The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  13.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) Reunited (1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 10th

Reunited (1)

บ้านหลังหนึ่งบริเวณแถบชานเมือง

คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร

23 กันยายน ก.ศ.327

  1. 09.24 น.

          เลเดน ไครส์ ลืมตาขึ้นหลังจากหลับแบบไม่ค่อยสนิทไปได้กว่าเก้าชั่วโมง เขายังคงอยู่ในชุดไปรเวทเดิมที่ใส่ไปยังเอลลีเซียม ทั้งกลิ่นเหล้า และรอยรองเท้าสามแบบยังประทับอยู่อย่างชัดเจน หลังจากไปส่งหญิงสาวผู้เกือบตกเป็นเหยื่อแก๊งมอมเหล้าแล้ว เขาก็ตรงดิ่งกลับมาที่บ้าน และม่อยไปด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง

            เพียงแค่จะลุกออกจากเตียง หลายส่วนของร่างกายได้รับบริการนวดด้วยฝ่าเท้ามาเมื่อคืนก็ส่งเสียงประท้วงกันระนาว แต่เขารู้ดีว่าหากปล่อยไว้อาการจะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆจนดีไม่ดีอาจจะถึงขั้นเจ็บจนขยับไม่ได้ เลเดนฝืนลากตัวเองไปยังตู้เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลของบ้านและหาครีมทาแก้แผลฟกช้ำกับยาแก้ปวดออกมา

            “เลเดน ฉันรู้ว่านี่เป็นวันหยุดที่หาได้ยากของเธอ แต่ว่าโอลิเวียต้องการให้เธอเข้าพบตอนบ่ายโมงตรง เห็นว่ามีธุระสำคัญ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

          ขณะที่เขาจัดการกับรอยบวมหลายรอยบนร่าง ข้อความเสียงของคาร์ลอสก็ถูกส่งเข้ามายัง PCD ที่คาอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ออกไปทำธุระตั้งแต่เมื่อคืนก่อนที่เลเดนจะกลับมาถึงบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องดี ไม่งั้นเขาคงโดนสวดที่ไปมีเรื่องมา

            ชายหนุ่มหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขามาคริสซาลิส เป็นต้องถูกราชินีแห่งราชอาณาจักรเรียกเข้าพบทุกที แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธคำสั่งนี้สักครั้งเดียว เพราะเธอเองก็มีบุญคุณต่อเขาไม่น้อยไปกว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดเลย

            มื้อเช้ายามสายๆของเขาเป็นอาหารสำเร็จรูปจากเครื่องทำอาหารอัตโนมัติ ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขามีปัญญาจะทำอาหารอร่อยๆกินเองซะเมื่อไหร่

            ‘งั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนอยู่สนามรบเลยนี่หว่า’

            เขาคิดขณะตักอาหารเข้าปาก อย่างน้อยรสชาติของมันก็ดีกว่าที่แจกในโรงอาหารของกองทัพราชอาณาจักรเป็นไหนๆ

            เลเดนเปิดข่าวยามสายจาก PCD ขึ้นดู เสียงของผู้ประกาศข่าวก็ดังก้องไปทั่วบ้าน ดูเหมือนข่าวช่องนี้กำลังถ่ายภาพมุมสูงของเมืองไหนซักเมืองอยู่ มันเป็นเมืองในการครอบครองของราชอาณาจักรอย่างไม่ต้องสงสัย และทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการทำลายล้าง หลายจุดพังราบเป็นหน้ากลอง และมีบางอย่างที่ดูคล้ายๆค่ายสำหรับผู้ลี้ภัยถูกจัดตั้งขึ้นตามส่วนต่างๆของเมือง

            ‘และนี่คือภาพของเมืองทาร์โซนิสในปัจจุบันนะครับท่านผู้ชม ซึ่งตัวเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการปะทะกันระหว่างกองทัพและกลุ่มโจรที่ได้พยายามทำการเข้ายึดเมืองครับ ผลจากการต่อสู้ทำให้บ้านเรือนกว่าร้อยละห้าสิบถูกทำลายและมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางราชอาณาจักรได้ทำการดูแลอย่างเต็มที่และจะเริ่มการซ่อมแซมเมืองให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุดครับ ทางด้านโฆษกของกองทัพได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องที่ว่ากองทัพได้ทำการสังหารประชาชนโดยเจตนาและระบุว่าประชาชนที่เสียชีวิตทั้งหมดเป็นฝีมือของกลุ่มโจรครับ ต่อไปเป็นข่าวของ...’

            ชายหนุ่มปิด PCD ลง อาหารในจานพลันหมดรสชาติขึ้นมาเสียดื้อๆ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในการรบครั้งล่าสุดทยอยกันโผล่ขึ้นมาในความทรงจำกันไม่ขาดสายอย่างกับจะมาจัดงานเลี้ยงรุ่นในหัวของเขา

            ความไม่ชอบมาพากลที่ทาร์โซนิส

            คำพูดสุดท้ายของซาซิล

            ผู้บุกรุกชุดดำยามราตรี

            ทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาที่เขาขบไม่ออก และอาจคงอยู่เช่นนั้นไปตลอด

            บางอย่างบอกชายหนุ่มว่า ถ้าอยากจะมีชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป เขาก็ควรจะทำเป็นลืมๆพวกมันซะให้หมด ประสบการณ์ในโรงเรียนนายร้อยสอนเขามาอย่างดีว่าเรื่องบางเรื่องก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาๆจะเข้าไปยุ่มย่ามได้

            ร้อยเอกแห่งกองทัพราชอาณาจักรสะบัดศีรษะไล่เรื่องเครียดๆออกไป นี่คือวันหยุดที่หาได้ยากอย่างที่คาร์ลอสบอก เขาควรจะมีความสุขกับมัน ไม่ได้มาจมอยู่กับเรื่องแบบนี้

            หลังจากใช้เวลาอีกนิดหน่อยไปกับการหาทางซ่อนรอยช้ำบนใบหน้าโดยไม่ได้ผลอะไรขึ้นมา เลเดนก็ยอมแพ้และเริ่มเดินทางไปยังพระราชวังเกรเซียสในทันที ด้วยสภาพการจราจรของคริสซาลิสในช่วงนี้แล้ว การไปใจกลางเมืองจากตัวเมืองชั้นนอกคงใช้เวลาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

            “กำหนดสถานที่เป้าหมายเสร็จสิ้น จะถึงที่หมายในในอีกสองชั่วโมง สิบห้านาที”

            เลเดนเอนหลังพิงเบาะหลังตั้งระบบขับอัตโนมัติเรียบร้อย นั่นถือว่านานกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

            ‘จริงสิ เรายังไม่ได้ตอบซีบิลเลยนี่นา’

            ทีแรกชายหนุ่มคิดจะโทรไป แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นเมื่อนึกได้ว่าเธออาจกำลังยุ่งกับการทำขนมอยู่ เพราะอย่างไรที่บ้านของเธอก็เป็นร้านเบเกอรี่ คงไม่ดีถ้าเขาจะไปรบกวนการทำงานของเธอ เลเดนจึงพิมพ์ข้อความแทน

            ‘ขอบคุณที่ชวนนะครับ ผมไปแน่นอนครับ แต่ว่าจะให้ไปตอนไหนเหรอครับ’

            ยังไม่ทันทีเขาจะวาง PCD ลง ข้อความจากซีบิลก็ถูกส่งเข้ามา

            ‘ตามที่คุณเลเดนสะดวกเลยค่ะ’

            ‘งั้นเอาเป็นช่วงสายๆแล้วกันครับ’

            ‘ค่ะ แล้วฉันจะรอนะคะ’

            เป็นอันสิ้นสุดการสนทนา เลเดนพลันนึกถึงหนังสือการ์ตูนที่เขาเคยอ่านสมัยเด็กๆ ซึ่งไม่ว่าเรื่องไหนนางเอกก็มักทำอาหารได้ห่วยจนเข้าขั้นเป็นอาวุธชีวภาพ และเกิดขำเมื่อนึกเล่นๆว่าเกิดพรุ่งนี้เขาต้องกระเดือกของแบบนั้นขึ้นมา ไม่สิ ถ้าต้องทำจริงๆเขาคงขำไม่ออกแน่ๆ

            เลเดนรีบดึงตัวเองกลับสู่ความเป็นจริง นี่ไม่ใช่การ์ตูน เขาไม่ใช่พระเอก ซีบิลก็ไม่ใช่นางเอก และคงเป็นไปไม่ได้ว่าเธอจะทำอาหารได้ห่วยในเมื่อที่บ้านของเธอเป็นเบเกอรี่

            “จากข้อมูลสภาพการจราจรในปัจจุบัน ถนนสายที่ผ่านพลานิเทียฮอลล์จะมีการติดขัดมากกว่าสายอื่นๆ อาจทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่กำหนด ต้องการปรับเส้นทางใหม่หรือไม่”

            เมื่อเข้าสู่บริเวณตัวเมืองชั้นใน สภาพการจราจรก็เริ่มเลวร้ายขึ้นเป็นลำดับ ชายหนุ่มกดคำสั่งเปลี่ยนเส้นทางพลางนึกสงสัยว่าศิลปินคนไหนกันหนอที่ช่างเลือกวันแสดงได้เหมาะเจาะขนาดนี้

พระราชวังเกรเซียส

  1. 12.43 น.

            แม้จะล่าช้ากว่าที่คิดไว้ แต่เขาก็มาถึงพระราชวังเกรเซียสโดยสวัสดิภาพ หลังผ่านด่านตรวจของทหารรักษาพระองค์ซึ่งค้นหน้าคุ้นตากันดีมาแล้ว เลเดนผู้รู้สึกปวดเมื่อยจากการนั่งในรถเกือบสามชั่วโมงก็สูดอากาศสดชื่นของสวนด้านหน้าพระราชวังเข้าไปเต็มปอด สวนนี่อาจจะดูสวยแปลกตาสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ในสายตาของเขาที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว มันดูไม่ค่อยต่างกับแปลงพืชผักสวนครัวซักเท่าไหร่

            ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรที่น่าทำไปกว่าการเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเขาเตร่อยู่แถวนี้ ไม่เกินสิบนาทีเวลรียาจะมาพาเขาไปหาโอลิเวีย เขาจึงประหลาดใจเล็กน้อยที่ตัวเองเดินจนทั่วทั้งสวนแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของราชองครักษ์เลยแม้แต่น้อย

            ‘วันนี้อาจจะหยุดงานละมั้ง’

            เลเดนไม่รู้ว่าราชองครักษ์มีสิทธิขอลาหยุดหรือเปล่า แต่เขาไม่อยากจะผิดนัดกับโอลิเวียด้วยเหตุแค่ว่า ‘ไม่มีคนเดินพาไปหา’ ในเมื่อเขาเป็นทหาร ไม่ใช่เด็กอนุบาล

            เนื่องจากเขาเคยเข้าไปที่สวนด้านหลังหลายหนพอสมควร เลเดนจึงจำเส้นทางลัดเลาะผ่านตัวอาคารหลักของพระราชวังที่ค่อนข้างใหญ่และซับซ้อนจนคนที่ไม่เคยมาอาจหลงเอาได้ง่ายๆ จนไปถึงสวนพักผ่อนส่วนพระองค์ที่อยู่ด้านหลัง สำหรับเขาสวนนี้มีข้อแตกต่างจากสวนหน้าพระราชวังตรงที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ และบรรดาสิงสาราสัตว์ต่างๆที่อยู่ในสวนนี้ก็ค่อนข้างที่จะชอบเขาพอสมควรเลยทีเดียว

            ขณะพยายามผลักกวางสองสามตัวที่เข้ามาคลอเคลียออกไป หูของเขาก็ได้ยินเสียงการสนทนาระหว่างราชินีแห่งราชอาณาจักรกับใครสักคนจากศาลาใจกลางสวน ซึ่งทำให้ความประหลาดใจของชายหนุ่มยิ่งทบทวี เพราะนอกจากเวลรียาและคาร์ลอสที่มาด้วยเป็นบางครั้งแล้ว ทุกครั้งที่โอลิเวียเรียกเขามาพบจะไม่มีใครคนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมเลย

            เมื่อเข้าไปจนสามารถมองเห็นผู้ที่อยู่บนศาลาได้ และอีกฝ่ายก็เห็นเขาได้ด้วยเช่นกัน โอลิเวียก็โบกมือให้เขาอย่างร่าเริง ราชินีแห่งราชอาณาจักรยังคงดูเหมือนในวันนั้น

            วันแรกที่ทั้งคู่ได้พบกันเมื่อสิบสามปีก่อน

            วันที่เธอตัดสินใจจะรับเขาซึ่งสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในการอุปการะ ยอมดูแลเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำยังส่งเข้าเรียนในโรงเรียนฝึกนายทหารระดับสูงของราชอาณาจักรโดยไม่เคยเรียกร้องอะไรตอบแทนจากเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว

            หรือพูดง่ายๆ โอลิเวียก็เป็นดั่งแม่คนที่สองของเขา บุญคุณที่เธอมีต่อชายหนุ่มนั้นมากเสียจนเขาไม่รู้จะชดใช้ยังไงหมด

            เลเดนหันเหความสนใจไปยังแขกอีกคนหนึ่งในศาลา คนๆนั้นเป็นหญิงสาวอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเขา เธอดูคุ้นตามากๆ

            ‘นั่นมัน...’

            เขารู้สึกว่าไกอามันช่างกลมเหลือเกินเมื่อความทรงจำของคืนที่เพิ่งผ่านมาแล่นเข้ามาในหัวของเขาและนึกออกว่าเธอคือหญิงสาวที่เขาได้ช่วยไว้ อีกฝ่ายเองก็กำลังจ้องมาที่เขาราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง บางทีเธอก็คงกำลังชื่นชมความกลมของไกอาอยู่เหมือนกัน แววตาท่วมเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งสับสน ประหลาดใจ และยินดี        

            ใช่ ดวงตาสีน้ำเงินดั่งมหาสมุทรสุดหยั่งที่งดงามจับใจคู่นั้น...

            พลันทุกสิ่งก็หยุดนิ่งลง

            ดวงตาคู่นั้น...

            ...เขาเคยเห็นมันมาก่อน

            ในอดีตนานแสนนาน

            ในความทรงจำสีหม่นที่ถูกเผาผลาญด้วยเปลวเพลิงและฉีกกระชากด้วยคมเขี้ยวแห่งสงคราม

            นั่นคือดวงตาของเธอคนนั้น เธอคนที่มอบล็อกเกตซึ่งเขาไม่เคยปล่อยให้ห่างตัว เธอผู้เคยเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาอันมีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา

            เธอคนที่เขาเคยคิดตลอดมาว่าได้จากไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับเหมือนกับพ่อแม่ของตนเอง

            แต่ความเป็นจริงตรงหน้าฟ้องชัดว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

            เธอยังคงมีชีวิตอยู่

            ซินเธีย เดอ ลาพาซยังคงมีชีวิตอยู่

            และเธอได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา แม้จะเป็นในสภาพการณ์ที่ไม่น่าเชื่อสักเพียงใดก็ตาม

            ความคิดถึงตลอดทั้งสิบสามปีเริ่มเอ่อล้นออกมาที่หางตา ถึงแม้ว่าผู้ชายร้องไห้มันจะดูไม่น่าสงสาร มิหนำซ้ำยังอาจดูทุเรศ แต่เขาไม่แคร์

            เท้าของเลเดนเริ่มก้าวไปด้วยตัวมันเอง เป้าหมายมีเพียงแค่ไปหาเธอคนนั้น

            หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดอกแดฟโฟดิลยามผลิบานก็เข้ามาหาเขาด้วยอาการเหม่อลอยเช่นเดียวกัน ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาแต่ริมฝีปากบางคล้ายจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

            เมื่อทั้งคู่มายืนอยู่ต่อหน้ากัน เลเดนจึงค่อยได้สติและอ้ำอึ้ง ตัดสินใจไม่ถูกเขาควรจะพูดหรือทำอะไรดี

            ซึ่งซินเธียก็ตัดสินใจแทนด้วยการสวมกอดเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยไม่สนใจสายตาใคร ซบใบหน้าลงบนหน้าอกของเขา แขนของชายหนุ่มจึงถูกยกขึ้นโอบรอบตัวอีกฝ่ายไว้แน่น เขาปล่อยให้สายธารแห่งความปลื้มปิติไหลผ่านแก้ม ไออุ่นจากร่างที่สั่นเทิ้มทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่น เขาอยากจะให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ไป...นานเท่าที่จะเป็นไปได้

            แต่นั่นก็ไม่นานนัก เมื่อเสียงกระแอมจากราชินีแห่งราชอาณาจักรได้ทำให้เลเดนและซินเธียรู้สึกตัวว่าพวกตนไม่ได้อยู่ตามลำพัง ทั้งสองรีบคลายวงแขนและผละออกจากกันทันที แต่ความรีบร้อนทำให้หญิงสาวสะดุดชายกระโปรงตัวเองเกือบล้ม ร้อนถึงเลเดนที่ต้องเข้าไปประคองไว้

            “ขอบคุณค่ะ...” จึงกลายเป็นคำพูดแรกที่เธอได้เอ่ยกับเขาหลังจากไม่ได้เจอกันมาสิบสามปี

            “ไม่เป็นไร...”

            หลังจากที่ทั้งหมดนั่งล้อมโต๊ะตัวเดิมที่เพิ่งใช้เป็นที่เซ็นสัญญาระหว่างราชอาณาจักรและสหภาพไปหยกๆ ความเงียบก็แผ่ลงมาปกคลุมเหมือนหมอกหนาๆน่าอึดอัดจนโอลิเวียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยปัดให้ เพราะตอนนี้ทั้งเลเดนและซินเธียดูจะไม่สามารถเริ่มบทสนทนาเองได้เลย

            “ทักทายกันได้น่ารักจัง หึๆ ฉันคิดว่าพวกเธอคงรู้จักกันอยู่แล้ว แต่แนะนำตัวหน่อยคงไม่เสียหายอะไร นี่ เลเดน ไครส์ ร้อยเอกประจำกองทัพบกแห่งราชอาณาจักร ส่วนเธอคือซินเธีย เดอ ลาพาซ ทูตจากสหภาพ มาเพื่อเจรจาซื้อขายดินแดน ซึ่งก็เรียบร้อยไปแล้วแหละนะ...อ้าว เลเดน ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้นล่ะ”

            “นิดหน่อยน่ะครับ เดี๋ยวก็คงหาย ไม่ต้องไปสนหรอกครับ”

            ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องจากรอยฟกช้ำที่หาทางปิดไม่ได้ ยังดีที่ดูเหมือนโอลิเวียจะไม่ติดใจอะไรมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่า เช่นเรื่องที่ไม่มีฝ่ายไหนเปิดปากซักที

            “ใจคอจะไม่พูดอะไรกันบ้างเหรอ”

            “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

            “ยินดีเช่นกันค่ะ”

            “อะไรของพวกเธอเนี่ย! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มันต้องดูร่าเริงกันมากกว่านี้หน่อยสิ! ถ้าเป็นแบบนี้คุณแม่ก็ไม่ไหวจะเคลียร์เหมือนกันนะ!”

            โอลิเวียโวยเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ยังคงกลัวดอกพิกุลจะร่วงอยู่ เวลรียาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเข้ามาดึงตัวราชินีแห่งราชอาณาจักรออกจากวงสนทนา และกระซิบที่ข้างหู

            “ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายอะไรกับพวกเขาหรอกค่ะ ถ้าอยากคุย เดี๋ยวพวกเขาก็คุยกันเองแหละ พวกเราออกไปกันดีกว่า อยู่ไปก็เป็นก้างขวางคอซะเปล่าๆ”

            โอลิเวียนิ่งคิดไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

            “เอาละ ท่านทูต ช่วงบ่ายวันนี้ว่างไหม?”

            “เอ๊ะ!? เอ่อ ก็ว่างแหละค่ะ...”

            “เยี่ยม ฉันอยากจะเชิญเธอทัวร์ชมคริสซาลิสซักหน่อย อยากไปที่ไหนก็บอกไกด์ควบโชเฟอร์ได้เลยนะ เขานั่งอยู่ข้างหน้าเธอนั่นแหละ”

            ซึ่งก็ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าเลเดนจะรู้ว่านั่นหมายถึงตัวเอง

            “ผมเหรอ?!”

            “จะเป็นใครซะอีกล่ะ มีปัญหาเหรอ?”

            “...ไม่มีครับ”

            “ดี ไหนๆพวกเธอก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งสิบสามปี รื้อฟื้นมิตรภาพความทรงจำกันหน่อยสิ หรือจะพัฒนาไปเกินเลยกว่านั้นก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

            ราชินีอายุครึ่งศตวรรษในคราบเด็กสาวขำก๊ากเมื่อเห็นเลเดนและซินเธียสะดุ้งกับประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับองครักษ์หลวง  ทิ้งแขกทั้งสองไว้ตามลำพัง ฝูงเก้งกวางและสัตว์เล็กๆเมื่อเห็นว่าคนไปกันเกือบหมดแล้วก็ออกมาเดินเพ่นพ่านกันในสวนอีกครั้ง เลเดนมองพวกมันเล็มใบไม้ใบหญ้าอย่างมีความสุข บางทีพวกมันก็ดูน่าอิจฉาในบางเรื่องเหมือนกัน

            “สวนนี่สวยจังเลยนะคะ”

            ขณะที่เลเดนยังตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะถามอะไรก่อนดี ซินเธียก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

            “เอ้อ อืม นั่นสินะ...”

            “ขอโทษด้วยนะคะที่เมื่อกี้จู่ๆก็เข้าไปกอด แถมร้องไห้ใส่อีก”

            “ช่างมันเถอะ ฉันเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย”

            เงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง

            “...ทูตงั้นเหรอ สมเป็นเธอจริงๆเลยนะ”

            “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ...นี่ก็เพิ่งมาเจรจาครั้งแรก คุณโอลิเวียเวลาเอาจริงนี่น่ากลัวจัง...อ๊ะ แต่ตอนปกติดูเป็นกันเองจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นราชินีเลยละค่ะ”

            “คนๆนั้นก็เป็นแบบ...”

            ชายหนุ่มชะงักไปเพราะเกิดสะกิดใจว่า ทำไมโอลิเวียถึงรู้เรื่องที่เขากับซินเธียเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันได้ แถมยังจงใจเชิญเขาให้มาพบกับเธออีก

            ‘หรือว่า...’

            “มีอะไรเหรอคะ?”

            “เปล่าหรอก...เอ่อ แล้วเธออยากไปที่ไหนในคริสซาลิสล่ะ ยังไงฉันก็ถูกโยนหน้าที่คนพาเธอเที่ยวมาให้แล้วด้วยสิ ขืนไม่ทำละก็โดนโมโหใส่แน่”

            ซินเธียคิดไม่นานก็นึกออกที่หนึ่งซึ่งเธอตั้งใจจะไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

            “เอ...ก็คง อนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน มั้งคะ”

            “งั้นไปกันเลยดีกว่า เผื่อเธออยากไปที่อื่นอีกจะได้มีเวลาเหลือ”

            เลเดนเดินนำหญิงสาวออกจากสวนหลังพระราชวังมาจนถึงที่ๆเขาจอดรถไว้ แต่ปรากฏว่ารถของเขาได้อันตรธานไปเสียแล้ว ตรงช่องที่มันเคยจอดอยู่ถูกแทนด้วยรถที่เขาสาบานได้เลยว่าเคยเห็นแต่ในแคตาล็อกซูเปอร์คาร์เท่านั้น มันเป็นรถขนาดสี่ที่นั่งสีแดงดำ ให้ความรู้สึกแบบเรียบง่ายแต่หรูหรา ดูใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งถอยมาจากโชว์รูม ดูเพรียวกว่ารถของเขาพอสมควร และที่แน่ๆคือแพงกว่ามากๆ

            “เอลลีเซนท์ FX-112...สุดยอดไปเลยนี่พี่ ผมเก็บเงินทั้งชีวิตคงซื้อได้แค่กระจกหน้าแหงๆ ว่างๆผมขอยืมมาขับบ้างนะพี่” ทหารองค์รักษ์ที่บังเอิญผ่านมาหยุดชื่นชมรถคันนั้นด้วยสายตาเป็นประกายก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ต่อโดยมีเสียงหัวเราะแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเลเดนไล่หลังไป PCD ของเขาได้รับข้อความเข้า พอยกขึ้นมาอ่านก็พบว่ามันมาจากโอลิเวีย

            ‘ของขวัญจากฉันเองจ้า เนื่องในหลายๆโอกาสเลย รถคันเดิมของเธอฉันให้คนเอาไปไว้ที่บ้านแล้วละ ถ้าคาร์ลอสบ่นก็บอกไปเลยว่า ฉันไม่ให้บ่น แล้วก็ พาท่านทูตไปเที่ยวให้สนุกนะ’

            ทั้งข้อความถูกแทรกไปด้วยอีโมติคอนราวกับผู้เขียนเป็นเด็กมัธยม เลเดนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

            “รถของคุณเลเดนเหรอคะ ว้าว ดูดีจัง” ซินเธียผู้ถึงจะไม่คุ้นเคยกับพาหนะที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตมาก่อนยังแสดงท่าทีสนใจในรถคันนี้

            “เอ่อ...ก็ ใช่ รถฉันเอง ขึ้นไปสิ”

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็อยากจะลองขับไอ้เจ้ารถคันนี้เหมือนกัน

            ชั่วอึดใจถัดมา ทั้งสองก็มาโลดแล่นอยู่บนถนนสายที่มุ่งหน้าไปยังอนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ซึ่งเลเดนก็อดสังเกตไม่ได้ว่าถนนมันดูโล่งอย่างผิดธรรมชาติ

            “แล้วคุณเลเดนมารู้จักกับคุณโอลิเวียได้ยังไงเหรอคะ”

            หลังจากพวกเขาปล่อยให้ความเงียบเป็นเจ้าของรถอยู่สักครู่ ซินเธียก็เอ่ยขึ้น

            “เอ่อ โอลิเวียเป็น...ผู้อุปถัมภ์ของฉันน่ะ”

            “ผู้อุปถัมภ์? แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณเลเดนล่ะคะ”

            สีหน้าของชายหนุ่มหมองลง มือที่กำพวงมาลัยสั่นเล็กน้อยขณะตอบ ความเศร้าจากการสูญเสียอาจจางไปได้ด้วยกาลเวลาก็จริง แต่สำหรับเขามันไม่มีทางลบเลือนไปได้ หรือบางทีแค่สิบสามปีอาจจะยังไม่เพียงพอ

            “พวกท่านตายแล้ว ในวันนั้นนั่นแหละ...”

            ซินเธียเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์จากคำตอบที่ได้รับ

            “...เสียใจด้วยนะคะ ฉันอุตส่าห์หวังว่าจะได้กินคุกกี้ฝีมือคุณป้าอีกสักครั้งแท้ๆ”

            “ถ้าแม่ได้ยินคงดีใจแย่เลย...แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ”

            “พวกท่านสบายดีค่ะ ตอนนี้อยู่ที่อิกดราซิล”

            “ดีจัง ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากไปเยี่ยมพวกท่านบ้าง จะได้ไปดูด้วยว่าอิกดราซิลใหญ่อย่างที่เขาว่าจริงหรือเปล่า”

            หญิงสาวหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดต่อ

            “ถ้าว่างๆก็มาได้เลยค่ะ จะได้รู้ว่าอิกดราซิลน่ะใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาว่ากันซะอีก”

            เมื่อจังหวะของการสนทนาเริ่มเข้าที่เข้าทาง มันก็สามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัดใดๆ ความรู้สึกเดิมๆอันคุ้นเคยระหว่างทั้งสองเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง และก็คงเป็นการโกหกถ้าเลเดนจะบอกว่าเขาไม่ได้โหยหามันเหลือเกิน

            “เจรจาเรียบร้อยแล้วสินะครับคุณหนู ขอแสดงความยินดีที่งานชิ้นแรกลุล่วงไปได้ด้วยดีนะครับ!”

            แต่จู่ๆร่างในชุดพ่อบ้านสีดำก็โผล่พรวดขึ้นมาที่เบาะหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมพูดซะดังลั่นจนเลเดนเกือบหักพวงมาลัยไปเสยรถคันข้างๆ

            “คุณกุนเธอร์! ดีจัง ติดต่อไม่ได้ตั้งนานจนฉันคิดว่ามีปัญหาอะไรแล้วซะอีก”

            “พอดีว่าเครือข่ายในเขตพระราชวังเป็นเขตหวงห้ามน่ะครับ ผมเลยตามเข้าไปไม่ได้ ขอโทษนะครับ แล้วตอนนี้...อ้าว นี่คุณ...”

            กุนเธอร์หยุดลงเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ ณ เบาะคนขับ

            “อ้อ นี่คุณเลเดน ไครส์ เพื่อนของฉันเองค่ะ พวกเรากำลังไปที่อนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอนกัน”

            “ช่างบังเอิญจริงๆ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณเรื่องเมื่อคืนอีกครั้งด้วยนะครับ”

            เลเดนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะไม่พูดเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว

            “เรื่องเมื่อคืน?”

            ซินเธียทวนคำด้วยใบหน้างุนงง ซึ่งก็ถูกถ่ายทอดไปที่กุนเธอร์ด้วยเช่นกัน

            “อ้าว คุณซินเธียไม่รู้หรอกเหรอครับ พลเมืองดีที่ช่วยคุณซินเธียไว้คือคนๆนี้แหละครับ”

            คำบอกได้นั้นได้รับการตอบสนองด้วยการอ้าปากค้างของทูตจากสหภาพ ซึ่งดูไม่เข้ากับหน้าเธออย่างแรงจนเลเดนเกือบหลุดหัวเราะออกมา

            “ขะ...ขอบคุณมากนะคะ! ฉันไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีเลย...”

            ผ่านไปครู่หนึ่งหญิงสาวก็เรียกสติกลับมาได้และพูดรัวเร็ว

            “ฉันก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้นแหละน่า”

            “รอยช้ำบนหน้านั่น...หรือว่า...”     

            “เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

            ชายหนุ่มบอกปัดเมื่อซินเธียทำท่าจะขอโทษหรือขอบคุณเพิ่มอีกจนหญิงสาวได้แต่ก้มหน้านิ่ง

            “น่าอายจังเลยนะคะ เป็นถึงทูตแต่กลับทำตัวแบบนั้น แถมต้องทำให้คุณเลเดนต้องลำบากอีก...”

            “คนเรามันก็มีเวลาที่เผลอไผลกันบ้าง อีกอย่าง...”

            ร้อยเอกแห่งกองทัพราชอาณาจักรพลันนึกถึงหญิงสาวลึกลับที่เขามาช่วยทั้งเขาและซินเธียเอาไว้ในตอนท้าย อันที่จริง ความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้เธอคนนั้นเสียด้วยซ้ำไป

            ทุกอย่างที่เขาทำมันก็แค่ทำปากดีแล้วถูกรุมกระทืบเท่านั้นเอง

            เขาคงนึกทุเรศตัวเองมากกว่าเก่าหากไม่ยอมแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ให้แก่ซินเธียและกุนเธอร์ ต่อให้ต้องถูกมองว่าเป็นไอ้ห่วยก็ตามที

            “คือว่า...”

            “อ๊ะ ถึงแล้วละค่ะ”

            แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยซินเธียผู้เปิดกระจกรถและยื่นใบหน้าออกไป สายตาชื่นชมมองไปยังรูปหล่อของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน เลเดนหักเลี้ยวรถผ่านประตูทางเข้า วันนี้มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าปกติจึงไม่ใช่เรื่องยากในการหาที่จอดรถ และถึงแม้จะเป็นช่วงบ่าย แต่ร่มเงาจากต้นไม้จำนวนมากก็ช่วยปัดเป่าแสงแดดออกไปได้เป็นอย่างดี

            อนุสรสถานนี้ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ คือรูปหล่อของปฐมราชินีแห่งราชอาณาจักร ทะเลสาบขนาดเล็กที่บ้างครั้งก็จะถูกใช้เป็นที่จัดงานฉลอง และสวนสาธารณะเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ล้อมรอบทั้งสองอย่างแรกอีกที

            “ฮ้า อากาศของที่นี่บริสุทธิ์จังเลยค่ะ เหมือนกับอิกดราซิลเลย นี่คืออะไรเหรอคะ”

            หญิงสาวจากสหภาพมองไปรอบๆราวกับสนอกสนใจในทุกสิ่ง ซึ่งตอนนี้ที่เธอสนใจคือเครื่องกรองอากาศซึ่งถูกติดตั้งไว้ทั่วบริเวณอนุสรสถาน อันเป็นที่มาของอากาศอันดีกว่าส่วนอื่นๆของเมืองนั่นเอง

            “เอ่อ นั่นเป็นเครื่องกรองอากาศน่ะ ยังไงที่นี่ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจด้วย”

            “งั้นเหรอคะ...”

            เสียงเห่าของสัตว์สี่ขาเพื่อนแท้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ดังขึ้นพร้อมกับสุนัขตัวหนึ่งที่วิ่งรี่มาทางทั้งคู่ก่อนจะนั่งลงและกระดิกหางไปมา

            “ว้าว น่ารักจัง นี่คือที่เรียกว่าสุนัขสินะคะ”

            เลเดนยืนมองซินเธียเล่นอย่างกล้าๆกลัวๆกับสุนัขตัวนั้นที่คงสะบัดหลุดจากเจ้าของมา ขณะกุนเธอร์สาวเท้ามายืนข้างๆ อมยิ้มพร้อมขยิบตาครั้งหนึ่งซึ่งเลเดนตีความได้ว่า ‘ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร และผมอ่านสถานการณ์ออก’ ก่อนจะเลือนหายไปจนชายหนุ่มอดถอนหายใจไม่ได้

            “อ๊ะ โธ่ อย่ากระโดดสิ เดี๋ยวชุดของฉันเลอะหมด...”

            ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นแววแห่งความประหลาดใจปนโล่งใจแล่นผ่านใบหน้าของซินเธียแวบหนึ่งตอนที่เธอใช้มือยันหยุดเจ้าสุนัขไว้จากการกระโจนเข้ากอด ไม่ถึงนาทีถัดมา เจ้าของของมันซึ่งเป็นชายหนุ่มในชุดวอร์มออกกำลังกายก็มาจูงมันกลับไป

            “ที่อิกดราซิลไม่มีสัตว์จากโลกเลยเหรอ”

            “ไม่มีเลยค่ะ แต่สัตว์เลี้ยงของพวกเราก็น่ารักไม่แพ้ใครหรอกนะคะ”

            เลเดนนึกถึงภาพสัตว์ของไกอาที่เขาเคยเห็นในหนังสือ ‘เอเลี่ยน: ชนิดพันธุ์และวิธีการกำจัด’ และได้ข้อสรุปว่าค่านิยมเรื่องความน่ารักของสัตว์ระหว่างชาวราชอาณาจักรกับชาวสหภาพคงต่างกันสุดกู่แน่ๆ

            “อ้าว คุณกุนเธอร์ไปไหนแล้วคะเนี่ย”

            “เห็นว่ามีธุระด่วนน่ะ จริงสิ รูปหล่อนี่มีจุดชมวิวด้วยนะ เธออยากลองขึ้นไปดูไหม”

            “อยากสิคะ!”

            จุดชมวิวนั้นถูกติดอยู่บริเวณมือข้างที่ยื่นออกไปข้างหน้าของรูปหล่ออัลทิเซียร์ มันอาจจะไม่สูงเท่าซิทาเดลหรือหอไอเฟลจำลอง แต่ก็สามารถมองเห็นคริสซาลิสได้เกือบทั่วทั้งเมืองเหมือนกัน และในมุมที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมุมที่สวยที่สุดอีกด้วย

            “หวา ลมแรงจังเลยค่ะ”

            ซินเธียกล่าวประโยคนี้ออกมาเมื่อประตูของลิฟต์ที่ใช้พานักท่องเที่ยวมายังจุดชมวิวเลื่อนเปิดออก หญิงสาวพยายามรวบเส้นผมที่ปลิวไสวตามแรงลมของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ผลเธอจึงปล่อยเลยตามเลย

            “เป็นเมืองที่ดูมีชีวิตชีวาจริงๆนะคะ...”

            “ฮื่อ...”

            เป็นชั่วขณะหนึ่งอันเงียบงันที่ทั้งสองเพียงแค่ยืนเกาะราวกั้นของจุดชมวิว ทอดสายตาไปยังเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรอันเรืองรองใต้แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามบ่าย

            “คือที่จริงแล้ว...”

            “คะ?”

            “คนที่ช่วยเธอไว้เมื่อคืนไม่ได้มีแค่ฉันหรอก ยังมีอีกคนหนึ่ง...ไม่สิ คนๆนั้นช่วยพวกเราไว้ทั้งคู่เลยด้วยซ้ำ ฉันน่ะแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ขอโทษนะที่ไม่บอกให้เร็วกว่านี้”

            เลเดนแอบกลั้นหายใจลอบมองใบหน้าของอีกฝ่าย คาดหวังว่าจะได้เห็นความผิดหวังและเสียใจ แต่ตรงกันข้าม สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขอบคุณเท่านั้น

            “เรื่องนั้นจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจหรอกค่ะ...แค่ได้รู้ว่าคุณเลเดนพยายามที่จะช่วยฉัน แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วล่ะค่ะ”

            รอยยิ้มนั้นช่างดูจริงใจและเจิดจ้า เป็นรอยยิ้มที่ผู้ชายร้อยทั้งร้อยคงละสายตาออกไปไม่ได้แน่ ซึ่งก็รวมถึงเลเดนด้วยเช่นกัน

            “เอ่อ หน้าฉันมีอะไรติดเหรอคะ...”

            ซินเธียถาม พวงแก้มปรากฏสีระเรื่อขึ้นเมื่อถูกดวงตาสีนิลของคนตรงหน้าจับจ้อง

            “อะ เปล่า ขอโทษที...”

            เสียงของ PCD ที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขารีบยกข้อความขึ้นมาอ่าน พยายามไล่อาการว้าวุ่นใจแบบแปลกๆที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ออกไป ซึ่งข้อความใน PCD นั้นก็ช่วยทำหน้าที่ได้อย่างดีเลยทีเดียว

            “ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย...”

            และไม่ใช่แค่เขา PCD ของซินเธียเองก็ได้รับข้อความ และไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นอะไร มันก็ทำให้หญิงสาวตกตะลึงได้เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน

            “ไม่จริงน่า...”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา