หนาวปรารถนา [Sixteen]

-

เขียนโดย Kankrao

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.38 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,814 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ถูกมองว่าเป็นโคแก่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วิภพผู้มีอาวุโสสุดในห้องประชุมเอ่ยเสียงนุ่มและท่าทีเกรงอกเกรงใจหนุ่มสามสิบต้นๆ แต่หน้าประหนึ่งยี่สิบที่คนทั้งศาลาเอ่ยถึงว่า ‘หล่อยิ่งกว่าพระเอกหนัง’ เข้าหูอยู่หลายครั้ง แม้กระทั่งตอนอุ้มสาวน้อยปรารถนาไปส่งโรงพยาบาลแล้ว สาวแก่แม่หม้ายในงานก็ไม่มีใครหยุดปาก ถ้าเขาไม่ได้รู้อายุจากปากเวทิตเองก็คงจะเข้าใจว่ายี่สิบกว่าๆ เท่านั้น ก็หน้าพ่อคุณเด็กกว่าอายุเป็นสิบปี แถมทุกท่วงท่าก็ยังดูดีราวเทพบุตรอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่มีใคร ‘เป็นตัวเป็นตน’

 “ครับ”

“ข้อหนึ่ง ราคาที่คุณปัญญากับคุณปาริดาจะขายให้แต่แรกคือ ห้าร้อยสิบหกล้านบาท ผมตกลงตามนั้น”

“ข้อสอง ผมจะเป็นคนสั่งจ่ายเงินไปให้เจ้าหนี้ทุกรายที่มีอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะในหรือนอกระบบให้ครบทุกราย แล้วเงินที่เหลือทั้งหมดจะถูกเปิดบัญชีเป็นชื่อของน้องปรารถนา มีผม คุณวิภพ คุณป้ากันยาเป็นเจ้าของบัญชีร่วมกัน ทุกครั้งที่มีการเบิกจ่ายจะต้องมีผม มีน้องปรารถนากับหนึ่งในสองคนที่เหลือเซ็นชื่อเท่านั้น”

“ข้อสาม บ้านที่กำลังจะถูกยึด ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่ ผมก็จะใช้เงินที่เหลือกับเงินส่วนตัวผมมาไถ่ไว้คนละครึ่ง หมายถึงผมกับน้องปรารถนาจะเป็นเจ้าของร่วมกัน ระหว่างที่ผมมาปรับปรุงหรือบริหารโรงแรมในช่วงแรกๆ ผมจะเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น ผมสัญญาว่าจะไม่ปรับปรุงหรือต่อเติมอะไรเลย นอกจากทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่ว่างๆ หลังบ้านเท่านั้น”

“ข้อสี่ ผมขอเป็นผู้ปกครองน้องปรารถนาตั้งแต่วินาทีที่ตกลงกันได้จนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีที่ไหนก็ได้แล้วแต่ความสมัครใจ”

“ข้อห้า ในอนาคตถ้าน้องปรารถนาอยากจะซื้อทั้งบ้านทั้งโรงแรมกลับไป ผมสัญญาว่าจะขายให้ในราคาเดิมไม่มีการบวกใดๆ ทั้งสิ้น”

“ข้อหก เงินที่เหลือจากการชำระหนี้จะถูกแบ่งมาให้คุณประนพ ห้าล้านบาท และจะต้องย้ายออกจากบ้านสุริยวงศ์ทันทีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านรวมทั้งเงินเดือนของคุณป้ากันยากับคนในบ้านผมจะเป็นรับผิดชอบไปก่อน ถ้าทุกคนตกลงตามนี้ผมยินดีจะรีบจัดการตามที่บอกไว้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปครับ รวมทั้งการเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพจนถึงวันเผาเลย แต่ถ้าทุกคนไม่ตกลง ผมก็จะคงไว้แค่เป็นเจ้าภาพให้ทุกคืนไปจนถึงวันเผาเท่านั้นครับ ที่เหลือก็แล้วแต่ทุกคนจะจัดการ”

“...”

ทุกคนต่างอึ้งกับข้อเสนออันยาวยืดนี้ไปตามๆ กัน แต่สีหน้านั้นไม่มีใครแสดงออกมาว่าหนักใจหรือไม่พอใจมากเท่าประนพสักคน แม้เงินสามล้านมายั่วใจไม่น้อย แต่ถ้าเทียบกับเงินที่มากกว่าถ้าในกรณีตัวเองหาคนมาซื้อได้เองเลยทำให้ไม่ค่อยจะพอใจนัก

“ทำไมคุณจะต้องเป็นผู้ปกครองน้องเหนือและเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นด้วย บอกตรงๆ ว่าผมคงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ถ้าไม่คิดว่าคุณกะจะเคลมเด็ก”

พอคิดได้ปากก็ไวพอกัน แต่ประนพก็ฉลาดมากพอที่จะไม่เอ่ยเรื่องเงินมาอ้าง และดูเหมือนคำถามของเขาจำสร้างความพึงพอใจให้วิภพกับกันยาไม่น้อย แต่ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากนิ่งรอฟังคำตอบจากหนุ่มใหญ่หน้าเด็กเท่านั้น

“คุณประนพจะเชื่อไหมล่ะครับถ้าผมจะบอกว่า ผมสงสารเด็ก ห่วงเด็ก และอยากส่งเด็กให้ก้าวไปยืนอยู่อีกฝั่งอย่างปลอดภัยโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนจากผมหรือจากใครทั้งสิ้น ถึงผมจะไม่ได้รู้จักคุณปัญญากับคุณปาริดาเป็นการส่วนตัวเลย แต่ผมก็รู้ว่าทั้งสองคงจะรักลูกมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่กัดฟันส่งให้เรียนนานาชาติทั้งๆ ที่มีปัญหาทางการเงินอย่างหนักแบบนี้หรอกนะครับ ส่วนเรื่องที่กลัวผมจะเคลมเด็กนั้น ก็แล้วแต่คุณจะคิด ผมคงห้ามไม่ได้ แต่ผมอยากจะบอกไว้ว่า ด้วยรูปร่าง หน้าตา และฐานะอย่างผม ไม่เคยทำให้ผมอดเรื่องผู้หญิงเลยตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม ตรงกันข้ามหลายครั้งที่ผมต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดด้วยซ้ำ ผมคงไม่หน้ามืดตามัวทำร้ายเด็กที่น่าสงสารได้ลงคอหรอกมั้งครับ”

 

“คุณหนาวคะ อีกประมาณยี่สิบนาทีคุณแม่กำลังจะถึงแล้วนะคะ”

อรนุชสาวใหญ่วัยสี่สิบสามเลขาของปัญญาและกลายมาเป็นเลขา ‘คุณหนาวเจ้าของโรงแรมคนใหม่’ ได้ไม่กี่วันเคาะประตูห้องแล้วก็ เยี่ยมหน้าเข้ามาบอก

“ครับ”

เจ้านายผู้หล่อเหลาขวัญใจสาวๆ ทั้งโรงแรมรับคำสั้นๆ แล้วก้มลงไปอ่านรายงานทางการเงินอย่างตั้งอกตั้งใจต่อแบบไม่คอยพะวงว่าจะต้องลงไปรอแม่กับน้องๆ สักนิด ด้วยรู้ดีว่าแม่หรือไม่ก็น้องจะกดมาหาทันทีที่รถเลี้ยวเข้าประตูโรงแรมเป็นแน่ และก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด นั่นถึงทำให้เขาจำใจผละจากกองเอกสารล้านแปดออกจากออฟฟิศซึ่งเป็นออฟฟิศของเจ้าของเก่าลงไปชั้นล่างทางบันไดด้วยความเคยชิน

“สวัสดีครับแม่”

ปกติเขาไม่ค่อยได้ยกมือไหว้แม่นัก แต่เพราะไม่เจอหน้ากันตั้งเจ็ดคืนแปดวัน น้องสาวคนกลางที่ตามแม่มาเองก็ยกมือไหว้พี่ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน “จ้ะ ว่าไงเรา แล้วนี่เหรอ”

คุณแม่หนุนหยุดพูดแล้วปรายตามองไปรอบๆ ล๊อบบี เมื่อเห็นมีสายตาของพนักงานหลายสิบคู่จ้องมองอยู่เลยไม่อยากพูดเรื่องที่ค้างคาใจในตอนนี้ “ไหนพาแม่เดินดูรอบๆ หน่อยสิจ๊ะ”

“ได้ครับ เดี๋ยวให้คนเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องทีนะครับ”

ภีมวัจน์รับคำแม่แล้วหันไปสั่งสาวสวยประจำล๊อบบีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และด้วยท่าทีไหว้วานมากกว่าสั่ง ทั้งๆ ที่เขามีสิทธิ์จะแสดงหรือวางก้ามได้ แต่เขาไม่เคยเป็นแบบนั้นไม่ว่าจะอยู่บริษัทไหนก็ตาม นั่นถึงทำให้พนักงานทั้งรักและเกรงเขาอย่างไม่น่าเชื่อ

“แม่จะดูที่ไหนก่อนดีครับ”

ลูกชายวัยสามสิบสองยื่นมือนุ่มให้แม่วัยห้าสิบสองเกาะ ส่วนอีกมือรับกระเป๋าแม่มาถือไว้ให้อย่างไม่อายสายตาใครต่อใครที่มองมา นั่นแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเจ้านายคนใหม่รักแม่มากแค่ไหน “แล้วจะปรับปรุงตรงไหนบ้างล่ะพี่หนาว ทำไมมันเก๊าเก่าขนาดนี้ พี่ก็ซื้อมาได๊! ตั้งห้าหกร้อยล้าน”

น้องสาวเดินไปกระซิบกระซาบไปเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน กระนั้นก็ยังถูกแม่กระแอมกระไอเตือนว่าไม่ให้คุยเรื่องพวกนี้ เพราะกลัวจะถึงคนพนักงาน รังแต่จะเสียขวัญกันไปเปล่าๆ ภีมวัจน์เห็นด้วยกับแม่ เลยหันไปทำหน้าทะเล้นเยาะเย้ยน้องอย่างคนอารมณ์ดี เพราะพี่น้องครอบครัวนี้มักจะคอยแหย่กันเสมอๆ เวลาใครถูกแม่ดุ โดยเฉพาะคนเป็นพี่มักจะได้ทำท่าทีแบบนี้บ่อยกว่าน้องๆ เพราะนานทีปีหนถึงจะถูกแม่เอาเรื่องสักครั้ง

“บอกแม่มาตรงๆ เดี๋ยวนี้นะหนาว ว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจอะไรปุบปับแบบไม่ถามใครเลย ที่นี่มีอะไรดี มีอะไรดึงดูดใจให้หนาวอยากได้นักหนาน่ะ”

แต่คราวนี้คนพี่โดนเต็มๆ เมื่อขึ้นไปอยู่บนห้องพักแม่เรียบร้อยแล้ว “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแม่ แค่ผมเห็นว่าที่นี่ราคาตรงที่ใจผมตั้งเพดานไว้ก็เท่านั้น เดี๋ยวผมต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ เผื่อรถติดเราจะได้ไม่สาย แม่กับหน่อยก็เหมือนกันนะครับ แล้วเจอกันข้างล่างเลยนะครับอีกชั่วโมงหนึ่ง”

ลูกชายคนโตรีบเผ่นออกจากห้องโดยไม่สนใจสายตาแม่กับน้องที่มองตามสักนิด “ดูมัน ถามอะไรไปก็ไม่ยอมบอก ชักเอาใหญ่แล้วนะเดี๋ยวนี้ กลับมานี่เถอะแม่จะจัดการให้หนักๆ เลย”

“แต่ตอนนี้หน่อยว่าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถอะแม่ เดี๋ยวก็ไม่ทันอย่างพี่หนาวว่าหรอก”

ไม่บอกเปล่า ลูกสาวรีบเผ่นเข้าห้องน้ำไปก่อน เพราะจะได้มีเวลาออกมาแต่งตัวสวยๆ ก่อนแม่ แม้จะเป็นงานเผาศพ แต่เรื่องอะไรจะให้ใครต่อใครเห็นว่าเจ้าของโรงแรมคนใหม่ไม่ไฉไลไม่โสภา

 

เมื่อลูกชายไม่ขึ้นมารับบนห้อง แม่ขนุนก็ตั้งอกตั้งใจจะคาดคั้นเอาคำตอบตอนนั่งรถไปด้วยกันให้ได้ แต่กลับทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้เมื่อมีเลขาลูกนั่งคู่ไปด้วย แถมลูกก็คุยแต่เรื่องงานตั้งแต่ควบรถออกจากโรงแรมยันถึงประตูวัด ที่ผู้คนยังคงบางตาอยู่ เพราะอีกสองชั่วโมงถึงจะได้เวลา

“เดี๋ยวผมจะแนะนำให้รู้จักคนทางนี้นะครับแม่”

ภีมวัจน์ยื่นมือให้แม่เกาะตามเคย แล้วเริ่มแนะนำคนที่เดินตรงมาต้อนรับ นับตั้งแต่ทนายวิภพ ประนพ กันยา ตลอดจนคนที่เขาเพิ่งรู้จักและจำได้บ้างไม่ได้บ้าง และคนสุดท้ายที่เขาแนะนำก็คือสาวน้อยปรารถนา สุริยวงศ์ที่เพิ่งถูกนายบุญมาขับรถพาเข้ามาภายในวัดหลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ของบ้านเดินตามไม่ห่างเหมือนกลัวร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงนั้นจะล้มพับลงไปอีก

เพราะแพทย์เจ้าของไข้เพิ่งจะอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อสายๆ วันนี้นี่เอง ซึ่งภีมวัจน์เป็นคนเซ็นเช็คแสนห้าซึ่งเป็นค่ารักษาไปเมื่อวาน “ป้าเสียใจด้วยนะจ๊ะหนู”

คุณนายภีมภาส่งน้ำเสียงอ่อนนุ่มไปหาเด็กสาวในเดรสยาวเลยเข่าสีดำ มืออีกข้างถือผ้าเช็ดหน้ากับยาดมเอาไว้ นั่นบอกได้เป็นอย่างดีว่าจะต้องร้องไห้หรือไม่ก็จะเป็นลมล้มพับลงได้โดยง่าย “ขอบคุณค่ะคุณป้า”

สาวน้อยปรารถนายกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมและน้ำเสียงสั่นเครือ “น้องเหนือเข้าไปนั่งในศาลาดีกว่านะคะ เดี๋ยวแม่จ๋าจะให้พี่ไลหาน้ำกับของว่างไปให้”

ไม่มีคำตอบรับกลับมา ทว่าร่างที่ดูอ่อนแรงนั้นก็เดินตามพี่ไลเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย กันยามองตามแล้วหันไปหาเจ้านายคนใหม่ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนเอ่ย “ไม่กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วค่ะ ตอนเช้าคะยั้นคะยอแทบตายก็กินได้แค่นมสองสามอึก แล้ววันทั้งวันก็ไม่กินอะไรนอกจากร้องไห้อยู่ในห้องเท่านั้น”

ทุกคนได้ฟังล้วนแล้วแต่มองไปหาร่างเล็กๆ ผมดกดำยาวไปถึงกลางหลังถูกเปียหลวมๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ เด็กสาวยังคงส่ายหน้าไม่รับอาหารในมือพี่เลี้ยงเช่นเคย “อีกหน่อยก็คจะดีขึ้นเองล่ะจ้ะ เด็กกำลังเสียขวัญก็อย่างนี้ล่ะ เวลาจะช่วยเยียวยาให้เอง”

ภีมภาเอ่ยอย่างคนมองอะไรทะลุปุโปรง รวมทั้งท่าทีของลูกชายที่มักจะหันมองสาวน้อยผู้น่าสงสารอยู่บ่อยครั้งด้วย เพราะรู้จักลูกมาตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วก็ว่าได้ ไม่ว่าลูกคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงมีหรือจะอ่านไม่ออก แถมยังอ่านสายตาผู้คนรอบศาลาออกด้วยว่าคิดอะไรเมื่อมองไปหาพ่อลูกชายของตัวเองที่ดีคอยจ้องแต่เด็กสาวแทบจะตลอดเวลา

‘เฮ้อ! ลูกฉัน ทำตัวดีมาตลอด จะมาเสียก็อีตอนหวังจะกินเด็กเหรอนี่’

ผู้แม่แอบถอนหายใจอยู่คนเดียวด้วยความเหนื่อยใจ ในขณะเดียวกันก็พยายามคิดหาหนทางที่จะดึงลูกออกห่างจากเด็กยังไม่ประสาอย่างคนกลัดกลุ้ม เพราะเสียดาย ‘หนูออม’ ลูกสาวสุดรักของยัยอุ้ยเพื่อนรัก ที่ต่างคนต่างหวังอยู่เงียบว่าจะได้เกี่ยวดองกัน ไม่คู่ใดก็คู่หนึ่ง เพราะต่างก็มีลูกสามคน อายุเท่ากัน และอุ้มท้องชนกันมาตลอดด้วย

“ผมไปทางโน้นก่อนนะครับแม่”

ภีมวัจน์กระซิบแผ่วเบา เมื่อเลขาส่งไลน์มาหา เขาเดาได้เลยว่าคงไม่มีเรื่องอื่น นอกจากเรื่องเงินสำหรับใช้จ่ายในงานเป็นแน่ และมันก็จริงเสียด้วย สรุปแล้วคือเขากลายเป็นคนรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างในงานเอง ส่วนซองนั้นประนพรวบไว้ตั้งแต่วันแรกกระทั่งตอนนี้ ไม่มีวี่แววว่าจะเอามาแจกแจงให้รู้แต่อย่างใด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เขาไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้เลย

ยิ่งมองไปดูสาวน้อยผู้น่าสงสารที่ยังคงนั่งร้องไห้ไม่หยุด ก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจทำอะไรไม่ผิด แม้จะยังมองไม่เห็นผลกำไรที่จะได้จากการบูรณะโรงแรมนั้นขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้ช่วยเด็กไว้ และยังช่วยส่งให้สองดวงวิญญาณที่คงจะห่วงลูกไม่น้อยไปสู่สุขติได้แบบหายห่วง เพราะถ้าอยู่ในมือเขาแล้ว แก้วตาดวงใจของทั้งสองจะไม่มีวันบุบสลายไปไหนแน่ เขากล้ารับประกันด้วยเกียรติของ กฤตชยางกูร’

แต่กับอีกสอง กฤตชยางกูร นั่งปะปนกับแขกคนอื่นๆ กลับเป็นกังวลอย่างหนัก กับสายตาหรือท่าทีของผู้จะสืบนามสกุล กฤตชยางกูร มีกับเด็กสาวผู้น่าสงสาร จะไม่มีใครหวาดหวั่นหรือตะขิดตะขวางใจเลยสักนิดหากคนที่ภีมวัจน์มักจะจ้องมองมาหานั้น ไม่ใช่เด็กที่เกิดมาเพียงสิบหกฝนสิบหกหนาว แถมยังมีเงินเหลือจากหักลบกลบหนี้ไว้ในธนาคารอีกเป็นร้อยล้าน เรือล่มในหนอง แล้วทองมันจะไปไหนเสีย’ ทั้งสองเชื่อแน่ว่าคนเกินครึ่งในศาลาต่างคิดอย่างนี้ทั้งนั้น

 

“บอกตรงๆ นะว่าแม่ไม่ชอบที่หนาวทำแบบนี้เลย อะไรกันไม่เห็นหัวแม่เอาซะเลย จะคิดจะตัดสินใจไม่บอกไม่กล่าวกลับทำไปโดยพละการ ถ้าพ่อเราอยู่นะป่านนี้โดนแพ่นกะบาลไปแล้วด้วยรู้มั้ย”

คุณนายขนุนอดปากอดคำเอาไว้ตั้งแต่วันเผาถึงได้ระเบิดออกมาตอนลูกกลับบ้านในอาทิตย์ถัดมา “ใจเย็นๆ เถอะคุณหนุน อีกหน่อยคุณหนาวก็เรียกทุนคืนแล้วทำกำไรอีกหลายเท่ามาแล้ว ฝ่ายบัญชีก็คำนวนมาแล้วว่างานนี้ไม่ขาดทุนแน่นอนครับ”

ทนายสมควรที่ถูกภีมวัจน์นัดมาบ้านเพื่อใช้เป็นไม้กันคุณนายเอาไว้เลยรีบทำให้ทุกอย่างดีขึ้น “คุณควรเองก็ด้วย แทนที่จะแอบส่งข่าวมาบอกฉันบ้าง นี่อะไรกลับเห็นดีเห็นงามแอบงุบงิบทำกันสองคน เสียดายที่พี่หนักอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นทนายประจำคอยดูแลพวกเรา แต่กลับมาทำพลาดซะเอง มันน่านักนะ”

ไม้กันหมาดันถูกแพ่นกะบาลเสียเองแบบนี้ ภีมวัจน์เลยได้แต่หันไปหาน้องแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอย่างระอาใจกับท่าทีปึงปังของแม่ที่เขาเองก็พอจะเดาออกว่าไม่ใช่เพราะเสียดายเงินหรอก แต่เป็นห่วงเรื่องอื่นมากกว่า ผิดแต่ว่าคุณนายไม่ยอมเอ่ยปากออกมาเองเท่านั้น

“อ้าว! แล้วกันคุณหนุน ไหงมาลงที่ผมล่ะทีนี้”

“ลงทุกคนนั่นล่ะ! โดยเฉพาะพ่อตัวดีคนนี้! ตกลงจะบอกได้หรือยังว่าเพราะอะไรกันแน่ถึงได้ซื้อโรงแรมนั้นแล้วอวดดีตั้งตัวเป็นผู้ปกครองคนอื่นอีก ทั้งที่ยังจะดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำไม่กลัวเป็นขี้ปากชาวบ้านบ้างหรือไงกัน เห็นคนทั้งศาลามองมาทีแม่ล่ะอายจนจะแทรกแผ่นดินหนีให้ได้”

เมื่อลูกไม่ยอมเปิดปากแม่เลยเปิดออกมาเสียเอง ทีนี้ก็เงียบกันทั้งห้อง สองลูกกับอีกหนึ่งทนายไม่มีใครเอ่ยอะไรเลย “ว่าไงหนาว จะบอกแม่มาตรงๆ ได้หรือยังว่าเพราะอะไร”

เลยย้ำเสียงหนักใส่ลูกชายอย่างจ้องเอาผิด “ไม่มีอะไรเลยแม่ ก็ตามที่บอกไปนั่นล่ะว่าสงสารเด็ก”

“เลยคิดเอามาเลี้ยงดูปูเสื่อเอง แล้วกะจะเคลมเองด้วยหรือเปล่า”

คำนี้ของคุณนายทำเอาทุกคนอึ้งคำรบสอง แต่กับคนที่มักจะไม่ตอบโต้อะไรง่ายๆ อย่างภีมวัจน์กลับมองแม่ตาโตเท่าไข่ห่านแล้วอุทานออกไปอย่างไม่เชื่อหูว่าแม่จะกล้าคิดกล้าถามออกมาแบบนี้

“ป๊าด!!! แม่!!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา