The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  13.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Prolugue : In Your Heart Shall Burn

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Prologue

In Your Heart Shall Burn

         

         “ฮะๆ แน่จริงจับให้ได้สิ”

            “ก็อย่าวิ่งหนีสิ”

            เสียงร้องสนุกสนานของกลุ่มเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างร่าเริงสะท้อนก้องผ่านสนามหญ้าเขียวขจี แต่เด็กชายคนหนึ่งซึ่งนอนเอกเขนกหลับอย่างสบายใจอยู่ใต้เงาไม้ก็ไม่ปล่อยให้มันเข้ามารบกวนช่วงเวลาอันเป็นสุขของเขา เพราะนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ทำแบบนี้ เขาจึงอยากดื่มด่ำกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

            “นี่~”

            แต่แล้วมันก็พังทลายลงด้วยเสียงแหลมๆของใครสักคนที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดกึกก่อนจะเหยียบหัวเขาเพียงก้าวเดียว

            “ทะ...ทำอะไรอยู่”

            เขาเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หาวยาวๆพร้อมกับมองไปยังผู้ถามซึ่งหอบเล็กน้อยจากการวิ่ง

            “ก็นอนอยู่น่ะสิ ถามได้ แล้วเธอมีอะไรล่ะ”

            คำตอบนั้นส่งให้คนถาม ซึ่งก็คือเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอมแดงยาวประบ่า ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสดใสยื่นอะไรบางอย่างให้ดูแทนคำตอบ

            “อะไร...โห ไปเอามาจากไหนเนี่ย”

            สิ่งที่อยู่ในมือของเด็กหญิงคืออัญมณีสีแดงสดเม็ดเท่านิ้วหัวแม่มือ มันส่องประกายระยิบระยับใต้แสงแดดอ่อนๆของยามบ่าย

            “ชั้นเก็บได้ตอนไปเล่นแถวๆลำธารกับยัยนี่น่ะ” เธอบุ้ยใบ้ไปทางเด็กหญิงอีกคนที่เพิ่งตามมาทัน คงเป็นเพราะชุดกระโปรงยาวทำให้เธอวิ่งไม่ถนัดนัก หรือวิ่งไม่ได้เลยจะถูกกว่า

            “อย่าเรียกชั้นว่ายัยนี่...นะคะ” เด็กหญิงที่มาใหม่ปัดเรือนผมสีทองม้วนเป็นลอนยาวเลยไหล่ไปเล็กน้อยให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

            “อ้าว งั้นจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ ยัยคุณหนูเหรอ” เด็กหญิงผมแดงแลบลิ้นใส่ขณะที่เด็กหญิงอีกคนเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ เด็กชายมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเล็กๆบนริมฝีปาก ตั้งแต่รู้จักกับสองคนนี้มา ไม่มีสักวันเลยที่พวกเธอจะไม่ทะเลาะกัน แต่นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้เห็นภาพแบบนี้ พอคิดแบบนี้แล้ว รอยยิ้มของเขาก็จางหายไป

            “อ้าว ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เด็กหญิงผมทองสังเกตได้ถึงอาการนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง

            “เปล่าหรอก...”

            เด็กชายตอบปฏิเสธไป แต่กลับเปลี่ยนใจเสียกลางคัน

            “ไม่สิ...คือว่า พรุ่งนี้ ชั้นจะย้ายบ้านแล้วน่ะ...”

            เด็กหญิงทั้งสองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาแบบที่เด็กชายคาดไว้ไม่มีผิด

            “อะ เอ๋! จริงเหรอ! ทำไมไม่บอกกันเลยล่ะ!” เด็กหญิงผมแดงปล่อยอาการตกใจออกมาอย่างเต็มที่และเข้ามาเขย่าไหล่เด็กชายจนหัวสั่นหัวคลอน

            “...จะย้ายไปที่ไหนเหรอคะ?” ในขณะที่เด็กหญิงอีกคนยังคงความเยือกเย็นไว้ได้และรีบถามข้อมูลสำคัญก่อนทันที

            “หยุดเขย่าได้แล้ว...พ่อชั้นบอกว่าจะไปที่คริสซาลิสน่ะ เห็นว่าที่ทำงานใหม่อยู่ที่นั่น”

            คำตอบนั้นทำให้เด็กหญิงทั้งสองรู้สึกหดหู่ทันที เพราะคริสซาลิสนั้นไกลจากเฮลเวทต้ามาก คงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะไปหาเด็กชายหลังจากที่เขาไปอยู่ที่นั่นแล้ว

            “แล้ว...จะกลับมาที่นี่อีกไหม...” เด็กหญิงผมแดงเอ่ย ความร่าเริงไม่เหลืออยู่บนใบหน้าอีกต่อไป

            “เรื่องนั้น...” เด็กชายอ้ำอึ้ง แม้ในใจจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตาม

            “งั้น...นี่เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันแล้ว?” เด็กหญิงผมทองถาม ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้อีกต่อไป จนมันกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสๆตรงหางตา ซึ่งอาการเดียวกันก็เริ่มจะเกิดขึ้นกับเด็กหญิงผมแดงด้วยเช่นกัน

            “เดี๋ยวสิ...ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเลยสักหน่อย ในอนาคต สักวัน ต้องได้เจอกันแน่...”

            “แต่ตอนนี้ นายจะไม่อยู่แล้วนี่...!” เด็กหญิงผมทองพูดได้แค่นั้นก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กชายไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขากัดริมฝีปากแน่น พยายามห้ามเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดออกมา

            “อย่า...ร้องไห้เลยนะ”

            แต่คนที่รับมือกับสถานการณ์นี้ได้เร็วที่สุดกลับกลายเป็นเด็กหญิงผมแดง เธอปาดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองทิ้งไป ก่อนจะทำแบบเดียวกันกับเด็กหญิงผมทองด้วย

            “ไหนๆก็จะลากันแล้ว เรามาลากันอย่างมีความสุขดีกว่าเนอะ!” เธอกุมมือของเด็กชายและเด็กหญิงผมทองไว้ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด ความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมานั้นทำให้ทั้งคู่คลายความเศร้าลงไปได้มากอย่างน่าประหลาดใจ

            “เธอเนี่ย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ร่าเริงเสมอเลยนะ...” เด็กชายถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าหากทั้งคู่ร้องไห้ไปเรื่อยๆละก็ ตัวเขาเองคงร้องด้วยแน่นอน พอคิดๆดูแล้วเขาก็ตัดสินใจว่า การทำแบบนี้ย่อมดีกว่าการที่อยู่ๆก็หายไปแน่นอน

            “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้เราจัดงานเลี้ยงอำลากันมั้ยคะ เชิญทุกคนในหมู่บ้านมาให้หมดเลย!” เด็กสาวผมทองเสนอไอเดีย

            “อะ...เอ่อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง ครอบครัวชั้นตั้งใจไปอย่างเงียบๆ จะได้ไม่รบกวนคนอื่นเขา”

            “ไม่เป็นไรหรอกคะ ถ้าเป็นที่บ้านของชั้นละก็ ไม่เดือดร้อนใครแน่นอน ทุกคนก็คงชอบกันแน่ๆ!”

            เด็กชายมองหน้าเธออย่างประหลาดใจน้อยๆเนื่องจากไม่เคยเห็นเด็กหญิงผมทองดูกระตือรือร้นแบบนี้มาก่อน

            “งั้นชั้นจะกลับไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะ ว่าพวกท่านจะเอาด้วยหรือเปล่า ถ้ายังไงเดี๋ยวชั้นจะกลับมาตรงนี้นะ”

            “เดี๋ยวก่อนค่ะ ชั้นมีอะไรบางอย่างจะให้” ยังไม่ทันที่เด็กชายจะออกย่ำเท้า ก็เป็นอันต้องหยุดเสียก่อนด้วยเสียงเรียกจากเด็กหญิงผมทอง เขาหันกลับไปอย่างสงสัย ก่อนจะเกือบผงะเมื่อเคนเรียกยื่นหน้าเข้ามาใกล้แทบจะแนบชิด มือเอื้อมไปที่หลังคอ ปลดโซ่คล้องล็อกเกตสีทองที่ใส่อยู่ออกมาและนำมันไปสวมไว้ที่ลำคอของอีกฝ่ายแทน และยิ้ม

            เด็กชายมองเธอด้วยสายตางุนงงก่อนที่เด็กสาวผมทองจะเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นๆกับใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย

            “ทะ...ทุกครั้งที่มองสร้อยเส้นนี้ ช่วยคิดถึงชั้นด้วยนะคะ...”

            เด็กชายอึ้งไป ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาตอบถึงจะเหมาะสม ขณะที่เด็กหญิงผมแดงก็รุดเข้ามาหาเขาเช่นกัน

            “ชั้นก็จะให้เหมือนกัน เอ้านี่!”

            เธอคว้าล็อกเกตขึ้นมา เปิดมันออก และบรรจงใส่อัญมณีที่เก็บได้จากแม่น้ำเมื่อครู่ลงไป เมื่อฝาล็อกเกตปิดลงดังเดิม เด็กชายก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

            “เท่านี้นายก็มีของแทนตัวของพวกเราทั้งคู่แล้วนะ เอาละ ไปได้แล้ว!”

            “รีบกลับมาเร็วๆนะคะ”

            “อื้ม!” เด็กชายตอบเพียงสั้นๆก่อนจะเริ่มออกวิ่ง ทิ้งเด็กหญิงทั้งสองไว้เบื้องหลัง

            ในใจของเขาที่เคยเศร้าหมองนั้น บัดนี้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แม้จะต้องจากหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่มาตั้งแต่เกิดแห่งนี้ กับเพื่อนแสนสำคัญทั้งคู่ไป แต่สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามจะไม่มีวันลบเลือน

            เขาเร่งฝีเท้าผ่านร้านค้าประจำหมู่บ้าน ที่ๆคนกลุ่มหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียด

            “ชั้นได้ข่าวว่ากองทัพของราชอาณาจักรกำลังเคลื่อนมาทางด้านนี้แล้ว ทัพสหภาพเองก็เตรียมจะตอบโต้เต็มที่ ไหนว่าสงครามใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วไง”

            “เมื่อวันก่อนเหมือนชั้นเห็นดรอยด์ของพวกสหพันธรัฐมาด้อมๆมองๆแถวๆฟาร์มด้วย ไม่แน่ว่า...”

            “เอาเถอะ ยังไงพวกนั้นคงไม่มารบกันซึ่งๆหน้าในเขตพื้นที่เป็นกลางอย่างที่นี่หรอก หวังว่านะ”

            “ถ้าสงครามลามมาถึงที่นี่จริงๆจะทำยังไงดี...”

            “อย่ากังวลมากไปเลยน่า พวกนั้นคงไม่มาสนใจหมู่บ้านเกษตรกรรมเล็กๆอย่างที่นี่หรอก”

            เด็กชายไม่ใส่ใจกับคำพูดที่เข้าใจได้ยากเหล่านั้น อย่างเดียวที่เขาสนใจตอนนี้คือไปบอกพ่อกับแม่เรื่องงานเลี้ยงที่กำลังจะจัดขึ้น มันต้องสนุกมากแน่ๆ

            แต่แล้ว สิ่งที่สามารถดึงความสนใจของเขาไปก็ปรากฏขึ้นจนได้

            มันคือจุดสีดำสามจุดที่เคลื่อนมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกด้วยความเร็วสูง เร็วยิ่งกว่าที่สิ่งมีชีวิตใดๆจะทำได้ ความรู้สึกอันเลวร้ายก่อตัวขึ้นในอกของเด็กชาย เขาคิดจะวิ่งกลับไปบอกพวกผู้ใหญ่ตรงร้านค้า

            แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

            ตูม!!

            พริบตาที่จุดสีดำทั้งสามทะยานผ่านน่านฟ้าเหนือหมู่บ้าน พื้นที่หกจุดของหมู่บ้านก็เกิดระเบิดขึ้นแทบจะพร้อมๆกัน เปลวไฟที่แดงลุกวาบเคียงคู่กับควันดำพวยพุ่ง แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เด็กชายล้มลงกับพื้น หูอื้ออึงไปด้วยเสียงวิ้งจากการได้ยินเสียงดังเกินขนาด เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบแต่เพียงซากปรักหักพังที่เคยเป็นร้านค้าเท่านั้น มันถูกเผาท่วมด้วยเพลิงนรกอันน่าหวาดกลัว ส่วนคนที่เคยอยู่ตรงนั้นก็ไม่เหลืออีกต่อไป

            เด็กชายยันตัวขึ้นยืนโงนเงน ความสับสนมึนงงและความกลัวสุดขั้วหัวใจผสมปนเปกันจนเขาไม่อาจจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

            ทุกคน...

            ทุกคนที่ยังคุยกันจนถึงเมื่อกี้...ตายหมดแล้ว?

            ตาย...

            “อะ...อะ...อ๊า!!”

            เสียงที่ท่วมไปด้วยความหวาดกลัวหลุดออกมาจากปากโดยที่เขาไม่รู้ตัว เด็กชายหันหลัง สถานที่เดียวที่เหลือในความคิดตอนนี้คือบ้าน

            ขณะที่ภาพของบ้านสองชั้นหลังเล็กที่เขาอาศัยมาตลอดชีวิตเริ่มปรากฏขึ้นในคลองจักษุ จุดสีดำทั้งสามก็วนกลับมาเหนือหมู่บ้านอีกครั้ง

            ตูม!!

            และอีกหกบริเวณก็ถูกระเบิดราบ เด็กชายทิ้งตัวลงคุดคู้จนกระทั่งแรงสั่นสะเทือนของระเบิดผ่านไป เขาเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกดีใจเล็กๆที่ตัวเองยังไม่ตาย แต่แล้วใจของเขาก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าบ้านของตนกำลังถูกไฟลามมาจากบ้านข้างๆที่ตอนนี้พังยับไปแล้ว

            และราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นยังเลวร้ายไม่พอ เมื่อจู่ๆก็มีร่างในชุดเกราะหนาสีเขียวเข้มพร้อมอาวุธครบมือจำนวนมหาศาลดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นดินทั่วทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นยังโผล่ขึ้นมาใกล้ๆเด็กชายอีกด้วย มันหันมาทางเขา ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ

            “รีบหนีไปซะไอ้หนู ถ้ายังอยากมีชีวิตรอดละก็นะ”

            ยังไม่ทันขาดคำ ชุดเกราะนั่นก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากลางลำตัวจนลอยละลิ่วหายไปในบ้านหลังหนึ่ง เด็กชายหันหน้าช้าๆไปทางที่การโจมตีนั้นถูกส่งมา

            ทางนั้นคือบริเวณชายป่าริมหมู่บ้าน ซึ่งบัดนี้มีร่างในชุดเกราะอีกแบบหนึ่งวิ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย และบางส่วนก็ลั่นไกอาวุธในมือเข้าใส่ทัพในชุดเกราะเขียวแล้วด้วย ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เด็กชายเกือบจะลืมไปว่า บ้านของตนกำลังถูกไฟลุกท่วมอยู่

            เขาผลักประตูหน้าบ้านเปิดออกด้วยความแรงขนาดที่ถ้าเป็นเวลาปกติละก็ คงปลุกพ่อที่ชอบหลับอยู่ในห้องทำงานให้ตื่นขึ้นมาบ่นได้แน่ๆ และคงโดนแม่ว่าเละเทะด้วย แต่ตอนนี้เขาไม่สน

            “แม่ครับ! พ่อครับ!” เด็กชายตะโกนสุดเสียงขณะฝ่าไอร้อนของเปลวไฟที่กลืนกินทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักโดยไร้ความปราณี ไม่ว่าจะเป็นโซฟาตัวโปรดและชั้นวางหนังสือในห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าวที่ยังมีอาหารจากมื้อที่แล้วหลงเหลืออยู่ ภาพถ่ายที่ถูกแขวนไว้บนผนัง ทุกอย่างกำลังสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

            แต่ไม่มีวี่แววของพ่อแม่ของเขาเลย

            ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ครัว ล้วนไม่มีวี่แววของทั้งคู่ เหลือเพียงแค่ห้องทำงานของพ่อแล้วเท่านั้น

            แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีเวลาให้ลังเล แต่เด็กชายก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะเปิดประตูห้องนั้น เพราะพ่อของเขาเคยสั่งไว้ว่า ‘ห้ามเข้าไปเป็นอันขาด’

            ทว่าความเป็นห่วงก็เป็นฝ่ายชนะ เด็กชายเปิดประตูออก และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ

            พ่อของเขานอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่บนพื้นห้องไม่ไหวติง เสื้อโค้ทยาวสีขาวถูกย้อมด้วยโลหิตจนชุ่มโชกกลายเป็นสีแดงตุ่นๆ มีรูสี่ห้ารูกระจายอยู่ทั่ว ขณะที่แม่ของเขาพิงกำแพงอยู่ข้างๆ หายใจรวนรินเหมือนจวนจะสิ้นใจ เส้นผมสีดำยาวปรกจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า บนหน้าอกและท้องมีบาดแผลจากกระสุนปืนอยู่เช่นเดียวกัน เด็กชายถลันเข้าไปคุกเข่าอยู่เคียงข้างพลางเขย่าตัวเธอและเรียกอย่างตื่นตระหนก

            เมื่อหญิงสาวเห็นว่าคนที่มาเขย่าตนนั้นเป็นใครก็ยิ้มอย่างอ่อนระโหย ดวงตากลับมามีประกาย ริมฝีปากเรียวบางขยับเอ่ยคำพูดที่ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ มือที่เปื้อนเลือดข้างหนึ่งยกขึ้นมาแนบกับแก้มของลูกชายอย่างสั่นเทา

            “ดีจัง...ที่ลูกไม่เป็นอะไร...”

            และมือข้างนั้นก็พลันไร้เรี่ยวแรงตกลงกับพื้น ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดทางหนึ่งบนใบหน้าของเด็กชาย

            พลันโลกทั้งใบของเขาก็ดั่งแตกสลาย

            “ไม่...ไม่...ไม่!!!!”

            เด็กชายร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ แต่แม่ของเขาไม่อยู่คอยช่วยปลอบประโลมอีกต่อไป

            ...เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว...

            เปลวไฟรอบตัวโหมกระพือรุนแรงขึ้นทุกที แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

            ส่วนหนึ่งของเพดานที่ถูกไฟลามเลียร่วงหล่นลงมาเด็กชายเข้าเต็มเปาและกดเขาไว้กับพื้น แต่เขาก็ไม่ขัดขืน ความร้อนค่อยๆกลายเป็นความอุ่นที่อารี สายตาของเขามองเห็นเพียงเปลวไฟสีชาด กับใบหน้าซีดเซียวของคนที่เขาจะไม่มีวันได้พบเจออีกแล้ว หูของเขาเหมือนได้ยินฝีเท้าหนักๆของใครบางคน ขณะที่เพดานส่วนที่เหลือถล่มลงมา

            แล้วทุกอย่างที่เขาเห็นก็ถูกกลืนหายไปในเปลวเพลิง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา