ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  33.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

35) ตอนที่ 34 เกือบจะสายไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 34 เกือบจะสายไป

               

                เจ้ากระทิงเปลี่ยวสีเทาเข้มเกือบดำจอดนิ่งสนิทอยู่หน้ารั้วบ้านทรงไทยประยุกต์ตอนเกือบสองทุ่ม แสงสลัวจากไฟรั้วส่องกระทบตัวรถให้เห็นเพียงเงารางๆเป็นตะคุ่มอยู่ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ เจ้าของรถเอื้อมมือกดปุ่มเปิดไฟให้ความสว่างภายในห้องโดยสารขณะที่คนนั่งข้างๆกำลังวุ่นวายกับการรวบรวมข้าวของที่ถูกโยนกองระเกะระกะอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปช่วยหยิบถุงต่างๆส่งให้ด้วยสายตาเจือรอยไม่พอใจนัก

                “ไม่รู้จะซื้ออะไรเยอะแยะ เพิ่งรู้ว่า ‘พี่ชาย’ ของน้องพลูคนนี้เนี่ย จะนิยมเล่นบทเสี่ยใหญ่ใจป้ำทุ่มเงินเอาใจสาวซะด้วย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววเย้ยหยันผสมเหน็บแนม ตาคมตวัดมองใบหน้านิ่งขรึมแวบหนึ่งอย่างขัดใจเหลือกำลัง

                “พี่ชลนี่นะ...ยังไม่จบอีก แล้วทีตัวเองล่ะ” คนเถียงรวบรวมถุงต่างๆมากองไว้บนตัก แล้วยื่นหน้าไปส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง

                “ทำไมล่ะ...พี่ซื้อของให้แฟนจะเป็นไรไป แต่ไอ้โนบิตะนั่นมันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นยังจะสะเออะ ดูตาก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ชิชะ...จะเล่นบทพี่ชายที่แสนดีก็เล่นให้มันเนียนหน่อย ยังไม่ทันไรพ่อจะตีบทแตก” ถึงตาคนพูดจะจ้องหน้าคนข้างๆแต่ปากก็มิได้หยุดพร่ำบ่นคู่กรณี

                “แล้วต่อไปนี้นอกจากคนในบ้านน้องพลูแล้ว...พี่ก็ต้องเป็นอีกคนที่ต้องรับรู้ว่าน้องพลูจะไปไหนกับใคร จะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนี้อีกแน่ๆ” เขาสั่งพลางเกลี่ยผมที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากเกลี้ยงเกลาไปให้พ้นทางด้วยกิริยานุ่มนวลผิดกับน้ำเสียงเคร่งเครียด

                “เชอะ...คิดว่าตัวเองเป็นใครกันฮึ?” คนเถียงจ้องตากลับอย่างท้าทาย มันจะมากไปหน่อยล่ะ ทีตัวเองไปทำอะไรมาไม่เห็นบอกกันบ้างเลย

                “เป็นคู่หมั้น...แฟน...และว่าที่สามี ชัดไหมครับ...คุณแทนดาว?” เขาทอดเสียงตอนท้ายอย่างล้อเลียน แทนดาวได้แต่ถลึงตาใส่ กัดปากแน่น โกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

                “แล้วอย่าได้คิดทำอะไรรั้นๆนะ จนป่านนี้น้องพลูคงรู้แล้วนะครับว่า ดื้อแพ่งกับพี่แล้วจะเป็นยังไง พี่ไม่เกี่ยงหรอกนะ…ที่จะจับตัวน้องพลูมาทำโทษบ่อยๆ”

                “จอมเผด็จการเบอร์สอง” คนตัวเล็กว่าทิ้งท้ายก่อนจะรีบเปิดประตูรถเดินจ้ำอ้าวเข้าบ้าน ชลธีมองตามไปจนเห็นว่าแม่จอมดื้อเข้าสู่ตัวบ้านเรียบร้อยแล้วก็ออกรถอย่างสบายใจ หวังว่าคราวนี้แทนดาวคงไม่คิดทำอะไรแผลงๆอีก

               

                แทนดาวหอบของพะรุงพะรังจะเข้าไปหาคุณย่าก่อน แต่พอเหลือบไปเห็นรถของพี่สาวจอดอยู่เรียบร้อยก็สัมผัสถึงความเย็นวาบวิ่งแล่นไปทั่วทุกเส้นเลือด จะอธิบายกับพี่ชายว่าอย่างไรดีที่ไม่ได้กลับมากับหมออชิตะ แถมยังถึงบ้านเลยเวลาเคอร์ฟิวเสียด้วย จะหวังให้พี่สาวช่วยพูดก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หนำซ้ำป่านนี้คงจะก่อกองไฟเตรียมเผาตนไว้พร้อม

                หญิงสาวย่องเงียบในลักษณะจิกปลายเท้าอ้อมหลบห้องนั่งเล่นที่เห็นว่าสมาชิกในบ้านกำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์กันอยู่ คิดว่าจะอาศัยจังหวะนี้แอบหนีเข้าห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ในระหว่างนั้นก็คงจะคิดหาคำอธิบายดีๆได้แล้ว แต่ว่ายังไม่ทันย่างเท้าก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก เสียงทรงอำนาจก็เรียกให้หยุดอยู่กับที่ค้างนิ่งเป็นหุ่นอยู่อย่างนั้น

                “มาคุยกันก่อนดีไหมครับ....คุณแทนดาว”

                “เอ่อ...น้องพลูเอาของไปเก็บก่อนนะคะ” พยายามทำใจดีสู้เสือหันกลับไปมองพี่ชายอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วค่อยเผยอยิ้มให้อย่างประจบแต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่เล่นด้วย

                “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ตามพี่มา...เดี๋ยวนี้!” แทนดาวกลั้นใจเดินตามพี่ชายไปในห้องโถงใหญ่ หัวใจกระตุกวาบ                        

อย่างแรงเมื่อเห็นปลายเดือนนั่งไขว่ห้างจิบน้ำส้มเย็นฉ่ำอย่างสบายอกสบายใจ พอดีกับที่ฝ่ายนั้นเห็นน้องสาวเดินหน้าจ๋อยเข้ามาก็รีบสวมวิญญาณพี่สาวที่แสนดีโดยปัจจุบันทันด่วน

                “โอ๊ย! น้องพลูมาแล้วเหรอ พี่เป็นห่วงแทบแย่แน่ะรู้ไหม เนี่ย...คุณอชิบอกว่าแยกกับเราตั้งนานแล้ว โทรไปบ้านม๊าหลีก็ไม่มี ทำไมไปไหนไม่บอกกันมั่งฮึ?” แทนดาวปัดมือที่กำลังลูบหลังไหล่แสดงความเป็นห่วงเสแสร้งขัดกับแววตาเยาะเย้ยอย่างนึกขยะแขยงและรังเกียจความไม่จริงใจที่ลูกผู้พี่กระทำอยู่อย่างยิ่ง

                “ทำไมจะต้องบอกล่ะ...ก็ไปด้วยกันแท้ๆ” แทนดาวทำหน้าบึ้ง

                “สีผึ้งออกไปก่อน พี่จะคุยกับน้องพลูเดี๋ยว” เทียมภพสั่งเสียงเย็นแล้วหันยังน้องสาวคนเล็กที่ยืนหน้าซีดบิดมือไปมา

                “ขอพี่ไปเที่ยว...แล้วทำไมกลับเอาป่านนี้?” มือใหญ่กดตัวน้องสาวให้นั่งลงเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ ‘เล่นๆ’ แทนดาวมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาวิงวอน ไม่รู้ว่าปลายเดือนเล่าอะไรไปแล้วบ้าง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้อธิบายความจริงกันก่อนเถอะ

                “ก็...” อาการอึกอักลังเลของเกิดทีหลังยิ่งกระตุ้นความโมโหในใจให้เพิ่มมากขึ้น

                “พี่บอกแล้วใช่ไหม...ว่าห้ามไปเถลไถลที่ไหน” เทียมภพขบกรามแน่น เขาแทบคลั่งตอนน้องสาวคนรองโทรมาบอกว่าแทนดาวขอไปเดินเที่ยวกับอชิตะตามลำพังก่อนจะหายไปและติดต่อไม่ได้ทั้งคู่ ความรู้สึกตอนนั้นร้อนรุ่มเหมือนใครมาเผาถ่านในทรวงอก

                “สีผึ้งบอกพี่ว่า...เราขอไปกับไอ้หมอกรุ้มกริ่มนั่น” แทนดาวอึ้ง  นึกไม่ถึงว่าปลายเดือนจะเอาตนมาขายทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ทั้งหมด

                “แต่ว่า...พี่ผึ้งก็รู้นี่คะ แถมยังเป็นคนบอกเองว่าไปด้วยกันไม่ได้เพราะติดคอร์สนวดเล็กหหน้าเรียวอะไรนั่น”

                “พอแล้ว...เลิกโทษคนอื่นซะที ทำไมต้องโกหกพี่ด้วย!” เสียงตวาดก้องทำให้แทนดาวสะดุ้งเฮือก น้ำตาเริ่มล้นออกมาคลอเบ้า

                “เรื่องที่ไปกับพี่อชิน่ะ...พี่ผึ้งก็รู้เห็น ทำไมไม่ไปถามพี่ผึ้งเองล่ะคะ อีกอย่างก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย แค่ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันแล้วก็ซื้อของพวกนั้น” แทนดาวขึ้นเสียงเถียง เรื่องอะไรจะยอมให้ถูกใส่ไข่อยู่ฝ่ายเดียว

                “ถ้ายังงั้นเราลองบอกพี่มาซิ...ว่ากลับมากับไอ้ชลมันได้ยังไง?” คราวนี้จำเลยถึงกับหน้าซีดเผือด พี่ชายเห็นแล้วว่ากลับมากับเขา ทีนี้ล่ะ...เรื่องใหญ่ของแท้แน่นอน

                “คิดหรือว่าจะปิดบังพี่ได้ตลอด รู้ไหมว่าตั้งแต่เราหายตัวไป...ติดต่อไม่ได้เนี่ย พี่เป็นห่วงเรามากแค่ไหน ตอนที่ไอ้ชลมันมาส่งเราที่บ้าน พี่แทบจะไปฆ่ามันถ้ายัยผึ้งไม่ห้ามไว้ล่ะก็...”

                “แล้วพี่ผึ้งบอกว่าไงล่ะคะ? เขาว่าไง...ก็ว่างั้นแหละ” ความน้อยเนื้อต่ำใจผสมปนในเนื้อเสียงและแววตาตัดพ้อคนเป็นพี่ที่ไม่เคยเชื่อใจกันเลย

                “ใบพลู! พี่เสียใจและผิดหวังมากนะที่เราพูดแบบนี้ รู้ไหม...ทั้งพี่ สีผึ้ง ทุกๆเป็นห่วงเรามากแค่ไหน พยายามปกป้อง ดูแล แต่ทำไมเราถึงทำตัวแบบนี้ ออกไปเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสองยังไม่พอ...แถมยังกลับมากับผู้ชายอีกคน ถ้าคนอื่นรู้เข้ามันจะเป็นยังไง รู้ตัวไหม? ว่าเราน่ะเป็นฝ่ายเสียหาย” เสียงดุดังลั่นไปถึงชั้นบนและเรือนพักแม่บ้านดึงดูดให้หลายคนออกมาดูต้นเสียง

                “แต่น้องพลูไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะ แค่ไปเดินซื้อของเฉยๆ ส่วนพี่ชล...ก็แค่บังเอิญเจอกันแล้วเขาก็มีน้ำใจมาส่ง...เท่านั้นเอง ทำไมพี่หมากไม่ฟังกันบ้าง? ทำไมฟังคนอื่นได้แต่ไม่ยอมฟังน้องพลูเลย!” หญิงสาวสะอื้นตัวโยนน้ำตาไหลพราก เทียมภพเบือนหน้าไปจากภาพนั้น เขาโกรธ...โกรธทั้งคนของตัวเองและไอ้คนที่พาน้องสาวไป

                “ไม่ได้ทำอะไรเสียหายเหรอ? แล้วทำไมชุดที่ใส่ก่อนออกจากบ้านเมื่อเช้ากับตอนนี้มันเป็นคนละชุดกัน?” คราวนี้

แทนดาวจนตรอก คิดหาคำอธิบายไม่ได้อีกแล้วเมื่อหลักฐานคาตาอย่างนี้ ดวงตาละห้อยมองตามพี่ชายที่รื้อค้นถุงต่างๆจนข้าวของกระจายออกมา

                “อื้อหือ! ฟัดเหวี่ยงกันจนเสื้อผ้าขาดวิ่นเลยนะครับ...น้องสาวคนดีของพี่” แทนดาวมองชุดที่ขาดในมือพี่ชายอย่างหวาดผวา หลักฐานขนาดนี้ไม่ว่าใครก็คงจะคิดไปในทางเดียวกัน

                “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ น้องพลูกับพี่ชลไม่ได้ทำเรื่องบัดสีแบบนั้น!”

                “พี่ให้เราไปเที่ยวนะ...ไม่ได้ให้ไปแรด!” ด้วยโทสะที่สุดจะเหลืออด เทียมภพปาชุดนั้นใส่หน้าน้องสาวอย่างแรงและบริภาษด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นครั้งแรกในชีวิต

                “น้องพลูไม่ได้ทำตัวเลวแบบนั้นนะ! มันขาดเพราะอุบัติเหตุ” แทนดาวลุกขึ้นแผดเสียงตวาดลั่นบ้าน

                “หยุดนะ! กล้าขึ้นเสียงกับพี่แล้วเหรอ...แทนดาว เธอกล้าขึ้นเสียงกับพี่เพราะไอ้ชลเหรอ?”

                “พี่หมากคะ...ค่อยๆพูดกันเถอะค่ะ ดูสิ...น้องพลูกลัวจะแย่แล้วนะคะ” ปลายเดือนรีบเข้ามาห้ามทัพ

                “นั่นสิ...คุยกันดีๆก่อนเถอะเจ้าหมาก” คุณย่าตามมาสมทบช่วยพูดอีกแรง แทนดาวเข้าใจในทันทีว่า ผู้เป็นพี่สาวคงใช้เวลาที่หายไปเมื่อครู่เล่ารายละเอียดเท็จให้คนอื่นๆฟังกันหมดแล้ว และตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะจับหล่อนเผาประจาน

                “เรื่องนี้ผมจัดการเองได้ น้องผม...ผมเลี้ยงมา ถ้ามันจะมาดีแตกตอนนี้ ...ผมเองนี่แหละจะเป็นคนกำหราบ!”  แทนดาวทั้งน้อยใจทั้งกลัว แต่ก็ไม่เท่าความเสียใจที่คนเกิดก่อนไม่ให้ความไว้วางใจแถมยังไม่ฟังคำชี้แจงสักนิด

                “หมาก! ทำไมว่าน้องแรงแบบนี้ล่ะ” คุณดวงทิพย์ทนดูพี่น้องถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายไม่ไหวรีบเข้าไปกอดบุตรสาวที่ร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนเก้าอี้

                “แม่ครับ...น้องพลูทำผิดมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอแอบไปกับไอ้ชล ผมไม่รู้ว่าไอ้นั่นมันหลอกน้องไปยังไง แต่ที่สำคัญยัยพลูยอมไปกับมันทุกครั้ง เกิดพลาดท่าเสียทีท้องป่องขึ้นมาจะทำยังไง? ชอบนักหรือครับ...ที่ต้องเดินเอาปี๊บคลุมหัวน่ะ”

                “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะหมาก คุณชลกับน้องพลูเป็นคู่หมั้นกัน แล้วพ่อก็เชื่อว่าเขาต้องให้เกียรติน้องพลูอยู่แล้ว หมากคิดมากไปเองมากกว่านะ” คุณพ่อช่วยเสริมอีกคนแต่ก็ไม่ได้ผล

                “น้องพลูยังเป็นของผมอยู่ครับพ่อ เธอยังไม่มีคู่หมั้นหรืออะไรทั้งนั้น ผมเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต ดังนั้นผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่า...จะทำยังไงต่อไป” เขาหันมามองน้องสาวอีกครั้งก่อนจะสั่งเสียงเย็น

                “มันคงใช้คารมกล่อมเราให้ลืมเรื่องเละๆที่มันทำไว้ใช่ไหม? ถึงยังยอมให้มันหลอกเอาซ้ำซาก” คำพูดนั้นกรีดลึกลงไปในหัวใจดวงน้อยๆที่นั่งรับฟังด้วยความร้าวราน

                “ต่อไปนี้...ห้ามเราไปพบไอ้ชลมันอีกโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะทางไหนทั้งนั้น ถ้ายังดื้อด้านไม่ฟังกัน...ก็เตรียมเก็บข้าวของได้เลย พี่จะไปลาออกกับมหา’ลัยให้ แล้วก็เชิญไปอยู่กินเป็นผัวเมียกับมันซะให้จบๆไป ถ้าไม่รักพี่กับพ่อแม่แล้วล่ะก็...ไปอยู่กับมันเลย!” ทุกคนต่างอึ้งพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำประกาศที่แสนโหดร้ายนั้น คุณดวงทิพย์ถึงกับต้องปาดน้ำตาเพราะความสงสารบุตรสาว และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด...เทียมภพหยิบกระเป๋าสะพายมาค้นได้โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กแล้วก็ปามันกับผนังห้องจนแตกกระจาย

                “เลิกติดต่อกับมันโดยเด็ดขาด!” แทนดาวรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง คนที่รักที่สุดในชีวิตกลับทำให้เสียใจที่สุดในชีวิตเช่นกัน

                “เจ้าหมาก! ทำไมทำรุนแรงขนาดนี้ โธ่เอ๋ย...” คุณย่าลูบศีรษะหลานสาวคนเล็กด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยม

                “พี่หมากเลี้ยงน้องพลูมากับมือ ทำไมถึงไม่รุ้ว่าน้องพลูเป็นยังไง? พี่หมากคิดว่าน้องพลูเป็นคนไม่รักดีแบบนั้นหรือ

คะ?” หญิงสาวคร่ำครวญอย่างน้อยอกน้อยใจสุดจะพรรณนา มองเศษซากโทรศัพท์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้องขณะกัดริมฝีแน่นจนเจ็บเพื่อเก็บกลั้นความสะเทือนใจ

                “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะพูดเรื่องนี้กับเรา อย่าให้มีอีกแม้แต่นิดเดียว พี่รักเรามาก...พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ แต่ในเมื่อเรามองไม่เห็น...พี่ก็ไม่จำเป็นต้องทำต่อไปอีก...จริงไหม?” เขาเงยหน้ามองเพดานเพื่อขับไล่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการพูดจาทำร้ายจิตใจน้องสาวที่เฝ้ากอุ้มชูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

                “น้องพลูอย่าคิดมากนะจ๊ะ พี่หมากกำลังโกรธเลยพูดไปแบบนั้น” ปลายเดือนเข้ามาช่วยปลอบคนที่สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด แทนดาวรีบเบี่ยงตัวหลบแล้วยังผลักลูกผู้พี่เสียกระเด็นลงไปกองกับพื้น

                “ว๊าย! น้องพลูทำไมทำแบบนี้ล่ะ” ปลายเดือนร้องเสียงหลง หลายคนตกใจกับการกระทำก้าวร้าวของน้องคนเล็ก“พี่ผึ้งนั่นแหละตัวดี! เก่งนักใช่ไหมไอ้เรื่องปั้นน้ำเป็นตัว เกลียด...เกลียดที่สุด!”

                “หยุดนะ! นี่ต่อหน้าคุณย่ายังกล้าอีกเหรอ” เทียมภพกระชากแขนน้องสาวไม่ให้เข้าไปซ้ำน้องคนรองที่นั่งบีบน้ำตาอยู่บนพื้น

                “น้องพลู...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” ปลายเดือนร้องไห้สะอึกสะอื้นบีบน้ำตาออกมาต่อเนื่องได้อย่างน่าทึ่ง

                “กล้าลงไม้ลงมือกับพี่เชื้อใช่ไหม ไม่ให้ความเคารพกันแล้วใช่ไหม ใบพลู...ทำไมเราถึงทำตัวเลวๆแบบนี้ได้นะ!” เทียมภพรีบลากน้องสาวคนเล็กออกมาข้างนอกบ้านแล้วเหวี่ยงลงไปกองเขลงกับพื้นหญ้า เหงื่อกาฬแตกพลั่กหน้าตาแดงก่ำเพราะความโกรธสุมอก พอหันรีหันขวางไปเจอไม้ขนาดพอดีมือก็จับมันหักมันเป็นสองท่อนรวบคู่ไว้ด้วยกัน

                “เอาสิ!...ตีให้ตายไปเลย น้องพลูไม่ใช่คนดีแล้วนี่” คนตัวเล็กท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว เทียมภพทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอแล้วฉุดแขนน้องสาวขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจะหวดไม้ฟาดลงตรงน่องขาที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมา แทนดาวน้ำตาร่วงเผาะด้วยความเจ็บปวดที่สุด ทั้งเจ็บตัวเจ็บใจ ตั้งแต่จำความได้...พี่หมากจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่คอยปกป้องไม่ว่าเกิดเรื่องใดๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้พี่ชายคนนั้นไม่มีอีกแล้ว รู้สึกว่าเนื้อตัวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บแสบจนชาไปทั่วร่างกาย

                “อยากเป็นเมียมันมากนักใช่ไหม? ชอบใช่ไหมคนเลวๆแบบนั้น ทำตัวเป็นเด็กใจแตกเรอะ? ถ้าพี่ห้ามเธอไม่ได้...ก็อย่ามาเรียกว่าพี่!” ไม้ท่อนนั้นยังตีลงมาไม่หยุดยั้งจนหักกระเด็นสั้นกุดลงไปทุกครั้งที่หวดฟาดลงมา และแน่นอนว่าเนื้อนุ่มที่รองรับปริแตกเลือดซิบตามจำนวนครั้งที่ถูกตี ทุกครั้งที่ท่อนไม้กระทบถูกเนื้ออ่อนบาง...หัวใจของคนลงทัณฑ์ก็เหมือนถูกแส้เฆี่ยน เจ็บแปลบทุกครั้งที่เห็นบาดแผล แต่ถ้าหากใจอ่อนต่อไปอีกน้องสาวของเขาคงไม่พ้นต้องตกเป็นของหวานให้ศัตรูตัวฉกาจชิมแล้วคายทิ้งเหลือแต่กาก

                “พอแล้ว! เจ้าหมาก...ตายแล้ว!” คุณย่ารีบเข้ามาห้ามปรามแต่กระนั้นความเสียหายทางร่างกายก็มากเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว

                “โธ่! หลานย่า...ทำไมแกต้องรุนแรงแบบนี้ด้วยฮึ ดูซิ...น้องมันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว” คุณย่ากอดหลานสาวแน่นด้วยความสงสาร

                “ฮือ...พลูเกลียดพี่หมาก เกลียดที่สุดในโลกเลย!”

                “ใบพลูเจ็บตัววันนี้ ดีกว่าต้องเจ็บใจไปตลอดชีวิต”

                “แล้วคุณชลเขาไม่ดีตรงไหนล่ะ...แกบอกมาซิ!” คุณเที่ยงธรรมถามกลับด้วยความโกรธแล้วค่อยๆดึงตัวลูกสาวคนเล็กขึ้นมา เทียมภพชั่งใจกับคำถามนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เขาจะไม่ทนเก็บไว้อีกต่อไปถ้ามันจะทำให้ทุกคนตาสว่างแล้วหันมาระแวดระวังแทนดาวให้มากกว่านี้

                “มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบไงล่ะพ่อ! ผู้หญิงคนนั้นก็คือเปรมยุตาไง…แล้วยัยพลูก็จะเป็นรายต่อไป!”

ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นปลายเดือน ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้น อย่างแรกก็คือทำไมพี่ชายถึงตั้งแง่รังเกียจชลธีนัก อีกประการคือความสัมพันธ์ซับซ้อนกับคนรักเก่า

                “หมาก...จริงเหรอ?” คุณเที่ยงธรรมถามต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาสลับกับมองหน้าลูกสาว แต่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรในทันที ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่มีเหตุมีผล ท่านจึงไม่ยอมฟังความข้างเดียว

                “พ่อว่าเราเข้าไปคุยในบ้านเถอะนะ พาน้องพลูไปทำแผลด้วย” เทียมภพรีบหันหลังเข้าบ้านไปก่อนใคร ส่วนแทนดาวรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือวิ่งออกไปทางหน้าบ้านท่ามกลางความตกใจปนเสียงร้องเรียกให้กลับมา

                “หมาก!...แย่แล้วลูก น้องหนีไปแล้ว!” เทียมภพหันมาตามเสียงร้องเรียกของมารดาก่อนจะตะโกนก้องสะท้าน

                “ช่างมัน…มันจะไปหาผัวที่ไหนก็ไป๊!” พอพูดไปแล้วก็ต้องเจ็บปวดในดวงใจเสียเองแต่ก็แข็งใจหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป ในใจคิดแต่ว่าคนน้องคงทำไปเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น ไปไม่ไกลเดี๋ยวก็กลับมา ไม่น่าจะพ้นรั้วบ้านเป็นแน่ เพราะเคยออกไปข้างนอกคนเดียวเสียที่ไหน ยิ่งมืดๆแล้วไม่ต้องพูดถึง ออกจะขี้กลัวขนาดนั้น

                หากแต่ใครจะรู้ว่า บางครั้งคนเราเมื่อมาถึงที่สุดของความอดทนแล้ว ความกดดันที่มีบวกด้วยความชอกช้ำที่ได้รับก็อาจจะทำให้เตลิดไปไกลได้ และตอนนี้มันก็กำลังเกิดขึ้นกับแทนดาวที่ฝืนใจพาร่างบอบช้ำวิ่งทั้งน้ำตาออกมาไกลจากตัวบ้านพอสมควรจนเริ่มรู้สึกอ่อนล้า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ออกจากบ้านมาคนเดียวโดยไร้จุดหมาย ไร้พี่ชายคอยคุ้มครองอีกต่อไป

                ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วก่อให้เกิดความกลัวและหวาดระแวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีเพียงแสงไฟส่องถนนพอให้เห็นหนทาง ยังดีทีมีรถราวิ่งเข้าออกในซอยบ้างเพราะยังไม่ดึกมาก หาไม่แล้วคงไม่มีความกล้าพอที่จะก้าวขาพาตัวเองเดินเรื่อยมาจนถึงปากซอยแน่ๆ แต่คำถามก็คือ...ตอนนี้จะไปที่ไหนดี หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งตรงป้ายรถเมล์ที่มีคนอยู่ไม่กี่คนกำลังนั่งรอรถกลับบ้าน ผิดกับตนที่ออกมาจากบ้านและนั่งรออย่างไร้ที่ไป บาดแผลที่มีเลือดซึมตลอดเวลายิ่งเพิ่มอาการปวดแสบเมื่อกระทบถูกลมและอากาศเย็นๆ น้ำตาหยดสุดท้ายเหือดแห้งไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคราบความเจ็บช้ำบนใบหน้า

                ขณะที่ในบ้านเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลกับการหายตัวไปของลูกสาวคนเล็ก คงมีแต่เทียมภพเท่านั้นที่ยังคงขังตัวเงียบในห้องหนังสือ มือที่ใช้ลงโทษน้องสาวที่รักปานดวงใจยังคงเจ็บชาไม่หาย พยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ให้แทนดาวเข็ดหลาบเสียแต่วันนี้ดีกว่าต้องมาทนกล้ำกลืนมองน้องนั่งอกขมอกไหม้น้ำตาเช็ดหัวเข่าหากต้องลงเอยกับชลธีจริงๆ

                “เดี๋ยวผึ้งจะออกไปตามเองนะคะ” ปลายเดือนอาสาออกไปหาน้องสาว สีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงกังวลต่อหน้าทุดคนช่างแนบเนียน แต่พอคล้อยหลังก็เดินยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปที่รถแล้วติดเครื่องยนต์อย่างใจเย็น ไม่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายและราบรื่นกว่าที่คิดไว้ ตอนแรกก็แค่หวังให้แทนดาวโดนข่าวซุบซิบเล่นงานให้ผิดใจกับชลธีแต่เรื่องก็กลับเลยเถิดมาขนาดนี้ ถือเสียว่าเป็นกำไรที่ได้รับคนเดียวเต็มๆ นึกภาวนาขอให้ลูกผู้น้องถูกฉุดไปข่มขืนหรือถูกลักพาตัวไปเลยก็ดี

                หญิงสาวยิ้มกับตัวเองก่อนออกรถเพราะความคิดใสๆแวบขึ้นมาในสมอง ถ้าแทนดาวไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้วล่ะก็...ชลธีคงไม่อยากแม้แต่จะแลตามองแน่นอน มือไวเท่าความคิด มือเรียวบางหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแนวร่วมทันที

                แทนดาวยังไปได้ไม่ไกลอย่างที่คิดจริงๆด้วย ยังคงนั่งเหม่ออยู่ตรงป้ายรถเมล์หน้าปากซอยนี่เอง ปลายเดือนเปิดไฟจอดรถข้างทางแล้วลงไปหา แทนดาวปาดน้ำตาออกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น

                “มาตามเหรอ? พลูไม่กลับไปหรอกนะ”

                “ไม่ได้มาตามหรอกจ้ะ พี่หมากไม่เห็นเดือดร้อนเลยที่เธอออกมาน่ะ พี่แค่มาดูให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่รอดปลอดภัย จะได้ไปบอกกับแม่เธอถูก”

                “งั้นก็กลับไปได้แล้ว” เจ็บแปลบในอกเมื่อได้ยินว่าพี่ชายไม่เดือดร้อนที่ไม่มีน้องสาวคนเล็กอยู่ในบ้าน พี่หมากไม่ต้องการน้องสาวไม่รักดีอีกต่อไปแล้ว

                “แล้วจะไปไหน? มานั่งอยู่ตรงนี้ไม่กลัวถูกลากไปรุมโทรมหรือไง หรือว่าต้องการแบบนั้นกันล่ะ?” ปลายเดือนเยาะ

                “ถ้าจะมาซ้ำเติมกันก็ไปซะเถอะ พลูเหนื่อยจะแย่...ไม่มีแรงพอที่จะสู้กับพี่ผึ้งหรอกนะ”

                “ถ้าไม่คิดจะกลับบ้านวันนี้ล่ะก็...เธอจะไปไหน?”

                “ไม่รู้...”

                “เอางี้ไหม...ไปอยู่ที่คอนโดพี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ หรือจะอยู่ให้สบายใจสักสองสามวันแล้วค่อยกลับก็ได้” ปลายเดือนเสนอทางเลือกที่คิดว่าน่าจะหว่านล้อมลูกผู้น้องให้คล้อยตามได้ดีที่สุด แทนดาวผู้ซึ่งกำลังอับจนหนทางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่มันจะดีหรือที่จะออกไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นนอกเหนือจากบ้านที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด

                “พี่จะโทรกลับไปบอกที่บ้านว่าเจอตัวเราแล้ว และจะพาอยู่ที่คอนโด...ดีไหม?” เมื่อเห็นน้องสาวยังลังเลก็โอบไหล่อย่างให้กำลังใจดุจพี่สาวที่รักน้องสุดดวงใจ

                “ไม่ต้องกลัวนะ...พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย จะได้ทำแผลด้วยไง คิดดูนะ...ขืนกลับไปตอนนี้มีหวังโดนตีรอบสอง พี่หมากอาจจะยังไม่หายโมโหก็ได้” แทนดาวไม่กลัวหรอกที่จะต้องถูกตีอีกแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ได้รับจากการกระทำและคำพูดของพี่ชายได้ทำลายความความอยากกลับบ้าน ร่างบอบช้ำพยายามยืนขึ้นเต็มสองเท้าก้าวตามแรงจูงของปลายเดือนที่กำลังจะนำพาหล่อนไปสู่หายนะที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนๆหนึ่งจะทำกับพี่น้องร่วมสายเลือดได้เพียงนี้

                ปลายเดือนเทียบรถเข้าจอดที่ชั้นเกือบบนสุดของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งแล้วช่วยประคับประคองร่างกายอ่อนล้าของน้องสาวมาถึงห้องพัก แทนดาวหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนขณะมองสำรวจไปรอบๆตัว ไม่คิดว่าจะมีวันที่ตนกลายเป็นเด็กบ้านแตกต้องมาอาศัยหลับนอนที่อื่น

                ปลายเดือนเสียบคีย์การ์ดตรงกล่องอ่านแล้วผลักบานประตูเข้าไป กลิ่นสีใหม่ส่งกลิ่นฉุนจางๆเพราะว่าเจ้าของห้องไม่ได้ตั้งใจจะซื้อนี้ไว้อยู่อาศัยเองแต่เพื่อเอาขายไว้เก็งกำไร มืออุ่นๆจับจูงมือเย็นเฉียบพามานั่งพักตรงโซฟาในส่วนที่จัดเป็นห้องนั่งเล่นล้อมด้วยกำแพงกระจกใสที่รูดม่านสีทึบปิดไว้ มือน้อยๆค่อยแหวกม่านตามรอยแยกมองออกไปเห็นดวงไฟเป็นจุดจิ๋วระยับประดับเมืองหลวงยามค่ำคืน มันควรจะเป็นคืนที่สวยงาม...หากมิใช่เวลาแบบนี้

                “น้องพลูนั่งพักไปก่อนนะ พี่จะกลับไปดูที่รถเผื่อมีเสื้อผ้าสำรองติดไว้บ้าง อ้อ...จะไปซื้อพวกอุปกรณ์อาบน้ำร้านข้างๆด้วย แย่จริง...พี่ไม่ค่อยได้มาเลยไม่มีของพวกนี้ติดไว้เลย แล้วเดี๋ยวจะโทรบอกที่บ้านว่าเราอยู่กับพี่แล้ว” แทนดาวพยักหน้าเหนื่อยๆ ตอนนี้ขาทั้งชาไปหมด เลือดแห้งเกรอะกรัง ความอ่อนเพลียจากการร้องไห้มาราธอนบวกความหิวโหยเริ่มอุทร สภาพร่างกายกำลังอ่อนแรงและในที่สุดก็เผลอหลับใหลหมดสติอยู่บนโซฟายาว หวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจะเป็นแค่เพียงฝันไป

 

                เวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่มก็ยังไม่มีวี่แววว่าแทนดาวจะกลับมาบ้าน ปลายเดือนที่กลับมาจากการตามหาน้องสาวด้วยสีหน้าร้อนรนบอกกับทุกคนว่าตามหาจนทั่ว ทั้งที่บ้านคุณหลีกับที่บริษัทแม้กระทั่งที่ธาราก็ไม่มี เท่านั้นยังไม่พอ...เพื่อความแนบเนียนยิ่งขึ้น หญิงสาวกางสมุดโทรศัพท์ไล่โทรเชคตามโรงพยาบาลต่างๆท่ามกลางการรอลุ้นจากคนในบ้าน ส่วนคนที่ตอนนี้นั่งไม่ติดกว่าใครก็คงหนีไม่พ้นเทียมภพ เขามั่นใจแล้วว่าน้องสาวไม่ได้แกล้งหนีออกจากบ้านเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น แต่หายตัวไปแล้วจริงๆ

                “โทรไปให้ครบทุกที่เลยนะสีผึ้ง คุณพ่อแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าโทรไปแจ้งความครบทุกโรงพักแถวนี้แล้ว ไอ้ตำรวจบ้า

เอ๊ย!...คนๆเดียวหากันไม่เจอหรือไงวะ” เทียมภพเดินวุ่นเป็นหนูติดจั่น เผาบุหรี่ไปเป็นกองก็ไม่อาจดับความว้าวุ่นกลุ้มใจได้ เขาชำเลืองมองมารดาที่ร้องไห้จนหน้าซีด บิดาที่คอยโทรแจ้งความตามโรงพัก แล้วตัดสินใจโทรปลุกบรรดาลูกสมุนให้ช่วยกันตามหา

                “หาให้เจอนะโว้ย! ไม่งั้นไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้า ถ้าพวกมึงกลับมาโดยไม่มีน้องพลูล่ะก็...พวกมึงตายทุกคน!” เสียงสั่งเฉียบขาดตวาดก้องกรอกใส่โทรศัพท์ทำให้ไม่ต้องเดาว่าคนรับคำสั่งจะต้องปฏิบัติงานให้สำเร็จ ส่วนคนบงการทนติดแหงกอยู่ในบ้านไม่ได้อีกต่อไปจึงคว้ากุญแจรถออกไปโดยไม่บอกว่าจะไปไหน

                ความห่วงในจิตใจของคนเป็นพี่ยิ่งทวีมากเมื่อขับรถฝ่าความมืดไปเรื่อยๆบนถนนที่เงียบสงบ นัยน์ตาสีนิลคอยชำเลืองมองสองข้างทางเผื่อจะเจอน้องสาวเดินอยู่ คำถามเดียวที่คอยผุดวนเวียนไม่รู้จักจบสิ้นคือตอนนี้แทนดาวอยู่ที่ไหน แค่เพียงได้รู้แม้สักนิด...แม้จะอันตรายถึงชีวิตก็จะต้องไปพาตัวออกมาให้ได้ จะแลกกับอะไรก็ยอมทั้งนั้นขอเพียงให้ได้เห็นว่าน้องปลอดภัย

                ความรู้สึกผิดเริ่มเกาะกินหัวใจจนเป็นอัมพาต เขาต้องทำให้น้องเสียใจมากจริงๆไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่เด็กสาวขี้กลัวจะเดินออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืน แค่คิดว่าจะออกไปเจอกับอะไรบ้าง...หัวใจก็แทบแตกสลายป่นปี้ เสียใจเหลือเกินที่ลงไม้ลงมือและต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงทั้งที่ในใจแค่หวังเพียงให้ได้หลาบจำ แต่พอตรึกตรองดูลึกอีกนิด...ก็เพราะตัวเองมิใช่หรือที่เลี้ยงน้องมาแบบนั้น ไม่เคยให้ต้องกระทบกับอะไร ไม่เคยลงไม้ลงมือถึงขั้นเลือดตกยางออก ถ้าหากแทนดาวเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย ความผิดครั้งนี้จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

                ฝ่ามือชื้นเหงื่อกดแตรถี่ๆเรียกคนในบ้านหลังใหญ่กลางดึก แต่ดูเหมือนอาการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของผู้อาศัยช่างเชื่องช้าไม่ทันใจอาการคุ้มคลั่งจนแทบระเบิด เทียมภพเปิดและปิดประตูรถอย่างรุนแรงจนสั่นสะเทือนไปทั้งคันแล้วไปเกาะประตูรั้วเขย่าร้องตะโกนเรียกเสียงดังลั่นในสภาพไม่ต่างจากกอริลล่าตกมัน เป็นครู่ใหญ่กว่าที่จะมีใครโผล่ออกมา

                “คุณหมาก! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” รมย์นลินยกมือทาบอกที่เห็นเทียมภพมาหากลางดึก สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นและน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก

                “เปิดประตูก่อนเถอะแฟง” เขาบอกอย่างร้อนรน พอคนข้างในเปิดประตูก็พรวดพราดเข้ามา

                “ไอ้พี่คุณมันอยู่ไหน...อยู่ไหน!” เสียงถามหาดังลั่นพร้อมกับสายตาที่กวาดไปทั่ว

                “มีเรื่องอะไรกันคะ บอกแฟงก่อนได้ไหม?” รมย์นลินแตะแขนเขาเป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็นๆ

                “ไปตามพี่คุณมาก่อนดีกว่า...จะได้เล่าทีเดียว” เขาย้ำขณะหันรีหันขวางหาคู่กรณี

                “พี่ชลไม่ได้มานอนบ้านหรอกค่ะ...อยู่ที่ธารา”

                “เอะอะอะไรกันคะ? อ้าว...คุณหมากนั่นเอง” ปาลิดาที่ถูกปลุกด้วยเสียงแตรเดินโงนเงนลงมาดู ตาชั้นเดียวหรี่มองผู้มาเยือนยามวิกาลด้วยอาการง่วงงุน

                “ใบพลูโทรมามั่งหรือเปล่า?...ลูกปลา” เทียมภพปรับเสียงให้ค่อยลงแล้วถามออกไป ปาลิดาส่ายหน้าเร็วๆแทนคำตอบ

                “ผมจะไปหาพี่คุณที่ธารา” เทียมภพรีบหันหลังกลับไปขึ้นรถ

                “คุณหมากรอแฟงเดี๋ยวนะคะ” รมย์นลินวิ่งตัวปลิวเข้าบ้านและกลับมาในไม่กี่นาทีพร้อมกระเป๋าใบเล็กกับเสื้อคลุมตัวหนาแล้วก้าวขึ้นรถไปกับเทียมภพ ปาลิดายังคงยืนทำหน้างงขณะมองสองคนนั้นออกไป

 

                ด้วยคำสั่งพิเศษของบอสใหญ่อย่างชลธี เจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงจึงได้รับอนุญาตให้ขับวนขึ้นไปจอดบนชั้นที่

สงวนไว้ให้ผู้บริหารระดับสูงโดยไม่ต้องแลกบัตรผ่านใดๆเพราะชลธีไม่อยากให้เป็นที่สนใจของพนักงานบางส่วนที่เข้าเวรกลางคืน ฟังเรื่องที่น้องสาวโทรมาเล่าคร่าวๆก็ทำให้เกิดความตึงเครียดจนนั่งไม่ติดที่ แทนดาวจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้างยังคลำทางไม่ถูก

                “แทนดาวอยู่ไหน  มึงเอาน้องกูไปไว้ที่ไหน!” พอเจอหน้ากันเทียมภพก็จับคอเสื้อยืดอีกฝ่ายเขย่าแรงๆ ชลธีสลัดตัวหลุดมาพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบกลับดังลั่น

                “ไอ้บ้า! มึงเมาหรือเปล่าวะ? น้องพลูจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

                “ก็มึงพาเธอไปไม่ใช่เหรอ?” ชลธียิ่งงงหนักขึ้น เขาจำได้ว่าไปส่งหญิงสาวตอนสองทุ่มทั้งยังรอดูจนเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้วถึงกลับมา

                “ก็พาไปส่งแล้วไงล่ะ”

                “ฉันทะเลาะกับน้องก็คิดว่า...เธอจะมาที่นี่”       

                “ใบพลูไม่ได้มาที่นี่ ไม่เชื่อก็เข้าไปดูในห้องได้” เทียมภพมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อใจ แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วคงไม่ได้มาที่นี่แน่

                “วันนี้น้องพลูไปเจอแกได้ยังไง?”

                “ฉันพาลูกค้าไปกินข้าว แล้วเจอเธอกับ...หมออชิตะ ฉันคิดว่า...อชิตะไม่ควรจะเข้ามายุ่มย่ามกับแทนดาวอีก ก็เลยพาเธอไปส่ง แต่ระหว่างทางเกิดเรื่องนิดหน่อย...ก็เลยไปถึงบ้านช้า” คำตอบของอดีตเพื่อนไม่ได้ทำให้อารมณ์เย็นขึ้นนักแต่ก็ยังดีที่รู้ที่มาที่ไป

                “แล้วทำไม...เสื้อผ้ายัยพลูถึงขาดแบบนั้น ยังกับ...ถูกข่มขืนมา” เขากระซิบถามเสียงเครียด

                “นี่...เลิกคิดอัปรีย์แบบนั้นเสียทีเถอะ มันเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เสื้อเธอขาดก็เลยต้องไปหาซื้อชุดมาเปลี่ยน แกอย่าเอามาตรฐานความชั่วช้าของแกมาวัดกับฉันสิ” ชลธีกระซิบตอบเสียงเหี้ยมกว่าแล้วมองไปทางรมย์นลินที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เท่านั้นก็ทำให้เทียมภพถึงกับพูดไม่ออก

                “ไม่ได้มานี่...ก็แล้วไป” เขาบอกแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป

                “เดี๋ยว...แกหาที่ไหนไปแล้วมั่ง ฉันจะให้คนช่วยหาที่อื่นๆ” สองหนุ่มสบตากันอย่างเข้าใจว่าต่างฝ่ายต่างต้องทำอะไรต่อ เทียมภพตัดสินใจยอมละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีเพื่อให้ได้น้องสาวกลับคืนมา เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากชลธี อย่างน้อยอาศัยเส้นสายของฝ่ายนั้นช่วยตามหาอีกแรงก็ยังอาจจะพอมีทาง

                เทียมภพขับรถกลับบ้านด้วยสภาพไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณ เขาตามหาน้องสาวคนเล็กจนทั่วแต่ก็ไม่พบ ไม่ว่าจะไล่ตามหาบ้านเพื่อนๆที่คิดว่าอาจจะไปหรือแม้กระทั่งตามร้านคาราโอเกะ ทว่าไม่มีแม้แต่เงา พอกลับมาบ้านก็ยิ่งประสาทเสียหนักขึ้นเมื่อบิดาบอกว่าตำรวจก็ยังไม่ได้เบาะแสเหมือนกัน พวกลูกน้องที่ส่งไปช่วยหาก็ไม่ได้วี่แววอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเดินเหม่อลอยเข้าห้องอย่างหดหู่ ตอนนี้ได้แต่ภาวนาเท่านั้น ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองน้องสาวให้ปลอดภัย

                เทียมภพพาร่างงองุ้มไปหยุดยืนตรงกรอบรูปที่แขวนติดไว้ผนังด้านหนึ่งแล้วหยิบมันมานั่งพิจารณา ในกรอบรูปไม้สีขาวมีกระดาษแข็งสีสวยระบายด้วยสีเทียนทับกันจนเขรอะขระแต่ก็พอจะมองออกชัดเจนว่าเป็นรูปเด็กผู้ชายยืนจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าบ้านที่ทำมาจากขนมและลูกกวาดหลากสี ถึงมันจะดูบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรงแต่ก็ดูอบอุ่น เทียมภพสูดจมูกขับไล่ความตื้นตันที่เอ่อล้น ภาพวาดใบนี้เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่น้องตั้งใจทำให้เขา ตอนนั้นแทนดาวเพิ่งจะอยู่ชั้นอนุบาลและเพิ่งจะหัดเขียนหนังสือได้ครั้งแรก เขาหลุบตาลงเพ่งมองลายมือขยุกขยิกโย้เย้ที่แทบจะไม่เป็นตัวอักษรบนภาพที่อ่านจับใจความได้ว่า

                “รักพี่หมาก”

                เขาอ่านทวนวลีนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นนานกว่าจะเงยหน้าไล่น้ำตาให้คืนกลับเข้าไปแต่มันก็ยากเต็มที เพราะมันได้เอ่อล้นท่วมท้นจนสุดที่จะกล้ำกลืนเอาไว้ได้จนต้องยอมปล่อยให้หลั่งริน ครั้งแรกในชีวิตที่หัวหน้าครอบครัวและพี่ชายที่ต้องแสดงความอ่อนแอด้วยการร้องไห้ สายตาพร่ามัวยังคงจับจ้องภาพวาดที่สวยสดงดงามที่สุดในชีวิต ดวงใจของเขากำลังจะถูกเด็ด มันเจ็บร้าว ปวดลึก จนแทบอยากตาย

                “น้องพลูจ๋า...น้องพลูของพี่อยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง หวังให้ได้ยินเสียงใสๆตอบกลับมา แต่หูที่คอยเงี่ยฟังยังคงได้ยินเพียงความว่างเปล่า               

                เทียมภพกอดรูปไว้แนบ สูดหายใจไล่น้ำตาหยดสุดท้ายและยืนขึ้นอีกครั้ง มือสั่นเทาแขวนกรอบรูปไว้ที่เดิมก่อนจะออกจากบ้านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาสัญญากับตัวเองว่า ถ้าไม่ได้ตัวแทนดาวกลับมา...เขาก็จะไม่กลับมาเช่นกัน

 

                แทนดาวถูกความเจ็บระบมจากบาดแผลปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งตอนตีหนึ่งกว่าๆ ภายในห้องมีแต่ความเงียบสงัด ปลายเดือนคงจะหลับอยู่ในห้อง พอลืมตาขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็รู้สึกใจหายเพราะคิดถึงบ้าน บ้าน...ที่มีครอบครัวให้ความรักและช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจ หากแต่มองไปก็ไม่เห็นใครนอกจากความมืดมิดและความเงียบเหงาที่ปรารถนาให้เป็นเพียงความฝันแล้วพอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องสีชมพู แต่ทุกอย่างยังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้เช่นเดิม

                แล้วไม่นานภาพใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏในห้วงความคิดมาช่วยจุดความอบอุ่นและความหวัง ลืมเขาไปได้อย่างไร...บุรุษผู้ที่ทำให้มีความสุขเสมอยามอยู่ใกล้ คนที่คอยช่วยเหลือในยามคับขัน หญิงสาวมองหาโทรศัพท์แล้วกดเบอร์อย่างคล่องแคล่วเหมือนว่าหมายเลขนั้นได้ฝังอยู่ในหน่วยความจำที่ไม่อาจลบได้

                “พี่ชลคะ...นี่น้องพลูเอง” เสียงสั่นเครือจากคู่สายทำให้ชลธีต้องหยุดชะงักมือที่กำลังผลัดเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปข้างนอก คิ้วหนาขมวดเป็นปมเมื่อจับน้ำเสียงได้ว่ากำลังร้องไห้

                “น้องพลูอยู่ที่ไหนน่ะ? เสียงไม่ค่อยสบายเลย…เป็นอะไรไป?”

                “พี่ชลคะ…น้องพลูจะเล่าให้ฟังย่อๆ พี่ชลอย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะคะ” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือจนแทบฟังไม่เป็นภาษา

พอฟังจบเลือดในกายของเขาก็เย็นจนชาไปทั้งตัว มือที่กำโทรศัพท์ชื้นเหงื่อ ตั้งใจว่าถ้าวางสายแล้วจะตามไปฆ่าไอ้บ้าเลือดเสียเดี๋ยวนี้

                “ตอนนี้พี่ผึ้งพาน้องพลูมานอนที่คอนโดค่ะ น้องพลูออกจากบ้านมาหลายชั่วโมงแล้วล่ะ” คราวนี้เลือดในตัวเขาเปลี่ยนเป็นร้อนจัดทันที ความเป็นห่วงแทบทะลักพอรู้ว่าปลายเดือนเป็นคนพาหล่อนไป นึกถึงผู้หญิงคนนั้นแล้วก็พาลให้กังวลมากกว่าจะสบายใจ เขาไม่แน่ใจว่าพี่น้องคู่นี้ผูกพันกันมากแค่ไหน แต่ที่รู้สึกได้ก็คือปลายเดือนมิได้มีความประสงค์ดีต่อน้องสาวมากเท่าที่ควร

                “น้องพลู...คอนโดอยู่ที่ไหน? ชื่ออะไร?”

                “เอ่อ...พลูบอกไม่ได้หรอกค่ะว่าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ รู้แต่ว่าเป็นคอนโดชื่อ ไอ ลีฟ เฮีย ค่ะ”

                “แล้วเบอร์ห้องล่ะ?” เขาถามต่ออย่างร้อนรน

                “น้องพลูลืมดูด้วยสิ ไม่ทันสังเกต...รู้แต่ว่าอยู่ชั้นสิบแปด แต่ไม่เห็นต้องห่วงหรอกค่ะ...เป็นห้องของพี่ผึ้งเอง ตอนนี้พี่ผึ้งก็หลับอยู่ในห้อง น้องพลูไม่อยากปลุก”

                “เอาล่ะ...น้องพลูออกมาจากห้องนั้นนะ...เดี๋ยวนี้เลย!” เขาสั่งขณะที่ตัวเองก็ไล่คว้ากุญแจรถ เสื้อคุลม กระเป๋าสตางค์วุ่นวายไปหมด

                “ทำไมล่ะคะ? นี่มันดึกแล้วนะคะ จะให้น้องพลูออกไปอีกทำไม” หล่อนถามงงๆ

                “เถอะน่า...พี่บอกอะไรก็ทำตาม ลงไปข้างล่าง ออกมาอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ ยิ่งเจอสถานีตำรวจก็ยิ่งดี เร็วเข้าน้อง

พลู...แล้วพี่จะโทรหาทุกห้านาทีเลย”

                “โทรอะไรล่ะคะ พี่หมากปาโทรศัพท์น้องพลูแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว”

                “อะไรนะ...ไอ้ฉิบหายเอ๊ย!” เขาสบถด่าพี่ชายคนพูด

                “เอางี้...ออกมาจากที่นั่นก่อน เข้าใจไหม?” เขาย้ำอีกครั้งก่อนที่จะกดตัดสายไป แทนดาววางหูงงๆแต่ก็ยอมทำตาม

                “พี่ผึ้ง! ตื่นเถอะ...พลูอยากกลับบ้านแล้วล่ะ” มือเล็กทุบประตูห้องร้องเรียกพี่สาวแต่ไม่มีการตอบรับ

                “พี่ผึ้ง...” แทนดาวลองเปิดประตูเข้าไปก็ต้องพบเพียงความว่างเปล่า ที่นอนยังเรียบตึงไร้ซึ่งร่องรอยการนอน เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ

                หญิงสาววิ่งกลับมาที่โทรศัพท์อีกครั้งแต่ก่อนที่จะได้กดเบอร์โทรออกประตูก็ถูกเปิด ตอนแรกก็ใจชื้นนึกว่าพี่สาวกลับเข้ามาแล้ว แต่พอหันไปมองก็พบว่าคนที่เข้ามานั้นกลับกลายเป็นชายแปลกหน้า! จำได้ทันทีว่าคือคนเดียวกันที่มาลวนลามตนคราวนั้น แทนดาวมองมือที่หิ้วถุงใส่เบียร์อยู่สามสี่ขวด สีหน้าชายคนนั้นดูสบายๆ

                “ตื่นแล้วเหรอครับ ตอนผมเข้ามาทีแรกเห็นคุณยังหลับสบายอยู่เลยไม่อยากปลุก...ก็เลยลงไปซื้อเบียร์” ชายหนวดครึ้มหยิบขวดเบียร์พวกนั้นแช่ตู้เย็นแต่สิ่งที่ทำให้แทนดาวตกใจสุดขีดคือกล่องสีเหลี่ยมบรรจุสิ่งของป้องกันตัวที่ผู้ชายเขาใช้กัน ความกลัวเกาะกุมจิตใจจนสติแทบแตกแต่ยังพยายามข่มไว้ ไม่อยากจะเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนในคืนนี้

                “นาย! แล้วพี่ผึ้งล่ะ...พี่ผึ้งไปไหน?”

                “อย่าถามถึงเลยครับ มาสิ...จะทำแผลให้” เสียงห้วนลึกกับร่างสันทัดเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ หญิงสาวรีบเดินหนีไปที่ประตูแต่ก็ไม่ทัน

                “ห้องนี้จะไม่เปิดจนกว่าจะเช้านะครับ คุณแทนดาวมานั่งนี่ดีกว่า หิวหรือเปล่า...ผมซื้ออาหารสำเร็จรูปมาด้วย” ชายคนนั้นยังใจเย็นเหมือนมั่นใจว่าคืนนี้เหยื่อจะไม่รอด

                “พาฉันไปหาพี่ผึ้งเถอะค่ะ” หญิงสาวลองอ้อนวอนดีๆ แต่คนใจทรามยังมีสีหน้ายิ้มแย้มไม่ตอบรับคำขอใดๆ ได้ค่าจ้างงามๆแถมยังได้ตัวสาวสวยแบบนี้ฟรีๆ มีหรือจะยอมให้พลาดโอกาสไป

                “เดี๋ยวพอเช้าพี่คุณก็มาเองแหละ แต่ว่าคืนนี้...ผมจะทำให้คุณลืมเรื่องเศร้าๆทั้งหมด” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้แล้วกระชากตัวหญิงสาวเข้ามากอดอย่างถือสิทธิ์

                “ปล่อยนะ! ฉันจะกลับบ้าน...ปล่อยซี่!” แทนดาวพยายามสะบัดตัวก็ไม่หลุด อาการเจ็บแผลกำเริบขึ้นมาอีกจากการดิ้นรน มือทั้งสองข้างพยายามผลักไสร่างหนาของคนป่าเถื่อนที่ตระกองกอดเอาไว้แนบชิด สองเท้าพยายามเตะถีบจนท้ายสุดก็สามารถดิ้นหลุดออกมาได้

                “อย่าพยศนักเลย! ผมจะพยายามไม่ทำให้บอบช้ำมากนะครับ...ถ้ายอมโอนอ่อนดีๆ” คนกักขฬะสั่งเสียงเข้ม สีหน้าส่อเค้าหื่นกระหายชัดเจน แทนดาวคว้าได้เครื่องโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้มือขว้างออกไปเต็มแรงแต่เป้าหมายไหวตัวหลบทันแล้วต่อยท้องน้อยอย่างแรงสองครั้งซ้อน

                “บอกแล้วว่าให้ยอมดีๆ ก็ไม่เชื่อ”

                แทนดาวจุกและเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ รู้สึกว่าแผ่นหลังถูกวางลงบนฟูกนิ่มตามด้วยร่างหนักทาบทับลงมา ฝ่ามือหยาบกระด้างปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนอย่างเมามัน ความขยะแขยงรังเกียจก่อตัวขึ้นกับคนใจสัตว์ตรงหน้าที่จ้วงจาบไปทั่วเนื้อหนังบริเวณที่เสื้อผ้าเผยอออก น้ำตาไหลพรากอย่างรู้ชะตากรรมตัวเอง

             “ถ้าใครมารังแกน้องพลูล่ะก็...ตะโกนเรียกชื่อพี่ดังๆเลย พี่จะรีบมาช่วยเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ไงล่ะ” แทนดาวร้องไห้เมื่อนึกถึงคำพูดของพี่ชายที่ให้คำมั่นกับตนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว แต่มันคงไม่มีมีประโยชน์เพราะตอนนี้หล่อนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครสามารถมาช่วยได้ แต่ก็หวัง...หวังเหลือเกินให้ใครสักคนพาออกไปจากที่นี่ แม้จะเป็นความตายก็ยอม...ขอเพียงให้ได้ออกไปจากที่นี่

                “พี่หมาก...พี่หมากอยู่ไหน”

                เสียงแผ่วเบากระซิบเรียกคนที่ฟูมฟักมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้วหลับตาลง ความทรงจำครั้งเก่าๆที่เคยมีพี่ชายที่รักดุจบิดาคอยปกป้องดูแลผุดพรายขึ้นมาราวกับม่านฝนที่พร่ามัว น้ำตาไหลรินเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เรียกชื่อนั้น

                “พี่หมากช่วยด้วย!”

                 เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเท่าที่เรี่ยวแรงจะอำนวยถึงจะรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน แต่ฉับพลันเสียงโครมครามด้านนอกหยุดหื่นที่กำลังคุกคามทะลุ่งพรวดจากร่างอ่อนแอออกไปอย่างขัดใจ แทนดาวอยากจะขยับตัวหนีแต่อาการจุกแน่นยังคงสะกดร่างให้นอนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีปัญญาแม้แต่จะดึงผ้าห่มมาปกปิดร่างกายที่ส่วนใหญ่เนื้อนวลได้ถูกเปิดเปลือย หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ได้ยินแต่เสียงเหมือนคนทะเลาะกัน เสียงข้าวของแตกกระจายและเสียงก่นด่า ดวงหน้าซีดเซียวหลับตาลงอีกหน งานนี้อาจไม่ได้มีแค่ไอ้เดนมนุษย์คนเดียว ไอ้คนโฉดนั่นคงไปชักชวนเพื่อนๆมาร่วมปาร์ตี้ด้วยเป็นแน่

                “น้องพลู...พี่มาแล้ว” เงารางเลือนคุ้นตาของใครคนหนึ่งร้องเรียกชื่ออยู่ที่ปลายเตียง อึดใจต่อมาร่างบอบช้ำก็ถูกวงแขนอบอุ่นช้อนตัวขึ้นมากอดเอาไว้ กลิ่นกายและกล้ามเนื้อที่สัมผัสเรียกความชื้นใจคืนมาเต็มร้อย แทนดาวแน่ใจแล้ว...ในที่สุดพี่หมากก็มาทันจนได้ สองมือโอบกอดรอบคอหนาซุกหน้าหาไออุ่นก่อนจะหมดสติไป

                 ชลธีมองร่างปวกเปียกที่หลับใหลไม่รู้สึกตัวพลางจัดเสื้อผ้าที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยห่อหุ้มร่างกายให้มิดชิดที่สุดแล้วเดินกลับไปดูความเรียบร้อย ข้างนอกนั้นมีร่างผู้ร้ายนอนสลบเหมือดจมกองเลือดขวางอยู่ตรงทางเดิน ชายฉกรรจ์สามคนยืนคุมเชิง

                “กูเคยพูดไว้ว่าถ้าเจอหน้ามึงอีกที่ไหน...จะฆ่าที่นั่น แต่...ความตายมันไม่ค่อยจะทรมาน สู้ให้มึงอยู่รับใช้กรรมดีกว่า” ชลธีก้มลงมองเดนมนุษย์ที่นอนแทบเท้าแล้วเตะอย่างแรงไปที่ใบหน้าจนกระอักเลือดสีแดงข้นออกมา เขาส่งวัตถุสีดำมะเมื่อมในมือให้ลูกน้องคนหนึ่งพร้อมกับสั่งเสียงเฉียบขาด

                “ลากมันไปส่งตำรวจที่โรงพักที่ใกล้ที่สุด แล้วถ้าระหว่างทางมันทำให้พวกแกรำคาญล่ะก็...ส่งมันลงนรกไปได้เลย นอกนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง” พวกลูกน้องพยักหน้าแล้วช่วยกันหิ้วปีกลากร่างช้ำน่วมของชายคนนั้นออกไป

                “แกมากับฉันคนนึง...มาขับรถให้หน่อย” หนึ่งในนั้นเดินตามมา ชลธีอุ้มร่างบางมายังพาหนะที่จอดรออยู่ เขาวางร่างน้อยอย่างเบามือที่สุดแล้วช้อนศีรษะให้หนุนเกยบนตักแล้วคลี่เสื้อแจ็คเก็ตคลุมร่างกายสั่นเทา สองแขนโอบร่างนุ่มนิ่มเอาไว้กระชับราวกับกลัวว่าหล่อนจะหนีหายไปอีก ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวคงไม่มีแก่จิตแก่ใจจะอยู่เป็นผู้เป็นคนแน่ๆ แค่เห็นหล่อนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็แทบจะเป็นจะตายอยู่ครามครัน ความจริงน่าจะลั่นไกสังหารไอ้เดนนรกนั่นเสียเลย ไม่น่าซ้อมให้เหนื่อยเปล่า

                “ขับดีๆนะ...อย่าให้กระเทือน เสร็จแล้วแกโทรหาคุณแฟงด้วย...บอกว่าฉันอยู่ที่ไหน”

                “ครับนาย”

                รถคันใหญ่เคลื่อนออกจากลานจอดช้าๆ ชายหนุ่มทอดมองร่างที่นอนหนุนตักอยู่ด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่สุด ตอนแรกก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก กว่าจะหาห้องเจอก็ต้องขู่แกมบังคับให้คนดูแลเปิดกล้องดูว่าอยู่ห้องไหน เขาไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นนอกจากใช้ปืนยิงล็อกพังประตูเข้าไป พอเห็นไอ้คนโฉดเดินหน้าตาเอาเรื่องออกมาก็ไม่ต้องตั้งคำถามให้มากความ เขาเงื้อด้ามปืนฟาดขมับจนล้มคว่ำ จากนั้นก็ปล่อยให้ลูกน้องจัดการกันตามอัธยาศัย ยิ่งพอเห็นร่างกึ่งเปลือยนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็แทบเข่าอ่อน ร่างกายที่เฝ้ารอคอยทะนุถนอม ร่างกายที่ถูกประคบประหงมมาอย่างดีกำลังจะถูกกระทำชำเราจากมนุษย์ใจสัตว์!

                “พี่หมาก...” ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยชื่อพี่ชายแผ่วเบา มือทั้งสองชูไขว่คว้าไปในอากาศ ชลธีรวบมือนั้นมาจุมพิตแผ่วเบาซ้ำแล้วซ้ำอีก

                “จ๋า...น้องพลูไม่ต้องกลัวนะครับ นี่พี่ชลเอง...พี่กำลังพาน้องพลูไปหาหมอ”

                “น้องพลูกลัวจังเลย เขาจะตามมาอีกไหมคะ?” แทนดาวน้ำตาไหลกับเหตุการณ์ที่ประสบมาสดๆร้อนๆ

                “ไม่จ้ะ...ไม่มีใครทำอะไรน้องพลูได้ทั้งนั้น พี่อยู่กับน้องพลูแล้ว กอดพี่สิครับ...แล้วจะรู้ว่าไม่ได้ฝัน” แทนดาวทำตาม สัมผัสอบอุ่นทำให้โล่งใจที่รอดจากเงื้อมมือคนใจทราม

                “พี่ชล...ฮึก พี่ชลจริงๆด้วย น้องพลูเกือบตายแล้ว เกือบไม่ได้เห็นพี่ชลแล้ว”

                “ใบพลู...” ปลายนิ้วอุ่นเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนโยน แทนดาวยันกายขึ้นพิงอกแกร่งแล้วหลับตาลง ความกังวลค่อยๆจางหาย ชลธีกอดร่างที่สั่นสะท้านให้กระชับขึ้น จุมพิตซีกแก้มเย็นชืดปลอบขวัญ

                “น้องพลูหลับซะนะ ไม่ต้องกลัวนะครับ...My May Lilly” ริมฝีปากนุ่มจุมพิตแผ่วเบา ฝ่ามืออุ่นจับมือเย็นเฉียบไว้เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านอุ้งมืออันเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทร ตั้งแต่นี้ต่อไป...เขาจะไม่ยอมให้อะไรมากระทบแตะต้องให้คนที่กำลังกกกอดอยู่นี้ต้องระคายแม้สักนิด

 

                บานประตูอัลลอยด์เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อรถคันใหญ่จอดรออยู่ แสงไฟสาดกระทบเห็นผู้ที่ยืนรอตรงทางเข้าบ้านด้วยท่าทางกระวนกระวาย แต่ดูเหมือนความร้อนใจไม่อาจทำให้เจ้าของบ้านนิ่งอดทนรอต่อไป นายแพทย์อชิตะ รัษฎากร สาวเท้าเร็วๆเข้าไปหาจังหวะพอดีกับที่คนบนรถอุ้มร่างหลับสนิทของคนไข้ยามวิกาลลงมา

                “เข้าบ้านก่อนเถอะ ให้ผมช่วยไหม?” อชิตะยื่นแขนจะไปรับร่างบางมาช่วยอุ้มแต่ชลธียิ่งกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นด้วยความหวงแหนร่างน้อยเต็มเปี่ยม หมอหนุ่มจึงเก็บมือกลับแล้วเดินนำเข้าบ้าน

                “ผมไม่อยากให้เรื่องแพร่งพรายออกไป ก็เลยต้องรบกวนหมอในเวลาพักผ่อนอย่างนี้” ชลธีค่อยๆวางร่างบอบบางลงบนโซฟาตัวยาวขณะที่อชิตะรื้อค้นกระเป๋าปฐมพยาบาล พอจะดึงเสื้อคลุมที่ห่อตัวออก ชลธีก็รีบมาขัดขวาง

                “ผมรู้ว่าน้องพลูอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย แต่ผมมีจรรยาบรรณมากพอที่จะไม่ล่วงเกินเธอแน่นอน ตอนนี้เธออยู่ในฐานะคนไข้และผมกำลังตรวจอาการของเธอให้ละเอียด...ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง” สายตาตำหนิของอชิตะสั่งให้ชลธีนั่งลงในที่ของตัวเองอย่างว่าง่าย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินออกไปรอที่อื่นเพราะกลัวว่าจะทนไม่ได้ที่เห็นแทนดาวถูกสัมผัสแตะต้องจากชายอื่น

                “นอกจากบาดแผลกับรอยฟกช้ำภายนอก...ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปดูเธออีกครั้ง ที่นี่ไม่มีอุปกรณ์มากนัก” หมอหนุ่มออกมารายงานผลการตรวจให้ชลธีที่ยืนรออยู่ข้างนอกฟัง

                “ขอบคุณนะหมอ...แผลพวกนั้นไม่นานก็คงหาย แต่จิตใจนี่สิ...วันนี้น้องพลูเจอเรื่องหนักๆตั้งสามหน” ชลธีมอง

ดวงตาหลังกรอบแว่นก็พบคำถามซึ่งคงจะไม่แจงรายละเอียดไม่ได้

                “เธอทะเลาะกับพี่อย่างรุนแรง หนีออกจากบ้านไปเจอไอ้คนระยำ และ...ตัวผมเองก็เกือบจะ...” ชลธีหยุดพูดทันทีเหมือนมีใครเอาก้อนอะไรไปยัดปากจนคนฟังต้องสะกิด

                “เล่าต่อสิ...ถ้ามันเกี่ยวกับผม”

                “ก็ได้...ผมหงุดหงิดที่เห็นคุณกับน้องพลู ที่ชิงตัวเธอไปน่ะ...ไม่ได้พากลับบ้านทันทีหรอกแต่พาไปที่ธารา ตั้งใจว่า

จะไปเคลียร์เรื่องนี้แหละ เราเถียงกัน...ผมเองก็โมโหหึงมากเลยควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนเกือบจะ...ขืนใจเธอ” คำ

สารภาพตรงไปตรงมาทำให้สีหน้าของอชิตะเรียบสนิทจนเดาอารมณ์ไม่ออก แต่นาทีถัดมาหมัดหนักๆก็หวดเข้าตรงกึ่งปากกึ่งจมูกของคนที่เพิ่งสารภาพบาปจนกองทรุดลงไปนั่งจ้ำเบ้าบนพื้นพรม

                “ชลธี...คุณยังมีสำนึกของลูกผู้ชายอยู่บ้างหรือเปล่า? พออะไรไม่ได้ดั่งใจก็ต้องใช้กำลังบังคับเอามา นี่ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้...ผมคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ แต่เอาเถอะ...อย่างน้อยสำนึกฝ่ายดีก็ยังมีมาก ถ้าคุณทำอะไรโดยขาดสติแบบนี้อีก...คนที่จะเสียใจที่สุดก็คือคนที่คุณรักนั่นเอง...ใบพลู” อชิตะยื่นมือให้อีกฝ่ายจับแล้วดึงตัวขึ้นมา

                “ผมระแวงหมอมากไป กลัวว่าจะมาแย่งน้องพลู” ชลธียกมือเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก

                “แต่วันนี้ผมต้องยอมรับ...ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าหมอขนาดไหน แต่พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ต้องขอความช่วยเหลือจากหมอทุกที แถมยังช่วยเต็มที่ทุกครั้งทั้งๆที่ผมชอบหาเรื่อง”

                “รู้ตัวหรือครับ?” คำถามกึ่งตำหนิติดรอยยิ้มขบขันนิดๆ

                “ผมขอโทษนะ...สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา” ชลธีขอโทษอย่างจริงใจแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกไป อชิตะยื่นมือจับตอบเช่นกัน

                “ผมไม่ถือโทษอะไรหรอก ผ่านไปแล้ว...ก็แล้วไป”

                “อีกอย่าง...วันนั้นที่คุณบอกว่าน้องพลูเป็น ‘น้องสาว’ คุณรู้สึกแบบนั้นจริงๆใช่ไหม?” คำถามนี้เรียกรอยยิ้มกว้างจากหมอหนุ่มมาดเนิร์ด ทั้งสีหน้าและสายตาอ่อนโยนขึ้นยามพูดถึงสตรีที่นอนหลับใหลอยู่ห้องข้างๆ

                “จะบอกให้นะ...ถ้าน้องพลูแสดงท่าทีว่ามีใจให้ผมสักนิดเดียว รับรองว่าคุณกับผมไม่ได้มาคุยกันดีๆแบบนี้หรอก แต่ผมรู้ดีว่า...เธอจะไม่มีวันคิดกับผมเป็นอื่น คุณชล...ในเมื่อคุณบอกว่ารักน้องสาวผมก็จงดูแลเธอให้ดี เพราะถ้าวันไหนที่เธอต้องเสียน้ำตาเพราะคุณอีก ไม่ใช่เทียมภพคนเดียวที่คอยจะเหยียบหน้าคุณ...แต่ยังมีผมด้วย”

 

                ตอนแรกที่เทียมภพรู้ข่าวจากอดีตเพื่อนว่าเจอตัวน้องสาวแล้วก็ดีใจจนอยากจะตะโกนร้องให้ดังๆ รู้สึกเหมือนกับยกกองภูเขาไฟที่กำลังพ่นลาวาออกจากอก นึกขอบใจและชื่นชมเพื่อนรักเพื่อนแค้นที่หาตัวน้องจนพบ ชลธีไม่ได้นิ่งเฉยกับการหายตัวไปของแทนดาวแต่พยายามควานหาตัวจนเจอ เขาเองเสียอีกที่มัวแต่กังวลจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

                ชายหนุ่มรีบไปรับรมย์นลินกลับมาบ้านด้วยกัน ตลอดทางก็เฝ้ารำพันถึงน้องสาวอันเป็นที่รัก เล่าวีรกรรมต่างๆที่เคยทำด้วยกัน บางครั้งก็เห็นเขาแอบเช็ดน้ำตา รมย์นลินอมยิ้มกับภาพที่น่ารักและรู้สึกเข้าอกเข้าใจคนข้างๆขึ้นมาอีกมากโข เขาต้องรับบทเป็นพ่อลูกอ่อนตั้งแต่ยังวัยรุ่นจึงไม่น่าแปลกที่บางครั้งจะทำตัววุ่นวายไปบ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อน้องสาวคนเดียวที่รักยิ่งกว่าชีวิต ความศรัทธาในรักไร้เงื่อนไขนี้ทำให้อดปลาบปลื้มใจไม่ได้ว่าตนก็เป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งที่เขามอบความรักอันยิ่งใหญ่ให้เช่นกัน

                “รู้ไหมแฟง...น้องพลูเป็นทุกอย่างของผม มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าผมมีลูก...ก็อยากได้น่ารักๆแบบน้องพลูนี่แหละ” เขาจับมือนุ่มขึ้นมาจุมพิตหนักหน่วง

                “แฟงดีใจที่เธอปลอดภัย ต่อไปนี้คุณก็อย่าใจร้อนอีกนะคะ”

                “ให้ตายเถอะ...ผมทำกับน้องรุนแรงมากจริงๆ ยัยพลูจะยอมยกโทษให้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

                “อย่าคิดมากไปสิคะ น้องพลูรักคุณมาก เธอไม่มีวันโกรธคุณหรอก” รมย์นลินบีบมือหนาอย่างให้กำลังใจ เทียมภพหันมายิ้มแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ให้

                “เปิดออกสิ” รมย์นลินค่อยๆพลิกเปิดประเป๋าสตางค์ออก เห็นรูปภาพสองใบอยู่ด้านใน รูปแรกเป็นชายวัยรุ่นอุ้มเด็กตัวเล็กๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น

                “ตอนนั้นใบพลูเพิ่งจะแปดเดือน เชื่อไหม...น้องพลูไม่ชอบให้ใครอุ้มนอกจากผม ก็เลยอุ้มไว้อย่างนี้ตลอดแหละ

เวลานอนก็ต้องกอดจนหลับคาอกไปอย่างนั้น ไม่งั้นก็งอแงลั่นบ้าน ขนาดคุณแม่ยังยอมให้อุ้มเฉพาะเวลาป้อนนม แต่ถ้า

เป็นผมล่ะก็...กางแขนรอตั้งแต่ไกลเลย แล้วชื่อใบพลูนี่ก็...ผมตั้งให้เองแหละ” เขาเล่าเรื่องของน้องสาวไปยิ้มไป เป็นยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่ทำให้คนมองถึงกับน้ำตารื้น

                “รู้ไหม? ผมยังเป็นคนแรกที่ได้อุ้มเธอหลังลืมตาดูโลกไม่นาน ได้อุ้มก่อนคุณแม่เสียอีก วินาทีนั้นผมบอกกับตัวเองว่า...เด็กผู้หญิงคนนี้คือของขวัญที่สวรรค์ส่งมาให้ จะรักและดูแลเธอให้ดีที่สุด” รมย์นลินมองภาพในมืออีกครั้งแล้วพลิกไปดูรูปอีกใบ ภาพที่สองเป็นเด็กสาวที่ดูเหมือนแทนดาวในปัจจุบันกำลังยิ้มร่ากอดคอเขาอยู่

                “รูปนี้ถ่ายวันแรกที่น้องพลูเข้ามหา’ลัย ผมไปส่งเธอถึงห้องเรียนเลยนะ มีความสุขมากเลยวันนั้น แต่ที่ประทับใจใจที่สุดน่ะ...อะไรรู้ไหม? น้องพลูกอดผมต่อหน้าเพื่อนๆแล้วพูดว่า…ขอบคุณที่ทำให้มีวันนี้” คราวนี้รมย์นลินต้องแอบปาดน้ำตาด้วยความตื้นตันแล้วค่อยๆเอนศีรษะไปซบไหล่คนข้างๆ รู้สึกอบอุ่นกับความรักความผูกพันที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ ตนเองเคยน้อยใจว่าเป็นเด็กกำพร้า แต่ตอนนี้ไม่เคยนึกเสียใจเลยเพราะกำลังซึมซับความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่มากเสียจนเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในชีวิตจนเต็ม

                เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสามกว่าที่รถของชลธีตีโค้งเข้ามาจอดเทียบในบ้าน ทุกคนออกมาเฝ้ารออย่างกังวลใจ ยกเว้นแต่เพียงปลายเดือนที่ยืนหน้าซีดอยู่ในเงามืดกำลังพยายามคิดหาข้อแก้ตัวให้พ้นผิด ทันทีที่ชลธีช้อนร่างที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาลงมาจากรถ คุณดวงทิพย์ร้องห่มร้องไห้รีบถลาเข้าไปหาลูกสาว

                “โธ่...น้องพลู”

                 แทนดาวยังหลับสนิทในอ้อมแขนแข็งแรง บาดแผลบนขาทั้งสองข้างพันด้วยผ้าก๊อตเรียบร้อย เทียมภพกลืนก้อนแข็งๆลงคอก่อนจะเดินเข้าไปหาชลธีช้าๆ

                “แกอย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยวฉันพาน้องพลูไปนอนแล้วจะลงมาคุยด้วย” เขายื่นแขนออกไปรับร่างน้องสาว พอคนหลับรู้สึกตัวถึงการถ่ายโอนเคลื่อนย้ายก็ขยุกขยิกลืมตาตื่นขึ้น ภาพรอบตัวเริ่มกระจ่างชัดขึ้นทีละน้อย คนในครอบครัวที่คุ้นเคยยืนรายล้อมอยู่รอบกาย

                “พี่หมากขา...ฮือ พี่หมาก” ร่างเล็กสั่นสะอื้นอยู่กับอกกว้าง เทียมภพกอดน้องสาวแน่นขึ้น ซุกหน้ากับกลุ่มผมหอมกรุ่นที่แสนหวงแหน

                “น้องพลู...ถึงบ้านเราแล้วนะคะ หนูปลอดภัยแล้ว” น้ำเสียงอบอุ่นคอยปลอบประโลมเฉกเช่นวันวาน

                “น้องพลูขอโทษค่ะ...น้องพลูจะไม่ดื้อกับพี่หมากอีกแล้ว ข้างนอกนั่นมันน่ากลัวที่สุดเลย น้องพลูจะไม่ไปจากพี่หมากอีกแล้ว” แทนดาวยกมือยกกระพุ่มไหว้แทบอกพี่ชาย

                “น้องพลูเจ็บตรงไหนมั่ง? มันทำอะไรน้องพลูมั่ง…บอกมา พี่จะไปสับตรงที่มันทำให้เจ็บให้เป็นชิ้นๆเลย” เทียมภพค่อยๆสำรวจความเสียหายอย่างถ้วนถี่แล้วคาดโทษคนใจโฉด

                “น้องพลูไม่เป็นอะไรมากค่ะ พี่ชลไปช่วยไว้ได้” แทนดาวมองไปทางคนที่เพิ่งช่วยเหลือตนจากขุมนรกและก็ได้รอยยิ้มตอบกลับมา

                “ดวงใจของพี่ รักน้องพลูที่สุด...รักที่สุดในโลก” แขนแข็งแรงกอดรัดร่างสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นให้กระชับขึ้น พร้อมกับหอมซ้ายหอมขวาด้วยความรักสุดหัวใจ

                “น้องพลูก็รักพี่หมากค่ะ พี่หมากหายโกรธน้องพลูแล้วใช่ไหม?”

                “พี่ไม่เคยโกรธน้องพลูเลย รักขนาดนี้จะโกรธได้ยังไง” เขาจุมพิตหน้าผากมนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจว่าน้องสาวของคนเดิมกลับมาแล้วจริงๆ หลายคนอดซาบซึ้งกับภาพนั้นไม่ได้ รมย์นลินถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร

                “เอาล่ะ...เข้าไปคุยกันต่อข้างในดีกว่านะ หมากพาน้องไปนอนเถอะนะ” คุณเที่ยงธรรมเข้าไปกอดลูกสาวก่อนจะ

ส่งให้ต่อให้บุตรชายคนโต

                “งั้นผึ้งก็ขอตัวไปนอนด้วยนะคะ ตามหาน้องพลูมาทั้งคืนเลย...เพลียจะแย่” ปลายเดือนทำท่าจะปลีกตัวเดินจากไปหากแต่ชลธีก็เรียกไว้ สายตาดุดันของเขาเปล่งประกายกร้าว

                “ผมว่าเรื่องนี้คุณสีผึ้งน่าจะให้รายละเอียดได้ดีกว่าใครนะครับ” ปลายเดือนหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวแล้วหันกลับมามองหน้าคนพูด

                “เอ่อ...ผึ้งจะไปรู้อะไรล่ะคะ ออกไปตามหาน้องเกือบทั้งคืน กลับมาก็นั่งโทรศัพท์ไม่ได้หยุดเลย” หล่อนตอบเสียงสั่น มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที

                “ลูกน้องผมโทรมารายงานว่าไอ้นั่นมันซัดทอดถึงคุณด้วย อ้อ...ผมว่าความจำของผมแม่นใช้ได้อยู่นะ ไอ้สารเลวนั่นเป็นคนๆเดียวกับไอ้คนที่ลวนลามน้องพลูที่โรงแรม คราวนี้คุณผึ้งพอจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดได้หรือยังครับ?” ชลธีบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไม่สนใจกับอาการปากอ้าตาค้าง

                “ผึ้งไม่รู้เรื่องเรื่องจริงๆ พ่อคะ...แม่ ผึ้งไม่รู้เรื่องจริงๆนะ” ปลายเดือนน้ำตาคลอมองบุพการีทั้งสองที่ยืนอึ้งกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของบุตรสาว

                “สีผึ้ง...เป็นอะไรไป? ไหน...มีอะไรลองเล่าให้ย่าฟังซิ” คุณลำเภาจูงมือหลานสาวให้เข้าไปในบ้านด้วยกันแต่ปลายเดือนสะบัดแล้วเดินจ้ำกลับบ้านตัวเองไปท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน

                “วันนี้เขาแปลกๆนะ” คุณย่าว่า

                “เดี๋ยวหนูไปตามลูกเองค่ะ” คุณระรินกำลังจะเดินตามไปแต่ชลธีท้วงไว้

                “วันนี้คุณผึ้งเธออาจจะยังไม่พร้อม รอพรุ่งนี้ดีกว่า...ให้เธอได้ตั้งตัวอีกนิด คุณอารินอย่าไปคะยั้นคะยอเธอเลยครับ”

                “แล้วมันเรื่องอะไรกันคะ?”

                “รอให้ถึงพรุ่งนี้เถอะครับ”

                “พวกเราต้องขอบใจคุณชลจริงๆ ถ้าไม่ได้คุณ…น้องพลูคงแย่” คุณเที่ยงธรรมตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ชลธียิ้มตอบรับหนักแน่น

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

 

                แทนดาวยังคงไม่คลายจากอาการหวาดผวาจนเทียมภพไม่กล้าขยับตัวไปไหน เขาสงสารน้องจับใจที่พอจะหลับก็หลับได้ไม่สนิท ต้องคอยตระกองกอดอยู่อย่างนั้นเพื่อให้รู้สึกว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ศีรษะเล็กที่นอนหนุนแนบอกขยับซบซุกหาความอุ่นใจ เทียมภพได้แต่เก็บความเคียดแค้นเอาไว้ในอก ถ้าพรุ่งนี้แทนดาวตื่นขึ้นมาแล้วไม่หายเป็นปรกติเหมือนเดิมล่ะก็...ไอ้คนที่ทำระยำตำบอนกับดวงใจของเขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน

                เสียงประตูห้องค่อยๆแง้มเปิดออกพร้อมกับบิดาและชลธีที่แทรกตัวเข้ามา นัยน์ตาสีเหล็กทอประกายห่วงใยปิด

ไม่มิดยามมองร่างน้อยที่หลับสนิทอยู่ในการปลอบของพี่ชาย เขารู้ว่าหล่อนต้องการความมั่นใจและความอบอุ่นมากแค่ไหน ยังจำความรู้สึกตอนที่โอบกอดร่างนั้นสั่นสะท้านนี้ได้จนไม่อาจผละหนีไปแม้เพียงวินาที

                “น้องหลับนานหรือยัง?” คุณเที่ยงธรรมลูบผมบุตรสาวแผ่วเบา

                “อย่าทำให้ตื่นนะครับ กว่าจะกล่อมได้ตั้งนาน น้องพลูไม่กล้าหลับเพราะกลัวฝันเห็นภาพบ้าๆนั่น”

                “คุณชลเขามีอะไรจะพูดกับหมากนิดหน่อยน่ะ”

                “คงไม่สะดวกแล้วล่ะครับ ให้น้องพลูหลับให้สบายดีกว่า” ชลธีรีบออกตัวอย่างเกรงใจและทำท่าจะออกไปแต่

เทียมภพกลับเป็นฝ่ายเรียกไว้

                “เดี๋ยวเดียวก็ได้” คุณเที่ยงธรรมปลีกตัวออกไปปล่อยให้สองหนุ่มคุยกันเอง

                “แกรุนแรงกับน้องมากเกินไปนะคราวนี้ ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย” ชลธีพยายามรักษาระดับเสียงให้ต่ำกว่าปกติไม่ให้ใส่อารมณ์กับเพื่อนบ้าเลือดคนนี้

                “เพราะแก...”

                “เออ...เพราะฉันที่ไม่น่าโง่ไปชอบน้องสาวของคนที่ใช้สมองไม่เป็น...ใช้เป็นแต่กำลังอย่างแกเลย!” ชลธีว่าให้จนคนฟังถึงกับสะอึกแต่ก็เถียงไม่ออก

                “แกจะได้มีรอยแผลเป็นที่เดียวกับน้องพลู ถ้าแผลเธอไม่หายล่ะก็” คำขู่นั้นไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไร เทียมภพทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ และก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวพ้นประตูไป เสียงกระด้างของคนบนเตียงก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

                “ขอบใจ” ชลธีหยุดนิดหนึ่งพร้อมกับแอบยิ้มบางๆให้ตัวเอง เมื่อคิดว่าวันที่จะได้ครอบครองและมีสิทธิ์ในตัวแทนดาวโดยสมบูรณ์ใกล้จะมาถึงแล้ว

 

                แทนดาวตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนสายเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดสว่างจ้าอยู่รอบๆตัว หญิงสาวพยายามฝืนเปิดเปลือกตาสู้กับแสงแดดและต้องหยีตาลงเพราะรู้สึกแสบก่อนจะรวบรวมพลังลืมตาขึ้นมาใหม่ ร่างเล็กค่อยๆยันตัวลุกขึ้นสำรวจร่างกายก็พบว่าตัวเองสอดกายอยู่ใต้ผ้านวมนุ่ม แสงแดดยามสายทอประกายผ่านผ้าม่านบังหน้าต่างบางใสเป็นเงาสายเล็กๆตกทอดอยู่บนพื้น มันทำให้แน่ใจว่านี่คือบ้านและที่นี่คือห้องนอนสีชมพูที่คุ้นเคย หัวใจดวงเล็กแล่นโลดที่มันไม่ใช่นรกในห้องสี่เหลี่ยมหรูหราบนตึกสูงระฟ้าที่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้

                หญิงสาวค่อยๆจรดปลายเท้าลงบนพื้นพรมนุ่มนิ่มแต่แล้วก็ต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างเก่าเพราะความปวดระบมจากบาดแผลที่น่องทั้งสองข้าง ไหนจะความเจ็บบริเวณท้องน้อยที่แม้จะบรรเทาลงบ้างแล้วแต่ก็ยังปวดหนึบทุกครั้งเวลาขยับตัว ค่อยๆเลิกเสื้อนอนดูก็พบกับปื้นสีเขียวแกมม่วงวงเบ้อเริ่มแผ่กว้างตรงบริเวณนั้น ใจหายอยู่ครามครันว่ารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้แค่เส้นยาแดงเดียว

                “โอย...” หญิงสาวครางเบาๆเมื่อบาดแผลกระทบกับอากาศเย็นๆ รอยแดงช้ำบวมมองเห็นเด่นชัด เจ้าของร่องรอยเบ้หน้านึกรังเกียจ ถ้าเป็นแผลเป็นขึ้นมาล่ะก็...จะไม่ให้อภัยพี่ชายจอมโหดแน่ๆ

                นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงที่ชี้บอกเวลาเกือบ 11 โมง แล้วก็บ่นตัวเองที่นอนตื่นสายเด่เพราะไม่เคยนอนหลับยาวขนาดนี้มาก่อน อีกอย่างก็เพราะถูกบังคับให้นอนตอนหัวค่ำตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าละครหลังข่าวเป็นอะไรที่ต้องห้ามไปเลย เว้นเสียแต่จะตรงวันหยุดถึงจะได้ดู ซึ่งคนออกกฎก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกพี่ชายที่แสนดีอย่างเทียมภพที่คอยแต่จะอ้างว่าละครน้ำเน่าเนื้อหามีแต่เรื่องแย่งผู้ชายกับอิจฉาริษยาไม่เหมาะกับวัยรุ่น บางครั้งเลยต้องแอบลงไปดูกับพวกแม่บ้านบ้าง ส่วนพี่ชายตัวดีนั้นไม่เดือดร้อน พอน้องสาวเข้านอนเสร็จก็ออกตระเวนราตรีทำตัวเป็นนกฮูกไปกับแก๊งเพื่อนโสดแต่ไม่สดที่แทนดาวดีใจว่าไม่ได้เกิดมาเป็นแฟนพวกนั้น ไม่งั้นคงต้องร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าวันละสามเวลาเป็นอย่างต่ำ

                “คุณน้องพลูตื่นแล้วหรือคะ?” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับน้ำเสียงที่แสดงความตื่นเต้นของสาวใช้วัยรุ่น

                “ตื่นเมื่อกี้แหละ มีไรกินมั่งล่ะแป๋ม?”

                “คุณพี่หมากสั่งให้ทำตั้งหลายอย่างให้คุณโดยเฉพาะเลยค่ะ มีข้าวต้มหมู กุ้ง ปลา หรือถ้าไม่ชอบข้าวต้ม...กับข้าวก็มีนะคะ มีเนื้อปูผัดผงกะหรี่ แกงจืดวุ้นเส้นแล้วก็ไข่เจียวหมูสับ อ้อ...คุณย่าทำของหวานเป็นวุ้นผลไม้ คุณน้องพลูจะรับอะไรคะ?” สาวใช้ร่ายรายการอย่างกับท่องกลอน ซึ่งแต่ละอย่างล้วนแต่เป็นของโปรดของคนฟังทั้งนั้น หากเป็นเวลา

ปรกติคงไม่ต้องให้สาวใช้นั่งบรรยายให้เสียเวลา แค่วิ่งผลุงลงไปในครัวก็ได้ลิ้มรสทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่อาการบาดเจ็บ

ส่งผลให้ร่างกายไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกมานัก

                “ขอข้าวต้มกุ้งแล้วกัน ไม่ต้องตักเยอะนะ น้องพลูยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” หญิงสาวลุกขึ้นจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ไปได้สองก้าวก็ต้องหยุดเมื่อสาวใช้คนเดิมรีบมาขวางหน้าไว้

                “อะไรอีกล่ะแป๋ม?”

                “นั่นคุณน้องพลูจะไปไหนคะ?” เด็กสาวถามซื่อๆทั้งที่รู้ว่าเจ้านายกำลังจะไปไหน

                “อ้าว...ก็เข้าห้องน้ำน่ะสิ คนเพิ่งตื่นจะให้ไปไหน ฟันยังไม่ได้แปรงเลยแล้วจะกินข้าวเช้าได้ยังไง”

                “อุ๊ย! ไม่ได้นะคะ ถ้าอยากอาบน้ำเดี๋ยวรอแป๋มขึ้นมาเช็ดตัวให้ รอเดี๋ยวนะคะ…ลงไปสั่งในครัวเดี๋ยวเดียวเท่านั้นค่ะ” สาวใช้ตั้งท่าจะวิ่งออกไป แทนดาวเกาหัวแกรก

                “ทำไมล่ะ น้องพลูอาบเองได้”

                “ไม่ได้ค่ะ…เพราะคุณพี่หมากสั่งไว้ เนี่ย...ยังบอกให้แป๋มคอยขึ้นมาดูคุณทุกๆครึ่งชั่วโมง ถ้าตื่นแล้วก็ให้ลงไปรายงาน แล้วยังสั่งอีกว่าห้ามให้คุณน้องพลูออกแรงทำอะไรเยอะๆค่ะ”

                “โอ๊ย...อะไรกันนักหนา น้องพลูไม่ได้เป็นง่อยซักหน่อย เธอลงไปข้างล่าง ไปเอาข้าวมาอย่างเดียวก็พอ ฉันจะอาบน้ำเอง” พอจะเดินต่อ แม่สาวใช้คนเดิมก็ยังตามมาขวางไว้อีกจนชักเริ่มรำคาญ

                “เอาน่า...ไม่บอกพี่หมากหรอก เร็วๆเข้าน้องพลูหิวแล้วนะ” หญิงสาวสั่งเสียงเข้มกว่าเดิมจนสาวใช้ต้องรีบลนลานออกไปแต่คนสั่งก็ยังทันได้ยินเสียงกระซิบว่า

                “คุณพี่หมากต้องดุแน่ๆ”

                “เราไม่ใช่คนไข้วิกฤตซะหน่อย” หญิงสาวมองตามสาวใช้ไปพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา ฮึ...เกิดจะมาสำนึกผิดตอนนี้หรือไงเล่าพี่ชายตัวแสบ ตีคนอื่นเสียน่องลายแล้วจะมาเอาอกเอาใจกันตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร

                พออาบน้ำเสร็จก็จัดการกับข้าวต้มหอมกรุ่น ยังไม่ทันหมดชามพี่ชายก็เข้ามาหา  ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคงไม่ได้นอนมาทั้งคืน แทนดาวรีบวางช้อนเดินเขยกไปรับ แม้จะยังโกรธอยู่นิดๆแต่ก็ดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าพี่ชายคนนี้

                “อิ่มแล้วเหรอคะนั่น เอาอีกไหม?” เทียมภพอ้าแขนรับตัวน้องสาวเข้ามากอด แล้วดันตัวออกเพื่อสำรวจดูน้องสาว ก็เห็นว่าดูสดใสแข็งแรงขึ้นมาก

                “น้องพลูอิ่มแล้วค่ะ ไม่ค่อยอยากทานด้วยล่ะ...ไม่หิวเลย”

                “ได้ยังไงกันล่ะ ร่างกายยังอ่อนแออยู่ ต้องกินเยอะๆรู้ไหม แป๋ม...ไปอุ่นนมมาหน่อย”

                “ฮื้อ...น้องพลูอิ่มแล้ว กินอะไรอีกไม่ไหวแล้ว” คนตัวเล็กกระเง้ากระงอด เทียมภพประคองน้องไปนั่งบนเตียง มือหนาลูบไล้เส้นผมมันลื่นสุดหวงแหนด้วยความรักเปี่ยมล้น

                “ไม่เอาน่า...บอกอะไรก็เชื่อกันบ้าง กินเยอะๆจะได้ฟื้นตัวเร็วๆ แล้วแผลน่ะ...เป็นไงบ้าง?”

                “เจ็บค่ะ” คนตอบทำตาละห้อยพร้อมกับเลิกชายกระโปรงขึ้นพอให้เห็นบาดแผล เทียมภพหน้าเสียไปถนัดเมื่อเห็นอาการอักเสบของมันชัดเจน

                “พี่ขอโทษ พี่ทำให้หนูเจ็บมาก พี่เสียใจจริงๆ” เขาพร่ำรำพันอย่างสำนึกผิด รู้สึกสะเทือนใจเอามากๆที่น้องสาวที่เลี้ยงมาแบบริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมกลับต้องมาบอบช้ำด้วยฝีมือตัวเองแบบนี้

                “น้องพลูไม่โกรธพี่หมากหรอกค่ะ น้องพลูเองก็ผิดที่ไม่เชื่อฟัง จนเกือบ...” พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาก็พาลจะร้องไห้ ภาพความน่ากลัวเวียนกลับมาอีกครั้ง

                “โอ๋...ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้วนะ ตอนนี้น้องพลูก็ปลอดภัยอยู่ในบ้านของเรา...อยู่กับพี่”

                “พี่หมาก...” เสียงใสครางเรียกชื่อพี่ชายเบาๆเมื่อฝ่ายนั้นใช้ปลายนิ้วกรีดหยดน้ำตาที่เริ่มก่อตัวออกไปจากดวงตาคู่สวย

                “เอาล่ะ...ทีนี้พี่อยากรู้เรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด น้องพลูพร้อมจะเล่าให้พี่ฟังหรือยังคะ?” สีหน้าของคนถามเปลี่ยนเป็นจริงจังทว่าก็แฝงความอ่อนโยนอยู่ในตัว แทนดาวใช้ความคิดอย่างหนัก จะให้เล่าเรื่องเมื่อคืนน่ะหรือ...ถ้าหากพูดไปปลายเดือนต้องลำบากแน่ๆ

                “มันผ่านไปแล้ว พลูไม่อยากคิดถึงมันอีกค่ะ ให้มันจบไปเถอะนะคะพี่หมาก คนผิดก็ถูกจับแล้วนี่คะ”

                “เรื่องไอ้ระยำนั่นมันจบไปแล้วก็จริง แต่เรื่องคนของเรายังไม่จบ บอกพี่ซิน้องพลู...สีผึ้งทำอะไรกับหนูบ้าง?” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาน้องสาวอย่างค้นคว้า

                “ได้โปรดเถอะค่ะ...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่ผึ้ง ทุกอย่างมันจบลงแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงสั่น ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะไม่มีวันเอาครอบครัวที่รักไปแลกกับเรื่องเลวร้ายนั่นเด็ดขาด ถึงยังไงปลายเดือนก็เป็นพี่สาว สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด

                “ใบพลู ถ้าหนูรักสีผึ้ง...หนูก็ต้องช่วยเขา เล่าให้พี่ฟังเถอะนะ ทุกอย่างมันจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้แน่ และน้องพลูก็จะเป็นคนเดียว...ที่จะสามารถช่วยเขาได้”

 

                แทนดาวลงมาทานอาหารเย็นกับครอบครัวในตอนเย็นวันเดียวกัน แล้วก็ได้รับฟังข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนักว่าปลายเดือนเรียกแท็กซี่ออกจากไปตั้งแต่เช้ามืดโดยทิ้งโน้ตบอกแค่ว่าจะไปอยู่คอนโด ดังนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นนี้จะตึงเครียดและเงียบเหงา หญิงสาวมองดูอาสะใภ้ที่ร้องไห้คร่ำครวญถึงแต่ลูกสาวและคอยพร่ำขอโทษขอโพยในสิ่งที่ปลายเดือนได้กระทำไว้ แทนดาวเองก็ไม่สบายใจเพราะลึกๆ แล้วก็รักและเคารพปลายเดือนอยู่ไม่น้อย เทียมภพดูจะเครียดกว่าใครๆ ที่น้องสาวสุดที่รักทั้งสองคนต้องมาประสบเหตุการณ์แย่ๆพร้อมๆกัน

                “ย่าว่าเราอย่าเพิ่งวิตกกังวลกันมากนักเลย สีผึ้งอาจจะอยากอยู่คนเดียวในตอนนี้ ถ้าแกสบายใจแล้วก็คงจะกลับมาเอง” คุณย่าเฝ้าปลอบคุณระรินอยู่อย่างนี้แต่ดูเหมือนความกังวลจะไม่ผ่อนคลายลง

                “ผมไม่เข้าใจว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีตรงไหน ยัยผึ้งถึงทำอะไรแย่ๆแบบนี้ได้” คุณเที่ยงแท้กล่าวโทษบุตรสาวตัวเอง ทำให้ภรรยาที่นั่งข้างๆร้องไห้หนักขึ้น

                “อาแท้อย่าไปซ้ำเติมแกเลย ผมว่าสีผึ้งน่าจะมีคำอธิบายเรื่องนี้ เมื่อคืน...เราเองก็ไม่น่าไปคาดคั้นอะไรกับแกเลย คงจะขวัญเสียจนเตลิดไป” เทียมภพบอกอย่างกังวลไม่แพ้กัน

                “คราวนี้ลูกอาทำให้ทุกคนต้องเสียใจ อาจะรับผิดชอบด้วยการส่งแกไปเมืองนอกทันทีที่แกกลับบ้าน” คุณเที่ยงแท้ประกาศเสียงดัง

                “ค่ะ...เมื่อคืนเราสองคนปรึกษากันแล้ว รินจะไปอยู่เป็นเพื่อนลูก อาจจะให้แกทำงานหรือเรียนต่อที่นั่น”   “ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะ สีผึ้งอาจจะไม่อยากไปก็ได้ ถามความสมัครใจของแกดูก่อนดีกว่า” คุณเที่ยงธรรมแนะนำน้องชาย

                “นั่นสิครับ เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุสิครับ การส่งแกไปแบบนั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากจะทำให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก สีผึ้งอาจจะคิดว่าไม่มีใครยอมให้อภัยเลยต้องขับไล่ไสส่งแกไปอยู่ที่อื่น” เทียมภพอธิบายเสียงเครียด

                “ไม่ได้หรอก อา...เราสองคนคาดหวังกับลูกคนนี้มากเกินไป คิดว่าแกเป็นเด็กที่ดีพร้อมเลยปล่อยให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยสอนว่าอะไรดีหรือไม่ดี คราวนี้อาจจะต้องมีการบังคับถ้าแกไม่ยอม” คุณเที่ยงแท้ย้ำอีกครั้ง

                “ผมว่ารอให้ถามเจ้าตัวก่อนดีกว่า แล้วถ้าแกอยากจะไปก็คงต้องตามใจ แต่ถ้าแกไม่อยากไป...ผมขอร้องคุณอา

ทั้งสองว่าอย่าไปบังคับ จริงอยู่ว่าสีผึ้งจะไม่ใช่น้องแท้ๆ แต่ผมก็รักแกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใบพลู ผมคงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือน้องสาวคนนี้อย่างถึงที่สุดเหมือนกัน” เทียมภพสำทับหนักแน่น

                “น้องพลูว่า...สาเหตุที่ทำให้พี่ผึ้งทำเรื่องทั้งหมดลงไปก็เพราะน้องพลูนี่ล่ะค่ะ” จู่ๆคนที่นั่งเงียบมาตลอดเวลาก็ปริปาก หญิงสาวรวบช้อนทั้งที่กินไปได้แค่สองสามคำ

                “ขอน้องพลูพูดบ้างเถอะนะคะ...เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น”

                “หนูอิ่มแล้วก็ควรขึ้นไปพักผ่อนนะคะ ทานยาแก้อักเสบแล้วก็นอน เรื่องทางนี้เดี๋ยวพวกผู้ใหญ่จัดการกันเอง” เทียมภพรีบบอกน้องสาว เขาไม่อยากให้น้องต้องคิดมากกับเรื่องพวกนี้อีก

                “พี่หมากขา...เมื่อไหร่จะเลิกคิดว่าน้องพลูเป็นเด็กเล็กๆเสียที ฟังน้องพลูบ้างสิคะ...ไหนบอกว่าน้องพลูจะช่วยได้ไง”

                “จริงของเจ้าพลูมัน เจ้าหมาก...ลองฟังน้องดูมั่งเป็นไร” คุณย่าเสริม

                “แต่ไหนแต่ไร...พี่ผึ้งคิดเสมอว่าน้องพลูเกิดมาเพื่อแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักจากคนในครอบครัว อาจจะไม่มีใครสังเกตเพราะว่าพี่ผึ้งเลือกปฏิบัติกับน้องพลูเท่านั้น” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเมื่อไม่มีใครขัด เห็นทุกคนฟังด้วยอาการนิ่งสงบก็เล่าต่อ

                “น้องพลูไม่เคยคิดที่จะแย่งอะไรไปจากพี่ผึ้งเลย ตรงข้าม...คิดอยู่เสมอว่าพี่ผึ้งคือพี่สาว น้องพลูมีทั้งพี่ชายและพี่สาวที่น่ารักกว่าใครๆ” หญิงสาวยิ้มอ่อนๆให้พี่ชายแล้วเล่าต่อชัดถ้อยชัดคำมากกว่าเดิม

                “หลายครั้งที่พี่ผึ้งทำไม่ดีกับน้องพลู บางทีก็ตอบโต้ไปบ้างแต่ว่าก็โกรธไม่ได้สักที น้องพลูรู้ดีว่าพี่ผึ้งเองก็รักทุกๆคน รู้ไหมคะ...ว่าพี่ผึ้งก็รักพี่ชลเหมือนกัน แต่ทุกคนก็กลับสนับให้น้องพลูคบพี่ชล ไม่มีใครสนับสนุนพี่ผึ้งแถมยังเชียร์ให้คบรักกับบุ้งทั้งๆที่พี่ผึ้งไม่เคยคิดกับเฮียบุ้งเป็นอย่างอื่นเลย ทุกคนมองข้ามเธอ ก็เลยกลายเป็นว่า...น้องพลูแย่งความความรักของคนในครอบครัวไปแล้วยังจะไปแย่งคนที่เธอรักอีก”

                “แต่เรื่องนี้ไม่มีใครบังคับไอ้ชลสักหน่อย มันสนใจเราตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ?” เทียมภพขัดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

                “อันนี้น้องพลูไม่ทราบ แต่ที่รู้ๆก็คือ...ไม่มีใครสนใจว่าพี่ผึ้งจะคิดหรือทำอะไร พวกเราต่างก็เชื่อว่าพี่ผึ้งเป็นผู้ใหญ่พอที่ทำอะไรโดยไม่มีข้อผิดพลาด แต่น้องพลูรู้มาตลอดเพราะเวลาที่พี่ผึ้งโกรธหรือไม่พอใจอะไรก็จะมาลงที่น้องพลู แต่น้องพลูเข้าใจและจะไม่โกรธพี่ผึ้งในทุกๆเรื่อง” พอเล่าจบ คนแรกที่เข้ามากอดก็คือคุณระริน นางเอาแต่ร่ำไห้อยู่อย่างนั้น

                “อาไม่เคยรู้มาก่อนเลย คิดอยู่แต่ว่าลูกสาวประพฤติตัวอยู่ในกรอบเลยไม่ได้เอะใจว่าจะมีปัญหาอะไร”

                “ทุกคนอาจจะคิดว่าพี่ผึ้งดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยู่ในใจพี่ผึ้ง...น้องพลูเท่านั้นที่รู้ว่ามันข่มขื่นแค่ไหน ถ้าลองสลับกันแล้วน้องพลูเป็นแบบนั้นบ้าง...ก็คงจะไม่มีความสุขนักหรอกค่ะ”

                “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปดี เจ้าผึ้งมันก็หายไปกับความเข้าใจผิดๆแบบนี้” คุณย่าถอนใจเฮือกใหญ่ เทียมภพถึงกับต้องยกมือขึ้นนวดขมับ

                “น้องพลูจะพาพี่ผึ้งกลับมาเองค่ะ น้องพลูเป็นต้นเหตุ...เพราะฉะนั้นก็จะแก้ไขเอง อาจจะช่วยได้ไม่มากนัก...แต่ขอให้ไว้ใจกันสักครั้งเถอะค่ะ น้องพลูก็รักพี่ผึ้งและอยากให้ครอบครัวเรากลับมามีความสุขเหมือนเดิมเร็วๆ”

               

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา