากเรียนอะไร”   แทนดาวอ้าปากค้าง ทำข้าวปั้นหน้าไข่กุ้งหล่นจากตะเกียบ ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับทำให้กับอ้ำอึ้งตะลึงงัน

            “อะไรนะ! พี่หมากทำงี้ได้ไง ยังไม่เคยถามพลูสักคำ” คนตัวเล็กแหว กระแทกตะเกียบกับจานกระเบื้องเคลือบจนเกิดเสียงดังทำท่าว่าจะอิ่มขึ้นมากะทันหัน แต่พี่ชายยังคงใจเย็นเหมือนเตรียมตัวรับมือกับอาการกระฟัดกระเฟียดของน้องสาวมาแล้วอย่างดี

            “น้องพลู...ต่อไปหนูต้องมาช่วยงานที่ทวีกิจ หนูจะต้องสะสมความรู้เอาไว้ให้มากๆ ระหว่างนั้นก็ต้องไปฝึกทำงานงานกับพี่ด้วย” เทียมภพอธิบายเรื่อยๆโดยไม่ไยดีกับอาการหน้าคว่ำหน้างอของอีกฝ่าย

            “น้องพลูไม่อยากเรียนแล้วนี่ แค่ปริญญาตรีก็จะอ้วกแตกอยู่แล้ว” น้องสาวบ่น

            “ยังไงก็ต้องเรียน ปริญญาตรียังผ่านมาได้ กะอีแค่ต่อโทอีกใบมันจะยากอะไร”

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ น้องพลูขอไปเมืองนอกไม่ได้เหรอ?” คนตัวเล็กมองพี่ชายอย่างมีความหวัง ก็ไหนๆจะต้องเรียนต่อขอไปหาประสบการณ์ต่างแดนด้วยจะเป็นไร

            “ไม่ได้...เรียนที่นี่และอยู่ที่นี่นั่นแหละ” พี่ชายตอบทันทีโดยไม่คิดและก็ได้รับการประท้วงจากน้องสาวทันที

            “ทำไมล่ะ ทีพี่หมากยังไปได้เลย”

            “นั่นมันพี่ แต่เรา...พี่ไม่ให้ไป แล้วก็ไม่ต้องคิดเอาเรื่องนี้ไปอุทธรณ์กับพ่อแม่เลยนะเพราะพวกท่านเห็นด้วยกับพี่” เทียมภพรู้สึกกระดากหน่อยๆที่ว่าบิดามารดาเห็นด้วยกับตน ความจริงเขาได้ปรึกษาเรื่องนี้กับบุพการีเอาไว้นานแล้ว ซึ่งท่านทั้งสองเองก็อยากส่งลูกสาวคนเล็กให้ไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกันจะได้เป็นการเปิดประสบการณ์และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเอง แต่ตัวเขาเองไม่อยากให้น้องสาวไปไกลหูไกลตาเลยชักแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลที่ไม่ควรส่งไป จนในที่สุดแล้วต้องขู่ว่าถ้าคิดจะส่งไปจริงๆเขาจะลาออกจากงานตามไปอยู่ด้วย ท่านทั้งสองจึงต้องยอมทำตามมติ (เผด็จการ) ของลูกชายคนโตเพราะถ้าเทียมภพลาออกไปสักคนแล้ว ทวีกิจย่อมได้รับผลกระทบมากมายมหาศาล

            “ใจร้ายที่สุดเลย คอยดูนะจะเกเรไม่เรียนจริงๆด้วย” น้องสาวขู่

            “ก็ลองดู จะตีให้เนื้อแตกจริงๆ เห็นว่าพี่รักมาก ตามใจมากแล้วจะไม่กล้าหรือไงฮะ จะงอแงก็ให้มันรู้เวล่ำเวลามั่งนะ” เทียมภพดุจริงจังแบบนี้คนเป็นน้องรู้ดีว่าจะหือไม่ได้ ถึงเวลาปกติคนพี่จะแสนดีขนาดไหนแต่ถ้าเวลาเข้มงวดขึ้นมาล่ะก็...อย่าได้ขัดใจเป็นอันขาด ยังจำรสมือพี่ชายคนนี้ได้แม่นยำเมื่อคราวที่ถูกตีครั้งล่าสุดว่ามันทำให้ระบมไปหลายวันทีเดียว

            “ไม่กินแล้ว...อิ่ม” เมื่อคนเกิดก่อนไปตามใจคนตัวเล็กจึงออกอาการงอนประท้วงคนเผด็จการแม้จะยังยัดอาหารลงไปไม่เต็มกระเพาะดี

            “อย่าทำหน้างอสิคะ...กินเร็วเดี๋ยวไม่มีแรงเดินช้อปปิ้งหรอก” แต่น้องสาวยังคงนั่งนิ่ง ไม่แตะต้องของโปรดที่วิ่งผ่านหน้าไปจานแล้วจานเล่า

            “ไม่เอาสิคะ...ทานเร็วเข้า ไหนมาพี่จะป้อน เอานี่...ไข่กุ้งของชอบไง” เทียมภพคีบข้าวปั้นหน้าไข่กุ้งจ่อให้ถึงปากอย่างเอาใจ แต่คนเกิดทีหลังกลับสะบัดหน้าหนี

            “ไม่อยากกินแล้ว พี่หมากใจร้าย” ไม่พูดเปล่ายังมีเสียงไล่น้ำตาออกมาด้วย พี่ชายจึงต้องหยุดกิจกรรมการรับประทานหันมาปลอบโยนคนแสนงอนที่เริ่มมีน้ำใสๆคลอหน่วยนัยน์ตา

            “อย่างอแงสิคะ เดี๋ยวไม่สวยนะ ไม่เอาล่ะ...ตอนนี้พักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า ถ้าเป็นเด็กดีวันนี้น้องพลูอยากได้อะไรพี่จะซื้อให้ทุกอย่างเลย” เทียมภพโอบไหล่น้องสาวไว้หลวมๆพลางใช้นิ้วกรีดน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา แม้แทนดาวจะยังไม่พอใจนักแต่ก็ยอมทำตัวเป็นเด็กดีอย่างว่า เอาเถอะ...ได้ของก่อนค่อยสะสางกันทีหลังยังทัน

            แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ ตอนไปซื้อตั๋วหนังคุณพี่ชายก็สำแดงเดชฤทธาอีก เพราะภาพยนตร์ที่น้องสาวอยากดูนั้นมีฉากเลิฟซีนที่พี่ชายกะเกณฑ์เองว่าล่อแหลมเกินไปที่จะดูได้ เขายืนดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้อยู่หลายรอบจนเห็นว่ามีฉากที่พระ-นางเล่นบทเลิฟซีนกันค่อนข้างสมจริงเกินไปหน่อย แทนดาวบ่นกระปอดกระแปดต่อว่าพี่ชายลิดรอนสิทธิมนุษยชนกันเกินไป

           ถึงครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่อยากดูจะต้องผ่านการกรองจากพี่ชายก่อน ประเภทสงครามที่รบรากันรุนแรงเกินไปก็ไม่ผ่าน อ้างว่า “มีแต่ยิงกันฆ่ากัน เดี๋ยวก็กลายเป็นพวกหัวรุนแรงหรอก” พอจะเปลี่ยนมาเป็นแนวสยองขวัญก็อ้างว่า “เดี๋ยวก็เก็บเอามานอนฝันร้าย เรายิ่งขี้กลัวอยู่” ยิ่งเรื่องไหนมีฉากเข้าพระเข้านางกันเกินกว่าจูบแบบดูดดื่มก็ไม่ต้องพูดกันให้เสียเวลา เคยมีครั้งหนึ่งที่ไปดูหนังตลกแต่ปรากฏว่ามีฉากที่พระเอกนางเอกเปลือยกาย เทียมภพถึงกับรีบจูงมือน้องสาวออกจากโรงทันทีทั้งที่ยังเล่นไม่ถึงครึ่งเรื่อง

            “พี่หมาก...สวยจังเลยเลยค่ะ” แทนดาวชี้ให้พี่ชายดูนาฬิกาข้อมือที่โชว์ในร้าน มีลูกค้าค่อนข้างหนาตาเนื่องจากอยู่ในช่วงลดราคา หญิงสาวขอลองสวมนาฬิกาเรือนเล็กตัวที่มีหน้าปัดฝังพลอยสีชมพูแทนตัวเลขกำลังล้อเล่นกับแสงไฟแพรวพราว

            “น่ารักจัง หนูชอบหรือเปล่า?” พี่ชายถามอย่างเอาใจ คนตัวเล็กพยักหน้าเร็วๆ เทียมภพส่งบัตรเครดิตให้พนักงานทันที

            “ขอบคุณค่ะ สวยจัง” อทนดาวค่อยๆถอดนาฬิกาส่งคืนเมื่อพนักงานนำเรือนใหม่ที่บรรจุกล่องอย่างดีมาให้

            “นี่ถ้าไม่มากับพี่หมาก น้องพลูคงได้แต่มองนะเนี่ย” สาวน้อยพูดพลางแกะกล่องนาฬิกาเรือนใหม่ แน่ละ...หล่อนไม่มีวันจ่ายเงินเกือบครึ่งแสนซื้อมันเองแน่ๆ

            “ฮึ..งกล่ะสิไม่ว่า ตังค์ตัวเองก็มี” พี่ชายแกล้งบ่นดังๆ รู้นิสัยน้องสาวดีว่าเป็นคนมัธยัสถ์เข้าขั้นงกมาก ถ้าเจอของอะไรที่ถูกใจแล้วสนนราคาเลยหลักพันขึ้นไปล่ะก็ต้องมาอ้อนขอเขาทุกที แต่พอเห็นนาฬิกาเรือนน่ารักประดับอยู่บนข้อมือเล็กของน้องสาวก็นึกอะไรขึ้นมาได้

            “นี่น้องพลู...พี่นึกได้ว่าจะถึงวันเกิดเพื่อนสนิทคนนึงของพี่ ไหนๆก็อยู่นี่แล้ว...น้องพลูช่วยเลือกของขวัญสวยๆให้พี่สักชิ้นสิคะ”

            “แล้วเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชายคะ? น้องพลูจะได้เลือกถูก”

            “ผู้หญิงจ้ะ”

            “ฮึ...หวังว่าจะไม่ใช่พี่สิตาหน้าโบท็อกซ์นั่นนะคะ” หญิงสาวตวัดหางเสียงเมื่อเอ่ยถึงแฟนของพี่ชาย

            “ไม่ใช่หรอกน่า...แล้วทำไมไปเรียกเขาแบบนั้นฮึ...ไม่น่ารักเลย” เทียมภพเอ็ดน้องไม่จริงจังนัก แทนดาวเบ้ปากแล้วก็เดินระไปตามร้านที่กำลังแข่งกันลดราคาเรียกลูกค้าจนมาถึงช้อปแบรนด์ยอดนิยมที่สาวๆสวนในมากรู้จักกันดี หล่อนจำได้ว่าปลายเดือนชอบใช้พวกกระเป๋ากับเครื่องสำอางแบรนด์นี้เลยลองเข้ามาดูเผื่อมีอะไรน่าสนใจ ภายในร้านมีกลุ่มสาวๆสามสี่คนกำลังเลือกดูสินค้าแต่พอเห็นเทียมภพเดินเข้ามาก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะกรูเข้ามาทักทาย แทนดาวรีบปล่อยมือจากพี่ชายเดินเลี่ยงไปเลือกสินค้าอีกมุมหนึ่ง ชินเสียแล้วที่มักจะมีคนไม่คุ้นหน้ามาทักทายผู้เป็นพี่ ก็มีอยู่สองประเภทเท่านั้นแหละ ไม่ลูกค้าก็บรรดากิ๊ก!

            “คุณเทียมภพพาหวานใจคนใหม่มาเช้อปปิ้งเหรอคะ?” เสียงหนึ่งในนั้นถามดังแว่วมาเป็นเชิงสัพยอกมากกว่าอยากรู้จริงๆ

            “ไม่ใช่หรอกครับ...นั่นน้องสาว ตอนนี้ผมโสด” เขาตอบเสียงฟังชัดเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากคนทั้งกลุ่ม 

             “อ้าว...แล้วน้องคนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะคะ?” หนึ่งในนั้นถามต่อ

            “ถ้าจะหมายถึงสิตา เธอติดงานถ่ายมิวสิควิดิโอเลยไม่ค่อยได้เจอกันครับช่วงนี้ ถึงบอกว่าโสด...โสดเฉพาะตอนนี้ไง ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะร่าทำให้ทั้งกลุ่มหัวเราะตาม แทนดาวเบ้ปากใส่อย่างเหลืออด เรื่องเจ้าชู้กะล่อนเนี่ย พี่ชายเราไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว

            “ชิ้นนี้ค่ะ น้องพลูว่าโอเคที่สุดแล้ว ไม่ดูหรูหรือโลว์เกินไป ราคาก็อยู่ในเรทที่เพื่อนจะให้กันได้แถมยังใช้ได้ทุกโอกาสด้วย เพื่อนพี่หมากต้องชอบแน่ๆ” ไม่นานนักคนตัวเล็กก็เลือกได้ของที่ถูกใจ เป็นสร้อยข้อมือมุกสีขาว มีโลโก้ของแบรนด์รูปตัว C สองตัวหันหลังไขว้กัน

            “ก็สวยดีนะ” เทียมภพรับสร้อยข้อมือมาดูใกล้ๆแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย

            “พี่หมากเนี่ยใจดีจัง มิน่าสาวๆถึงติดเกรียว” น้องสาวแกล้งกระเซ้า เทียมภพขยี้ผมน้องสาวเบาๆ

            “ไม่ต้องมาพูดดีเลย ทำพี่กระเป๋าฉีกเลยนะวันนี้ คงต้องต้มบะหมี่กินกันเป็นเดือน คราวนี้ก็พักยาว...ไม่ตามใจอีกแล้ว” พี่ชายบ่นอุบอิบ

            “ฉีกเฉิกอะไรกัน...พี่หมากออกจะรวย”

            “แล้วรู้มั้ยว่าพี่ต้องเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้เงินมาให้เราถลุงเนี่ย ไม่ได้การแล้ว...ต้องรีบหาคนมารับช่วงต่อ”

            “จริงเหรอ...ดีจัง น้องพลูก็อยากมีแฟนกะเค้าอยู่พอดี” แทนดาวรีบรับมุขก็เลยได้รับมะเหงกงามๆทีหนึ่ง

            “เฮ้ยๆ...พูดเล่น ข้ามศพพี่ไปก่อนเหอะถ้าใครคิดจะมาวอแวกับเรา”

            “ชิ...แล้วจะพูดทำไมเล่า” แทนดาวบ่นพลางควักค้อนปะหลับปะเหลือก

            “แล้วเราน่ะ...ยังไม่ได้ให้ค่าเหนื่อยพี่เลยนะ ซื้อของให้ตั้งหลายอย่างเลยนะวันนี้” เทียมภพหยุดเดินแล้วหันมาทวง ‘ค่าเหนื่อย’ กับน้องสาว แทนดาวถึงบางอ้อ ก็ตั้งแต่ทะเลาะกันเรื่องเรียนต่อที่ร้านอาหารเลยยังไม่ได้ให้ค่าเหนื่อยกับพี่ชายที่แสนดีคนนี้เลย

            “ก้มมาหน่อย...คนอะไรตัวสูงจัง เขย่งสุดเท้าแล้วยังไม่ถึงเลย”‘คนตัวสูง’ ก้มหน้าลงมานิดหนึ่ง คนตัวเล็กกอดคอพี่ชายก่อนจรดจมูกแรงแถวๆไรคางทั้งสองข้างเพราะเขย่งอย่างไรก็สูงได้แค่นี้ เทียมภพยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะโอบเอวน้องสาวพาเดินต่อ

 

              เป็นเวลาดึกมากแล้วที่สองพี่น้องกลับมาถึงบ้าน แทนดาวยังไม่ง่วงเลยหยิบแท็บเล็ตคู่ใจมาเปิดดูข่าวคราวตามปกติ ปลายนิ้วเรียวค่อยๆเลื่อนฟีดข่าวบนเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ สังเกตว่าวันนี้หน้าฟีดจะมีบรรดาลูกศิษย์เข้าไปโพสต์ให้กำลังใจรมณ์นลินกันอยู่หลายคน หล่อนตามเข้าไปดูในเพจครูสาวโดยไม่ได้คิดอะไร ตั้งใจว่าจะโพสต์ข้อความบ้างก็เลยลองอ่านไล่ดูว่าใครโพสต์อะไรกันบ้าง จนมาสะดุดตากับสเตตัสหนึ่งถูกโพสต์โดย Mr.Cho Cholatee เป็นภาพช่อดอกไม้สีขาวบูกโบว์สีชมพู ดอกกระจิดริดสีขาวล้วนรูปทรงเหมือนระฆังคว่ำแตกดอกตลอดกิ่งก้านบอบบางที่ทอดขนานไปกับใบเรียวคล้ายใบหญ้า มันคือดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์ หญิงสาวอ่านข้อความที่สเตตัสนั้นอย่างตั้งใจ

            Yellow roses make you smile. Lily of the Valley fulfills my life. MyMay Lily…” ประโยคแรกเขาคงจะหมายถึงดอกไม้สีเหลืองที่ซื้อให้รมณ์นลินวันนี้ ส่วนประโยคหลังทำให้นึกถึงบทสนาของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนที่พูดถึงดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์ หล่อนไม่แน่ใจว่าเหตุใดเขาถึงติดใจดอกไม้ชนิดนี้หนักหนา ความข้องใจประกอบกับความสนใจใคร่รู้ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมสั่งให้รีบพิมพ์หารายละเอียดของดอกไม้ทรงระฆังใบจิ๋วจากเวบ search engine ไม่ถึงครึ่งนาทีก็พบข้อมูลที่ต้องการ

            ‘Lily of the Valley มีความหมายว่า ความอ่อนหวานของคุณช่วยเติมชีวิตฉันให้สมบูรณ์ จะบานสะพรั่งเต็มที่ในเดือนพฤษภาคมจึงมีชื่อเรียกสั้นๆอีกชื่อหนึ่งว่า May Lily… ดอกไม้แห่งพฤษภา’

             พออ่านถึงตรงนี้แทนดาวก็หน้าแดงซ่านโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าชลธีชื่นชอบดอกไม้พันธุ์นี้เป็นการส่วนตัวหรือว่าอย่างไร แต่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือเปล่า....ที่หล่อนเองก็เกิดเดือนพฤษภาคม!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา