ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  33.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ตอนที่ 18 ความเจ็บปวดที่งดงาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            แทนดาวเดินกึ่งวิ่งหนีกลุ่มนักข่าวออกมาจากงานท่ามกลางเสียงอื้ออึงและสายตาหลายคู่ที่พยายามมองหาขณะที่เสียงปรบมือดังขึ้นระลอกครั้งสุดท้าย หลายคนทั้งแปลกใจและก็ยินดีไปพร้อมๆกัน ที่ว่าแปลกใจเห็นจะเป็นเรื่องที่ทั้งคู่หมั้นกันเร็วมาก ไม่เคยมีท่าทีหรือวี่แววใดๆส่อเค้ามาก่อน พูดง่ายๆคือไม่เคยเห็นทั้งคู่จะควงกันไปไหนเป็นกิจจะลักษณะสักครั้ง งานสังคมก็ไม่เคยไปด้วยกัน จะเคยมีก็แต่ข่าวสังคมซุบซิบกรอบเล็กๆที่ว่าฝ่ายชายแอบไปเกี้ยวเด็กสาววัยขบเผาะตอนไปตรังครั้งนั้นแต่ก็ไม่อาจฟันธงได้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า

           ร่างเล็กวิ่งลากชายกระโปรงโดยมีหมออชิตะเดินเร็วๆตามมาติดๆ หมอหนุ่มให้ความสนใจใจกับข่าวการหมั้นของหญิงสาวที่เพิ่งได้รู้จักกันไม่ถึงชั่วโมง ลองพิจารณาจากรูปการณ์แล้วเรื่องนี้คงไม่เป็นที่น่ายินดีของสาวน้อยคนนี้นัก ไม่เช่นนั้นจะรีบหลบหนีทุกคนมาดื้อๆแบบนี้ทำไม

          ร่างเล็กในชุดราตรียาวกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นมีสระว่ายน้ำที่ตอนนี้ปลอดผู้คน เสียงอื้ออึงยังดังก้องอยู่ในหัว คำว่า ‘หมั้น’ ยังส่งเสียงหึ่งๆอยู่ในสมอง “ไม่ใช่...ไม่ใช่แน่ๆ หูฝาดไปแล้วเรา”

          “ใบพลู...คุณโอเคมั้ย?” หมออชิตะถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของสาวน้อยได้ชัดเจน

          “น้องพลูโอเค...เพียงแต่...” แทนดาวมองเขาด้วยสายตาเจือความตกใจและกังวล คุณหมอหนุ่มขยับแว่นเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปใกล้อีกนิด

            “คุณหมออชิ....ได้ยินเหมือนกันใช่มั้ยคะ? เมื่อกี้นี้” หล่อนถามเสียงเบาหวิว หมอหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าเพราะยังไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลัง อีกอย่างก็ไม่ต้องการตามมาซักไซ้หรือว่าตั้งปุจฉากับคนที่เพิ่งรู้จักกัน เพียงแต่อยากมาอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น

            ชลธีผู้ร้อนรนกระวนกระวายไม่แพ้กันรีบตามออกมาด้วยความเป็นห่วง เตรียมใจอยู่แล้วว่าแทนดาวจะต้องไม่ยอม ต้องอธิบายอะไรๆให้เข้าใจกันเสียก่อนแต่ก็ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะยอมเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เขาส่งสายตาเชิงขอร้องให้หมอหนุ่มอย่างมีความหมายว่าอยากคุยกับหญิงสาวลำพัง อชิตะจึงเลี่ยงเดินกลับเข้าไปข้างในอย่างรู้หน้าที่ว่าธุระนี้ไม่เกี่ยวกับตน

            “น้องพลูครับ” ชลธีเรียกเสียงขรึมหน้านิ่ง

            “เกิดอะไรขึ้น?” คนตัวเล็กในชุดสวยรวบรวมสติทั้งหมดกลั้นใจถามออกไป

            “ฟังพี่นะน้องพลู มันอาจจะเร็วไปจนน้องพลูตั้งตัวไม่ทัน แต่พี่...”

            “ฉาด!” เสียงฝ่ามือเล็กฟาดไปยังซีกแก้มนิ่งเฉยนั้น เจ้าของใบหน้าคมเข้มสะบัดตามแรงนิดหนึ่ง ร่างสูงรู้สึกถึงความชาวาบที่แก้มข้างนั้นแต่ก็ยืนนิ่งเฉย

            พี่ชลทำได้ยังคะ! ไม่ถามหรือบอกกันสักคำ น้องพลูไม่ใช่สิ่งของนะ!” แทนดาวคิดว่าตะคอกใส่เขาได้รุนแรงที่สุดแล้ว ชลธีคว้าข้อมือคนตัวเล็กที่กำลังจะวิ่งหนีพร้อมกับจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้า

            “พี่ก็อยากจะบอกแต่คุณลุงขอว่าอย่าเพิ่งให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เพราะ...” เขาพูดไม่ทันจบก็ต้องหน้าหันอีกครั้ง คนตัวเล็กสะบัดมือเล็กๆแต่หนักหน่วงไปที่ใบหน้าคมสันอีกข้างอย่างแม่นยำ เกิดความชาขึ้นวูบอีกครั้งหนึ่งแต่คนถูกกระทำก็ไม่ตอบโต้ ถ้าการได้ตบหน้าจะทำให้แทนดาวอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง กี่ทีก็ยอม

            “คิดจะมัดมือชกหรือไง! ไม่มีทางหรอก...น้องพลูจะไม่หมั้นกับพี่ชลแน่ แผนสูงนักนะ...ให้คุณพ่อพูดเรื่องนี้ต่อหน้าแขกเหรื่อกับนักข่าว น้องพลูจะได้ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? คนเจ้าเล่ห์...เกลียดๆๆ” กำปั้นเล็กระดมทุบใส่เจ้าของอกกว้างที่มองดูด้วยความหนักใจ ไม่ตอบโต้ ไม่ห้ามปราม ปล่อยให้หล่อนทุบจนพอใจและรามือไปเอง

            “พอแล้วเหรอ...พี่กำลังมันเลยนะเนี่ย” เขาพูดให้เป็นเรื่องตลกแต่สีหน้านั้นเครียดขึงขัดกับคำพูด แทนดาวเหนื่อยหอบและร้องไห้ออกมาในที่สุด

            “ทำไม...ทำไมพี่ชลต้องทำแบบนี้ด้วย น้องพลูไม่ใช่ของเล่นหรือตุ๊กตาที่ใครนึกอยากจะบังคับให้ทำอะไรก็ได้” ชลธีมองหญิงสาวด้วยความร้าวราน แทนดาวรังเกียจเขาขนาดนี้เชียวหรือ

            “พี่ขอโทษที่ไม่ปรึกษาหรือถามเลยว่าน้องพลูคิดยังไง แต่พี่...รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่ที่มีเรื่องที่ตรังคราวนั้น ตัวพี่รวมถึงคุณแม่...ไม่มีใครสบายใจเลย น้องพลูเป็นฝ่ายเสียหายนะ ถึงจะพยายามปิดข่าวอย่างดีแค่ไหน แต่คนที่รู้เรื่องไม่จริงแล้วเข้าใจผิดๆน่ะมันก็เอาไปพูดกันปากต่อปาก พี่ต้องการเคลียร์เรื่องนี้ ให้พี่เป็นคนรับผิดชอบเถอะนะ” เขาอธิบายเหตุผลที่คิดว่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่ด้วยอารมณ์โมโหขณะนี้ไม่สามารถกระตุ้นต่อมรับฟังของคนตัวเล็กให้ทำงาน

            “ไม่! ยังไงก็ไม่ยอมหรอก มีเหตุผลร้อยแปดที่พี่ชลจะยกมาอ้าง แค่เรื่องเล็กๆแค่นี้น้องพลูไม่เชื่อว่าคนอย่างพี่ชลจะเคลียร์ด้วยวิธีอื่นไม่ได้” หญิงสาวพูดกึ่งตวาด ตาเขียวปั้ดอย่างเอาเรื่อง

            “มีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอม เกลียดพี่งั้นหรือ?”

            “เปล่า”

            “แล้วทำไม?” คราวนี้แทนดาวเป็นฝ่ายเงียบ ไม่ได้เกลียดสักหน่อยแต่ว่าโกรธที่ถูกรวบรัดจัดแจงเอาแบบนี้

            “อย่ามาเซ้าซี้นะ คอยดูนะจะอาละวาดให้หนักเชียว”

            “เอาเลยตามสบาย แต่พี่จะบอกน้องพลูไว้อย่างนึง คนอย่างพี่...ถ้าเดินหน้าแล้วจะไม่มีวันถอยกลับ ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามแผนที่วางไว้แล้ว” เขาบอกอย่างหนักแน่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลง

            “ฮึ! ลองดูสิ...น้องพลูจะหนีไปไกลเลยๆ จะไม่ให้ใครตามเจอด้วย”

            “หึ...งั้นน้องพลูต้องวางแผนให้ดีๆล่ะ เพราะพี่จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่ หรือถ้าหนีไปได้จริงๆล่ะก็...อย่าให้พี่หาเจอเด็ดขาดเชียวนะ ไม่งั้น...ไม่ต้องหมั้นให้เสียเวลาเพราะจะฉุดไปอยู่ด้วยกันซะเลย” เทียมภพก้มลงกระซิบข้างๆหูแต่ผลที่ตามมาคือเสียงกรี๊ดแหลมสูงของคนตัวเล็กที่พยายามผลักเขาให้ตกสระ แต่ร่างหนานั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักน้อยซึ่งทำให้คนผลักขัดใจยิ่งนัก ชายหนุ่มมองกิริยานั้นแล้วก็หัวเราะออกมา

            “พี่จะยอมน้องพลูแค่ตอนนี้นะ แต่ถ้าหมั้นกันแล้วยังจะมาออกฤทธิ์กับพี่อย่างนี้ล่ะก็ รู้ไหม...จะโดนอะไร?” แทนดาวหยุดอาการดีดดิ้นนั้นทันที เงยหน้าสบตามีเลศนัยของอีกฝ่ายหวาดๆ

            “คิดว่าจะกลัวจนหงอหรือไง ไม่มีทางซะล่ะ” แม้ในใจจะนึกกลัวแต่ก็ยังไม่วายทำท่าอวดเก่ง ถึงหล่อนจะเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆแต่ไอ้ที่จะยอมให้มาข่มเหงกันง่ายๆน่ะ ไม่มีทางแน่ๆ

            “พี่รู้ว่าเราไม่ยอม ก็อย่างที่บอก...พี่จะยอมให้แค่ตอนนี้เท่านั้น” เขายืนเอามือล้วงกระเป๋าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เผลอไปฉวยคนแสนดื้อตรงหน้ามาฟาดก้นให้สมกับความอวดดี

             “อ้อ! แล้วไอ้ชุดผ่าหน้าแหวกหลังที่ใส่อยู่นี่น่ะ พี่ขอร้องล่ะ...ใส่เป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย?” เขากวาดตาไปยังร่างบางที่ในชุดที่...จะว่าไปมันก็ไม่ได้โป๊มากมายแต่ไม่อยากให้แทนดาวใส่แบบนี้ ตอนที่หล่อนอยู่ในงาน สังเกตล่ะว่าทั้งหนุ่มมากหนุ่มน้อยมองตามตาเป็นมันกันทั้งนั้น แล้วแต่ล่ะคนน่ะ...เป็นพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด การันตียี่ห้อของแท้เสียด้วย

            “ทำไม... น้องพลูชอบชุดนี้นี่นา สวยจะตายเห็นมั้ย”

            “สวยน่ะสวย...แต่รู้มั้ยว่าเราน่ะทำเอาไอ้พวกหนุ่มๆมองตามกันจนแทบลืมหายใจ พี่...ห่วงนะรู้รึเปล่า” ชลธีมองคนตรงหน้าด้วยความจริงใจไม่ปิดบังแต่คนถูกมองนั้นเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าไม่เคยเข้าใจอะไรง่ายๆเสียที

            “ช่วยไม่ได้นี่ ถ้าพวกนั้นมองแล้วคิดอกุศลน่ะ ว่าแต่ว่าหนึ่งในนั้นมีพี่ชลรวมอยู่ด้วยหรือเปล่าล่ะ?” คำยอกย้อนทำให้เขาอยากจะจับมานอนพาดตักแล้วตีให้สิ้นฤทธิ์

            “เฮ้อ...พูดดีนัก ถ้าพี่คิดอกุศลกับเราขึ้นมาจริงๆล่ะก็...จะลากเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลย ที่นี่เป็นของพี่ เพราะงั้นการที่พี่จะพาใครเข้าห้องย่อมไม่มีปัญหา” แทนดาวอยากจะตบหน้าขรึมๆอีกสักที คนอะไร...พูดจาไม่ให้เกียรติกันเลย

            “หยาบคาย! คอยดูนะจะฟ้องพี่หมาก อ้อ! พี่หมากต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ๆ พี่หมากต้องช่วยพลูได้ถ้าพลูบอกว่าไม่ยอมหมั้น” หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจที่สุด ยังไงเสีย...เทียมภพต้องต่อสู้เพื่อตนเองจนถึงที่สุดล่ะ

            “เรื่องนี้พี่ชายเราช่วยอะไรไม่ทั้งนั้น แล้วพี่ก็จะไม่ยอมให้มันมาก้าวก่ายเรื่องของพี่อีกแล้ว น้องพลูเตรียมตัวไว้ให้ดี สอบเสร็จเมื่อไหร่...เราต้องหมั้นกันทันที” ชลธียืนยันหนักแน่น แทนดาวโกรธขึ้นมาอีก เรื่องอะไรจะมาบังคับกะเกณฑ์ให้ทำนั่นทำนี่ ทำตัวเป็นพี่หมากสองหรือไง

            “ไม่มีทาง ถึงวันนั้นเมื่อไหร่...พลูจะหนีไปไกลๆอย่างที่บอก พี่ชลรอเป็นหม้ายขันหมากไปเถอะ”

            “เฮ้อ...เค้ามีแต่ผู้หญิงเป็นหม้ายขันหมาก แต่ก็อย่างที่พี่บอกเหมือนกัน ถ้าคิดจะหนี...ก็อย่าให้พี่ตามเจอ แต่อย่าคิดให้เหนื่อยเปล่าเลยแทนดาวคนสวย...พี่ไม่มีวันปล่อยเราไปหรอก ถ้ายังดื้อมากๆอย่างนี้ก็อาจจะหน้ามืดจับรวบหัวรวบหางซะเลย ทีนี้ล่ะก็...ไม่ยอมก็ต้องยอมล่ะ” สุดจะทานทนกับคนชอบพูดเอาแต่ได้ แทนดาวจึงหยิบที่เขี่ยบุหรี่เซรามิคบนโต๊ะใกล้ๆตัวขว้างออกไปเต็มแรง ไม่ได้มีเจตนาให้โดนหรอก คิดว่าเขาคงหลบทันและมันอาจจะพลาดหล่นแตกไปเอง แต่ผลที่ได้ก็คือแตกทั้งสองอย่าง ทั้งคนและที่เขี่ยบุหรี่อันนั้น

            แทนดาวยืนตะลึงมองชลธีที่เอามือกุมหัว เลือดสดๆไหลหยดลงมาตามใบหน้า หน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

            “โอ๊ย!”

            “กรี๊ด...พี่ชล!” คนก่อเหตุรีบถลาเข้าไปประคองจนเลือดเปรอะเสื้อตัวสวย พยายามเขย่าตัวและร้องเรียกชื่อเขาหลายครั้งแต่ร่างหนานั้นเหมือนจะหมดสติไปแล้ว แทนดาวแทบช็อกถ้าเขาตายขึ้นมาล่ะ...จะทำยังไง

            “ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย!”

 

                ชลธีพยายามฝืนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกปวดหนึบที่ขมับด้านขวาเหมือนกับว่าหัวจะระเบิดออกมาได้ทุกวินาที ยิ่งพยายามกระพริบตามากเท่าไหร่ก็ยิ่งไปกระตุ้นความเจ็บปวดให้เพิ่มขึ้นจนต้องหลับตาลงใหม่ เขาได้ยินเสียงคนคุยกันแผ่วเบาอยู่ข้างๆแต่ก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาดูได้ว่ามีใครบ้าง

            “ชล...ลูกเป็นไงบ้าง?” เสียงนุ่มนวลที่เรียกชื่อเขาทำให้คนเจ็บค่อยๆยิ้มออกมา

            “ปวดหัวจังแม่” เขาลืมตาขึ้นมาได้ในที่สุดและพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้องพักส่วนตัวที่อยู่ชั้นเดียวกับห้องทำงาน

            “โอย...” เขาร้องเบาๆพลางเอามือแตะขมับข้างที่ได้รับบาดเจ็บ

            “ถ้าไม่ไหวก็นอนหลับตาไปก่อน เดี๋ยวพอคุณรู้สึกดีขึ้นจะได้พาไปเย็บแผล มีคลินิกแถวนี้ๆ อาการคุณไม่หนักมากนักหรอก” หมออชิตะที่ยืนอยู่ไม่ไกลบอก เขารู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้และเป็นคนที่ช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บ

            “อ้อ...คุณคือ...” พอเรียงลำดับเหตุการณ์ได้เขาก็นึกถึงผู้หญิงคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บหัวอยู่นี่ จำได้ว่าหลังจากเถียงกันไปเถียงกันมาสักพักเขาก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

            “ผมชื่ออชิตะ พอดีตามคุณใบพลูมาตอนที่เกิดเรื่อง” หมอหนุ่มตอบคำถาม

            “น้องพลูเสียขวัญมาก ตอนที่พวกเรามาถึง แกนั่งกอดลูกร้องไห้ลั่นเลย พูดแต่ว่า ‘ช่วยพี่ชลด้วยๆ’ แล้วก็ ‘ไม่ได้ตั้งใจๆ’ นี่งานเลี้ยงก็เลิกแล้ว ไหนลองเล่าให้แม่ฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” คุณวารีนั่งลงข้างบุตรชาย ชลธีพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง

            “ก็...หลังจากที่คุณลุงประกาศเรื่องหมั้นของเรา น้องพลูก็หนีออกมา พอผมออกไปตามเราก็เลยเถียงกัน ผมคงกวนเธอมากไปหน่อย น้องพลูเลยเอาที่เขี่ยบุหรี่ปาให้” คนเจ็บหลับตาเล่าเรื่องสบายๆ แต่มารดากลับมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างมาก

            “แล้วเรื่องนี้อีก ทำไมก่อนจะทำอะไรถึงไม่ปรึกษาแม่ก่อน ขนาดแม่ได้ยินยังตกใจเลย นี่ไปแอบดำเนินการตอนไหนนี่ฮึ?” คุณวารีอดตำหนิบุตรชายไม่ได้

            “ใครว่าไม่ปรึกษาครับ ผมน่ะ คุยกับผู้ใหญ่เอาไว้นานแล้ว...คุณลุงเที่ยงธรรมไง” บุตรชายตอบเสียงเบาด้วยมีบุคคลที่สามอยู่ในห้องนี้ด้วย

            “พี่ชลเนี่ยร้ายจริงๆ ไปทำยังงั้นได้ยังไง? สมควรแล้วที่น้องพลูเล่นงานเสียหัวแตก” รมณ์นลินพูดขึ้นบ้าง พี่ชายเพียงแต่ยิ้ม

            “เอาเถอะ...ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ ทำตัวให้เป็นปกติแล้วรอเวลา ถ้าผมเห็นว่าเหมาะเจาะเมื่อไหร่ก็จะให้แม่จัดการทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว” เขาบอกออกมาในที่สุด

             “งั้นก็ไปคลินิกก่อนเถอะ โชคดีได้คุณหมอปฐมพยาบาลให้เบื้องต้นแล้วก็พาขึ้นมานี่ พนักงานก็เลยไม่รู้ไม่เห็น หมออชิ...รบกวนอีกครั้งเถอะค่ะ” คุณวารีบอกบุตรชายแล้วหันมาขอความช่วยเหลือหมอหนุ่มมาช่วยกันประคอง

             “เป็นไงครับ...ว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่คนนี้ เล่นผมซะสลบเหมือดเลย” เขาบอกมารดา หมออชิตะผู้สังเกตการณ์อยู่เงียบๆก็ทำหน้าที่ของตนตามจรรยาบรรณแต่ในใจลึกๆแล้วก็แอบสมน้ำหน้าผู้ชายมาดเยอะคนนี้ไม่ได้

 

            แทนดาวยังคงอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องเมื่อคืนจนทำให้นอนหลับตาไม่ถึงเกือบรุ่งสาง พอคุณแม่เข้ามาปลุกบอกว่าให้เตรียมตัวไปเยี่ยมชลธีก็รีบกุลีกจออาบน้ำแต่งตัว ภาพชลธีถูกปาด้วยของแข็งจนสลบยังติดตา หล่อนผิด...ผิดแต่เพียงผู้เดียว แต่ที่น่าเสียใจที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เข้าไปกราบขอโทษคุณวารี ตอนแรกคิดว่าจะถูกดุหรือบางทีก็ถูกเกลียดไปเลยแต่นางกลับเข้ามากอดปลอบว่าไม่เป็นไร ไม่มีใครลงโทษหรือว่ากล่าวอะไรเลย ถ้าหากชลธีเป็นอะไรไปมากกว่านี้ หล่อนคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่

            “เรื่องเมื่อคืนนี้ไม่มีใครโทษหนูนะลูก ถ้าจะหาคนผิดก็คงเป็นพ่อเอง” พอเห็นหน้าตาซีดเซียวของลูกสาวคุณเที่ยงธรรมก็เดินเข้ามาโอบประคองพาไปนั่งที่โซฟาข้างๆตน

            “พ่อขอโทษที่ทำอะไรปุบปับ แต่พ่อมองการณ์ไกลและเห็นสมควรที่จะให้หนูหมั้นกับคุณชล” เมื่อลูกสาวยังก้มหน้าเงียบ ไม่อาละวาดอะไรก็พูดต่อ

            “รู้ใช่มั้ย...ว่าหนูเป็นจุดอ่อนของพ่อ ป่วยคราวนี้ทำให้พ่อคิดอะไรได้หลายอย่าง หนูถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหิน ทั้งพี่ ทั้งพ่อแม่คอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าวันนึงไม่มีพ่อกับแม่แล้ว หนูจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล”

            “น้องพลูดูแลตัวเองได้ค่ะ น้องพลูโตแล้วนะคะคุณพ่อ” แทนดาวตอบด้วยเสียงหนักแน่น

            “พ่อรู้...แต่เมื่อถึงเวลา หนูก็ต้องมีใครสักคนที่เค้าพร้อมจะดูแลหนูไปตลอดชีวิตโดยที่พ่อต้องมั่นใจได้ว่าจะฝากลูกสาวให้อยู่ในความดูแลของเค้าได้” ผู้เป็นบิดาลูบศีรษะลูกสาวคนเล็กเบาๆ แทนดาวน้ำตารื้นขอบตา

            “พ่อมองว่าชลธีคือคนที่เหมาะสมที่สุด แล้วถ้าจะพูดให้ถูก...เรื่องหมั้นนี่ก็ไม่ได้ทำกันปุบปับกะทันหันหรอกนะ แต่เค้ามาคุยกับพ่อเอาไว้นานแล้ว ตั้งแต่กลับจากตรังคราวนั้นได้ไม่นาน...เค้าขอหนูกับพ่อ” ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโถงกว้างขวางนั้นทันที ปลายเดือนกำมือแน่นกัดฟันฟังบทสนทนาของพ่อลูกอย่างอั้ดอั้นและยากที่จะทำใจยอมรับจนต้องเดินหนีออกไป สมาชิกในบ้านที่เหลือต่างมองหน้าคุณเที่ยงธรรมราวกับต้องการจะให้ฝ่ายนั้นย้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า

 

            วันนั้นชลธีไปพบคุณเที่ยงธรรมเป็นการส่วนตัว เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องที่ตรัง ข่าวลือหนาหูที่ทุกคนพยายามปกปิดไม่สารมารถที่จะหยุดยั้งความชอบกินเผือกของคนสมัยนี้ได้ ไอ้คำว่า ‘เสี่ยหิ้วเด็ก’ ที่มักจะลอยเข้าหูอยู่เนืองๆไม่ได้ทำให้ระคายเท่าใดนัก แต่ไอ้ที่หนักเห็นจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสาวน้อยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่บังเอิญว่าดันไปอยู่ในสถานการณ์แบบผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย เรื่องไม่งามตาจนถูกเข้าใจผิดจึงเกิดขึ้น เขามองไม่เห็นลู่ทางอื่นที่จะลบคำครหานี้ได้ดีเท่ากับทำทุกอย่างให้เป็นกิจจะลักษณะ

 

            “ที่ผมมารบกวนคุณลุงวันนี้ ก็เพื่อที่จะมาคุยเรื่องใบพลู”

            “ถ้าให้ลุงเดา เรื่องนั้นใช่มั้ย?”

            “ครับ...ผมขอเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด ถ้าคุณลุงจะกรุณา...ผมขออนุญาตหมั้นกับแทนดาวทันทีที่เธอเรียนจบ ระหว่างนี้จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายหรือทำให้เธอเสื่อมเสีย ผมขอเอาเกียรติของธาราพิศุทธิ์เป็นเครื่องยืนยัน” คำขอร้องแกมเสนอแนะทำให้คุณเที่ยงธรรมต้องคิดหนัก ถึงบุรุษตรงหน้าจะมีคุณสมบัติพร้อมในทุกๆด้านที่จะฝากฝังลูกสาวคนเล็กได้ แต่ด้วยความเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดก็มิอาจบังคับใจลูกสาวได้

            “ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องขอบใจที่คุณชลแสดงความรับผิดชอบ แต่น้องพลูแกต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ...นี่สิคือปัญหา” ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความวิตก

            “คุณลุงไม่ต้องกังวลครับ ผมมีวิธีที่จะทำให้เธอยอมโดยไม่มีข้อแม้” เขาบอกอย่างมั่นใจ

            “แต่ยังมีอีกเรื่องนึง ถ้าคุณชลอายกจะหมั้นกับน้องพลูจริงก็ควรที่จะเปิดอกคุยกันทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของคุณกับ...หมาก เล่าให้ลุงฟังได้มั้ยว่าเราสองคนบาดหมางกันเรื่องอะไร?” คุณเที่ยงธรรมตั้งคำถามที่เกาะกินใจมานาน ชลธีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

            “ครับ”

 

            เทียมภพสีหน้าเครียดจัด เขาเถียงกับบิดาอย่างรุนแรงอยู่หลายชั่วโมงเมื่อคืนนี้ ผลที่ได้ก็คือต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คุณเที่ยงธรรมพยายามหว่านล้อมจนบุตรชายยอมรามือในที่สุด

 

            “หมากเป็นลูกชายที่พ่อภูมิใจมาเสมอ พ่อไม่เคยขัดใจลูกสักครั้งไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ครั้งนี้ถือว่าพ่อขอ...เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่พ่อจะขอร้องลูก พ่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุดแล้วว่าคุณชลเค้าเป็นคนดีจริงๆ ดีพอที่จะเราจะฝากน้องไว้กับเค้าได้ ลองคิดดู...น้องพลูจะเป็นยังไงถ้าไปเจอคนอื่น หรือหมากมองเห็นว่ามีใครที่ดีกว่านี้เหรอ?”

            “แต่มันเร็วไปนะครับพ่อ น้องพลูยังเด็กมาก แล้ว...หมอนั่น มันจะมาหลอกลวงน้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะจริงใจกับยัยพลูแค่ไหน มันอาจจะแค่อยากแกล้งผมก็ได้”

            “พ่อก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรนี่นาแค่หมั้นกันเฉยๆ เมื่อถึงเวลาอันควรเมื่อไหร่ก็ค่อยตบแต่งให้เป็นงานเป็นการ ช่วงที่หมั้นก็ให้เค้าศึกษาดูใจกันไปก่อน”

            “ผมอาจจะรักน้องมากเกินไปแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ถ้าพ่อเห็นว่าไอ้ชลมันดีจริงๆก็จัดการกันตามสบายผมไม่ขอยุ่ง แต่ตอนนี้ใบพลูยังเป็นของผมและถ้าเธอบอกว่าไม่ยอมซักคำเดียว ใครหน้าไหนก็อย่าได้มายุ่งเด็ดขาด!”

 

            “พอเถอะครับพ่อ แค่นี้น้องก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว ถือซะว่าเรื่องมันยังมาไม่ถึงก็แล้วกัน น้องพลูไม่ต้องคิดมากไปนะจ๊ะ คนสวยมาหาพี่ซิ...วันนี้วันหยุดนี่นา อยากไปเที่ยวไหนเดี๋ยวพี่จะพาไป” เทียมภพยุติเรื่องนี้ในที่สุด ไม่อยากให้ใครไปตอกย้ำเรื่องนี้กับน้องสาวอีก

            “น้องพลูอยากไปเยี่ยมพี่ชลค่ะ” คำตอบของน้องสาวเล่นเอาพี่ชายปรี๊ด

            “อะไรนะ! โอ๊ย...มันไม่ตายหรอก รู้ไหมว่าพี่ผิดหวังแค่ไหน”

            “พี่หมากคะ...น้องพลูทำให้เค้าบาดเจ็บนะ เค้าไม่เอาเรื่องเอาราวก็ดีแค่ไหนแล้ว” แทนดาวแย้ง

            “นั่นน่ะสิเจ้าหมาก ย่าว่าเราควรแสดงความรับผิดชอบนะ แล้วเรื่องนี้ย่าก็เห็นด้วยกับที่เจ้าพูด รอเอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนดีกว่า ตอนนี้เจ้าพลูก็อย่าคิดมากไป ตั้งใจเรียนให้ดีเสียก่อน” เมื่อตกลงกันได้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำกิจของตนโดยนัดหมายกันว่าจะไปเยี่ยมชลธีที่บ้านตอนบ่ายๆ

            “ดีใจใช่มั้ยล่ะที่จะได้หมั้นกับเค้า” ปลายเดือนมาดักรอน้องสาวอยู่ที่ห้อง ตอนนี้รู้สึกเจ็บแค้นไปทั่วทุกรูขุมขนเลยที่เดียว

            “ได้ยินพลูพูดสักคำไหมล่ะว่าดีใจน่ะ” แทนดาวย้อนโกรธๆ

            “ฉันรู้นะว่าเธอเองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว เธอเองก็แอบชอบเค้าใช่มั้ย?”

            “ไม่เคย...และจะเป็นความกรุณาอย่างสูงถ้าพี่ผึ้งจะไปให้พ้นๆ พลูอยากอยู่คนเดียวรู้มั้ย”

            “นี่แก...เอ่อ น้องพลูบอกพี่มาสิ ถ้าเกิดน้องพลูไม่เต็มใจกับเรื่องนี้ พี่ช่วยได้นะ” ปลายเดือนเปลี่ยนท่าทีทันที

            “พลูยังไม่ได้ตัดสินใจ บอกพี่ผึ้งตอนนี้ไม่ได้หรอก” แทนดาวตัดบทและเดินเข้าห้องเตรียมจะปิดประตูแต่พี่สาวรั้งไว้ยังไม่ให้ไปไหน

            “เห็นมั้ยล่ะ...แกอยากจะหมั้นกับเค้าจนตัวสั่น ถ้าไม่อยากก็ปฏิเสธสิ มีคนอยากช่วยแกตั้งเยอะแยะ พี่หมากก็คนนึงล่ะ”

            “อ้อ...ที่พี่ผึ้งร่ายมาทั้งหมดเนี่ย...อยากจะช่วยพลูหรือช่วยตัวเองกันแน่ หวังสูงเกินไปหรือเปล่าที่ว่าถ้าพลาดจากพลูไปแล้วเค้าจะมองพี่น่ะ” ปลายเดือนตวัดมือตบหน้าน้องสาวทันที แทนดาวอึ้ง ยกมือลูบแก้มข้างซ้ายที่ชาไปทั้งแถบ ไม่คิดว่าปลายเดือนจะกล้าลงไม้ลงมือกับตนเรื่องผู้ชายอีก

            “ฉันยอมแกมามากแล้วและมันจะไม่มีอีก คุณชลเป็นของฉัน ฉันจะทำทุกอย่างที่จะได้เค้าคืนมา ใบพลู...ตั้งแต่แกเกิดมาในบ้านหลังนี้ แกก็แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉัน แต่คุณชล...แกจะไม่มีวันแย่งเอาไปได้” ปลายเดือนจ้องมองน้องสาวอย่างเกลียดชัง แทนดาวไม่เข้าใจว่าตนน่ะหรือชอบแย่ง... ตั้งแต่จำความได้ หล่อนไม่เคยแย่งอะไรไปจากพี่สาวคนนี้สักครั้งเดียว

            “แปลกจริง...เกิดมาเป็นพี่ผึ้งที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติแต่ทำไมตาถึงได้มืดบอด ทำไมพี่ผึ้งไม่เคยมองคนที่เค้ารักและหวังดีกับตัวเองมาแสนนาน ทำไมต้องไปคร่ำครวญถึงคนที่เค้าไม่ไยดีตัว ทำไมคะ...ทำไมพี่ผึ้งถึงไม่รักฮียบุ้ง!” แทนดาวพูดอย่างเหลืออดทำให้ปลายเดือนต้องหันหน้าหนีซ่อนรอยน้ำตา

            “แล้วทำไมฉันถึงต้องรักเฮียบุ้ง ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรักคุณชลหรือไง?” ปลายเดือนบอกทั้งกับน้องสาวและตัวเองด้วยความขมขื่นและน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

 

             ครอบครัวทวีกิจไพศาลอันประกอบด้วยสามศรีพี่น้อง เทียมภพ ปลายเดือนและแทนดาว มาถึงบ้านชลธีในตอนบ่ายแก่และพบว่าคนเจ็บกำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างในห้องนั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์

            “เป็นยังไงบ้างคะคุณชล? ผึ้งต้องขอโทษแทนน้องด้วยนะคะ ยัยพลูแกขี้โมโห เนี่ย...ผึ้งกับคนอื่นเป็นห่วงกันแทบแย่แน่ะค่ะ” ปลายเดือนชิงเข้าไปหาก่อนใคร พลางมองสำรวจศีรษะได้รูปที่มีผ้าผันแผลพันไว้โดยรอบ

            “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก...แค่นี้เอง” เขามองปลายเดือนคล้ายจะตำหนิอยู่กลายๆเมื่อเห็นสาวน้อยอีกคนที่ถูกกล่าวถึงหน้าสลดลง ไม่อยากให้ใครไปสะกิดแทนดาวเรื่องนี้อีก

            “เอาล่ะ...ยังไม่ตายก็ดีแล้ว ยินดีด้วยก็แล้วกันแม้ฉันจะไม่เต็มใจนักก็เหอะ” เทียมภพโพล่งขึ้นพลางจ้องมองคนเจ็บนัยน์ตากร้าว

            “ตาหมาก!” คุณดวงทิพย์ร้องเตือนลูกชายแต่เทียมภพไม่สนใจ

            “เอาเป็นว่าผมจะพยายามหายให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมตัวกับเรื่องมงคลที่กำลังจะมาถึง” ชลธีมองเทียมภพอย่างท้าทาย ฝ่ายนั้นพูดไม่ออกได้แต่ทำปากขมุบขมิบอยากจะซัดปากนั้นให้แตกอีกรอบ ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่เยอะล่ะก็

            “น้องพลูขอโทษพี่ชลจริงๆนะคะ เมื่อคืนนึกว่าพี่ชลจะหลบมันได้” คนทำผิดพูดเสียงเศร้าแล้วยกมือไหว้ขอโทษคู่กรณี

            “เอาเป็นว่าเราหายกันแล้วนะ พี่เองก็ทำให้น้องพลูตกอกตกใจ” เขายิ้มให้เบาๆเพื่อให้คลายความกังวล ทั้งหมดคุยกันอยู่ซักพักใหญ่

            “กลับหรือยังน้องพลู ต้องเรียนเปียโนไม่ใช่เหรอ? จะได้ไปส่งที่โรงเรียน” เทียมภพที่พยายามหาเรื่องออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สะกิดน้องสาว

            “น้องพลูไปก่อนนะคะแล้วจะมาเยี่ยมใหม่” แทนดาวมองเขาด้วยสายตาสำนึกผิด คนเจ็บบยิ้มให้อย่างอบอุ่น

            “จ้ะ...พี่จะรอนะ” เสียงนุ่มกับสายตาอาวรณ์นั่นทำให้เทียมภพต้องตวัดตามองคนพูดด้วยความฉุนเฉียว เลยถลึงตาทำปากขมุบขมิบที่เดาความหมายได้ว่า “ฝันไปเถอะมึง!”

            “คุณชลทานขนมมั้ยคะ? ผึ้งซื้อมาฝากด้วยค่ะ” ปลายเดือนได้ทีรีบเอาใจทำคะแนน ควานหาถุงขนมของฝากที่ว่าหากแต่ไม่ทันได้ทำอย่างใจคิดพี่ชายใหญ่ก็ขัดขึ้น

            “เราด้วยสีผึ้ง ไปส่งน้องแล้วกลับกับพี่เลย” เทียมภพสั่งเสียงเขียว

            “วันนี้วันหยุดผึ้งนะคะ ตั้งใจจะออกมาข้างนอกอยู่แล้ว” หล่อนบอกพี่ชาย

            “งั้นก็ออกไปด้วยกันเร็วเข้าอย่ามัวแต่อิดออด จะอยู่นี่ให้ติดโรคสำออยหรือไง?” แม้ปากจะสั่งน้องสาวเป็นฉากๆแต่ก็ยังไม่วายตีวัวกระทบคราดให้สะดุ้งไปตามๆกัน แต่คน ‘ถูกตี’ กลับไม่มีทีท่าเป็นเดือดเป็นร้อนสักนิด

            “เชิญตามสบายเถอะครับคุณผึ้ง วันนี้ว่าจะพักผ่อนอย่างสงบเสียหน่อย ไม่รู้ทำไมตอนนี้ชักมึนๆหัวขึ้นมาอีกแล้ว สงสัยคงเป็นเพราะเจอมลพิษทั้งภาพ กลิ่น เสียง!” เจอย้อนให้อย่างนี้เล่นเอาเทียมภพหน้าหงิก แทนดาวกับชลธีแอบสบตายิ้มให้กันอย่างมีความหมาย แล้วคนช่างประชดก็ฉุดน้องสาวทั้งสองคนออกไประหว่างทางก็เดินบ่นประปอดกระแปดแช่งชักหักกระดูกคนป่วยไปหยุด

            “ปากดีนักนะมึง! ถือว่านอนเจ็บอยู่หรอก ไม่งั้นจะประเคนบาทาให้เป็นของแถม”

            “พี่หมากพูดอะไรน่ะ คนของเราไปทำเค้าเจ็บแท้ๆ” ปลายเดือนที่หน้าหงิกสนิทกว่าต่อว่าพลางส่งสายตาดุเดือดมาให้น้องสาว

            “สมควรแล้ว เรานี่ก็ฝีมือใช้ได้นะน้องพลู เสียดายเบาไปนิด ไม่งั้นได้เอ๋อแดกแน่ๆ” แทนดาวมองพี่ชายเขม็ง ทำหน้างงๆ

            “เอ๋อแดก...คืออะไรเหรอคะพี่หมาก?” เทียมภพรู้สึกตัวก็หยุดพ่นคำผรุสวาทที่กำลังเรียบเรียงอยู่ในหัว สำนึกได้ว่าไม่ควรสบถต่อหน้าน้องสาว

            “แปลว่า...ประสาทเสื่อมไง อย่าจำไปใช้ก็แล้วกัน มันไม่ดี”

            “ไม่ดีแล้วทำไมพี่หมากพูดได้”

            “เออน่า...พี่พูดได้คนเดียว…โอเค้? เราห้ามพูดให้พี่ได้ยินเชียวนะ” เทียมภพสั่ง แทนดาวเบ้ปากเบื่อๆ อยากให้น้องสาวเป็นกุลสตรีแสนดีเรียบร้อยแต่ดูตัวเองเสียก่อนเถอะ...เคยทำอะไรที่เป็นตัวอย่างดีๆบ้างมั้ย

            “พี่หมากไปส่งยัยพลูเถอะ ผึ้งจะไปธุระต่อ”

            “เดี๋ยวไปส่งยัยพลูก่อนก็ได้ แล้วเราจะไปไหนพี่จะไปส่ง”

            “ไม่ต้องหรอกค่ะ ส่งผึ้งที่รถไฟฟ้าก็พอ นัดเพื่อนไว้แล้ว”

            “อย่าให้รู้นะว่ากลับมาหาไอ้ชลมันอีก คิดว่าพี่ไม่กล้าลงโทษเราหรือไง” เทียมภพหาเรื่อง

            “โอ๊ย!...ใครจะไปคิดมากไม่เข้าท่าอย่างพี่หมากเล่า” ปลายเดือนตอบอย่างเหลืออด

            “ไปเถอะน่าพี่หมาก อย่ามาเถียงกันตรงนี้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ” แทนดาวร้องเตือน

            “เดี๋ยวพี่จะโทรหา ห้ามปิดเครื่องนะแล้วถ้าไม่รับล่ะเป็นเรื่อง!” ปลายเดือนถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเลยเถิดขนาดจะติดร่างแหไปด้วย

            “พี่หมากอย่าห่วงผึ้งนักเลย ดูแลใบพลูอย่าให้คลาดสายตาดีกว่า ที่ผ่านๆมาก็คงเห็นแล้วว่า เรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดเนี่ย...ใครก่อ” แทนดาวมองตามอย่างโกรธๆ นึกในใจว่า “ถ้าพี่ผึ้งไม่คอยพยายามใส่ไฟให้อยู่เรื่อยล่ะก็ มันจะร้อนขนาดนี้เหรอ”

 

            เทียมภพพาน้องสาวไปส่งโรงเรียนดนตรีบ้านตัวโน้ตของรมณ์นลิน เขานึกฉุนอยู่หน่อยๆว่าเจ้าของไม่ยอมออกมาต้อนรับเหมือนทุกครั้ง ยังไม่ได้ชำระความกันเรื่องที่พี่ชายแอบไปดำเนินการเรื่องหมั้นหมายอย่างลับๆ ค่อนข้างมั่นใจว่ารมณ์นลินต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเต็มๆ พอเข้ามาข้างในก็เจอโจทย์กำลังคุยอย่างออกรสอยู่กับหนุ่มแว่นคนหนึ่ง

            “พี่แฟง สวัสดีค่ะพี่อชิ แหม...ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้” แทนดาวเข้าไปทักทายสองหนุ่มสาวที่กำลังยืนคุยกันอยู่ที่มุมรับแขก เทียมภพจำได้ว่าอชิตะคนนี้คือลูกชายของเพื่อนพ่อแต่สงสัยว่าหมอแว่นคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

            “หวัดดีจ้ะ” คุณหมอหนุ่มกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองแล้วก้มหัวน้อยๆให้เทียมภพ

            “คุณหมอก็มาเรียนดีดสีตีเป่ากับเค้าด้วยหรือครับ” คำทักทายของเทียมภพผู้อ่อนโยนทำให้สองสาวถึงกับหน้าเหวอแต่คุณหมอเนิร์ดกลับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

            “พอดีเมื่อวานเจอคุณสีผึ้งที่งานเลี้ยงก็เลยรู้ว่าเธอเปิดโรงเรียนอยู่ใกล้ๆโรงพยาบาล พอว่างก็เลยแวะมาทักทายครับ” คุณหมอตอบแบบสุภาพมากที่สุดจนแทนดาวอายแทนพี่ชาย

            “เมื่อคืนก็ได้หมออชินี่แหละค่ะที่ช่วยปฐมพยาบาลพี่ชลแล้วก็พาไปคลินิก” รมณ์นลินตอบโดยเผื่อแผ่คำตอบนี้ไปยังคนตีหน้ายักษ์ด้วยซึ่งนั่นก็ทำให้เทียมภพเกือบฉุนขาด “ฮึ...แค่ผ่านมาหรือตั้งใจมากันแน่วะ!”

            “อ้อ...นึกว่าจะมาสมัครตีฉาบตีกลองกะเค้าด้วย” เทียมภพพูดจากวนๆจนแทนดาวทนให้คนเกิดก่อนเสียมารยาทอีกต่อไปไม่ไหวเลยหยิกหมับเรียกสติให้หนึ่งที

            “ที่จริงผมก็เล่นกีตาร์เป็นอยู่แล้ว ดนตรีก็มีอยู่ในตัวทุกคนแหละครับ ดังที่เขาว่าไว้ ชนใดไม่มีดนตรีกาล...ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก” หมออชิตะยังตอบกลับด้วยเสียงสุภาพเหมือนเดิม

             “อ้อ...ดนตรีไทยก็พอเล่นได้บ้าง สมัยเรียนผมสีซอเป็นนะ นี่ถ้าที่นี่มีซออู้สักคันก็จะได้สีให้คุณเทียมภพฟัง เดี๋ยวจะหาว่าผมขี้คุย” เทียมภพยืนอึ้งจุกกับคำด่ากระทบของอีกฝ่ายของอีกฝ่าย สองสาวแอบหัวเราะให้กันที่คนชอบหาเรื่องโดนเสียบ้าง

            “เอ้า! ทักทายกันพอแล้วก็ไปซ้อมกันเสียทีสิ คุณก็มัวแต่คุยอยู่นั่น...ลูกศิษย์มานั่งรอคุณครูคนสวยคุยกับผู้ชาย” เทียมภพแก้เก้อที่โดนย้อนศรด้วยการพูดซะเสียงดังจนผู้ปกครองที่นั่งรอบุตรหลานอยู่แถวนั้นหันมามองด้วยความสนใจ รมณ์นลินแทบจะกรี๊ด เทียมภพคนที่แสนจะใจดีตอนที่หล่อนนอนป่วยกับคนที่มอบจุมพิตหวานฉ่ำคนนั้นหายไปเสียแล้ว

            “พี่หมาก...ไปเลยไปนั่งรอตรงโน้นเลย หรือจะไปไหนก็ไปเดี๋ยวน้องพลูให้น้าตาลมารับก็ได้” แทนดาวรีบดันหลังพี่ชายให้ออกไปห่างๆที่ตรงนี้ให้มากที่สุด

            “งั้นเราไปเถะค่ะ อ้อ...ผู้ไม่เกี่ยวข้องกรุณารออยู่ข้างล่างนะคะ” รมณ์นลินหันมาบอกเรียบๆแต่เฉียบขาดพอเห็นคนชอบหาเรื่องกำลังจะตามมา

            “ทำไมจะไม่เกี่ยว ผมเป็นพี่ชายแทนดาวนะ”‘ผู้ไม่เกี่ยวข้อง’ หน้าบึ้งกว่าเดิมและดูเหมือนจะไม่ยอมทำตามง่ายๆ

            “แต่ที่นี่...สำหรับนักเรียนเท่านั้นที่จะขึ้นไปข้างบนได้ คุณควรรออยู่กับผู้ปกครองท่านอื่นนะคะ” รมณ์นลินบอกอย่างนุ่มนวลแต่ก็แฝงความเด็ดขาด เทียมภพหันไปมองรอบๆก็ต้องพบกับสายตาหลายคู่ที่มองตนเองแปลกๆ

            “รออยู่นี่นะ อย่าหนีไปไหน ถ้าน้องพลูลงมาแล้วไม่เจอล่ะก็น่าดู” แทนดาวได้ทีล้อเลียนคำพูดของพี่ชายแล้วแลบลิ้นให้หนึ่งที เทียมภพทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปนั่งรอตรงบริเวณที่จัดไว้ให้อย่างเสียมิได้ แต่พอเห็นหมออชิตะเดินออกมาก็ยังมิวายเข้าไป ‘พูดคุย’

            “ถ้าไม่ได้มาเรียนดนตรี งั้นก็คงมาจีบคุณครูสินะหมอ?” คนช่างหาเรื่องถามกวนๆอย่างเดิม แต่คุณหมอนุ่มมาดเนิร์ดก็มิได้ตอบโต้อะไรพียงแต่ยิ้มให้อย่างมีเลศนัยแล้วเดินจากไป ผู้ชายด้วยกันย่อมดูออกว่าไอ้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนี่มันแปลว่าอะไร เทียมภพรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นึกถึงคำพูดของรมณ์นลินประโยคหนึ่งตอนอยู่โรงพยาบาล

            “ฉันสวยในโลกของฉัน! มันอาจจะไม่ตรงสเป็คคุณ แต่รู้ไว้นะว่าก็มีคนที่เค้าอยากเข้ามาคุยกับฉันเหมือนกัน แค่ฉันยังไม่ตัดสินใจเท่านั้นเอง”

             “ฮึ่ย...ชอบไปได้ไงวะ หน้าก็จืดนมก็เล็ก!” เทียมภพทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด ตาขวาง หน้าบึ้ง เป็นที่หวาดกลัวของคนข้างๆจนต้องขยับหนีไปนั่งที่อื่น

 

            แทนดาวรู้สึกผิดที่วันนี้จงใจโดดเรียนทั้งๆที่ยังเหลืออีกวิชาในตอนบ่าย หล่อนไม่เคยหนีเรียนหรือเกเรแอบไปเที่ยวไหนตามอำเภอใจ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสได้ขอโทษชลธีเป็นเรื่องเป็นราวเสียที หลังจากฝากเพื่อนๆให้ช่วยส่งการบ้านแทนเรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจไปหาเขาที่โรงแรมวันนี้ให้ได้ หญิงสาวนั่งรถไฟฟ้าเพียงลำพังไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพื่อจะหาซื้ออะไรไปฝากเสียหน่อย อย่างน้อยก็เป็นการแสดงน้ำใจและอาจจะลดหย่อนความผิดที่ทำไว้ได้ ตั้งแต่ที่ไปเยี่ยมเขาที่บ้านครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย

              แทนดาวเดินเลือกของขวัญอยู่นานจนไปต้องตาดอกไม้ประดิษฐ์ทำจากดินญี่ปุ่นปั้นจัดเป็นช่ออยู่ในตะกร้าหวายน่ารัก ดอกไม้สามสี่ชนิดที่รู้จักดี คาร์เนชั่น ทิวลิปและ...ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์ ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกผู้ชายเขาจะพิสมัยพวกดอกไม้มากน้อยแค่ไหนแต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมากนักเพราะต้องรีบกลับไปมหาวิทยาลัยก่อนถึงเวลาเลิกเรียนซึ่งพี่ชายจะมารอรับตรงเวลาเป๊ะทุกครั้ง

             จากห้างสรรพสินค้ามาถึงโรงแรม The Prestige Thara ห่างกันแค่สี่สถานี แทนดาวเดินดุ่มๆไปถามหาคนที่ต้องการพบที่จุดประชาสัมพันธ์ พนักงานต้อนรับมองหน้ากันอย่างสงสัยใคร่รู้และแคลงใจที่จู่ๆก็มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดนักศึกษามาถามหาบอสใหญ่ในวันแบบนี้

              “คุณชลธีน่าจะติดประชุมค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ” พนักงานบอกอย่างนอบน้อมก่อนพาหล่อนไปนั่งตรงล็อบบี้ ถึงจะเคยมาที่นี่เเล้วแต่ก็ยังตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราและมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งหรือแม้กระทั่งเครื่องแบบพนักงานล้วนเลือกใช้สีขาวกับน้ำเงินเข้มให้ความรู้สึกสงบนิ่งเยือกเย็น ลูกค้าทั้งชาวไทยเดินเข้าออกกันอยู่เนืองๆ ความจริงน่าจะขอเบอร์มือถือเขาไว้แล้วโทรนัดให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่แล้วก็นึกอะไรออก...ปลายเดือนเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง พนักงานต้องคุ้นเคยกับพี่สาวหล่อนดีแน่นอน

              “ขอโทษค่ะ ดิฉันชื่อแทนดาว ทวีกิจไพศาล น้องสาวของคุณปลายเดือน ทวีกิจไพศาล ที่เป็นเพื่อนคุณชลธี วันนี้ดิฉันเอาของมาให้คุณชลแทนเธอค่ะ” ได้ผล...พนักงานคนหนึ่งรีบพาหล่อนขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดซึ่งเป็นทั้งห้องพักและห้องทำงานของเขา

              “ขอบคุณนะคะ” หล่อนบอกพนักงานที่พาเข้ามาในห้องโล่งล้อมรอบด้วยผนังกระจก ตรงทางเข้าด้านหน้ามีโต๊ะทำงานกับคอมพิวเตอร์เปิดค้างไว้ ตรงนี้คงจะเป็นโต๊ะทำงานของเลขาฯแต่ว่าไม่มีคนอยู่ ตรงข้ามกันเป็นห้องประชุมกึ่งรับแขกขนาดไม่ใหญ่มาก แทนดาวเดินมาหยุดตรงหน้าตรงประตูห้องที่มีป้ายชื่อสแตนเลสติดอยู่ Chonlatee Tharapisut มือบางยกขึ้นเคาะที่บานประตูไม้สามครั้ง

              “อ้าว...น้องพลู!” ชลธีทักสาวน้อยตรงหน้าด้วยความแปลกใจที่หล่อนมาถึงนี่ เขาเพิ่งจะให้เลขาฯลงไปรับเอกสารข้างล่างก็เลยไม่มีใครแจ้ง

              “สวัสดีค่ะ น้องพลูมารบกวนพี่ชลหรือเปล่าคะ?” เขายังไม่ตอบในทันทีแต่กวาดตามองออกไปข้างนอกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ก็เลยออกมาคุยด้วยหน้าห้องตามความเหมาะสม

            “พี่เพิ่งจะกลับมาจากงานแถลงข่าวไม่นานเอง ตอนนี้เหนื่อยเลยยังไม่อยากทำงาน แสดงว่าน้องพลูก็ไม่ได้มารบกวนเวลางาน” เขาตอบสบายๆสายตายังประกฏแววของความยินดีไม่จาง

             “แต่มารบกวนเวลาพักผ่อน” คนตัวเล็กต่อให้พลางสังเกตว่าที่ไรผมตรงขมับของเขายังมีพลาสเตอร์ชิ้นเล็กๆแปะอยู่

             “ปล่าว...” เขาลากเสียงปฏิเสธก่อนจะเชื้อเชิญให้แขกสาวสวยไปนั่งในห้องกระจกที่กั้นไว้เป็นห้องประชุมและรับแขกไปในตัว

               “แล้วนี่เลิกเรียนแล้วเหรอครับ?” เขาเห็นหล่อนยังอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยมีตำราสองสามเล่มอยู่ในกระเป๋าผ้าสีชมพู

            “คือ...ที่จริงแล้วยังเหลืออีกวิชาค่ะแต่น้องพลูไม่ได้เข้าเรียน” คนทำผิดตอบเสียงอ่อย ชลธีขมวดคิ้วไม่พอใจนิดๆเมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กหนีเรียนมา แทนดาวรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงกำลังตำหนิตนเองอยู่ในใจก็รีบให้เหตุผล

            “น้องพลูตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมพี่ชลอีกแต่ว่าไม่มีโอกาสเลย ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้พบกันซะที น้องพลูไม่สบายใจเลยค่ะ”

             “ก็เลยโดดเรียนมาเนี่ยนะ” เขาต่อให้

            “แต่ว่าน้องพลูส่งการบ้านครบนะคะ แล้วก็ฝากเพื่อนจดเลคเชอร์มาให้ด้วย” หล่อนเถียงจนเขาต้องส่ายหน้ายอมแพ้กับความพยายามของคนตัวเล็ก

              “เอาล่ะ...อยากมาพบพี่ถึงขนาดต้องหนีเรียนมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญ” เขาเดาพลางมองวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาอย่างเพลิดเพลิน แก้มหล่อนแดงเพราะคงเดินตากอากาศร้อนก่อนเข้ามา ปอยผมหลุดจากมัดหางม้าระเรี่ยอยู่ทั่วใบหน้าและลำคอระหงช่วยขับความงามเปล่งปลั่งตามธรรมชาติ เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการบังคับใจไม่ให้เลื่อนเก้าอี้ล้อลากที่กำลังนั่งอยู่เข้าไปใกล้คนข้างๆมากกว่านี้

             “คือว่า...น้องพลูอยากมาขอโทษพี่ชลอย่างเป็นทางการ วันที่ไปหาที่บ้านคนอยู่เยอะแยะไปหมด น้องพลูไม่สะดวกที่จะพูด” แทนดาวพูดประนมมือไหว้ หล่อนไม่อยากให้ความโกรธขึ้งของเขามีผลกระทบต่อทวีกิจ ถ้าเขาไม่พอใจอาจจะหาเรื่องไล่คนในครอบครัวออกก็ได้

              “น้องพลูแวะซื้อไอ้นี่มาให้ เวลาพี่ชลเครียดๆก็ให้มองดอกไม้พวกนี้นะคะแล้วจะสดชื่นขึ้น” มือเล็กหยิบตะกร้าดอกไม้ประดิษฐ์ออกจากถุงกระดาษอย่างระมัดระวังแล้วยื่นให้พร้อมกับยิ้มหวานๆ ดวงตาทรงอัลมอนด์ช้อนมองด้วยแววออดอ้อนโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึก แพขนตากระพริบวิบไหว คนถูกมองอยากจะหยิกแก้มเนียนๆนั้นเสียให้ช้ำนัก ไปหัดเล่นหูเล่นตาแบบนี้มาจากไหนกันนะ คงต้องหาเวลาสั่งสอนกันเสียแล้ว

             “ขอบคุณครับ แต่น้องพลูอยู่ในนี้ดอกไม้สีสันสวยขนาดไหนก็หมองหมดแหละ มองหน้าน้องพลูสดชื่นกว่าเยอะ” เสียงนุ่มบอกอย่างมีความหมาย เขารับตะกร้าดอกไม้นั่นมา มองมันนิดหนึ่งแล้วกลับไปมองหน้าคนให้ซึ่งพบว่าพวงแก้มเนียนปลั่งที่แดงเรื่อเพราะแดดบ่มก็ยิ่งแดงก่ำด้วยความขวยอาย

              “เอาเป็นว่าพี่ไม่โกรธน้องพลูเรื่องนี้แล้วนะครับ” เขาเรียกสติทั้งของตัวเองและของคนที่นั่งใกล้ๆกลับคืนมา คนตัวเล็กค่อยคลี่ยิ้มด้วยความโล่งใจ

             “ขอบคุณค่ะ ตอนนี้น้องพลูสบายใจแล้วก็กลับดีกว่า พี่ชลจะได้ทำงานต่อ” หญิงสาวยันกายเตรียมจะลุกขึ้นแต่เขารีบดึงข้อมือให้นั่งลง

              “เดี๋ยวสิครับ” ชลธีรีบปลดมือตัวเองจากข้อมือบางนั้นเมื่ออีกฝ่ายมองอย่างไม่ไว้ใจ

              “ว่าแต่...ยังโกรธพี่เรื่องงานเลี้ยงวันนั้นอยู่มั้ย?” เขาถามถึงการประกาศหมั้นสายฟ้าแลบในงานเซ็นสัญญา

              “ยังโกรธอยู่ค่ะ” คนตอบสะบัดเสียงบ่งบอกว่าโกรธจริง

             “อ้าว..มาหาพี่ถึงนี่นึกว่าหายแล้วซะอีก”

             “เรื่องวันนั้นกับเรื่องวันนี้มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกันค่ะ”

             “อืม..โอเค งั้นคงต้องรบรากันต่อไป” เขาพูดอย่างมีความหมายจนได้ค้อนหนึ่งวงแล้วฉวยโอกาสนั้นดึงยางรัดผมออกปล่อยห้ผมยาวดำขลับเกือบถึงเอวทิ้งตัวสยายเป็นอิสระกระจายอยู่เต็มแผ่นหลัง

              “พี่ชล!” คนตัวเล็กร้องประท้วง มือหนาเอื้อมไปปัดปอยผมปอยหนึ่งที่บดบังเสี้ยวหน้า แทนดาวพยายามหลบมือนั้นแต่ก็ช้ากว่าเขา

             “พี่ชอบแบบนี้” เขาบอกเสียงเรียบแต่ตาพราวจนอีกฝ่ายเขินขัด

              “น้องพลูจะกลับไปมหา’ลัยแล้วค่ะ” คราวนี้หล่อนรีบลุกพรวดพราดไปที่ประตูโดยเร็ว ขืนช้าเดี๋ยวเขาก็หาทางยื้อยุดให้อยู่ต่อจนได้

            “ถ้างั้นพี่จะไปส่ง”

            “ไม่เป็นไรค่ะ น้องพลูนั่งรถไฟฟ้าได้...แค่นี้เอง พี่ชลทำงานเถอะค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ

            “ไม่ได้ครับ...พี่เป็นห่วง” คำพูดสั้นๆแต่สะกดให้คนฟังอยู่กับที่ น้ำเสียงจริงจังปนอ่อนโยนนั้นทำให้ต้องเงยหน้ามองคนตัวสูงชัดๆอีกครั้ง

           “เดี๋ยวใครรู้จะนินทาว่าไม่ดูแลคู่หมั้น” เขากระซิบเสียงเบาก่อนจะเดินเข้าห้องไปหยิบกุญแจรถ พนักงานหลายคนถึงกับต้องหันไปซุบซิบกันเมื่อเห็นบอสใหญ่เดินคู่มากับนักศึกษาสาวหน้าตาน่ารัก ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือใบหน้าของเจ้านายผู้เคร่งขรึมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลบัดนี้ฉาบไปด้วยรอยยิ้มจางๆ

             "รอพี่แป๊บนะ" เขาบอกก่อนจะเดินไปหาพนักงานคนหนึ่ง แทนดาวเลยเดินเล่นดูรอบๆจนมาหยุดที่แกรนด์เปียโนสีดำที่ตั้งเด่นตรงกลางโถง อดใจไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะแผ่วเบามันคือเปียโนรุ่นที่อยากได้ใจจะขาดนั่นเอง

          "ตอนเย็นๆจะมีคนมาเล่น บางวันถ้าแฟงเค้าว่างก็จะมาเล่นให้" ชลธีตอบท่าทางช่างสงสัยของคนตรงหน้าแทนดาวร้องอ๋อเบาๆแล้วมองเลยไปด้านหลังที่มีบาร์เครื่องมีดื่มเล็กๆตรงนั้น เปียโนนี้คงมีไว้สำหรับบรรเลงเพลงคลอให้กับลูกค้าที่มานั่งพักผ่อนและสั่งเครื่องเล็กๆน้อย

           "ถ้าวันไหนขาดคนเล่นก็บอกน้องพลูได้นะคะ"ไม่รู้ว่าหล่อนพูดเล่นหรือพูดจริงแต่

ประกายตาฉาบอิ่มไปด้วยความสดใสทำให้เขาต้องยิ้มกว้างตามไปด้วย

           "มาแล้วค่ะคุณชล" พนักงานคนเดิมส่งถุงกระดาษประทับตราโรงแรมให้เขา

            "ไปกันเถอะ" ชลธีเดินนำสาวสวยในชุดนักศึกษาออกไปท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของพนักงานที่อยู่แถวนั้น พอขึ้นรถเขาก็ยื่นถุงใบนั้นให้

             “พี่ให้พนักงานไปเอาเบเกอรี่ในคาเฟ่มาให้” เขาตอบคำถามจากสายตาขี้สงสัยนั้น

            “โห...ทำไมเยอะแยะจังคะ อุ๊ย...มาการองสีพาสเทลน่ากินจัง ชีสเค้กนี่โซลเมทน้องพลูชัดๆ” แทนดาวหยิบขนมขึ้นมาดูทีละชิ้นด้วยความดีใจเหมือนเด็กได้อมยิ้ม

            “ฝากเพื่อนน้องพลูด้วยไง มีใครบ้างนะ น้องตา น้องเนตร น้องกานต์ ใช่มั้ย?” เขาไล่ชื่อเพื่อนร่วมก๊วนของหล่อนได้แม่นเป๊ะจนเจ้าตัวยังทึ่ง

             “พี่ชลจำยัยพวกนั้นได้ด้วยหรือคะ?”

             “ได้สิครับ...ก็หลังจากงานวันเกิดคุณย่า น้องๆก็ขอเป็นเพื่อนเฟสบุ๊คของพี่กันหมดแหละ มีแต่เรานั่นแหละที่ไม่มี” เขาตอบยิ้มๆ แทนดาวคาดโทษเพื่อน...จะก๋ากั่นกั่นเกินไปแล้ว

            “อย่าไปถือสายัยพวกนั้นเลยนะคะ ถึงจะทำตัววุ่นวายกันไปนิดแต่ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แทนดาวแก้ตัวแทนเพื่อน เขาไม่ได้ว่าอะไรเพราะก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญนัก

            “อ้อ..ไหนๆก็อยู่นี่ด้วยกันแล้ว พี่มีสองเรื่องอยากบอกน้องพลู จะว่าสอนก็ได้นะ” ชายหนุ่มเปิดประเด็นด้วยท่าทีจริงจัง แทนดาวจึงละสายตาจากขนมมาฟังอย่างตั้งใจ

             “ห้ามทำแบบนี้อีกนะครับ พี่ไม่ต้องการให้น้องพลูหนีเรียนแบบนี้” เขาบอกเสียงเครียดเพื่อให้หล่อนได้ตระหนักว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แทนดาวพยักหน้ารับ

             “ค่ะ”

            “อีกเรื่อง...ห้ามมองใครด้วยสายตาแบบนั้นอีกนะ แบบที่มองพี่ตอนอยู่ในห้องนั้น”

             “ยังไงเหรอคะ?” คนตัวเล็กถามออกไปซื่อๆเพราะไม่รู้จริงๆ ชลธีใช้ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นให้สบตาด้วยตรงๆ

            “ก็ช้อนตามองแล้วทำตาหวานๆกระพริบตาถี่ๆ” เขาอธิบายเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบพลางมองแพขนตาหนางอนที่กระพือขึ้นลงตามจังหวะกระพริบตา

              “น้องพลูไม่รู้ตัวนี่คะ แล้วมันจะเป็นยังไงเหรอ?” คนขี้สงสัยยังต้องการคำอธิบายเพิ่มจนไม่ได้รู้สึกว่าคนตรงหน้าเลื่อนมือจากปลายคางแอบไปจับผมยาวที่คลอเคลียไหล่อย่างแผ่วเบา

              “มันทำให้คนถูกมองใจแกว่ง ถ้าใครที่ความอดทนไม่มากพอ..ก็อาจจะอดใจไม่ได้ที่จะ...” แทนดาวตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อแต่ก็หยุดแค่นั้น ชลธีละมือจากกลุ่มผมนุ่มสวยมาจับพวงมาลัยเตรียมจะออกตัว

              “เอาเป็นว่า...ถ้าจะมาอีกก็โทรบอกพี่แล้วกัน เผื่อบางทีพี่ไม่อยู่ออฟฟิศ” เขาปรับน้ำเสียงเป็นปรกติแล้วขับเคลื่อนพาหนะไปช้าๆ

              “น้องพลูไม่เคยมีเบอร์พี่ชลนี่คะ...มีแต่เบอร์พี่แฟง ตอนแรกก็กลัวว่าจะไม่เจอเหมือนกันแหละแต่เสี่ยงดวงเอา” หล่อนตอบอุบอิบ

            “ขอโทรศัพท์หน่อย” เขาแบมือแต่ตาก็จับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้า แทนดาวหยิบโทรศัพท์ให้อย่างว่าง่าย

             “ทีนี้ก็มีแล้ว” เขากดเบอร์โทรเข้าเครื่องตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วก็ส่งคืนให้เจ้าของ แทนดาวกดบันทึกเบอร์ไว้ในเครื่องเรียบร้อย

             “น่าอายจังนะคะ...” สาวน้อยเอ่ยขึ้นเมื่อรถเลี้ยงเข้าสู่ถนนใหญ่แล้ว

            “หืม?...” คนขับเหลือบตามองคนข้างๆนิดหนึ่งอย่างอยากรู้ว่าอายเรื่องอะไร

              “ก็วันนี้น้องพลูทำเรื่องที่...เอ่อ...ถ้ายืมคำคุณย่ามาพูดก็ต้องเรียกว่าไม่งาม” คนตัวเล็กเว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของคนข้างๆ เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งจึงพูดต่อ

              “หนึ่ง...หนีเรียนมาหาผู้ชายที่โรงแรม สอง...แอบเนียนขอเบอร์ผู้ชายด้วย ถ้าพี่หมากรู้เข้า...ไม่ต้องนึกภาพเลยค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” คนพูดรู้สึกละอายใจจริงๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองทำไปในวันนี้ ชลธีหัวเราะร่วน

            “เฮ้อ...จะว่ายังไงดีนะ ตั้งแต่พี่เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอน้องพลูนี่แหละที่กล้าทำอะไรแนวๆขนาดนี้ แต่ว่าก็ดีนะ...ชีวิตพี่มีสีสันขึ้นเยอะเลย…”

 

 

 

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา