ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  33.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

37) ตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 36 ปลูกรักในรั้วใจ (อวสาน_1)

 

 

                ชลธีกลับเข้าบ้านอีกครั้งตอนหัวค่ำ พอเคลียร์เรื่องเมื่อเช้าเสร็จเขาก็กลับไปทำงานต่อ แต่ด้วยความเหนื่อยและพักผ่อนน้อยมาหลายวันติดกันทำให้น็อตหลุดจนเผลอหลับเป็นตายอยู่ที่ออฟฟิศนั่นเอง ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สี่โมงเย็นแล้ว ดังนั้นสภาพของเขาตอนนี้อาจจะเรียกว่าดูไม่จืดก็ไม่ผิดนัก อาการเดินลากเท้าอย่างซังกะตายไม่ต่างจากผีซอมบี้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าราคาแพงก็ยับยู่ยี่และมีรอยกระดำกระด่าง 

                “ไอ้ชล ! มานี่ก่อนซิวะ”

                เสียงตะโกนห้วน ๆ มาจากคนที่กำลังคุยกับน้องสาวดังลั่นจนต้องหันกลับไปมอง พอเห็นหน้าก็รีบโบกมือห้าม แต่คนเรียกเดินแทบจะเป็นวิ่งเข้ามาหาในสภาพที่สุนัขไม่มองแล้วยังเมินพอ ๆ กัน

                “ฉันไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับแกหรอก ขอสักวันเถอะนะ” บอกเสียงเหนื่อย ๆ

                “เป็นอะไรวะ วันนี้ฉันมาคุยกะแกนะ ไม่ได้มาหาเรื่อง”

                “ถ้าแกอยากกระทืบฉันจริง ๆ ก็ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม วันนี้หมดแรงจริง ๆ ว่ะ”

                “พูดอะไรเนี่ย ฉันรู้ความจริงเรื่องปรางกับแกหมดแล้วนะ ทีนี้จะคุยได้หรือยังวะ” เทียมภพขึ้นเสียง

                “ว่าไงนะ ! แกไปรู้เรื่องมาจากไหน” ชลธีขยำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่น  หูตาที่เบลอ ๆ อยู่เมื่อครู่สว่างจ้าขึ้นมาทัน ที รมย์นลินที่ยืนสังเกตการณ์เงียบ ๆ เอ่ยปากจะห้ามพี่ชายเพราะคิดว่าจะวางมวยกัน แต่ชลธีรีบยกมือแล้วสั่งเสียงดัง

                “เตรียมเหล้ากับกับแกล้มให้พี่ที”

                “โซดาโค้กด้วยนะครับ” คนเรื่องมากตะโกนไล่หลังขอเพิ่มเครื่องปรุง ไม่สนใจตาดุ ๆ ของเจ้าบ้านที่กำลงลุกเป็นไฟ

                “ปรางเล่าให้แกฟังเหรอ” เทียมภพจ้องหน้าอยู่อึดใจก่อนจะซัดหมัดแรกใส่หน้า ตามด้วยหมัดที่สองและสามอย่างต่อเนื่อง ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง สะเปะสะปะเหมือนไม่ได้เจตนาจะให้ได้รับความเจ็บปวด

                “ไอ้ชล ! ไอ้เลว ! ทำไมไม่เคยบอกฉัน ทำไมต้องปิดบังกันด้วย แกเห็นฉันเป็นอะไร ฉันไม่ใช่เพื่อนตายของแกใช่ไหม”

                คนอาละวาดตีอกชกหัวจนพอใจแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนเด็ก ๆ  ชลธีนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วบีบไหล่ทั้งสองข้างของเพื่อนแน่น

                “ที่ไม่บอก...ก็เพราะฉันรักแกและรักปรางด้วย”

                เพียงแค่คำพูดสั้น ๆ หากแต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ถ่องแท้ นอกเสียจากคนสองคนที่เคยใช้วันวานแห่งความสุข เศร้า ร่วมกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ ดังนั้นแล้วรมย์นลินที่กำลังยกจานกับแกล้มตามด้วยแม่บ้านที่เข็นรถบรรทุกขวดน้ำเมาสารพัดยี่ห้อต้องหยุดอยู่แค่ประตูกระจก เพื่อจ้องดูภาพชายสองคนที่เคยเป็นขมิ้นกับปูน เคยท้าทายกันว่าใครตายจะไม่ยอมไปเผาผี กำลังนั่งกอดกันกลมน่ากลัวฟ้าจะผ่า แถมต่างฝ่ายต่างร้องไห้กระซิกเหมือนเด็ก ๆ ใครไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นฉากรัก แต่รมย์นลินรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ทั้งคู่ต่างรอคอยมานาน รอเวลาที่จะได้กลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิม

                หญิงสาวบอกให้แม่บ้านหลบฉากออกไป ทิ้งไว้แต่ขวดบรรจุยอดข้าวหมักกับเครื่องเคียงสองสามอย่าง ไม่อยากรบกวนเวลาอันน่าประทับใจของสุภาพบุรุษทั้งสองคน  รู้สึกปะแล่ม ๆ ในใจตั้งแต่ตอนบ่ายที่เทียมภพแบกหน้าตาเศร้าหมองไปหาที่โรงเรียน จึงได้รับรู้โศกนาฏกกรรมรักสามเศร้าของเพื่อนรักสามคน

 

                ทั้งสองหนุ่มเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถม จนอยู่มัธยมก็ยังเรียนโรงเรียนเดียวกัน ในกลุ่มจะยกให้เทียมภพเป็นฝ่ายบู๊ ส่วนชลธีเป็นฝ่ายบุ๋น ทั้งคู่เกเรเฮฮามาด้วยกันตลอด เรียกได้ว่าเป็นคู่หู แต่เทียมภพอาจจะมีภาษีดีหน่อยตรงที่มาจากครอบครัวอบอุ่นและมีฐานะดีกว่า ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ก็จะโดดเด่นกว่าเพื่อนซี้  ตรงกันข้าม...ชลธีมีครอบครัวที่ไม่อบอุ่นและไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากนัก แต่ปัจจัยเหล่านั้นมิได้ทำให้เขารู้สึกอิจฉาหรือน้อยเนื้อต่ำใจ กลับเป็นคนที่สนุกสนานกว่าใครด้วยซ้ำ จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย ตอนนี้เอง...ทั้งสองคนก็ได้รู้จักเปรมยุตา สาวแรกรุ่นหน้าตาสะสวยหมดจดที่เพิ่งย้ายมาเรียนด้วย ทั้งสามคบหาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เทียมภพรู้อยู่เต็มอกว่าเปรมยุตากับเพื่อนรักมีความรู้สึกที่พิเศษให้กันและกัน เขาทั้งยินดีและเจ็บในคราวเดียวกันเพราะตัวเองก็หลงรักเปรมยุตาจนหมดใจ ทั้งคู่มีรักแรกกับผู้หญิงคนเดียวกัน

พอตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เทียมภพซึ่งถนัดด้านบริหารสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลที่มีชื่อเสียงอัน ดับต้น ๆ ของประเทศ เปรมยุตาก็ได้เรียนที่เดียวกันด้วย ส่วนชลธีเลือกเรียนคณะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในมหาวิทยาลัยเอกชนหนึ่ง เทียมภพออกจะแปลกใจกับการเลือกเรียนสายวิชาชีพของเพื่อนรักซึ่งออกจะ ‘เหนือความคาดหมาย’ เพื่อน ๆ เพราะเกือบทุกคนเชื่อว่าเขาน่าจะเรียนแพทย์หรือไม่ก็วิศวกรรม แต่เจ้าตัวก็ให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า เกิดนึกชอบทางนี้ขึ้นมากะทันหัน ทว่าเพื่อนทุกคน...รวมทั้งเพื่อนสนิทอย่างเทียมภพกับเปรมยุตาไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ขณะนั้น...เพื่อนรักและคนรักได้ก้าวขึ้นมาเป็นทายาทผู้ดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงโด่งดังในเวลาต่อมา

ถึงจะเรียนอยู่คนละที่ แต่เทียมภพต้องจำทนกล้ำกลืนรับรู้ว่า เพื่อนรักยังคบหาติดต่อกับเปรมยุตาอยู่ ความผูกพันของทั้งคู่เหนียวแน่นจนไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ถึงแม้ว่าจะได้รับสมญานามว่าเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ แต่หัวใจรักดวงนี้ได้มอบให้ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘แฟน’ ของเพื่อน เขาคอยตอกย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า จะไม่มีวันหักหลังเพื่อนรักเด็ดขาด ถึงมันจะยากเหลือเกินที่จะหักห้ามใจ ยิ่งชลธีฝากฝังให้ช่วยดูแลแฟนสาวแทนก็ยิ่งทำให้เขาวางตัวลำบากมากขึ้น บวกกับเกิดตะกอนความกังขาอยู่ในใจว่า ตนเองมีทุกอย่างพร้อมกว่าชลธีในทุกด้าน แต่ทำไมผู้หญิงกลับไม่สนใจ

จนกระทั่งปีสุดท้าย ชลธีเริ่มแยกตัวออกไป เขามักจะหาข้ออ้างปฏิเสธการพบปะสังสรรค์หรือไปเที่ยวกันอย่างเคย เปรมยุตาเองก็ออกอาการเหงาหงอยเซื่องซึม แต่ก็ไม่มีใครเอะใจเพราะคิดว่าเป็นการงอนกันธรรมดาตามประสาคู่รัก หลังสอบไล่ปลายภาคเรียนสุดท้ายเสร็จไม่กี่วัน เทียมภพกับเพื่อน ๆ ไปฉลองเรียนจบ แต่พอเอ่ยถึงเปรมยุตา...ชลธีกลับเงียบสนิท

                แต่แล้ววันหนึ่ง...เรื่องเลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น เทียมภพได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเปรมยุตา เขายังจำภาพนั้นได้ติดตา หญิงสาวนอนตัวงอบิดไปบิดมาจมกองเลือดอยู่ฟูก เสียงร้องโอดครวญบวกกับลมหายใจรวยรินจากการเสียเลือด หัวใจของเขาตกลงมาอยู่แทบตาตุ่มแทบจะหมดสติ

                เปรมยุตาตกเลือดจากการกินยาทำแท้งที่สั่งซื้อจากเวบไซต์ของผู้ขายที่เห็นแก่ได้ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม ผลจากการกินยาขับเลือดที่มีฤทธิ์รุนแรงส่งผลให้มดลูกได้รับความเสียหายจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกถาวร เขาเป็นคนดูแลหล่อนจนแข็งแรงดี พร้อมๆกับสะสมความโกรธเกลียดเอาไว้จนซึมซาบเข้ากระแสเลือด ชลธีไม่เคยโผล่หน้ามาดูดำดูดีสักครั้ง จนในที่สุดจุดแตกหักก็มาถึง เมื่อเปรมยุตายอมปริปากเล่าว่าชลธีไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบ เทียมภพโมโหมากแล้วหุนหันพลันแล่นไปหาเพื่อนรักที่ระยองในวันเดียวกัน ขณะนั้นชลธีกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ พอทั้งสองเจอกัน...ชลธีก็เอาแต่แสดงท่าทีเฉยชาเฉยชาจนเทียมภพโมโหเดือด ถามอะไรก็ไม่ตอบ ได้แต่นิ่งและพูดเพียงว่า

“แกเข้าใจอย่างนั้น...ก็ดีแล้ว”

และวันนั้นเองที่เขาได้เห็นหน้าเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่มีปากเสียงกันรุนแรงมากถึงขันประกาศตัดความเป็นเพื่อนไม่เผาผีกัน ไม่พอยังวางมวยชกต่อยกันอย่างดุเดือดจนต่างฝ่ายต่างช้ำน่วมกันไปพอสมควร ชลธีต้องเลื่อนการเดินทาง

ออกไปต่อมาไม่นานเทียมภพก็ไปต่างประเทศอีกคน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะหายไปจากชลธีพร้อมกับความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ขาดสะบั้นนับแต่นั้นมา...

 

                เช้าตรู่วันต่อมา รมย์นลินค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่น ความสงบเงียบยามเช้าจึงได้ยินเพียงแค่เสียงรองเท้าแตะเสียดสีกับพื้น ขนาดว่าจิกปลายเท้าสุด ๆ แล้วยังเกิดเสียงดังสวบสาบ หล่อนไม่พึงให้การเข้ามา ‘สำรวจ’ เป็นการทำลายการนอนหลับหรือจะเรียกให้ถูกก็ต้องว่า สลบไสล ไม่ได้สติของบุรุษสองคน

                ในห้องรับแขกโอ่โถงตกแต่งอย่างมีสไตล์และพิถีพิถัน บัดนี้เกลื่อนกลาดไปด้วยขวดเหล้ากับขวดเบียร์เปล่า ๆ จานกับแกล้มเหลือเพียงเศษอาหารติดขอบจาน บ้างก็มีก้นบุหรี่อยู่ด้วย กลิ่นยาสูบยังคงคลุ้งเอียนอยู่ในห้องกระจกติดเครื่องปรับอากาศ หญิงสาวพยายามกระหย่องเท้าหลบสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบ รมย์นลินส่ายหน้าพร้อมกับระบายลมหายใจยาวขณะแลดูร่างสองร่างที่กองอยู่ไม่ไกลกัน คนแรกคือชลธีนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ใช้หมอนอิงรองศีรษะในลักษณะหมิ่นเหม่เต็มที เสื้อเชิ้ตขะมุกขะมอมถอดพาดเอาไว้กับเท้าแขนเก้าอี้ ส่วนอีกคนนอนคุดคู้อยู่บนโซฟาบุนวมตัวยาว แขนข้างหนึ่งตกห้อยลงมา  

                “หมดสภาพทั้งคู่”

                หญิงสาวพยายามเก็บรวบรวม ‘ขยะมูลฝอย’ ที่ถูกทิ้งระเกะระกะมารวมไว้ที่เดียวเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บกวาด ขณะที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็ก ภาพนั้นกลางเก่ากลางใหม่ บุคคลในภาพมีชลธีกับเทียมภพ ส่วนตรงกลางเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยอันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเปรมยุตา ทั้งสามยิ้มร่าอยู่ในชุดนักศึกษา ด้านหลังภาพมีลายมือหวัด ๆ เขียนระบุวันที่ ซึ่งคงราว ๆ ช่วงที่ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย

ริมฝีปากได้รูปแย้มยิ้มเล็กน้อย ตอนนั้นพี่ชายยังเป็นหนุ่มน้อยยิ้มเก่ง ไม่น่าจะเปลี่ยนเป็นคนสุขุมคัมภีรภาพดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หล่อนวางรูปใบนั้นลงที่เดิมแล้วจะไปตามแม่บ้านมาเก็บกวาด แต่พอเดินไปได้สองก้าวก็ต้องล้มวูบลงไปทับบนอะไรนิ่ม ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ระวังอย่างดีไม่ให้สะดุดล้มแล้วเชียว พอหันไปมองก็เห็นตัวต้นเหตุนอนยิ้มเผล่ตาปรือ

 “คุณทำบ้าอะไรเนี่ย...เดี๋ยวพี่ชลก็ตื่นหรอก” รมย์นลินดุคนขี้แกล้งด้วยอาการกระซิบกระซาบพลางปรายตาไปยังอีกร่างที่นอนอยู่ไม่ห่างอย่างหวาด ๆ

“นิ่งซะขนาดนั้น ไม่ตายก็คงน็อคเอาท์อย่างแรง” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 “ปล่อยนะ คุณน่ะ...ตัวเหม็นจะแย่ มีแต่กลิ่นเหล้า”

“รังเกียจเหรอ...”

“เปล่า...”

“งั้นก็มาหอมหน่อย”

“อะไรนะ ! ” ทำตาโต

“หอม...หน่อย...คร้าบ” ทีนี้คนพูดลากเสียงยาว  ทำตาปรอย และโดยไม่รอการอนุญาต คนตัวโตก็โน้มแก้มนวลมาหอมเสียหลายฟอด คนถูกรังแกเริ่มมีรอยอาย

“รุ่มร่ามใหญ่แล้วนะคะ ตื่นแล้วก็ลุกมาอาบน้ำสิ แฟงจะไปเลือกเสื้อผ้าพี่ชลมาให้  เช้านี้มีข้าวต้มปลากับไชโป๊ผัดไข่ อยู่กินด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะคะ”

รมย์นลินรีบยันตัวลุกขึ้นเพราะกลัวจะถูกคนเจ้าเล่ห์หากำไรเอาอีก เทียมภพลุกขึ้นนั่งประสานมือเหนือศีรษะแล้วบิด

เอวซ้ายขวาสองสามครั้งไล่ความเมื่อยขบ เขาหันไปมองเพื่อนที่ยังนอนนิ่งในอิริยาบถเดิมแล้วยกมุมปากอย่างนึกหยันว่า ‘คออ่อน’ แล้วหยิบภาพถ่ายบนโต๊ะมาดู เขาเก็มีภาพเดียวกันอีกใบเก็บไว้เช่นกัน มันถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักอย่างมิดชิดที่สุดนับแต่วันที่มิตรภาพความเป็นเพื่อนสิ้นสุดลง ชายหนุ่มวางมันลงอย่างเดิมแล้วค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นจะไปล้างหน้าล้างตา แต่ยังไม่ทันจะยืนขึ้นสุดตัว เสียงคนที่คิดว่านอนหลับไม่รู้เรื่องราวก็พูดขึ้น

“ฉันเห็นนะ แล้วก็ได้ยินด้วย ! “

                 

                แทนดาววางโทรศัพท์ในมือลงหลังจากตอบรับนัดรับประทานอาหารเย็นกับชลธี พอจะเดาออกว่าเขาต้องการพูดคุยเรื่องเมื่อวาน ในความรู้สึกส่วนตัวก็ไม่คิดติดใจกับเรื่องที่เปรมยุตามาร้องประกาศความเป็น ‘แม่ของลูก’ เรื่องจะจริงเท็จอย่างไรเดี๋ยวก็คงได้ฟังคำอธิบายจากเขา  แต่ในขณะเดียวก็คิดหาคำตอบให้ตัวเอง ถ้าเกิดเปรมยุตากำลังจะมีลูกกับเขาจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร...

                หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก่อนเวลานัดหมายครึ่งชั่วโมง พอลงมาก็พบว่าชลธีกำลังนั่งคุยกับบิดาในห้องหนังสือ หญิงสาวพาตัวเองไปนั่งรอให้ห้องรับแขก รู้ดีว่าถ้าบิดาหรือพี่ชายมีเรื่องพูดคุยธุระกันในห้องหนังสือก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญอันมิควรเข้าไปรบกวนอย่างยิ่ง แต่นั่งรอไม่ถึงห้านาที สามหนุ่มสองวัยก็ออกมาพร้อมกัน แทนดาวอึ้งไปที่เห็นสองหนุ่มคู่อริแสดงท่า ทีเป็นมิตรต่อกันมากกว่าเดิม แต่จะด้วยเหตุผลอะไร...สิ่งนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี

                “ไงคะลูกสาว แต่งตัวสวยเชียว” คุณเที่ยงธรรมจูบกระหม่อมบุตรสาวอย่างรักใคร่

                “กินข้าวเย็นอย่างเดียวไม่น่าจะใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นหนึ่งทุ่ม...ยัยพลูต้องถึงบ้าน” เทียมภพยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหันมาบอกเพื่อนเป็นเชิงออกคำสั่ง

                “อะไรกันล่ะหมาก...จะไปจำกัดเวล่ำเวลาทำไม คุณชลคงไม่พาน้องกลับดึกดื่นอยู่แล้วล่ะ”

                “ไม่ได้หรอกครับพ่อ ถึงผมจะเป็นน้องเขยมัน แต่ที่นี่...มันเป็นว่าที่น้องเขยผม เพราะฉะนั้นต้องให้ความคารพยำเกรง

และต้องปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัด” ถึงจะฟังดูเหมือนเพื่อนแซวกันธรรมดา แต่ในเนื้อเสียงมีความจริงจังแฝงอยู่เช่นเดิม

                “สองทุ่มไม่ได้เหรอคะ น้องพลูอยากเดินเที่ยวต่อ”

                “ไม่ได้ค่ะ เดินเที่ยวกลางค่ำกลางคืนมันอันตราย ถึงเราไม่ได้ไปคนเดียวพี่ก็เป็นห่วง ไอ้ชล...ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก รับรอง...เจ็บ”

                 เทียมภพหันมาขู่เพื่อนเสียงเขียว แต่คนถูกสั่งไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูดนอกจากพยักหน้าอย่างรำคาญ มีแต่แทนดาวที่ทำหน้าเอือม ๆ กับความเข้มงวดไม่เลิกของคนเป็นพี่

                “คิส คิส ก่อนค่ะ” เทียมภพอ้าแขนรับตัวน้องสาวที่เขย่งปลายเท้าขึ้นจุ๊บใบหน้าห้าจุดแล้วทำกลับแบบเดียวกัน เป็น ‘สัญลักษณ์’ สื่อความนัยกึ่งข่มขู่ให้บุคคลที่สามเห็นว่า ตนรักน้องสาวขนาดไหน ถ้าเผลอทำอะไรผิดจารีตจะถูกฆาตกรรมได้

                “เริ่มจับเวลา...”

 

                ชลธีเลี้ยวรถเข้าโรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา แทนดาวจำได้เพราะเคยมามาร่วมงานแต่งของเพื่อนพี่ชาย รอยแดงจาง ๆ ปรากฏบนพวงแก้มเนียนอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกย้อนกลับไปในวันที่เขาใช้สถานที่แห่งนี้ขอตนเป็นแฟน ยังจำความรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ชลธีดูเหมือนจะจับอาการของหญิงสาวได้ก็เลยโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้ว

กระซิบข้างหู

                “รำลึกความหลังกันหน่อยนะคะ” จมูกโด่งแตะแก้มปลั่งเบา ๆ คนตัวเล็กเอียงอาย

                “ไม่บอกก่อนนี่คะว่าจะพามาที่นี่ จะได้แต่งตัวสวยกว่านี้”

                คนพูดกลบเกลื่อนอาการอุธัจขัดเขินด้วยการเสก้มลงมองเสื้อผ้าที่สวมใส่มา อันที่จริงเดรสผ้าชีฟองพลิ้วตัวยาวสีขาวที่เลือกหยิบมาวันนี้ก็สวยงามราวเจ้าหญิง ตัวเสื้อช่วงบนเป็นลายลูกไม้มีซับในเย็บติดในตัว แบบเสื้อเน้นสัดส่วนของวัยสาวแต่พองาม ผมยาวสไลด์ม้วนเป็นลอนใหญ่รวบมาพาดไว้บนบ่าข้างหนึ่ง   สีสันบนใบหน้าแต่งแต้มในโทนสีชมพูอ่อน เครื่องประดับที่เจ้าตัวเลือกมามีเพียงกำไลรูปเถาลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ กับต่างหูมุกเม็ดเล็กขับดวงหน้าให้ดูกระจุ๋มกระจิ๋มยิ่งขึ้น ชลธีเชยคางมนขึ้นมาสบตากันชัด ๆ ปากหยักค่อยแย้มรอยยิ้มละมุนชวนให้ใบหน้าคมสันดูมีเสน่ห์น่ามองมากขึ้นจนแทนดาวนึกในใจว่า ถ้าไม่รู้จักกันก็คงคิดว่าเขาเป็นพระเอกหนังแขกแน่เชียว

                “อย่าสวยไปกว่านี้เลยค่ะ...แค่นี้ใจพี่ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คนอะไร...สวยเสียจนทำคนอื่นสมาธิกระเจิงหมด”

                เจ้าของคำหวานก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็วแล้วจุ๊บกลีบปากเคลือบสีชมพูอ่อน คนถูกจู่โจมไม่ทันได้ปัดป้องก็ร้องโวยวาย ตีมือคนซุกซนเป็นพัลวัน พวงแก้มเปลี่ยนเป็นแดงจัดด้วยความขวยอาย

                “พี่ชลนี่นะ ! พี่หมากสั่งไว้ว่ายังไง...ลืมแล้วเหรอ”

                “ไม่ลืมนะ มันไม่ได้สั่งห้ามพี่จูบเราสักหน่อย บอกแต่ว่าต้องกลับบ้านไม่เกินทุ่ม”

                คนพูดใช้วิธีเลี่ยงบาลีเอาตัวรอดอีกจนได้ แทนดาวรีบเบือนหน้าหลบสายตาคมคายประกายระยับแล้วรีบก้าวลงจากรถ วงแขนกำยำภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับครึ่งศอกสอดรอบเอวเล็กโอบประคองอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ พอกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรม พนักงานก็นำทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จัดไว้ด้านนอกซึ่งเป็นมุมเดิมที่มาเมื่อคราวก่อน ตรงกลางโต๊ะมีแจแก้วใสทรงสูงปักดอกลิลลี่สีขาว ข้าง ๆ กันมีถ้วยกระเบื้องรูปหัวใจใบเล็กลอยหน้าด้วยเทียนหอมรูปดอกไม้สีขาวสามอัน แทนดาวสังเกตไปรอบ ๆ ก็พบว่าโต๊ะนี้พิเศษกว่าตัวอื่น ๆ อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าเจ้ามือจะจัดอะไรให้อีก ชลธีเลื่อนเก้าให้หญิงสาวนั่งลงเรียบร้อยก็หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันแล้วเปิดเมนูสั่งอาหารให้ตัวเองและแขกพิเศษอย่างรู้ใจ

                “พี่เห็นว่าน้องพลูชอบบรรยากาศที่นี่ เลยโทรมาจองเอาไว้ก่อน”

                “น้องพลูอาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้” คนปากไม่ตรงกับใจยื่นนิ้วไปสัมผัสกลีบดอกไม้แผ่วเบา

                “แต่วันนี้น้องพลูต้องชอบ”

                คำว่า ‘ต้องชอบ’ ที่เขาบอกไม่ใคร่กระจ่างนักว่าทำไมต้องชอบ บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครคิดหรือพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเบาดังเป็นระยะสลับกับการรับประทาน บางครั้งชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปจับลอนผมสวยของสาวน้อยฝั่งตรงข้าม บางครั้งก็ไล้พวงแก้มปลั่งสีกุหลาบ สำหรับคำพูดเป็นปริศนายังไม่ได้การเฉลยจนอาหารจานหลักถูกยกเก็บไปตามด้วยของหวานเป็นฟองดูว์ผลไม้สดซึ่งยกมาเพียงที่เดียว ส่วนชลธีขอแค่ไวน์เพิ่มระหว่างรอให้หญิงสาวละเลียดกินของหวานจนหมด

                เมื่อจานของหวานถูกเก็บไป บนโต๊ะจึงเหลือเพียงน้ำส้มคั้นเย็นเจี๊ยบกับไวน์และแจกันดอกลิลลี่ เทียนหอมที่ลอยในอ่างเล็กหลอมละลายจนเป็นน้ำตาเทียนเหลวอยู่ในพิมพ์รูปดอกไม้ของมัน แทนดาวหยิบผ้าเช็ดปากแตะมุมปากเบา ๆ แล้วมองหน้าคนเลี้ยงข้าวด้วยรอยยิ้มหวานจับจิตจนคนถูกมองต้องยิ้มตอบ ชายหนุ่มเอนตัวเข้ามาข้างหน้าจนแสงเทียนจับต้องวงหน้าคมสันสมบุรุษ ผิวสีทองแดงยิ่งดูเนียนละเอียดแสงสีส้มส่องกระทบ ฝ่ามือหนากุมมือบางแล้วเริ่มถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจ

                “ก่อนอื่นเลย พี่ก็ต้องบอกว่า...ขอโทษ...ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับน้องพลูซ้ำแล้วซ้ำอีก พี่พยายามที่จะปกป้องน้อง

พลูอย่างดีที่สุด แต่ก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนได้...พี่เสียใจมากครับ”

                “มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชลทั้งหมดหรอกค่ะ  น้องพลูเชื่อว่า...พี่ชลจะต้องจัดการกับมันได้” น้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจนคนฟังเริ่มไม่สบายใจ

                “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็ยังรู้สึกกับน้องพลูไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป น้องพลูจะยอมรับได้ไหม...ถ้าจะต้องแต่งงานกับพ่อลูกติดอย่างพี่” เสียงนั้นช่างฟังดูกล้ำกลืนฝืนทน แทนดาวจ้องลึกลงไปดวงตาประกายเหล็กกล้าอย่างค้นคว้าในขณะเดียวกันก็หวนคิดถึงที่คำพูดของบิดา

                “ผู้ชาย...มันก็ต้องผ่านเรื่องรักใคร่ฉาบฉวยมาบ้างตามประสาประสาคนโสด แต่เขารู้...ว่าน้องพลูไม่ใช่ของเล่น ๆ ที่จะทำแบบนั้นได้ พ่อเชื่อในเกียรติของเขา เพราะว่าเขาได้ให้เกียรตินั้นกับน้องพลูด้วย...หนูคงรู้ถึงข้อนี้ดีใช่ไหมลูก”

                “ถ้า...ผลการตรวจยืนยันแล้วว่าเด็กเป็นลูกพี่จริง พี่จะรับรองบุตรที่เกิดกับปรางให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงส่งเสียค่าเลี้ยงดูตามความเหมาะสม และถ้าเขายอม...หรือศาลตัดสินให้ลูกอยู่กับพี่ น้องพลูจะรังเกียจหรือเปล่า พี่ไม่ได้รักปราง...พี่รักน้องพลู อยากแต่งงานกับน้องพลูคนเดียว”

                หญิงสาวแลเห็นแววแห่งความหวังอยู่ในนั้น ไม่เกี่ยงหรือรังเกียจรังงอนอะไรหรอกที่จะต้องเป็นแม่เลี้ยง เข้าใจดีว่าคนเป็นพ่อก็ย่อมต้องรักลูกเป็นธรรมดาเหมือนที่ตนได้รับความรักจากบิดาหรือพี่ชายก็ดี เปรมยุตาเสียอีกต่างหาก...อยากจะมีลูกจริง ๆ หรือเพียง ‘ตั้งใจ’ หาเรื่องผูกมัดเท่านั้น นาทีนี้พูดได้เต็มปากว่าเทใจชลธีเกินร้อย ในทำนองเดียวกันก็อดสงสารไม่ได้ บุรุษหนุ่มผู้มากความสามารถเปรื่องปราดในชั้นเชิงธุรกิจกลับต้องมาพ่ายแพ้ชั้นเชิงสตรีน้ำนิ่งไหลลึกอย่างเปรมยุตา

                “น้องพลู...” อยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หัวสมองอื้ออึงปิดกั้นเสียงทุกสิ่งทุกอย่าง อยากหายตัวกลับบ้านแล้วซบหน้าร้องไห้กับหมอนระบายความอัดอั้นตันใจ

                “ไม่เอาสิครับ...อย่าร้องไห้ ถ้าไม่ใช่เพราะรักพี่แล้ว...ก็อย่าร้องไห้ให้กับคนที่น้องพลูเกลียดเลย”

                “ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิคะ ถึงต้องร้องไห้เพราะ...รักพี่ชล”

                ชลธีนิ่งฟังแล้วค่อย ๆ ยิ้มออกมาด้วยความตื้นตัน ดวงตาเรียวยาวสีเหล็กรื้นน้ำตา ใบหน้าคมสันโน้มหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้าหวานเจือรอยเศร้า ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าออกไปให้พ้นทางแล้วแตะริมฝีปากข้างแก้มปลั่ง แทนดาวหลับตารับจุมพิตอ่อนหวานราวกับผีเสื้อโบยบิน

                “แต่งงานกับพี่ไหม”

                น้ำเสียงนั้นนุ่มกว่าที่เคยได้ยินและแม้ว่าแสนจะแผ่วเบาแต่มันก็แจ่มชัดในหัวใจ แทนดาวค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าเขาอยู่ห่างนิดเดียวแค่ปลายจมูกเฉี่ยวกัน ใกล้เสียจนได้กลิ่นน้ำยาโกนหนวดผสมยาสูบยี่ห้อโปรดที่เขาใช้ประจำ นัยน์คู่สวยดุจท้องฟ้ายามราตรีเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว ไม่มีใครอื่นเลยนอกจากเขาและหล่อน ณ ที่นั้น

                ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ชานระเบียงร้านแบบเปิดโล่งยังไม่ได้เปิดไฟสักดวง ทว่าเมื่อสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่าแสงสว่างที่วูบวาบอยู่ขณะนี้มาจากเปลวเทียนหอมนับสิบ ๆ อันที่ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ ทั้งบนโต๊ะอาหาร ทางเดิน หลากรูปแบบ หลายสีสันและต่างขนาด ไม่รู้ว่ามันสว่างขึ้นพร้อมกันเมื่อใดหรือว่าใครไปแอบจุดตอนไหน แต่มันกำลังลนหัวใจดวงเล็กจนหลอมละลายเป็นน้ำตาเทียน

                “น้องพลูขอโทษ...”

                แสงสลัวจากเทียนหอมในอ่างใบเล็กส่องกระทบใบหน้าคมสันจนเห็นรูปหน้าคมคายชัดเจน สีหน้ายังคงนิ่งสงบ

ภายใต้แรงเทียนวิบไหว คงมีเพียงแทนดาวเท่านั้นที่เห็นหยดน้ำตาเล็ก ๆ ถูกคั้นออกมามาจากนัยน์ตาสีเหล็กสะท้อนแสงแวววาวล้อเล่นกับแสงเทียน

                ชลธีรู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบมันจะต้องเป็นแบบนี้ การปฏิเสธของแทนดาวบอกชัดแล้วว่าความสัมพันธ์ที่พยายามสร้างมาเกือบปีดำเนินมาสุดทางแล้ว เขาไม่คิดแค้นหรือชิงชังใครนอกจากตัวเองที่ทำตัวน่าขยะแขยงจนผู้หญิงหักอกเอา นับแต่นี้จะไม่มีวันย่างก้าวเข้าไปทำให้ชีวิตของหล่อนต้องแปดเปื้อนความสกปรกใด ๆ อีก

                ตอนที่ขับรถไปส่ง เหมือนกับว่ากำลังพาตัวเองไปตกนรกอย่างไรอย่างนั้น เพราะทันทีที่แทนดาวก้าวลงจากรถไปทั้งน้ำตาอาบแก้ม หัวใจของเขาก็เหมือนกับถูกกรีดแล้วโยนลงไปในอ่างน้ำกรด มันเจ็บลึก ปวดร้าวและแสบร้อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบังคับตัวเองให้ขับรถกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรโดยไม่เกิดอุบัติเหตุ  ไม่นึกว่าการพบกันครั้งนี้มันจะเป็นการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะ ‘คนรัก’

               

                ในขณะที่อีกคนหนึ่งเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินรดหมอนจนเปียกเป็นดวงกว้าง การปฏิเสธคำขอของเขามิได้ทำให้โล่งใจหรือรู้สึกหลุดพ้นต่อห่วงหนักอึ้งที่คล้องคออยู่ ที่ตอบไปอย่างนั้นไม่ใช่เพราะอายที่ผู้หญิงคนนั้นมาตะโกนร้องว่าท้องกับเขา แต่ความคิดในตอนนั้นคือ...ชลธีมีเรื่องราวยุ่งเหยิงในชีวิตมากมายต้องจัดการ ถ้าหากยังมีหล่อนอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ก็ไม่วายต้องห่วงพะว้าพะวงอีก สู้ปล่อยให้เขาไปจัดการ ‘ธุระ’ ของตัวเองให้เรียบร้อยและทำหน้าที่ ‘พ่อ’ ให้เสร็จสมบูรณ์จะดีกว่า เพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้เองว่า ต้องจบ...ทั้งที่รัก มันทรมานปานใด หัวใจรวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

                ความกดดันและอึดอัดทำให้ไม่อาจทนอยู่กับความทะมึนในจิตใจแบบนี้ได้อีกต่อไป หญิงสาวพาร่างตัวเองเดินโซเซไปเคาะห้องพี่ชายในเวลาเที่ยงคืนพอดี เทียมภพงัวเงียเปิดประตูแล้วก็ขยี้ตาหลายครั้งเมื่อเห็นน้องสาวยืนตาบวมอยู่หน้าห้อง โดยที่ไม่ทันได้ซักถามอะไร คนเกิดทีหลังก็โถมตัวเข้ากอดแน่น ซบหน้าร่ำไห้เป็นวรรคเวรกับอกอุ่น

                “น้องพลูไม่ไหวแล้ว” เสียงสั่นสะอื้นบอกพี่ชาย

                “น้องพลูเป็นอะไร ไอ้ชลมันทำอะไรเรา”

                “เขาไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ แต่น้องพลูไปทำเขา”

                “หืม...”

                คำตอบของน้องสาวสร้างความพิศวงให้อย่างหนัก จนได้ฟังคำบอกเล่าเก้าสิบก็เข้าใจ แทนดาวรักชลธีมากจนยอมหยุดตัวเองไว้เพื่อให้คนรักได้กลับไปแก้ไขสิ่งผิด

                “พี่หมากขา...น้องพลูคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ พี่หมากว่าน้องพลูควรทำยังไงดี”

                เทียมภพดันตัวน้องออกเพื่อที่จะมองหน้าสาวน้อยที่ฟูมฟักมาแต่เล็กแต่น้อยให้ชัด ๆ เห็นน้ำใส ๆ คลอหน่วยอยู่ในลูกตาดำขลับ เขาไล้มือที่แก้มบางสีชมพูระเรื่อนั้นเบา ๆ แล้วน้ำตาก็หยดลงบนข้อนิ้วนั้น คนเกิดก่อนมีอาการแน่นเหมือนถูกแผ่นศิลาทับอก

                “ถามหัวใจตัวเองดูซีคะ”

                แทนดาวซบหน้ากอดพี่ชายแน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก เทียมภพลูบหลังไหล่อย่างปลอบประโลม หากเลือกได้...ก็ไม่อยากให้ใครมาพรากแทนดาวไปจากอ้อมอก แต่เทียมภพดีว่า...มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเลือกทางเดินของตัวเองในวันหนึ่ง เขาไม่สามารถดูแลแทนดาวไปได้ตลอดชีวิต หล่อนจะต้องมีคนคอยปกป้องคุ้มครอง ให้ความรักและดูแลเอาใจใส่เหมือนกับที่เขามอบให้มาตลอดชีวิต

                “ใบพลู...พี่รู้ว่าหนูกำลังสับสนและลำบากที่จะตัดสินใจ พี่เสียใจจริง ๆ ที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย พี่ทำได้แต่...ถ้าเราตอบตกลง พี่จะเป็นคนพาเราไปเอง...”

                เสียงอบอุ่นเปี่ยมไปด้วยความอาธร ด้วยความที่เป็นพี่และในฐานะผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผ่านประสบการณ์ความรักมาทุกรูปแบบก็อยากจะท้วงว่าสิ่งที่ตัดสินใจลงไปมันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ผลดีจะไม่เกิดกับใครทั้งสิ้น ซ้ำร้ายจะได้รับความเจ็บช้ำบั่นทอนจิตใจให้ทุกข์ทรมานกันทั้งคู่เท่านั้น เทียมภพตัดสินใจดีแล้วว่า...จะให้น้องได้ขบคิดและแก้ไขปัญหาหัวใจของตัวเอง ถ้าหล่อนก้าวข้ามความยากลำบากเล็ก ๆ ตรงนี้ไปได้ ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในการจัดการกับปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องพบเจอในภายภาคหน้า

                “แต่ถ้าบอกว่าไม่...พี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องน้องพลูอีก พี่ไม่มีวันทิ้งหนูอยู่แล้ว น้องพี่...พี่เลี้ยงได้อยู่สบาย และมั่นใจด้วยว่าไม่มีใครในโลกนี้จะรักหนูได้เท่าพี่หมากคนนี้อีกแล้ว”

                “แต่เขาไปแล้วค่ะพี่หมาก เขาไปแล้ว...”

                “น้องพลู...ฟังนะครับ คำว่า...ไป...คือการที่ไปแต่ตัว แต่หัวใจเขายังอยู่กับเรา ไป...เพราะอยากให้น้องพลูสบายใจและปลอดภัยจากเรื่องร้าย ๆ ทั้งหลายแหล่ พี่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ง่าคนอย่างไอ้ชล...ถ้ามันรักใคร มันรักด้วยชีวิต พี่เชื่อว่า...ชีวิตของมันหลังจากนี้คงเหมือนตายทั้งเป็น เพราะน้องพลูเด็ดเอาหัวใจของมันไปด้วย”

                “น้องพลูอยากให้เขากลับไปทำในสิ่งที่ถูกต้องค่ะ”

                “อะไรคือ...ถูกต้อง...ในความคิดของหนูล่ะ ถ้าจะหมายถึงเรื่องลูกอะไรนั่น พี่บอกเลยว่าให้ลืมมันซะ ปรางเขาไม่ได้ท้องหรอกนะ เขาท้องไม่ได้อีกแล้ว”

                “หมายความว่ายังไงคะ” คำบอกเล่าจากพี่ชายทำให้แทนดาวเบิกตาโต ความเสียอกเสียใจถูกบดบังด้วยความกระหายใคร่รู้

                “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ไอ้ชลก็ไม่รู้ แม้แต่ปรางเองก็เพิ่งจะรู้จากปากพี่ เอาเป็นว่า...รอให้เจ้าตัวเขามาเล่าเองดีกว่านะ”

                แทนดาวคิดไม่ตก ทั้งเรื่องลับที่ไม่มีใครรู้ ทั้งคำถามที่ยังเวียนวนอยู่ในหัว ถ้าจะกลับไปบอกเขาใหม่...ชลธียังจะอยู่รอฟังหรือเปล่า ทุกอย่างจะต้องกลั่นกรองให้รอบคอบที่สุดเพราะการตัดสินใจครั้งนี้คือการเปลี่ยนชีวิตตนเองไปตลอดกาล

               

                คุณลำเภาหยิบกระดาษแผ่นแรกสุดที่ปลายเดือนปริ้นท์มาจากคอมพิวเตอร์ขึ้นดู หญิงชราเพ่งสายตาดูภาพเพียงอย่างเดียวเพราะตัวหนังสือมีขนาดเล็กมากทั้งยังเป็นภาษาอังกฤษล้วน หูก็ฟังหลานสาวคนรองที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ อธิบายรายละเอียดประกอบ เทียมภพก็นั่งหน้าเครียดอยู่ด้วย ไม่ต้องเดาเลยว่าเขาไม่ค่อยเห็นด้วยนักกับการตัดสินใจของน้องสาวคนรอง

                “คิดดีแล้วเหรอสีผึ้ง”

                ปลายเดือนคลานเข่ามาหาพี่ชาย วางมือบนเข่าข้างหนึ่งแล้วเงยหนามองอย่างขอความเห็นใจ เทียมภพจับศีรษะได้รูปเบาๆเหมือนพี่ชายปลอบน้องน้อย เขาเข้าใจถึงความตั้งใจดีของน้องสาวคนรอง

                “ผึ้งคิดมาหลายวันแล้วค่ะ พี่หมากอย่าห้ามเลยนะคะ ที่ผึ้งตัดสินใจไปคราวนี้...ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้าผู้คนเพราะอายในเรื่องที่ก่อไว้ แต่เพราะว่าทุกคนให้โอกาส ผึ้งก็เลยอยากจะใช้โอกาสอันมีค่านี้พัฒนาตัวเอง จะได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น แล้วก็มาทำประโยชน์ให้ทวีกิจ...พี่หมากว่าไม่ดีเหรอคะ”  

                 “อากับคุณแท้ก็เห็นด้วย เรา...อยากให้สีผึ้งไปเรียนต่อ” คุณระรินหนุน

 

                “สองปี...พูดถึงมันก็ไม่นานหรอก เรียนโทอีกใบก็ดี มีความรู้หลาย ๆ แขนงไม่เสียหาย” คุณลำเภาสนับสนุนอีกแรง

                “ถ้าเราตัดสินใจดีแล้วพี่ก็ไม่ทัดทานต่อหรอก แล้วจะเดินทางเมื่อไหร่”

                “รอทางมหา’ลัยตอบรับค่ะ ผึ้งกรอกใบสมัครออนไลน์ไปแล้ว แต่คิดว่าไม่น่าจะติดขัดอะไรเพราะเอกสารทุกอย่างก็มีครบหมด”

                “เฮ้อ...มีน้องสาวสองคน นับวันจะก็จะหนีหายกันไปหมด” เทียมภพบ่นไม่จริงจังนักพลางคิดถึงน้องสาวคนเล็กที่ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง

                “พี่หมากก็คิดมากไป ผึ้งไปเรียนแป๊บเดียวก็กลับมา ยังไงเสียก็ไม่มีวันทิ้งทวีกิจหรอกค่ะ”

                “ดีแล้ว รีบเรียน...รีบกลับ ตำแหน่ง ‘รองประธานกรรมการ’ รอเราอยู่ อาแท้จะได้วางมืออย่างสบายใจที่มีลูกสาวคนเก่งมานั่งเก้าอี้แทน”

                “จริงเหรอคะ พี่หมาก”

                ปลายเดือนลิงโลดกับข่าวใหม่ที่พี่ชายบอก ทั้งมารดาและคุณลำเภาพยักหน้าพร้อมกันเป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นความจริง คุณเที่ยงแท้บิดาของหล่อนแจ้งความจำนงอยากเกษียณตัวเองมาสักพักใหญ่แล้ว แต่เทียมภพค้านไว้เพราะยังไม่อยากให้ทวีกิจขาดเสาหลักอีกต้นหนึ่งไป

                “ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับน้องสาวคนนี้อีกแล้ว” เทียมภพยิ้มกว้างให้น้องสาว

                “แล้วน้องสาวคนนี้ล่ะคะ เหมาะจะเป็นอะไรได้บ้าง”

                การเข้ามาแทรกกลางวงสนทนาของแทนดาวเรียกความสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะบุคคลที่สาวน้อยจูงมือเข้ามาด้วย

เรียกรอยยิ้มจากทุกคน ชายหนุ่มร่างสูงยาว หน้าตาผสมเชื้อสายไทย-จีน ใบหน้าขาวสะอาดยิ่งบานแฉ่งขึ้นขณะส่งยิ้มให้ปลายเดือนที่เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ ตอบ เขายกมือไหว้กราดไปรอบวงแล้วเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนม

                “อาม่ากับม๊าทำขนมจีบไว้เยอะ เลยแบ่งเอามาให้ที่นี่ครับ” บุรินทร์วางปิ่นโตเถาใหญ่บนโต๊ะเล็ก แถมด้วยกล่องพลาสติกอีกใบบรรจุก้อนแป้งลักษณะคล้ายหมั่นโถว ในถุงพลาสติกมีผลไม้หน้าตาแปลก ๆ อีกหลายผล

                “เหมาะจริง..ว่าจะเข้าไปหาอยู่วันสองวันนี้ เจ้าหมากเขาจะพาแม่ไปดูทองหยองเป็นสินสอดงานแต่ง แล้วก็จะเลยไปร้านเพชรของเจ้าบิ๊กด้วย พ่อคนนี้เขาว่าของเก่าที่ย่าจะยกให้มันเป็นของมรดกก็อยากเก็บไว้ให้น้อง ๆ เขาอยากซื้อหาของตัวเอง...ก็สุดแท้แต่ล่ะ”

                “ยินดีด้วยนะหมาก แซงหน้าเฮียไปอีกคนแล้ว”

                “เอาน่า...ของแบบนี้ต้องใจเย็น ๆ ช้า ๆ ได้เมียคนงาม ตอนนี้เนื้อคู่ของเฮียอาจจะกำลังโคจรมาเจอกันก็ได้”  คนพูดทิ้งความนัยทำให้ทั้งปลายเดือนและบุรินทร์หันมาสบตากันโดยอัตโนมัติแล้วก็หลบวูบในแทบจะทันที

                “ผมจะมาบอกข่าวด้วย จะมาชวนไปงานตรุษจีนน่ะครับ ไปกันให้หมดบ้านเลยนะครับ”

                “น้องพลูไม่พลาดอยู่แล้ว ปีนี้จะทำขนมเทียนอีกไหมคะ น้องพลูอยากไปช่วยทำอีก”

                “ทำสิจ๊ะ เนี่ย...ว่าจะมาเกณฑ์กำลังพลอยู่นี่ไง น้องผึ้งล่ะ...ว่างไปช่วยอีกไหม”

                ปลายเดือนพยักหน้ายิ้ม ๆ บุรินทร์สังเกตเห็นกระดาษใบหนึ่งในมือหญิงสาวแล้วเหลือบมองไปบนโต๊ะที่มีกระดาษแบบเดียวกันวางอยู่อีกหลายใบด้วยความสงสัย หญิงสาวเห็นสีหน้าฉงนของฝ่ายนั้นก็ไม่รอให้เขาตั้งคำถาม

                “มหาวิทยาลัยที่ผึ้งจะไปเรียนจ้ะ”

                คำตอบราบเรียบชวนให้สีหน้าของคนฟังเปลี่ยนไป เหมือนมีสายฟ้าฟาดตรงกลางหน้าอกของบุรินทร์แรง ๆ สักร้อยครั้ง ความรักที่ไม่สมหวังยังไม่เจ็บเท่ารู้ว่าคนที่เรารักกำลังจะห่างออกไปทุกที ทั้งใจหายและอาวรณ์ในคราวเดียวกัน นัยน์ตาเรียวเล็กเกิดประกายสลดจนจังเกตเห็นได้ชัด นั่นยิ่งทำให้ปลายเดือนรู้สึกไม่สบายใจ

                “แหม...ไปแค่สองปีเองค่ะเฮียบุ้ง ถ้าคิดถึงก็ตามไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ผึ้งสิ” แทนดาวทำลายความเงียบอึดอัด

                “ผึ้งอยากเรียนโทอีกใบ เจอมหา’ลัยนี้เปิดคอร์สสำหรับผู้บริหาร เพื่อนของผึ้งหลายคนก็จบจากที่นี่ คิดว่าเรียนจบแล้วจะมีประโยชน์กับงานมากทีเดียว”

                “อ้อ” ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือจะเข้าใจแต่สีหน้าฝาดเฝื่อนบ่งบอกว่าในหัวกำลังคิดอะไร

                “ผมต้องกลับแล้วล่ะ วันนี้ ป๊า ม๊า กับอาม่าเอาขนมจีบไปแจกบ้านญาติ  มีแต่เด็ก ๆ เฝ้าร้าน ต้องรีบกลับไปดู หมากจะเข้าไปวันไหนก็ตามสะดวกเลยนะ ช่วงนี้เฮียอยู่โยงเฝ้าร้านตลอด ให้คนแก่สองคนพากันเที่ยวตามประสาหนุ่มสาวเหลือน้อยบ้าง”

                บุรินทร์ล่ำลาผู้ใหญ่ก็รีบหลบฉากออกไปโดยยังไม่ทันจิบน้ำสักอึก แทนดาวรีบลุกตามไปส่ง ส่วนปลายเดือนแสร้งเปิดเถาปิ่นโตดูของฝากคล้ายจะกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

                “ดู๊...เฮียบุ้งเอาขนมจีบมาให้แบบนี้...จะเรียกว่ามา ‘จีบ’ ได้หรือเปล่านะ”

               

                ในตอนเย็นวันเดียวกัน บ้านทวีกิจไพศาลก็เปิดประตูต้อนรับ ‘แขกพิเศษ’ ที่เทียมภพสู้อุตส่าห์ไปรับมาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีชลธีกับรมย์นลินที่ตามมาสมทบในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้บรรยากาศมื้อเย็นวันนี้ดูอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกคนยิ้มเยื้อนพูดคุยกันสบาย ๆ ยกเว้นบางคนที่มีอาการผิดแผกไป คนแรกก็เปรมยุตา ใบหน้าของหล่อนยังเจือรอยเศร้าหมองแลดูโทรมลงไปถนัดตา ส่วนอีกคนก็คือแทนดาวที่หน้าตาเหมือนคนกินของขมอยู่ตลอดเวลา

                หลังมื้ออาหาร ทุกคนย้ายไปนั่งรวมกันในห้องโถงกลางเพราะห้องนั่งเล่นดูจะคับแคบเกินไปสำหรับจำนวนคน เปรมยุตานั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมต่อหน้าคุณเที่ยงธรรมและคุณดวงทิพย์ สองมือยกขึ้นประนมแล้วน้อมไหว้อย่างคนที่มีกิริยางดงามอ่อนช้อยตามลักษณะนิสัยแท้

                “หนูกราบขอโทษที่ก่อเรื่องไม่งาม แสดงกิริยาวาไม่สุภาพ ไหนจะทำข้าวของเสียหายอีก ทุกอย่างที่หนูเล่าไปเมื่อกี้...เป็นความจริงทุกประการ หนูไม่หวังว่าจะได้รับการอภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก...ใบพลู ที่ทำให้เสื่อมเสียและเกือบต้องมีอันเป็นไป...”

                ทั้งสองท่านไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็รับรู้ตรงกันว่า แม้จะไม่ได้โกรธแค้นอาฆาตกับความเลวร้ายที่เปรมยุตาได้วาง แผนกระทำต่อบุตรสาวคนเล็ก แต่ความเป็นพ่อแม่...ย่อมไม่อาจทำใจให้อภัยกับคนที่ปองร้ายลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจได้  มีเพียง แต่เทียมภพที่ยื่นมือมาบีบบ่างองุ้มของคนผิดเป็นเชิงให้กำลังใจ

                “คิดได้อย่างนี้ก็ดี หลังจากนี้ก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่นะ” คุณลำเภาเอ่ยอย่างมีเมตตา

                เปรมยุตายิ้มเจื่อน ๆ แววตายังคงแห้งแล้ง ความรู้สึกผิดระคนละอายแก่บาปเกาะกินจิตใจจนไม่กล้าเงยหน้าสบตาใครโดยเฉพาะกับสตรีอ่อนวัยกว่าที่เคยกล่าวหาว่าแย่งสามีไป  ความอยากช่วงชิงจะเอาแต่ชนะจนไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมามิได้ส่งผลเสียหายต่อตัวเองเท่านั้น แต่คนรอบข้างที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็พลอยกระทบกันไปหมด

                บทเรียนครั้งนี้แม้จะไม่หนักหนาเท่าในอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้เปรมยุตาต้องรับเคราะห์กรรมเป็นการชดใช้ ‘บาป’ จากการทำลายสายเลือดของตัวเอง และยังความผิดที่ได้กระทำต่อเพื่อนร่วมงาน จริงอยู่ว่าทุกคนในที่นี้จะไม่เอาเรื่องเอาราวอันเป็นไปตามจริยธรรมในใจ แต่คดีความทางกฎหมายยังไม่สิ้นสุดง่าย ๆ ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

                ส่วนแทนดาวกลับไม่คิดเช่นนั้น ถึงในใจจะหมดเรื่องติดค้างกับเปรมยุตาแล้วก็มิได้ทำให้คลายความว้าวุ่นใจได้เลย เรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังจากปากสตรีที่เคยมุ่งร้ายตนกลับทำให้กังวลหนักที่เข้าใจชลธีผิดไปทั้งหมด ไอ้ที่เคยดีอกดีใจว่าเข้าอกเข้าใจเขานั้น...ความจริงแล้วกลับไม่รู้อะไรเลยต่างหาก ดูเถิด...ตั้งแต่เหยียบย่างเข้าบ้านมาก็ไม่แม้แต่จะเหลียวหางตามอง ไม่แม้แต่จะทักทายให้สบายใจสักนิดว่ายังมีความเป็นพี่ เป็นเพื่อน เหลืออยู่ พอจะแลไปสบตาแข็งกระด้างคู่นั้นก็ใจฝ่อ เพราะทุกครั้งที่ชำเลืองมองไป ฝ่ายนั้นก็เมินสายตาไปทางอื่นเสียทุกที ราวกับว่าไม่ปรารถนาจะเห็นตนอยู่ในสายตาอีกต่อไป

               

                ที่ศาลาทรงแปดเหลี่ยมริมสระยามค่ำ สามหนุ่มสาวยืนคุยกันเงียบ ๆ อยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ กัน เทียมภพกับชลธียืนพิงลูกกรงศาลาคนละฝั่ง เปรมยุตานั่งบนตั่งไม้สัก ถ้าเป็นเมื่อเกือบสิบปีก่อนก็คงจะได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อกันระหว่างเพื่อนรักสามคนนี้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งหมดล้วนแยกกันเดินบนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ความปรวนแปรของเหตุการณ์ต่างทั้งหลายนำพาความสนุกสนานรื่นรมย์เมื่อครั้งวัยรุ่นหายไป ณ เวลาปัจจุบันบันทั้งสามจึงเสมือนเป็นความทรงจำของกันและกัน

                “ผมช่วยคุณได้เท่านี้จริง ๆ นะปราง...” เทียมภพเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ‘ผู้หญิงที่เคยรัก’ ให้หลุดพ้นจากบทลงโทษทางกฎหมาย

                “หมากทำให้ปรางมามากพอแล้วค่ะ ถึงเวลาที่ปรางจะต้องแบกรับผลการกระทำทั้งหมดเอง อีกสองวันก็ต้องไปตามหมายเรียก”

                “ผมเสียใจเรื่องลูกนะ แต่ก็เสียใจยิ่งกว่าที่รู้ว่าคุณจะมีลูกไม่ได้อีก ปราง...ถึงอย่างนั้น เรายังสามารถเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ชีวิตได้อีกหลายทาง ผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณจะต้องเจอคนที่คิดเหมือนกัน” ชลธีเดินเข้ามาใกล้ แววตาเรียบเฉยว่างเปล่าขณะมองลึกลงไปในดวงตาแห้งแล้งสิ้นหวัง

                “ผมกับไอ้ชลจะคอยเอาใจช่วยนะ” 

                ทั้งสามต่างจับกุมมือซึ่งกันและกัน แม้วันวานที่เคยหวานจะไม่อาจหวนคืนกลับมา แต่วันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ และวันต่อ ๆ ไป ทั้งหมดต่างมั่นใจว่ามันจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ

                เปรมยุตากลับไปนานแล้ว แต่สองหนุ่มยังนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม ความไม่เข้าใจกันที่ต่างคนต่างปล่อยปละละเลยจนเนิ่นนานแรมปี จากคนที่คุยกันทั้งวันทั้งคืนก็ไม่เบื่อ กลับกลายเป็นคู่กัดที่คุยกันเกินสองประโยคไม่ได้ มาวันนี้...เมื่อหีบแห่งความลับถูกไขกุญแจเปิดออก ใครที่อยู่แถว ๆ นั้นก็จะได้ยินเสียงพูดคุยด้วยภาษาเพื่อนสนิทดูราวกับจะช่วยกันเติมเต็มช่องว่างแห่งมิตรภาพที่ทิ้งร้างมานานนับสิบปี

                “นี่...เอาไว้พรุ่งนี้แกเข้าไปทวีกิจแล้วค่อยคุยกัน ฉันไปหาแฟงเดี๋ยวนะ...ไอ้พี่เขย”

                เทียมภพจิ้มมวนบุหรี่ที่เหลือเพียงก้นกรองลงในกระถางทรายแล้วเดินหายเข้าบ้านไป ชลธียังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่เดิม สายตาของเขามิได้สอดส่ายหา ‘ใคร’ เป็นพิเศษเฉกเช่นที่ปฏิบัติมาเสมอยามเข้ามาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ กลับกัน....อยากจะหลับตาลงเสียจะได้ไม่เห็นคนที่เด็ดกระชากหัวใจของเขาไปจากร่างผ่านเข้ามาในระยะสายตาให้ต้องทรมานใจ แต่ความปรารถนานั้นกลับให้ผลในทางตรงข้ามเสียแล้ว เพราะคนที่ทำการฆาตกรรมเขาทางอ้อมเดินย่องเงียบเข้ามาอยู่ในที่เดียวกัน

                “พี่ชลคะ...น้องพลูมีอะไรจะบอก”

                คนพูดพยายามจะทำเสียงให้ดูร่าเริงแต่ก็ไม่อาจบดบังท่าทีหงอยเหงาที่เป็นอยู่ได้ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาดุดันยังคงจับจ้องที่ไล้ท์เตอร์ในมือราวกับว่ามันเป็นสิ่งอัศจรรย์กระนั้น ท่าทีเมินเฉยที่อีกฝ่ายแสดงอยู่ตอนนี้ยิ่งทำให้แทนดาวตัวหดลีบลงไปอีกหลายนิ้วเพราะเขาไม่เคย ‘ผิดอาการ’ กับตนเช่นนี้แม้แต่ครั้งเดียว

                “พี่จำเป็นต้องฟังไหม” คำถามย้อนกลับสั้นแต่เย็นชาจนคนฟังสะอึก

                “พี่ชล...”

                “ที่น้องพลูตอบพี่วันนั้นมันชัดเจนจนไม่ต้องการคำขยายความอะไรอีก...ขอตัวนะครับ”  

                “ฟังสักนิดไม่ได้เหรอคะ เราจะไม่เข้าใจกันแบบนี้จนตายจากกันหรือไง” แทนดาวรีบเดินไปขวางหน้าคน มือเล็กเกาะแบนข้างหนึ่งไว้แน่นหนา

                “แล้วน้องพลูไม่เข้าใจอะไรอีก พี่รับปากแล้วนี่ครับ...ว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับน้องพลูอีก จะไม่เข้ามาวุ่นวาย ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้พี่ต้องแวะเวียนมาที่นี่ก็เพราะยังมีภาระผูกพันกับทวีกิจอยู่ ไม่ได้มาเพราะ..อยากเห็นหน้าใคร” ชลธีแกะนิ้วเล็กออกจากข้อมืออย่างนุ่มนวลที่สุดแล้วเดินดุ่ม ๆ จากไปชนิดไม่เหลียวหลัง

                “ฟังกันก่อนสิคะ”

                เสียงเล็กลอดไรฟันรำพันกับตัวเองมากกว่าจะบอกให้คนที่เดินลับหายไปได้ยิน ร่างบางบีบเค้นน้ำตาออกมาในที่สุด ทั้งใจหายและน้อยใจประดังประเดเกถมอยู่ในหัวอก จะต่อว่าที่เขาทำตัวเป็นคนใจร้ายก็ไม่ถูกนัก ตอนนี้ชักไม่มั่นใจแล้วว่า...ระหว่างตนกับเปรมยุตา ใครที่ร้ายกว่ากัน

                ฝ่ายคนที่เดินลิ่ว ๆ จากมาก็ต้องกลั้นใจอย่างหนักไม่ให้หันหลังกลับไปมอง ไม่เช่นนั้นแล้วคงอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปกอดปลอบขวัญคนหน้าซีด อยากปาดน้ำตาแล้วจุมพิตให้หายความเศร้า ถึงจะยากสุดฝืนแต่ก็ต้องทำ…ทำตามที่เพื่อนรักขอไว้

                “น้องพลูเล่าเรื่องระหว่างแกกับเธอให้ฟังแล้วนะ เธอเสียใจมากจริง ๆ ที่พูดไปแบบนั้น แล้วก็อยากปรับความเข้าใจกับแกใหม่ ที่มานั่งคุยกับแกเนี่ย...ไม่ได้อยากจะให้ไปงอนง้อหรือเอาใจอะไรหรอก แต่ว่าอยากจะขออะไรแกอย่าง...” เทียมภพไปพบชลธีที่ธาราในวันรุ่งขึ้นเป็นการส่วนตัว แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับน้องสาวในขณะนี้ให้อีกฝ่ายฟังในลักษณะ ระบายและปรับทุกข์ไปด้วย

            “อย่างที่แกก็รู้ ๆ ฉันเลี้ยงน้องพลูมาแบบไม่เคยให้ตัดสินใจอะไรเอง ไม่เคยให้พบกับความผิดหวัง อยากได้อะไร...ก็หามาประเคนให้ พอเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด...ก็เลยทำอะไรไม่ค่อยจะถูก จะพูดว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์ยังน้อยก็ไม่น่าเกี่ยว มันเป็นเพราะฉันต่างหาก...ที่คอยแต่ปกป้อง พอทำอะไรไม่ได้ขึ้นมาก็ยึดแต่ฉันนี่แหละเป็นที่พึ่ง”

            “อย่างนี้เอง....ถึงห้ามฉันไม่ให้คุยกับน้องพลู”

            “แกพอจะเข้าใจที่ฉันกำลังจะบอกใช่ไหมล่ะ ในเมื่อฉันทำให้น้องเป็นแบบนี้ ฉันเองนี่แหละ..ต้องดัดนิสัยเธอให้ได้ เริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย ให้รู้ซะบ้างว่าความผิดหวังมันเป็นยังไง ต้องแก้ไขยังไง จะทำยังไงถ้าไม่มีใครมาง้อเอาอกเอาใจเหมือนเดิม”

            “เฮ้ย...แรงไปไหม น้องพลูยิ่งขี้งอนอยู่ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่”

            “เมื่อก่อนฉันก็คิดอย่างแกนี่แหละ ยัยพลูถึงได้เป็นอย่างนี้ กลัวนั่นกลัวนี่ เอาเป็นว่า....แกช่วยอยู่ห่าง ๆ จากยัยพลูสักระยะจะได้ไหม จะดูซิว่า...น้องจะแก้ปัญหายังไง”

            “แล้วถ้าน้องพลูเปลี่ยนใจไปจากฉันจริง ๆ ล่ะ แกจะรับผิดชอบยังไง”

            “อะไรวะ...คบกันมาตั้งนานไม่รู้นิสัยน้องฉันอีกเหรอ ยัยพลูน่ะ...รักแกมากพอ ๆ กับที่รักฉันนั่นล่ะ ฉันเลี้ยงมา...ย่อมรู้ดี น้องพลูไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่งั้นน่ะเหรอ...ไอ้อชิมันฉกไปนานแล้ว”

               

                หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปพร้อมกับฤดูฝนที่มาเยือน ดูราวกับว่า...เรื่องราวต่าง ๆ เพิ่งจะเกิดขึ้นและจบลงไปเมื่อวานนี้เอง สมาชิกในบ้านทวีกิจไพศาลยังคงดำเนินชีวิตและทำกิจวัตรต่าง ๆ ไปตามปรกติ เว้นเสียแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจจะเกิดความวุ่นวายเล็ก ๆ ขึ้น ณ บ้านหลังนี้ ก็คือการตกแต่งต่อเติมบ้านเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ที่กำลังจะเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

                เทียมภพดูจะเป็นบุคคลยุ่งที่สุด ต้องรับผิดชอบงานประจำและคอยดูแลการต่อเติมบ้านควบคู่กันไป ห้องนอนเดิมได้รับการขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้น รวมถึงเปลี่ยนวอลเปเปอร์กับผ้าม่านใหม่เป็นสีเหลืองไล่โทนเอาใจว่าที่เจ้าสาว เฟอร์นิเจอร์กับเตียงนอนก็ออกแบบและสั่งทำขึ้นใหม่ทั้งหมด ทุกอย่างเทียมภพเป็นคนดำเนินการเองโดยไม่สนใจคำคัดค้านของว่าที่เจ้าสาวที่เห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง พอบ่นเข้าก็จะย้อนว่า

                “ต้องต้อนรับให้สมเกียรติ เมียดีเด่นแห่งชาติ”

                 ในระหว่างนี้ทั้งคู่ก็ต้องเดินสายแจกการ์ดเชิญ ก่อนหน้านี้ก็เดินทางไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ของรมย์นลินที่ตรัง รายชื่อแขกเกือบจะตกพันคนเกินการคาดคะเนของว่าที่เจ้าสาวไปไกลมาก ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติและเพื่อนสนิทไม่เกินสองร้อย แต่เทียมภพอีกนั่นล่ะที่มีโองการเชิญแขกเหรื่ออย่างกับจะแต่งกองทัพไปรบ ตัวเลขสักขีพยานก็เลยพุ่งสูงหลายเท่าเพราะแค่ญาติโกโหติกาทั้งสองฝั่งรวมกันก็ปาไปเกือบร้อยแล้ว ไหนจะแขกทางฝั่งบิดาที่มีทั้งลูกค้า คู่ค้า ข้าราชการ ฝั่งคุณวารีก็กว้างขวางอยู่ไม่น้อย ไหนจะเพื่อน ๆ สมัยเรียนของทั้งคู่ ยิ่งพรรคพวกของเทียมภพก็มีอยู่ทั่วสารทิศ ไม่นับรวมพนักงานของทวีกิจกับธาราอีกนับร้อยคน

                “ทีตอนยังไม่มีเมียเป็นตัวเป็นตนล่ะ…ชอบเอาไปซุบซิบกันนัก ตอนนี้มีเป็นทางการแล้วก็ประกาศให้รู้ทั่วกันเสียเลย ดูซิว่า...ข่าวฉาวกับข่าวดี อะไรมันจะดังกว่ากัน”

            ในขณะที่ชีวิตของเทียมภพกำลังจะก้าวสู่การเริ่มต้นครอบครัว ชีวิตของแทนดาวก็เดินทางมาถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ชีวิตนักศึกษาสิ้นสุดลงแล้ว แต่พี่ชายยังคงปรารถนาดีอยากเห็นอนาคตของน้องสาวรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งขึ้นก็เลยมุ่งมาดวาดหวังให้เรียนต่อในระดับปริญญาโททันที กระนั้นก็ยังใจดีอะลุ่มอล่วยให้พักสมองเป็นเวลาหนึ่งปี ในระหว่างรอรับพระราชทานปริญญาบัตรก็ไปช่วยสอนเปียโนแทนรมย์นลินที่กำลังวุ่นวายเรื่องงานแต่งงาน

                การได้ออกไปทำงานนอกบ้านเป็นทางออกที่ดีสำหรับแทนดาวที่ต้องการหยุดคิดเรื่องของชลธี ซึ่งนับวันจะเจอแต่ทางตัน นานนับเดือนแล้วที่ไม่ได้พูดกันเป็นเรื่องราวนับแต่แยกกันคราวนั้น เวลาเจอหน้าก็ได้แต่ทักทายตามมารยาท พอคุยด้วยก็ถามคำตอบคำจนบางครั้งแทนดาวก็เกือบจะท้อใจ อย่างวันนี้พอเลิกสอนก็แวะไปหาที่ธาราโดยใช้ข้ออ้างที่แสนธรรมดามากก็คือ หิว...มาหาข้าวกิน

                “คุณชลเพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”

                เลขานุการคนใหม่แจ้งข่าวที่ทำเอาหัวใจดวงน้อยเบาโหวง ความผิดหวังน้อยใจก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุเฮอริเคน ทำไมเขาจึงผิดนัดกะทันหันทั้งที่เมื่อตอนกลางวันก็ตอบตกลงดิบดี หญิงสาวอยากจะร้องแต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ อาจเป็นไปได้ว่ากิจนั้นคงสำคัญมากจนไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา...ชลธีไม่เคยผิดสัญญา

                “งั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณแหม่มช่วยยกเลิกจองโต๊ะที่ห้องอาหารชั้นสิบสองให้ด้วยนะคะ”

                 หญิงสาวบอกเสียงแห้งแล้วเดินออกมาเงียบ ๆ สายตาเศร้าสร้อยเหลือบมองไปยังประตูบานไม้เรียบที่สามารถเปิดสู่

ห้องทำงานของเขา เมื่อก่อนตนเคยได้รับสิทธิ์ให้เข้านอกออกในได้ตามสบาย แต่หลังจากที่ตอบปฏิเสธคำขอแต่งงานไป แทนดาวก็รู้สึกว่าตนเองเป็นบุคคลแปลกหน้าสำหรับเขาไปเสียแล้ว

                พายุฝนด้านนอกเริ่มก่อตัวทะมึนมืด แทนดาวก้เร่งก้าวเท้าถี่ขึ้นเพื่อให้ทันขึ้นรถไฟฟ้าก่อนที่ฝนจะเทลงมา หญิงสาวเริ่มหวั่นใจ ร่มก็ลืมไว้ในรถ แถมยังไม่ได้บอกคนขับให้รอเพราะคิดว่ารับประทานข้าวเสร็จแล้วชลธีจะไปส่ง แต่ในเมื่อถูกเบี้ยวนัดไม่บอกกล่าวแบบนี้ก็คงต้องช่วยเหลือตัวเองตามมีตามเกิด นี่ถ้าเทียมภพรู้ว่าหล่อนถูกปล่อยลอยแพแบบนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่โต แต่แทนดาวไม่คิดจะฟ้องร้องอะไร ในเมื่อหล่อนเป็นคนนัดแต่เขาไม่ว่าง ก็ต้องยอมรับโดยดุษณี

                ละอองฝนโปรยปรายเริ่มลงเม็ดหนักขึ้นทุกที หญิงสาวยกกระเป๋าบังศีรษะแล้วพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดแต่รองเท้าส้นสูงทำให้วิ่งไม่ถนัด สุดท้ายส้นแหลมของมันก็จิ้มลงไปในระหว่างช่องบล็อคปูพื้นทางเท้าทำให้สะดุดแต่ไม่ถึงกับล้มคะมำ  หนำซ้ำรองเท้าเจ้ากรรมยังติดแหง็กอยู่อย่างนั้น พยายามดึงอยู่นานจนหลุดออกมาแต่ปรากฏว่าส้นแหลมหักคาบล็อคอยู่ตรงนั้นเอง

                “ทำไมซวยยังงี้นะ”

                หญิงสาวบ่นเซ็ง ๆ พร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาหนักหน่วง สถานีรถไฟฟ้าอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตรแต่ว่าไม่มีที่ให้หลบฝนได้เลย แทนดาวตัดสินถอดรองเท้าอีกข้างออกตั้งใจจะวิ่งฝ่าไป มือหนึ่งกอดกระเป๋ากระชับ มือหนึ่งถือรองเท้าแล้วเริ่มต้นออกวิ่งลุยสายฝนพร่ามัวรีบไปให้ถึงสถานี แต่ไปได้นิดเดียวก็ได้ยินเสียงแตรรถดังยาวไล่หลังพร้อมกับไฟสูงที่กระพริบวาบสามครั้งเรียกให้หยุด ทีแรกก็มองไม่ออกหรอกว่าเป็นรถใครเพราะม่านฝนบดบังวิสัยทัศน์ จนเมื่อคนขับลดกระจกลงครึ่งหนึ่งให้เห็นหน้า หัวใจเหี่ยวแห้งของคนสิ้นหวังก็ชื้นขึ้นเหมือนน้ำฝนที่กำลังชโลมร่างอยู่ตอนนี้

                “ขึ้นมาเร็ว...น้องพลู“

                โดยไม่รอช้า หญิงสาวรีบเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลกทั้งยังพาเอาเม็ดฝนสาดเข้ามาในตัวรถด้วย สายตาของชลธีคอยเหลือบมองสตรีตัวเปียกโชกที่เพิ่งก้าวขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ทั้งห่วง ทั้งคิดถึง ทั้งขบขัน ปนเปกันไปหมด

                “ทำไมไม่รอพี่ก่อน”

                “คุณแหม่มบอกว่าพี่ชลไม่อยู่ ก็เลยตัดสินใจกลับบ้านค่ะ” หญิงสาวตอบขณะสาละวนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำฝนที่เกาะพราวตามใบหน้า ได้ยินเสียงคล้ายไม่พอใจจากคนขับด้วยคิดว่าหล่อนต้องรอเหมือนทุกครั้งก็เลยไม่ทันได้โทรบอก พอกลับมาผู้ช่วยส่วนตัวก็แจ้งแค่ว่าแทนดาวเพิ่งสวนออกไป ชลธีขับต่อไปอีกสักระยะแล้วก็เลี้ยวรถเข้าจอดในปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยกัน

                “พี่ลงไปข้างล่างแค่เดี๋ยวเดียวเอง เรานัดกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ คิดว่าพี่จะผิดนัดเราหรือไง”  เขาเอ็ด

                “ก็ไม่ทราบนี่คะ...ว่าพี่ชลยังอยากจะเจอน้องพลูอีกหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นคล้ายตัดพ้อ

                “ถ้าพี่ไม่อยากเจอน้องพลู คงไม่รีบออกมาตามแบบนี้หรอก”

เขาตอบเสียงแข็งตรงข้ามกับแววตาอ่อนโยนแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับหน้าตา แทนดาวจำได้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ตนเป็นคนซื้อให้ เกิดประกายดีใจลึก ๆ ที่เขายังใช้มัน นัยน์ตากร้าวกวาดไปทั่วร่างบางจนมาสะดุดกับรองเท้าข้างหนึ่งที่วางรวมกับข้าวของอื่น ๆ บนตัก

                “ตอนวิ่งมารองเท้าหักเลยค่ะ น่าเสียดายจัง...พี่ผึ้งเพิ่งจะซื้อให้อาทิตย์ที่แล้วเอง”

                แทนดาวหยิบรองเท้าคัตชูสีครีมติดดอกไม้น่ารักตรงหัวอย่างอาลัยที่สวมได้แค่สองครั้งก็หัก แต่ตั้งใจว่าจะเอาไปซ่อมเพราะเสียดายมาก ๆ ทั้งสนนราคาก็เกือบหมื่น ชลธีพยักหนาเข้าใจแล้วก็นิ่งอย่างรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้หล่อนต้องวิ่งฝ่าพายุฝนจนเกือบเกิดอันตราย

                “เอาล่ะ...ไหน ๆ ก็มาเส้นนี้แล้ว แวะเข้าบ้านพี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่ำ ๆ จะไปส่ง”

                แทนดาวอยากอิดออดว่ายังไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครองแต่ก็ไม่อยากขัด เพราะคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พุดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ในจังหวะที่หญิงสาวปัดผมเปียก ๆ ที่ปรกยาวลงมาไปข้างหลังก็แทบทำให้คนมองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็ไอ้ชุด

เดรสสั้นเสมอเข่าสีฟ้าสลับชมพูพาสเทลนั้น ยามโดนน้ำฝนจนเปียกชุ่มก็ทำเนื้อผ้าแนบไปกับเนื้อนางขับสัดส่วนวัยสาวถนัดเจน  อาการนี้ผู้กระทำไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำให้คนข้าง ๆ ใจสั่นราวลั่นกลองรบ

                “อย่าคิดเชียวนะ...ไอ้ชล” ชายหนุ่มย้ำกับตัวเองพลางกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก

                “รอพี่เดี๋ยว”           

                ชลธีลงไปหยิบอะไรอยู่ด้านหลังแล้วกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขามักจะมีติดรถไว้เสมอเผื่อวันไหนต้องเล่นกีฬา แทนดาวรีบรับมาซับผมเปียกและเช็ดตามแขนขา สักเดี๋ยวเขาก็หยิบเสื้อนอกตรงเบาะหลังมาคลุมตัวให้

                “ห่มไว้กันหนาว”  

                หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ กับเจตนาดีของเขาแต่หารู้ไม่เลยว่า ลึก ๆ ลงไปแล้วชลธีมิได้คิดเป็นห่วงว่าจะหนาวอย่างที่พูด แต่เพียงต้องการซ่อนความงดงามยวนตาให้พ้นจากสายตาจนเขย่าจิตใต้สำนึกให้คิดออกนอกลู่นอกทางต่างหาก

               

                พระพิรุณยังไม่มีทีท่าว่าจะชักรถกลับไป ดังนั้นทั้งลมแรง ทั้งฝน ยังคงโหมกระหน่ำไปทั่วกรุงเทพมหานคร ต้นไม้ กิ่งไม้ โดนลมปะทะจนหักลงมากองอยู่ข้างทาง ชลธีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขับรถฝ่าความมืดทะมึนของเมฆฝน เสียงจามฟุดฟิดของคนข้าง ๆ ทำให้เขาต้องละสายตาจากถนนเบื้องหน้าหันมามองหลายครั้ง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ๆ ดังก้องสะท้านสลับกับแสงขาวบาดตาสว่างวาบแทบจะตลอดเวลาทำให้ผู้โดยสารสะดุ้งกึก ๆ จนต้องหลับตาปี๋เพราะความกลัว ชลธีเพิ่มความเร็วเมื่อหลุดจากถนนใหญ่มาได้ เขามั่นใจในสมรรถนะของพาหนะแบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้อยู่ว่ามันจะไม่เสียหลักถ้าวิ่งด้วยความเร็วในขณะที่ฝนตกหนัก

                รถยนต์อเนกประสงค์เทียบจอดตรงบันไดหน้ามุข หญิงสาวพาร่างเปียกปอนก้าวลงมาในอาการห่อตัวเต็มที่เพราะความหนาวเหน็บจากทั้งสายลมและสายฝน ในบ้านมืดตื๋อเพราะหน้าต่างทุกบานปิดม่านหมด ชายหนุ่มลูบมือตรงข้างประตูแล้วโคมไฟตรงห้องโถงกลางก็สว่างขึ้น เสียงลมหวีดหวิวผสานกับเสียงครืนของฟ้าคะนองดังเล็ดลอดเข้ามา แทนดาวยืนนิ่งยกมือปิดหูกลัวเสียงฟ้าร้อง

                “พอดีส้มลากลับบ้าน เลยเงียบหน่อย น้องพลูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่จะหายาให้กิน จามฟืดฟาดมาตลอดทางแบบนี้อาการดูไม่ค่อยจะดี...มาเถอะครับ” เขาแตะข้อศอกพาเดินขึ้นข้างบนแล้วบิดลูกบิดประตูห้องหนึ่งแต่ติดล็อก

                “ลืมไป...ส้มไม่อยู่ก็เลยต้องล็อกห้องหมด งั้นไปห้องพี่ก็แล้วกัน”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...น้องพลูอยู่ได้ เดี๋ยวจะโทรให้น้าตาลมารับที่นี่” แทนดาวรีบฝืนตัวแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมา แต่ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง

                “ยืมสายชาร์ตหน่อยสิคะ”

                “มิน่า...พี่โทรหาเราแต่ก็ติดต่อไม่ได้”

                ชายหนุ่มฉุดข้อมือคนตัวเล็กให้มาด้วยกันจนได้ เสียงไขกุญแจห้องดังแกร๊กเล่นเอาร่างบางกระตุก พาลให้นึกถึงเหตุการณ์วาบหวามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานในห้องนี้ และดูเหมือนว่าเจ้าห้องจะรู้ทันว่าสาวน้อยกำลังคิดอะไรก็ยิ่งอยากแกล้ง

                “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เลือกดูในตู้ฝั่งขวาก็แล้วกันว่าพอจะใส่เสื้อตัวไหนได้ เดี๋ยวพี่ลงไปเอาที่ชาร์ตแบตในรถ อ้อ...

อยากจะอาบน้ำก็ได้นะ”

                “น้องพลูว่า...ลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนชุดก็ได้ นี่ก็เริ่มหมาด ๆ แล้ว”

                “ทำไมล่ะ ? กลัวพี่เหรอครับ”

                น้ำเสียงนุ่มสร้างความหวั่นใจให้คนถูกถามได้ทุกครั้งรวมถึงครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องกลัว ก็ดูตาของเขาสิ...ราวกับราชสีห์จับจ้องรอจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่จวนแล้วจวนรอด

                “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่คิดว่ามันอาจจะ...ไม่เหมาะ”

                “ไม่เหมาะ ? คราวที่แล้วน้องพลูยังเดินเข้าห้องพี่เองเลยนะ แล้วทำไมคราวนี้ถึงจะบอกว่าไม่เหมาะล่ะครับ” เจอคำย้อนแบบนี้เข้าไปคนฟังก็แทบเต้นเร่า

                “มันคนละสถานการณ์กันนะคะ คราวที่แล้วน้องพลูไม่รู้ต่างหากว่าเข้าผิดห้อง” คำแก้ตัวของหญิงสาวทำให้เขาต้องกลั้นหัวเราะแต่ก็ยังบังคับหน้าให้นิ่งอยู่ได้

                “เอาเถอะ...จะสถานการณ์ไหนก็แล้วแต่ แต่ว่าตอนนี้น้องพลูต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า หนึ่ง...ปล่อยให้ตัวเปียกนาน ๆ หวัดจะถามหาเอา สอง...รู้ไหมว่าพี่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์...บางอย่าง...ถ้าต้องเห็นน้องพลูใส่เสื้อผ้าเปียกรัดรูปแบบนี้ รีบไปเปลี่ยนชุด...ไม่งั้นพี่จะจับถอดให้หมด ไม่ให้ใส่อะไรเลยสักชิ้นเดียว”

                หญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่ในห้องคนเดียว ทั้งกลัวเสียงฟ้าและ ‘กลัวใจ’ เจ้าของห้องอยู่ครามครัน แต่คำประกาศิตเมื่อครู่ทำให้ต้องรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกหยิบชุดมาผลัดเปลี่ยนตามที่เขาบอก แต่พอผลัดผ้าเสร็จ ไฟฟ้าในห้องก็ดับพรึ่บ ทุกอย่างมืดสนิท เห็นแต่แสงฟ้าแลบแปลบ ๆ ผ่านม่านเนื้อหนาสีน้ำเงินเข้ม หญิงสาวรีบกระโดดไปนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงเมื่อฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอีกหน

                “แย่ล่ะ...แล้วจะลงไปได้ยังไง”

                แทนดาวกลัวมาก คงไม่สามารถเดินฝ่าความมืดลงไปคนเดียวได้แน่ จากเมื่อกี้ที่อยากให้เขาอยู่ห่าง ๆ กลับกลายเป็นเสียงเรียกร้องในหัวใจที่อยากให้เขากลับเข้ามาเร็ว ๆ

                “น้องพลู...เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาให้คนบนเตียงรู้สึกโล่งใจ ในมือของเขาถือไฟฉายอันเล็กติดมาด้วย

                “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ มันมืดมากก็เลยไม่กล้าลงไปข้างล่างคนเดียว”

                “งั้นรอพี่แป๊บนึง ขอเปลี่ยนเสื้อมั่ง น้องพลูอยู่ตรงนี้แหละ เอ้านี่...ใช้โทรศัพท์ของพี่ก็ได้ ไม่รู้ว่าไฟจะมาเมื่อไหร่ ” เขายื่นโทรศัพท์ให้ แทนดาวจะเปิดหน้าจอแต่มันถูกเข้ารหัสไว้

                “รหัสผ่านคือ วันที่กับเดือนเกิดของน้องพลู” เขาบอกเสียงเรียบแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้ากุกกัก แทนดาวถือโทรศัพท์ค้างอยู่ในมือ ความรู้สึกประหลาดแล่นวูบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่กล้าคิดต่อว่าเขาให้ความสำคัญกับตนมากถึงขนาดเอาข้อมูลส่วนตัวมาตั้งเป็นรหัสลับ

                หญิงสาวโทรไปที่บ้านก่อนอันดับแรกก็ทราบว่ามารดาใช้รถออกไปทำธุระยังไม่กลับ ก็เลยโทรหาเทียมภพแล้วได้รู้ว่าพี่ชายจะมาส่งรมย์นลินอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ...คงจะดึก เพราะฉะนั้นแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอยู่ตามลำพังกับเขาไปอีกหลายชั่วโมง เสียงเปิดน้ำซู่ซ่าดังลอดมาจากห้องน้ำ หญิงสาวออกจะทึ่งในความสามารถของเขาที่สามารถอาบน้ำในความมืดได้                 ในขณะที่รอฝ่ายนั้นอยู่ก็เกิดความคิดสนุก ๆ ขึ้นมาจึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดเล่นแล้วเพิ่งก็สังเกตเห็นว่า ภาพพื้นหลังเป็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งบนชิงช้าไม้ริมชายหาด แม้จะเห็นแต่ใบหน้าด้านข้างแต่ก็จำได้ทันทีว่าเป็นรูปตัวเองเมื่อครั้งไปเที่ยวตรัง ส่วนสถานที่ในรูปคือเกาะส่วนตัวของญาติคนหนึ่งของเขานั่นเอง

                ปลายนิ้วเรียวแตะไอคอนอัลบั้มที่เป็นชื่อของตัวเองด้วยใจเต้นระทึก ทุกภาพล้วนเป็นตนเองในอิริยาบถต่าง ๆ จากสถานที่หลายๆ แห่ง ไล่ตั้งแต่รูปในชุดราตรีแสนสวยที่เขาซื้อให้เมื่องานเลี้ยงวันเกิดคุณย่า รูปที่มหาวิทยาลัย ตอนไปเล่นเปียโนที่ธารา ตอนไประยอง ตอนเล่นน้ำ ที่สนามกอล์ฟ วันที่เขาขอเป็นแฟนซึ่งเดาเอาว่าคงใช้ให้พนักงานแอบถ่ายให้ ส่วนภาพที่สะกดสายตาได้มากที่สุดก็คือ ภาพถ่ายเซลฟี่ตอนไปนั่งชิงช้ายักษ์ด้วยกันแล้วเขาแกล้งเอียงจมูกมาหอมแก้มพอดี

                “แอบล้วงความลับอะไรอยู่หรือครับ...เพลินเชียว”

                เสียงนั้นเรียกสติคนที่กำลังดูโทรศัพท์คนอื่นอย่างไร้มารยาท อารามรีบลนทำให้มือไม้ไม่ค่อยจะมั่นคงเลยทำมันตกตุ้บบนพื้นอย่างแรงโดยที่หน้าจอยังเปิดค้างภาพนั้นอยู่ คนทำผิดหน้าเสียกลัวว่าจะทำของเขาพังเลยจะรีบไปหยิบ แต่ก็ไม่ทันที่เจ้าของก้มลงไปเก็บเสียก่อน

                “ขอโทษค่ะ...มันคงไม่พังหรอกมั้งคะ”

                “เครื่องพังไม่ว่า แต่ภาพอย่าหายก็แล้วกัน กว่าจะสะสมมาได้ขนาดนี้...ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ “

                เขาพูดเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าโกรธอะไร แต่นั่นก็ทำให้คนฟังหน้าม้านที่ไปยุ่งกับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเขา หญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าภายใต้ความสลัวลางเลือน แสงฟ้าแลบแปลบสะท้อนใบหน้านิ่งเรียบที่กำลังยีเช็ดศีรษะตัวเองด้วยผ้าขน หนูผืนเล็ก เขาสวมเพียงกางเกงขาสั้น หยดน้ำยังเกาะพราวทั่วลำตัวช่วงบน หญิงสาวนั่งรอนิ่ง ๆ ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรหล่นอีกจนกระทั่งเขาหาเสื้อมาสวมเรียบร้อย

                “ไฟจะดับนานไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามหวาด ๆ ถ้าต้องอยู่ด้วยกันท่ามกลางความมืดต่อไปก็คงอึดอัดมิใช่น้อย

                “ไม่รู้เหมือนกัน พอฝนซาแล้วเจ้าหน้าที่คงมาดูให้ สงสัยกิ่งไม้หักแล้วเกี่ยวสายไฟขาดแน่”

                เสียงตอบเรียบเรื่อยอย่างไม่ใส่ใจนัก  อีกครู่หนึ่งทั้งคู่ก็พากันลงมาข้างล่าง เสียงเม็ดฝนยังคงสาดกระทบบานหน้าต่างกระจกกราว ๆ คงอีกนานกว่าจะซา ชลธีเดินไปหาอะไรบางอย่างสักพักก็กลับมาพร้อมเทียนเล่มใหญ่บนเชิงโลหะสีเงินดัดลายสวยงาม  แสงสว่างรำไรจากเทียนเล่มนั้นทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดขึ้น แทนดาวอดที่จะยิ้มแล้วถามออกไปไม่ได้

                “เทียนอีกแล้ว พี่ชลเป็นอะไรกับเทียนหรือเปล่าคะ”

                “มันโรแมนติกดี เผื่อว่าอยู่ใต้แสงเทียนแล้วน้องพลูอยากจะมีอารมณ์โรแมนติกกับพี่บ้าง”

                เขาตอบหน้าตาเฉยจนคนฟังไม่กล้าปริปากว่ากระไรอีก ชายหนุ่มจูงมือเย็นเฉียบของคนตัวเล็กเข้าไปในครัว เขาวางเชิงเทียนบนโต๊ะกลางห้องแล้วเดินไปค้นของในตู้เย็น แทนดาวมองตามอย่างสนใจว่าพ่อครัวคนนี้จะทำอะไรให้กิน หล่อนไม่เคยรู้หรอกว่าเขาทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะทำอะไรมาให้ก็เห็นจะต้องกินให้หมดเพราะหิวจนแสบท้องแล้ว

                “ดูสิว่ามีอะไรพอกินได้มั่ง”

                “น้องพลูช่วยนะคะ”

                หญิงสาวรีบลุกจากเก้าอี้แต่มือก็ปัดเอาขวดซอสตกลงไปด้วย ดีที่เป็นขวดพลาสติกก็เลยไม่แตกให้งานเข้ามากกว่านี้ ทั้งสองคนรีบก้มลงไปเก็บพร้อม ๆ กัน จังหวะที่จะลุกขึ้นศีรษะก็ชนกันพอดีอีก หน้าผากนวลปะทะกับปลายคางสากก็เลยเจ็บจนสะดุ้งกันทั้งคู่

                “โอ๊ย ! ” ต่างคนต่างร้องประสานเสียง

                “พี่ขอบคุณที่น้องพลูอยากช่วย แต่ว่า...จะดีที่สุดถ้าน้องพลูจะนั่งดูเฉย ๆ “ 

                เขาว่าพลางแกะพลาสติกหุ้มกล่องอาหารออกแล้วเทลงกระทะ แทนดาวเอามือคลึงหน้าผากที่ชนกับคางแข็งป้อย ๆ นั่งหน้าง้ำทำตามคำสั่งไม่บิดพลิ้ว ไม่นานนักสปาเก็ตตี้หอมกรุ่นควันลอยฉุยก็ถูกยกมาตั้งตรงหน้า

                “อยู่กับแฟงสองคนก็เลยไม่ได้ทำกับข้าว ต่างคนต่างกินมาจากข้างนอก เลยมีแต่อาหารสำเร็จรูป”

                “ทำไมมีจานเดียวล่ะคะ ?  แล้วพี่ชลล่ะ” หญิงสาวถือช้อนค้างเพราะเห็นว่าเขาไม่ได้เตรียมไว้ให้ตัวเอง

                “พี่ยังไม่หิวหรอก...น้องพลูกินซะ แล้วที่บ้านจะมารับกี่โมง”

                “น้าตาลไม่ว่างค่ะ พี่หมากจะมารับเอง เห็นบอกว่าจะมาส่งพี่แฟงตอนสามทุ่ม”

                ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้ แทนดาวตักอาหารเข้าปากช้า ๆ ตามคำสอนของคุณย่าว่า ถึงจะหิวโหยอย่างไรก็ต้องรับประทานอย่างเรียบร้อยไม่มูมมามเหมือนยาจก...มันไม่น่าดู แต่กระนั้นก็ยังมีเศษซอสสีแดง ๆ ติดมุมปาก

                “ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง”

                เขาพูดพลางใช้ผ้าขนหนูลูบซับเส้นผมยาวที่ยังเปียกอยู่อย่างเบามือ แทนดาวรู้สึกอบอุ่น ถึงเนื้อเสียงและสายตาจะกระด้างเฉยเมยอย่างไร แต่การปฏิบัติของเขาช่างอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน

                “ไหนดูซิ...เมื่อกี้เจ็บหรือเปล่า” เขาเลื่อนเชิงเทียนเข้ามาใกล้ ๆ แล้วจับใบหน้างามละมุนมาพิศดู  หน้าผากลาดนูนไม่ปรากฏรอยบวมก็เบาใจ

                “พี่ชล...หายโกรธน้องพลูหรือยังคะ”

                แทนดาวถามเบา ๆ แววแห่งความไม่แน่ใจฉายชัดในดวงตาคู่สวย  ชลธีค่อย ๆ รั้งเอวเล็กในเสื้อเชิ้ตตัวยาวเข้ามาหา ใบหน้าห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ แทนดาวรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับสายตาแปลก ๆ ที่ยิ่งยามต้องแสงเทียนสีส้มสลัวก็ยิ่งวิบวับประหลาดล้ำ มันช่างย้อนแย้งกับน้ำเสียงเย็นชาและท่าทีห่างเหินที่เขาเป็นมาร่วมเดือน แทนดาวคิดว่า...นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้ชิดและพูดคุยกันมากคำที่สุดแล้วนับแต่เกิดเรื่องไม่เข้าใจกัน

                “กินยังไง...เลอะเทอะไปหมด”

                ชลธีไม่ตอบคำถามแต่เลี่ยงไปพูดอย่างอื่น มืออุ่นข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหลัง แทนดาวคิดว่าเขาคงจะหยิบการดาษมาเช็ดให้ แต่เปล่าเลย...มือนั้นกลับขยี้เปลวเทียนจนดับสนิท ในห้องครัวกว้างจึงมีเพียงแสงวูบวาบสั่นไหวจากสายฟ้าข้างนอก

                แทนดาวรู้สึกว่าร่างตัวเองลอยขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่แล้วถูกวางซ้อนบนตักกว้าง ฝ่ามืออบอุ่นประคองใบหน้าหวั่นวิตกเข้ามาใกล้ นาทีต่อมาริมฝีปากอุ่นแตะลงตรงมุมปากที่มีคราบซอสมะเขือเทศติดอยู่ ปลายลิ้นอุ่นลามเลียจนซอสหลุดหายไป หัวใจของแทนดาวแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้เมื่อปลายลิ้นอุ่นค่อย ๆ ลากไล้เปลี่ยนตำแหน่งมาที่กลีบปากนุ่มแล้วแทรกเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

                “อื้อ...”

                หญิงสาวดิ้นอึกอักแต่เสียงประท้วงดังอยู่เพียงในลำคอ แขนแข็งแรงข้างรวบรัดเอวบางไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างดึงรั้งท้ายทอยให้อยู่นิ่ง ๆ   ขณะที่ริมฝีปากหยักกับลิ้นอุ่นยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างช่ำชอง เขากำลังจะดูดลมหายใจของหญิงสาวออกไปจนหมด ชลธียกร่างบางขึ้นพามาหยุดอยู่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง เขาใช้เท้าเปิดและปิดระตูกระจกบานเลื่อนอย่างง่ายดาย ริมฝีปากยังคงประกบกันแนบแน่นขณะที่ค่อย ๆ วางร่างอ่อนระทวยลงบนโซฟาบุหนังในห้องหนังสือเงียบสงบ ร่างกำยำสมบุรุษยันกายคร่อมอยู่บนร่างอรชรดังกินนรี ให้หน้าคร้ามคมถอนริมฝีปากออกแล้วลุกออกไปจนได้ แทนดาวสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกโลงใจเมื่อคิดว่าเขาคงพอแค่นี้  แต่นาทีต่อมาก็รู้ว่าคิดผิด ชลธีเพียงแค่เดินไปรูดม่านหน้าต่างปิดหมดทุกบานกับล็อกประตู แทนดาวถูกกดไหล่ให้ลงไปนอนใหม่ตามด้วยร่างหนาที่ทาบลงมาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจร้อนๆ เริ่มระไล้ตามซอกคอเนียน กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกแกะอย่างรีบร้อนจนเปิดเปลือยความโค้งมนกลมกลึงราวรูปสลัก ปลายนิ้วอุ่นกระตุกเพียงเบา ๆ สายบราเซียสีเนื้อก็หลุดจากไหล่ ตามด้วยฝ่ามืออบอุ่นที่สอดเข้ามากอบกุมทรวงอกที่ชูช่อชันดังบัวงามต้องน้ำค้างข้างหนึ่งไว้ แทนดาวรีบยุดมือที่กำลังสัมผัสแตะต้องของสงวน

                “อย่าให้มันเกิดขึ้นเลยค่ะพี่ชล”

                หญิงสาวขอร้องเสียงแผ่ว หล่อนไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ชลธีเป็นผู้ชายคนหนึ่ง...แต่แทนดาวมั่นใจว่าเขาย่อมจะต้องหยุดยั้งตัวเองได้เสมอเช่นทุกครั้ง การรักนวลสงวนตัวที่หนุ่มสาวสมัยใหม่มองว่าเป็นความคิดเก่าโบราณคร่ำครึและไม่ค่อยเห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่แทนดาวเห็นตัวอย่างมานักต่อนักจากจากบรรดาอดีตสาว ๆ ของพี่ชาย  จากเพื่อนบางคนที่จับคู่อยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งชลธีเองก็ยังมีบาดแผลจากเรื่องพรรค์นี้ ความสัมพันธ์ฉาบฉวยย่อมไม่มีวันยืนยาว การริลองทำอะไรตามอารมณ์โดยบรรยากาศพาไปอาจให้ความอภิรมย์ทางร่างกายเพียงไม่นาน

                “น้องพลูเรียนจบแล้วนะครับ พี่ก็พร้อมรับผิดชอบน้องพลูอยู่แล้ว...นะครับ น้องพลูสวยน่ารักไปหมดทั้งตัวแบบนี้ พี่จะอดทนไหวอยู่ได้ยังไง...นะครับคนสวย...”

                “น้องพลูเข้าใจว่าพี่ชล...รู้สึกยังไง แต่...น้องพลูอยากให้คืนแต่งงานมีความหมาย...นะคะ”

                ชลธีหยุดการกระทำทั้งหมด ปลายจมูกโด่งกดลงบนแก้มนุ่มกับหน้าผากลาดแล้วยันตัวขึ้นนั่งผินหลังให้ระหว่างรอให้ หญิงสาวจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แทนดาวขยับเข้ามาใกล้ มือนุ่มบีบมือชื้นเหงื่ออย่างเข้าอกเข้าใจ ชลธีลูบศีรษะเล็กด้วยความรักใคร่มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ แทนดาวมีในสิ่งที่สตรีคนอื่นไม่มี สิ่งที่เขาไม่เคยค้นพบจากใครเลยมาตลอดชีวิต  ความงดงามบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจยิ่งทำให้รู้สึกหวงแหนและอยากครอบครองเอาไว้เพียงผู้เดียว

                “ห้ามพี่ได้ทุกทีสิน่า” เขาหยิกจมูกเล็กอย่างเอ็นดูแล้วโอบร่างให้เอนซบกับอกอุ่น

                “ว่าแต่...ที่น้องพลูถามว่า...หายโกรธหรือยัง พี่ชลว่าไงคะ”

                ชลธีใจกระตุกขณะครุ่นคิดว่า...ควรจะพอได้หรือยัง เวลานับเดือนที่ร่วมมือกับพี่ชายของหล่อนดัดนิสัยคนเอาแต่ใจมันมากพอแล้วที่จะให้บทเรียนผู้หญิงคนหนึ่ง การปล่อยให้หล่อนรับมือกับเรื่องอีรุงตุงนังเองโดยที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือทำให้สาวน้อยตรงหน้าเลิกงอแงกระบิดกระบวน แถมยังมีความคิดรอบคอบมากขึ้นจนเทียมภพเองยังทึ่งกับความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของน้องสาว

                แทนดาวไม่มีวันรู้หรอกว่า ภายใต้ความเย็นชามึนตึงของชลธีกลับแฝงไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ ความคิดถึงและรักเปี่ยมล้น ถึงจะคอยตามดูอยู่ห่าง ๆ แต่ก็รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของหล่อนชนิดก้าวต่อก้าวก็ว่าได้ เพราะเทียมภพนั่นเองที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวอยู่เนือง ๆ ยิ่งถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จะรีบโทรหา อย่างล่าสุดที่แทนดาวขาดการติดต่อไปสามวัน

จนเกือบจะไปหาที่บ้านอยู่แล้ว ก็พอดีที่เพื่อนรักโทรมาบอกข่าว

                “ไอ้ชล...มึงทำอะไรอยู่ รู้ไหมว่าวันนี้ยัยพลูขอไปดูหนังกับหมออชิ”

            “เขาจะไปกันที่ไหน”

            แล้ววันนั้นแทนดาวก็คงจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเขาไปยืนเกร่หน้าโรงหนัง ชลธีทำท่าประหลาดใจเหลือล้นที่เจอกัน ‘โดยบังเอิญ’ และก็ต้องแปลกใจอีกที่เขาก็มาดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน แถมยังซื้อตั๋วที่นั่งแถวเดียวกันอีกต่างหาก คงจะมีแต่อชิตะเท่านั้นที่ล่วงรู้เท่าทันเกม

            “คุณสองคนนี่...ไม่พลาดสักงานนะครับ”

            “เรื่องบางเรื่องไม่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจครับ” 

                ช่วงเวลาที่ถูก ‘ลงโทษ’ เขารู้ว่าแทนดาวพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะปรับความเข้าใจ บ่อยครั้งที่สาวน้อยแวะเวียนมา

หาที่ธาราเพื่อชวนรับประทานอาหารบ้าง เอาขนมมาฝากบ้าง แต่ท่าทีเฉยเมยไม่แยแสกับของฝากทำให้เจ้าหล่อนหน้าจ๋อยกลับไปหลายหน หากพอคล้อยหลัง...คนสนิท ๆ ก็จะได้เห็นชลธีนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ละเลียดกินขนมพวกนั้นอย่างเอร็ดอร่อย แถมยังหวงไม่ยอมให้ใครชิม   และทุกครั้งที่พบกัน...แทนดาวก็อาจจะน้อยใจบ้างว่าเขาไม่ให้ความสนใจ คุยได้แป๊บ ๆ ก็อ้างว่ามีงานด่วน แต่หารู้ไม่ว่า...คนที่คิดว่าไม่สนใจกลับแอบตามมาส่งด้วยความเป็นห่วง รอจนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะค่อยกลับขึ้นไปทำงานต่อ

                “พี่ไม่เคยโกรธน้องพลูนะครับ...จริง ๆ นะ รักมากขนาดนี้ รักจนไม่รู้จักคำว่า...โกรธ...เลย”

                เขาตอบเสียงนุ่มอย่างชลธีคนเดิม แทนดาวยิ้มกับอกกว้างเมื่อในที่สุดความพยายามของตนก็สำฤทธิ์ผล แก้มทั้งสองแดงปลั่งเมื่อเขาก้มลงมาจุมพิตอย่างแผ่วเบา

                “น้องพลูคิดอะไรได้หลายอย่างเลยล่ะค่ะ รู้ซึ้งแล้วล่ะว่า เวลาที่ตัวเองทำตัวงี่เง่า...คนรอบข้างจะรู้สึกยังไง”

                “น้องพลูโตขึ้นมากเลยนะ...รู้ตัวหรือเปล่า ทำอะไร ๆ ได้เองตั้งหลายอย่าง...เก่งขึ้นเยอะเลยนี่” เขาลูบผมยาวอย่างแสนรัก

                “จริง ๆ พี่เองก็กลัวว่าเราจะเบื่อที่ต้องตามง้อจนเปลี่ยนใจไปคบคนอื่น”

                “จะเปลี่ยนใจไปคบใครได้ล่ะคะ”

                “ฮึ...ตั้งแต่รับงานสอนที่โรงเรียน ก็ได้ข่าวว่ามีหนุ่ม ๆ ทั้งน้อยใหญ่มาขายขนมจีบให้เราไม่ใช่เหรอ”

                ชลธีอดเหน็บไม่ได้ เขาได้รับรายงานอีกนั่นล่ะว่า มีผู้ปกครองบางคนที่ไม่เจียมใจว่ามีครอบครัวแล้ว มาทำตีสนิทจนเกินงาม แต่คนอย่างเขาไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ ๆ พวกนั้นมีอันต้องทยอยล่าถอยไปเมื่อโดนเล่นงานด้วยวิธีเชือดนิ่ม ๆ ตามแบบฉบับของเขา

                “แล้วหนุ่ม ๆ ผู้น่าสงสารก็ไม่กล้าไปที่นั่นอีกเลย เพราะใครกันที่ไปปล่อยลมยางรถเขาบ้างล่ะ ไหนจะตามบรรดาภรรยามาเซอร์ไพรส์อีกล่ะ”        

                “เขาเรียกว่าฟ้ามีตา คอยสกัดไม่ให้คนกำลังจะทำบาปต้องตกนรกข้อหาผิดลูกผิดเมีย”

                “พูดเพ้อเจ้อ น้องพลูยังไม่ได้เป็น...ภรรยาของพี่ชลเลยนะ”

                “อีกไม่นานก็ต้องเป็น”

                แทนดาวค้อนคมให้คนหน้าตายแต่ก็แอบซ่อนรอยยิ้มหวาน ชลธีจูบหน้าผากเนียนแล้วกอดให้กระชับขึ้น เสียงฝนเริ่มซาแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังพอใจที่จะอิงไออุ่นซึ่งกันและกัน ช่วงเวลาที่ห่างกันไปต่างทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้ คนหนึ่งรู้ที่จะใช้สติคิดทำสิ่งใดให้รอบคอบ ส่วนอีกคนรู้ที่จะรอคอยให้คนหนึ่ง ‘พร้อม’ กับการร่วมชีวิตคู่ด้วยกันในอนาคตอันใกล้ 

                “ฝนหยุดแล้วอากาศชักเริ่มร้อน เดี๋ยวพี่ไปยกคัตเอ้าท์ขึ้นก่อนนะ...จะได้เปิดแอร์ น้องพลูก็จะได้ชาร์ตแบตมือถือด้วย” ชลธียกแขนเรียวที่พาดเอวออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า แทนดาวลุกตามแล้วรีบยิงคำถาม

                “ทำไมต้องยกคัตเอ้าท์คะ ก็ไฟดับอยู่ไม่ใช่เหรอ”

                “จ้ะ...ก็พี่ไปกดคัตเอ้าท์ลง ไฟก็เลยดับน่ะสิ”

                ชลธีตอบเรื่อยเฉื่อยแล้วก็เดินหายไปอย่างนั้น แทนดาวยืนอ้าปากหวออยู่ที่เดิม ไม่คิดว่าจะเจอแผนร้ายลึกของคนที่ได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุด...ร้ายยิ่งกว่าตัวโกงในละครทุกเรื่อง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา