The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  13.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Ambush

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 2nd

Ambush

 

โรงนอนกองร้อยที่สี่

ฐานทัพเคลื่อนที่ กองพันทหารราบที่สิบสามแห่งราชอาณาจักร

บริเวณชานเมืองทาร์โซนิส

20 กันยายน ก.ศ. 327

  1. 8.15 น.

          “…และนั่นคือรายละเอียดทั้งหมดของแผนการในวันนี้ ขอให้ทุกนายเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเวลาปฏิบัติการอย่างน้อยสิบห้านาที เมื่อถึงเวลาจะมีการประกาศรวมพลอีกครั้ง ขอทวนคำสั่งใหม่อีกครั้ง…”

            เลเดนตักอาหารในจานเบื้องหน้าเข้าปากขณะเงี่ยหูฟังเสียงคำสั่งของแมนูเอลที่ดังไปทั่วฐานทัพอย่างไม่เกรงกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ยิน เขาเบ้ปากเล็กน้อยกับรสชาติอาหารที่ยังคงไม่ได้เรื่องเหมือนเคย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน

            วันนี้บรรยากาศในห้องโถงใหญ่โรงนอนเงียบจนเข้าขั้นน่าขนลุก แม้จะมีทหารนั่งอยู่เต็มเหมือนทุกๆวัน แต่ทุกคนกลับก้มหน้าก้มตากินอาหารกันอย่างเดียวโดยแทบไม่มีการพูดคุยกันเลย รวมทั้งสมาชิกหน่วยของเขาเองที่นั่งอยู่รอบๆก็ด้วย

            “ดูท่าทางทุกคนจะเครียดกันไม่น้อยเลยนะครับ”

            เลเดนเอ่ยอย่างระมัดระวัง

            “ก็กองร้อยเราเป็นทหารใหม่กันเกือบหมดเลยนี่ครับ เพราะภารกิจครั้งที่แล้วพวกเราสูญเสียหนักมาก หัวหน้าหน่วยคนก่อนเองก็…”

            “งั้นเหรอครับ…”

            สีหน้าของแดเนียลขณะเล่าทำให้เลเดนไม่กล้าพูดอะไรต่อ อากิ เอดการ์และคามิลล์กินอาหารหมดอย่างรวดเร็วและออกจากโรงนอนไปทันที ซีบิลเขี่ยของในจานไปมาอย่างเหม่อลอยขณะที่แดเนียลยกจานไปเก็บโดยมีอาหารเหลืออยู่เกือบครึ่ง เลเดนเองก็กินไม่หมดเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยความเครียดหรือความห่วยของอาหารก็ตามแต่

            สิบนาทีถัดมา ชายหนุ่มก็พบตัวเองยืนเลือกอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะนำเข้าสู่สนามรบเคียงข้างกับเพื่อนทหารคนอื่นๆ เขาไม่ใช่สมาชิกที่มีหน้าที่จำเพาะเจาะจงเหมือนแดเนียลหรืออากิจึงมีความยืดหยุ่นในการเลือกมากกว่า ยุทโธปกรณ์ของทหารแต่ละนายในกองทัพราชอาณาจักรจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่อาวุธหลัก อาวุธรอง และอุปกรณ์เสริม โดยอาวุธหลักและอาวุธรองจะมีได้เพียงชิ้นเดียว อุปกรณ์เสริมมีได้สูงสุดสองชิ้น แต่ถ้าหากเป็นของที่เตรียมมาเองจะพกไปเท่าไหร่ก็ได้

            การเลือกยุทโธปกรณ์นั้นเป็นส่วนเริ่มต้นของการสวมชุดรบ ชายหนุ่มไล่สายตาผ่านรายชื่ออุปกรณ์บนหน้าจอโฮโลแกรมที่ฉายอยู่ด้านข้างตู้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับคลังแสงของฐานทัพพลางคิดถึงองค์ประกอบของสนามรบที่กำลังจะต้องเข้าไปต่อสู้

            ‘แบบนี้ก็แล้วกัน’

            เนื่องจากพื้นที่การรบเป็นเขตเมืองที่อาจต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในระยะใกล้ ชายหนุ่มจึงเลือกปืนกลมือที่เน้นความเร็วในการยิงเป็นอาวุธหลักและใช้ปืนพกกระบอกเดียวเป็นอาวุธรอง อุปกรณ์เสริมของเขาเป็นระเบิดควันและระเบิดแสง ใช้งานได้ทั้งรุกและรับ

            ‘แค่นี้ก็โอเคละมั้ง’

            เมื่อเลือกทุกอย่างเสร็จแล้ว เลเดนก็กดยืนยัน ประตูตู้สวมชุดเปิดออกอย่างไร้เสียง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยืนภายในและกดยืนยันอีกครั้ง ตู้ก็ปิดลง ภายในมืดสนิท แต่หูของชายหนุ่มได้ยินเสียงแขนกลนับสิบเริ่มทำงานของมัน แต่ละแขนช่วยกันประกอบชิ้นส่วนต่างๆของชุดรบเข้าตามร่างกายของเขาทีละชิ้นโดยชิ้นสุดท้ายคือหมวกที่เลื่อนลงมาจากด้านบนและล็อกเชื่อมเข้ากับส่วนคอ เมื่อทุกชิ้นประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ชุดรบก็เริ่มทำงาน ด้านในของหมวกฉายภาพที่รับมาจากกล้องซึ่งอยู่บริเวณตาโดยมีรายละเอียดอื่นๆแทรกเข้ามาด้วย อาทิเช่น  รายละเอียดของอาวุธที่กำลังใช้งาน ข้อมูลของสมาชิกในหน่วยคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ยังขาดซีบิลอยู่

            ชายหนุ่มได้ยินเสียงโลหะกระทบกันสองครั้งเมื่อระเบิดทั้งสองชนิดที่เขาเลือกไว้ถูกหย่อนลงในช่องเก็บอุปกรณ์ทางด้านหลัง และสุดท้ายเมื่อปืนกลมือรุ่น SX-132 ถูกส่งเข้ามาที่มือของเขาและชายหนุ่มยกมันขึ้นมาประคองไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ประตูตู้สวมชุดรบก็เปิดออก มีคนๆหนึ่งมารอใช้ตู้ต่อจากเขาอยู่แล้ว

            “ว้าว ชุดรบของคุณเลเดนดู…น่าเกรงขามจังเลยค่ะ” ซีบิลเอ่ยอย่างชื่นชมจนชายหนุ่มอดก้มลงมองตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าชุดรบของเขาจะถูกพ่นด้วยสีขาว-ดำเป็นลวดลายแปลกๆซึ่งเขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำ แม้จะสงสัยว่าใครเป็นคนสั่งทำแต่เขาก็หลีกทางให้ซีบิลเลือกยุทโธปกรณ์ของตัวเอง

            ชายหนุ่มสั่งให้ชุดรบเปิดหมวกออก หมวกก็พับตัวมันเองเก็บเข้าไปในคอของชุด เขามองหาสมาชิกในทีมคนอื่นๆและพบว่าทุกคนยืนอยู่ตรงใกล้ประตูทางออกโรงฝึกในสภาพพร้อมเต็มที่แล้ว

            “นายบ้าหรือเปล่า เลือกสีแบบนี้มาทำไมเนี่ย เห่ยชะมัด”

            เพียงแค่เห็นเลเดนเดินเข้ามาใกล้ คามิลล์ก็แขวะเขาก่อนทันที ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไปพลางสังเกตชุดรบคนอื่นๆในหน่วยไปด้วย

            ชุดของคามิลล์มีลักษณะใกล้เคียงกับชุดของเขา เพียงแค่ว่าส่วนขาเหมือนจะได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว และบนแผ่นหลังสะพายไว้ด้วยดาบเล่มเดียวกับเมื่อวาน ในมือมีปืนลูกซอง เรียกได้ว่าเป็นชุดรบที่เน้นการต่อสู้ระยะประชิดแบบสุดขั้ว ส่วนสีนั้นก็แดงถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายคงมองเห็นเธอได้ไกลเป็นกิโลโดยไม่ต้องใช้กล้องส่อง

            “เธอสิบ้า พ่นสียังงี้อยากกินกระสุนก่อนเพื่อนรึไง”

            “โอ๊ย! มันเจ็บนะ!”

            แดเนียลเขกหัวคามิลล์เบาๆแต่หญิงสาวร้องโวยวายดังลั่น ชุดรบของเขาใหญ่เทอะทะกว่าของคนอื่นๆถึงเกือบเท่าตัวได้และถูกพ่นด้วยลายพรางสีคอนกรีต แขนขวาติดไว้ด้วยอุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธหนักได้หลายชนิด มือประคองปืนกลแกตลิ่งที่สายกระสุนร้อยยาวไปถึงช่องเก็บอุปกรณ์ที่ใหญ่เสียจนเหมือนว่าชายหนุ่มแบกกระดองเต่าไปด้วยยังไงยังงั้น

            “ยัยซีบิลช้าจัง…” เอดการ์บ่นขณะยกเครื่องดื่มกระป๋องขึ้นซด อีกมือพาดปืนไรเฟิลจู่โจมไว้บนบ่า ชุดของชายหนุ่มมีลักษณะเหมือนเลเดนเกือบทุกประการ จะต่างกันก็เพียงแค่สีเท่านั้น

            ชายหนุ่มเหลือบตามองอากิ ก็เห็นหญิงสาวยืนหลับตาพิงกำแพงอยู่อย่างเงียบๆ ปืนไรเฟิลซุ่มยิงถูกไพล่ไว้ทางด้านหลัง ชุดรบของเธอแทบจะไม่มีเกราะชั้นนอกที่ทำมาจากวัสดุสังเคราะห์หลายๆชนิดซ้อนกันอยู่ตรงส่วนไหนเลย ส่วนใหญ่เป็นแค่เกราะชั้นในที่ไม่ค่อยต่างอะไรกับผ้าหนาๆเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มเดาว่าคงเพื่อเพิ่มความเร็วในการย้ายตำแหน่งซุ่มยิง เพราะอย่างไรการโจมตีของศัตรูก็ไปถึงเธอได้ยากมากอยู่แล้ว

            “ขะ…ขอโทษที่ให้รอนะคะ…” ซีบิลที่สวมชุดรบเสร็จแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารวมกลุ่มเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวถือปืนกลมือขนาดเล็กที่สุดของกองทัพราชอาณาจักร ซึ่งเล็กจนเลเดนอยากเรียกว่าปืนพกเสียด้วยซ้ำไป

            “งั้นก็ไปกันเถอะครับ อีกไม่นานก็คงจะได้เวลารวมพลแล้ว” เลเดนเอ่ย และมุ่งหน้าไปยังลานรวมพลกลางฐานทัพโดยมีสมาชิกคนอื่นตามไปติดๆ

เขตตัวเมืองทาร์โซนิส

  1. 10.43 น.

            “งั้นเราจะแยกกันตรงจุดนี้เลยนะ”

            “รับทราบ ระวังตัวด้วย อย่าลืมคำสั่งให้จับเป็นตัวหัวหน้าล่ะ”

            เลเดนได้ยินเสียงบทสนทนาระหว่างหัวหน้ากองร้อยที่หนึ่งและสี่ในช่องการสื่อสารสำหรับทหารชั้นบังคับบัญชา ตอนนี้ทั้งสองกองร้อยได้เข้ามาถึงเขตตัวเมืองซึ่งไร้วี่แววของผู้คนอย่างสิ้นเชิง และได้แยกกันไปเพื่อเข้าโจมตีศัตรูตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้

            จากที่เลเดนได้ฟังการอธิบายมา ‘ศัตรู’ ในปฏิบัติการครั้งนี้คืออดีตกองทหารรับจ้างที่เริ่มตกต่ำหลังสงครามระหว่างทั้งสามฝ่ายซึ่งก็คือ ราชอาณาจักร สมาพันธรัฐ และสหภาพ ที่เริ่มขึ้นเมื่อสิบสามปีก่อนได้จบลงเมื่อสิบปีที่แล้ว กองทหารนี้ได้ผันตัวมาเป็นกองโจรคอยดักปล้นคาราวานขนส่งสินค้าและได้สะสมกำลังพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดได้เข้าบุกยึดเมืองทาร์โซนิสไว้ในการครอบครองเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทางราชอาณาจักรต้องเข้ามาทำการจัดการขั้นเด็ดขาด

            แต่ในขณะที่บ่ายหน้าเข้าไปยังเข้าตัวเมืองลึกขึ้นเรื่อยๆเลเดนพบว่าสภาพของเมืองที่ดูสะอาดเรียบร้อยอย่างน่าประหลาด ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้แม้แต่น้อย ราวกับ ‘การบุกยึด’ ของกองโจรที่ว่านั่น คือการเดินเข้ามาเฉยๆ

ชายหนุ่มเปิดโหมดตรวจจับความร้อนและมองเข้าไปในบ้านเรือนโดยรอบ ความสงสัยในใจยิ่งทบทวีเมื่อพบว่า ไม่มีคนอยู่ในอาคารเหล่านั้นแม้แต่คนเดียว

            ‘หรือว่าจะหนีออกไปจนหมดแล้ว ไม่สิ น่าจะโดนกวาดต้อนไปเป็นตัวประกันมากกว่า…’

            ตามที่ข่าวที่ได้จากหน่วยสอดแนม ตอนนี้กองโจรนั้นกำลังตั้งค่ายอยู่ใจกลางเมืองทาร์โซนิสซึ่งเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านถนนสองเส้นที่ตัดกันพอดี เท่ากับว่ามีเส้นทางที่บุกเข้าไปได้ถึงสี่เส้นทาง ทำให้แผนของกองพันที่สิบสามนั้นเรียบง่าย

            บีบจากทุกทิศและบดขยี้ในคราวเดียว

            ‘ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็คงดี’

เลเดนมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับแผนการนี้ตั้งแต่แรกแล้ว มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากจนเกินไป ตั้งแต่เรื่องที่ทำไมพวกกองโจรไม่ยอมตีฝ่าออกมาทั้งๆที่มีเวลามากมาย จนถึงการที่ทางราชอาณาจักรไม่ยอมจัดการเสียตั้งแต่เนิ่นๆ และยังอีกสองเรื่องที่เขาเพิ่งสังเกตมาหมาดๆนี่อีก ทว่า ในฐานะหัวหน้าหน่วยชายหนุ่มก็ไม่ได้มีสิทธิมีเสียงไปมากกว่าพลทหารธรรมดาๆเท่าไหร่

            คิดๆแล้วเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “เป็นอะไรเหรอครับ ถอนหายใจยาวเชียว” เสียงของแดเนียลดังเข้ามาทางช่องสื่อสารของหน่วยพร้อมกับมือที่น่าจะเป็นของเจ้าตัวตบลงบนบ่า

            “เปล่าหรอกครับ แค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย…”

            “เกิดปอดแหกขึ้นมาหรือไงคุณหัวหน้า” เสียงของเอดการ์ดังขึ้น เลเดนนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนหายไป

            “แล้วฟูจิมิยะล่ะ?”

            “เมื่อกี้เห็นแยกตัวออกไปพร้อมพลซุ่มยิงของหน่วยอื่นๆแล้วค่ะ คิดว่าคงไปหาจุดเหมาะๆกัน”

            ซีบิลตอบ หญิงสาวไม่ได้ถือปืนอยู่กับตัวแล้วแต่เอาไปสะพายไว้ทางด้านหลังแทน เพราะขนาดตัวเปล่าเธอยังจะเดินตามคนอื่นไม่ทัน

            “ไร้ศักดิ์ศรีชะมัด ลอบกัดจากระยะไกลโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว” คามิลล์พึมพำ

            “นี่ คุณฟูจิมิยะเขาก็ได้ยินนะ” แดเนียลเตือนเสียงเข้ม แต่หญิงสาวแค่นเสียงเป็นเชิงไม่สนใจ

            “ช่างสิ ยังไงก็ไม่ได้คิดจะญาติดีกันอยู่แล้วนี่”

            “พอได้แล้วน่ายัยบ้า…”

            “ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เธอพูดมันก็เป็นความจริง” เสียงเรียบเย็นของอากิดังแทรกเข้ามาในช่องสื่อสาร ซึ่งฟังไม่ออกเลยว่าโมโหหรือเปล่า เพราะปกติเสียงเธอมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

            “ในสงคราม เพื่อชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการหรอก ถ้าตายไป ก็ไม่มีปากไปอวดอ้างเกียรติกับใครทั้งนั้น”

            “ ‘ขี้ขลาดแต่รอดตาย ดีกว่าวางวายอย่างผู้กล้า’ ” คำพูดของอากิทำให้เลเดนนึกถึงหนึ่งในวลีที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเกี่ยวกับการรบที่เขาเคยอ่านและเผลอท่องมันออกมา คลื่นแห่งความเงียบเข้าปกคลุมช่องการสื่อสาร และดูท่าทางความตึงเครียดระหว่างสมาชิกจะช่วยเสริมให้มันหายไปไม่ได้โดยง่ายเสียด้วย

            เลเดนที่นึกอยากจะกัดลิ้นตนเองก็ทำได้แค่สลับช่องการสื่อสารไปหาหัวหน้ากองร้อยของตนเองแทน

            “ขออภัยที่รบกวนนะครับ ผมหัวหน้าหน่วยสองหมวดที่หนึ่งครับ ไม่ทราบว่าขอคุยด้วยหน่อยได้หรือเปล่า”

            “ไม่ต้องพูดให้มากความหรอก มีอะไรก็ว่ามา” อีกฝ่ายที่เดินอยู่ตรงกลางระหว่างหมวดทหารทั้งสี่ รายล้อมไปด้วยหัวหน้าหมวดทั้งสี่คนตอบกลับมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

            “แผนของเราคือการบุกเข้าตีจากถนนทั้งสี่ด้านใช่มั้ยครับ คือผมเห็นว่าช่วงระหว่างการเข้าโจมตีที่ต้องผ่านอาคารมันเสี่ยงต่อการถูกซุ่มโจมตี เลยอยากเสนอแผนใหม่แทนครับ”

            หัวหน้ากองร้อยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ

            “ไม่จำเป็น อีกฝ่ายมันก็แค่กองโจรตกยุค ต่อให้ซุ่มโจมตียังไงมันทำอะไรพวกเราที่มียุทโธปกรณ์ทันสมัยกว่าไม่ได้หรอก”

            “แต่ว่า…”

            “ไม่มีแต่ กลับไปนำหน้าหน่วยของตัวเองต่อซะ”

            และการสื่อสารก็ถูกตัดไป นอกจากนี้ยังถูกห้ามทำการติดต่อเพิ่มอีกด้วย เลเดนกัดฟันกรอด ก่อนจะสลับช่องไปหาหัวหน้าหมวดของตนเองแทน แต่คำตอบที่ได้รับมากลับคล้ายๆกัน แม้แต่หัวหน้าหน่วยอื่นๆก็ไม่มีท่าทีสนใจในคำเตือนของชายหนุ่ม

            ‘ประมาทกันเกินไปแล้ว’

            เขาสบถอย่างหัวเสียเมื่อถูกหัวหน้าหน่วยข้างๆตัดการสื่อสารใส่ ในใจเริ่มร้อนรนเมื่อเห็นว่าตอนนี้ทั้งกองร้อยได้เข้าสู่บริเวณที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มอาคารสูงเป็นที่เรียบร้อย

            ‘ในเมื่อไม่มีใครสน อย่างน้อยก็บอกหน่วยเราให้ระวังตัวไว้…’

            ชายหนุ่มสลับช่องการสื่อสารกลับไปที่ช่องของหน่วย ตั้งใจว่าจะให้ทุกคนเตรียมรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

แต่มันก็สายเกินไป

            ตูม!!!

            จู่ๆบริเวณศูนย์กลางของกองร้อย หรือก็คือบริเวณที่หัวหน้ากองร้อยกับหัวหน้าหมวดยืนอยู่ก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน และยังไม่ทันที่กองร้อยสี่จะตอบรับอย่างไร ก็เกิดเสียงระเบิดแบบเดียวกันนับสิบครั้ง และหมู่อาคารโดยรอบก็ถล่มลงมาอย่างพร้อมเพรียงเข้าใส่กองร้อยที่สี่ราวกับฝ่ามือของยมทูตสีคอนกรีต

            เลเดนพุ่งตัวหลบจากเศษอาคารที่หล่นเข้าใส่ แต่ก็ไม่วายเจอแรงกระแทกส่งลงไปนอนกองกับพื้น เสียงวัสดุก่อสร้างบดขยี้กันในช่องสื่อสารผสมปนเปกับเสียงรอบตัวเขาเองจนแยกไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งกองร้อยถูกความตื่นตระหนกเข้าจู่โจมจนรูปขบวนพังไม่เป็นท่าเหมือนมดแตกรัง

            ปังๆๆ!!!

            และราวกับว่านั่นยังเลวร้ายไม่พอ ขณะที่กองร้อยที่สี่ยังไม่สามารถจะตั้งตัวได้ติด ก็ปรากฏร่างของคนหลายสิบพร้อมอาวุธในมือบนอาคารที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ และห่ากระสุนก็โปรยปรายลงมาใส่เหล่าทหารที่แตกตื่นและไร้ที่กำบัง ปลิดชีวิตคนที่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างง่ายดาย มีบางคนพยายามยิงตอบโต้ก็กลายเป็นเป้ากระสุนเสียเอง เลเดนคลานเข้าไปหาซากคอนกรีตที่เมื่อครู่เกือบทับเขาแบน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นผู้ช่วยให้รอดไปเสียแล้ว

            ชายหนุ่มเปิดหน้าสถานะสมาชิกกองร้อย ซึ่งบัดนี้ชื่อของหัวหน้ากองร้อยและหัวหน้าหมวดทั้งสี่ได้ถูกเส้นสีแดงขีดฆ่า ซึ่งแปลได้สองความหมายคือชุดรบถูกทำลาย หรือไม่ก็ตายแล้ว แต่จากระเบิดเมื่อครู่เลเดนคิดว่าน่าจะเป็นกรณีหลัง ในขณะที่เลขแสดงจำนวนสมาชิกในกองร้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ลดลงอย่างฮวบฮาบ เขาเปิดช่องการสื่อสารรวมของทั้งกองร้อยขึ้นมา และตะโกนสุดเสียง

            “อย่าตื่นตระหนก! ออกจากบริเวณถนน! ถ้ายังไม่อยากตายก็ให้หาที่กำบัง!”    

            เมื่อคนที่ยังไม่ได้กลายเป็นศพไปแล้วเริ่มตั้งสติได้และมุ่งหน้าออกจากลานสังหาร เขาก็อาศัยจังหวะเดียวกันนั้นพุ่งออกจากซากคอนกรีต ฝ่าห่ากระสุนที่เฉี่ยวซ้ายขวาเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง สลับไปยังช่องสื่อสารของหน่วยและกรอกคำพูดลงไป

            “ทุกคนเป็นยังไงบ้างครับ!?”

            “ยังอยู่ดีครับ ซีบิลเองก็อยู่กับผม ตอนนี้เราอยู่ฝั่งซ้ายของถนนครับ” เสียงของแดเนียลซึ่งปนด้วยการหอบเล็กน้อยดังตอบกลับมา

            “ชั้นอยู่ข้างๆนายนี่ละ” คามิลล์เอ่ยในจังหวะเดียวกันกับที่ร่างในชุดรบสีแดงสดกระโดดชนกระจกหน้าต่างแตกเข้ามายืนข้างๆเลเดน

            “แล้วเอดการ์ล่ะ”

            “หมอนั่น…น่าจะถูกฝังอยู่ใต้ไอ้ซากตึกที่ถล่มลงมาใส่หน่วยเรานั่นละครับ สถานะจากชุดรบเองก็…”

            เลเดนเหลือบตามองข้อมูลสมาชิกหน่วย ก็พบว่าชื่อของเอดการ์ถูกขีดด้วยเส้นสีแดงเรียบร้อย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเสียใจหรือสมน้ำหน้า เพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชื่อของเขาก็คงจะถูกขีดฆ่าไปด้วยอย่างแน่นอน

            ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างแสดงสมาชิกทั้งหมดของกองร้อยขึ้นมาซึ่งรายงานว่าสมาชิกที่ยังมีชีวิตอยู่มีแค่ไม่ถึงครึ่ง ดึงข้อมูลเกี่ยวกับสนามรบทั้งหมดที่มีในตอนนี้ออกมาอยู่ในห้วงความคิดพลางนึกถึงเรื่องที่เพิ่งอ่านมาจากยุทธวิธีการรบเมื่อคืนวาน แผนการโต้ตอบก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในหัว

            ‘ต้องคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ขั้นแรก…ต้องคุมฝ่ายเราก่อน’

            เมื่อคิดได้ดังนั้น เลเดนจึงเปิดช่องการสื่อสารรวมขึ้นมาอีกครั้ง

            “ผม ร้อยเอกเลเดน ไครส์ หัวหน้าหน่วยที่สอง หมวดที่หนึ่ง เนื่องจากตอนนี้เป็นสภาวะฉุกเฉินซึ่งนายทหารตำแหน่งสูงกว่าไม่สามารถออกคำสั่งได้ ผมจึงขอทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการชั่วคราว ขอให้ทุกนายปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วย!”

            เมื่อไม่มีการคัดค้านใดๆ มีแค่เสียงตอบรับงึมงำและเสียงครวญครางของคนที่บาดเจ็บเท่านั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มออกคำสั่งทันที

            “พลอาวุธหนักทุกนาย! ยิงทำลายพื้นที่ๆศัตรูใช้เป็นฐานการโจมตีซะ!”

            ‘ถ้าทำลายความได้เปรียบเรื่องพื้นที่ได้ ก็น่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก’

            มีเสียงตอบรับดังมาสี่ห้าเสียง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นของแดเนียล และชั้นบนสุดของอาคารที่เป็นที่ยืนของกองโจรซึ่งกำลังสาดกระสุนอย่างเมามันก็เกิดระเบิดขึ้นทั้งสองฝั่งถนน เสียงปืนขาดหายไปชั่วขณะ แต่เลเดนมั่นใจว่านั่นไม่พอที่จะจัดการทั้งหมด

            “แพทย์สนาม! เอาคนเจ็บออกจากจากบริเวณถนนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และทำการปฐมพยาบาลทันที! ทหารนายไหนที่ตอนนี้ไม่มีปืนอยู่ในมือก็ไปช่วยกันลากๆเข้ามา!”

            สิ้นสุดคำสั่ง ทหารประมาณสิบนายที่หลบอยู่ในอาคารก็วิ่งออกไป ลากร่างที่ยังมีลมหายใจแต่ไม่มีปัญญาจะลุกขึ้นเข้ามาภายในตัวอาคาร

            “พลประจัญบาน! พลจู่โจม! ศัตรูกำลังเสียขวัญอยู่บนหัวของพวกเรานี่แหละ ขึ้นไปฆ่าพวกมันซะ! พลประจัญบานบุกเข้าไปก่อน พลจู่โจมยิงสนับสนุนจากด้านหลัง!”

            คำสั่งนี้ได้รับการตอบรับด้วยเสียงกู่ร้องอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ และตามมาด้วยเสียงย่ำเท้าขึ้นบันไดอย่างอึกทึก

            “พลซุ่มยิง! ยิงคุ้มกันให้พลประจัญบานและพลจู่โจมเท่าที่จะทำได้ และขอสักคนหนึ่งช่วยสำรวจพื้นที่บริเวณจัตุรัสและรายงานให้ผมทราบด้วย!”

            ไม่มีคำพูดใดมาจากบรรดาพลซุ่มยิง แต่เลเดนได้ยินเสียงคำรามของปืนไรเฟิลซุ่มยิงดังแทรกเข้ามาเป็นระยะแทนคำตอบ

            “ชั้นไปละนะ”

            เสียงของคามิลล์ดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเจ้าตัวที่พุ่งผ่านเลเดนไปยังทางขึ้นชั้นบน ในมือกระชับดาบไว้แน่นแทนปืนลูกซองซึ่งถูกนำไปสะพายไว้

            “รอผมด้วยสิ” เลเดนปิดช่องการสื่อสารรวมและซอยเท้าตามไป

            “นายอยู่แค่สั่งการจะไม่ดีกว่าเหรอ” หญิงสาวถาม

            “ไม่ได้หรอกครับ คนสั่งไม่ลงมือทำด้วยมันใช้ได้ที่ไหนกัน”

            “หึ ถ้าตายชั้นไม่รู้ด้วยนะ”

            ขณะที่เลเดนกำลังจะอ้าปากตอบกลับ ทั้งคู่ก็เจอเข้ากับกองโจรคนหนึ่งซึ่งวิ่งสวนลงมาพอดี เป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ สิ่งที่ดูเป็นอันตรายในตัวเขาคือแววตาและปืนที่ถูกยกขึ้นมาอย่างฉับพลัน

            แต่ก็ยังช้ากว่าดาบของคามิลล์ที่ตวัดฟันทั้งปืนแยกออกเป็นสองท่อนและมือข้างหนึ่งของชายคนนั้นขาดกระเด็นพร้อมๆกัน เขาค้อมตัวลงร้องโหยหวนพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกมาจากข้อมือราวท่อประปาแตก อีกมือก็พยายามจับห้ามเลือดอย่างไม่เป็นผล แต่เสียงร้องนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อคามิลล์เสียบดาบเข้าที่ลำคอของเขาและเฉือนออกทางด้านข้าง แยกอีกหนึ่งอวัยวะออกจากร่างไปเป็นการถาวร

            เลเดนชะงักไปกับความสยดสยองที่เกิดขึ้น แต่เสียงคามิลล์วิ่งขึ้นบันไดต่อโดยไม่หยุดทำให้เขาได้สติและรีบตามเธอขึ้นสู่ชั้นดาดฟ้าของอาคาร เมื่อไปถึงชั้นดาดฟ้าพวกเขาก็เจอเข้ากับกองโจรอีกคนซึ่งกำลังจะลงบันได แต่คงไม่ได้ทำแล้วเพราะถูกเสียบเข้าที่หน้าอกด้วยดาบยาวหนึ่งเมตร คามิลล์ดันร่างนั้นกระแทกผ่านประตูเปิดออกสู่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งส่วนที่ติดถนนได้พังยับเยินไปแล้ว แต่ก็ยังมีพวกกองโจรเหลือรอดชีวิตอยู่ประมาณสิบคน

            “เฮ้ย! พวกมันมาแล้ว ยิง!”

            หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นเมื่อเห็นเลเดนกับคามิลล์ และทั้งหมดก็พร้อมใจกันยิงเข้าใส่ทั้งคู่ทันที แต่กระสุนส่วนใหญ่ก็ฝังเข้าไปในร่างของเพื่อนที่ถูกเสียบคาไว้บนดาบของคามิลล์ เลเดนยกปืนในมือขึ้นยิงกลับไปยังคนหนึ่ง กระสุนที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกจากปากกระบอกไปด้วยความเร็วกว่าสี่มัคเข้าที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ส่งมันลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้น เลือดสาดกระจายจากรูบนใบหน้า

            เมื่อพวกกองโจรเห็นว่าโจมตีใส่คามิลล์ไม่ได้ เป้าจึงเปลี่ยนเป็นเลเดนแทน ชายหนุ่มโผเข้าไปด้านหลังหนึ่งในอุปกรณ์ระบายความร้อนขนาดใหญ่ซึ่งถูกติดตั้งอยู่บนอาคารเกือบทุกหลัง ใช้มันเป็นที่กำบัง คามิลล์ยันร่างไร้ชีวิตบนอาวุธของเธอออกและทำแบบเดียวกันกับอุปกรณ์อีกเครื่อง

            เลเดนหยิบระเบิดควันออกมา ตั้งใจจะใช้มันในการช่วยให้คามิลล์เข้าประชิดศัตรูได้ด้วยการอำพรางตัว ขณะที่ชายหนุ่มเหลือบมองออกไปเล็กน้อยเพื่อหาจุดในการขว้างที่เหมาะที่สุด เขาได้ทันเห็นศีรษะของโจรคนหนึ่งถูกทะลวงผ่านด้วยกระสุนจากปืนไรเฟิลซุ่มยิงขณะที่คนอื่นๆพะว้าพะวังทันทีเพราะไม่รู้จะหลบไปอยู่ตรงไหน ทั้งข้างหน้าข้างหลังมีศัตรู และเมื่ออีกคนหนึ่งถูกส่องเข้าที่กลางหน้าอก เลเดนก็เขวี้ยงระเบิดควันออกไปจากมือ เมื่อมันตกกระทบพื้นก็ปล่อยกลุ่มควันหนาทึบที่ทำลายทั้งทัศนวิสัยและการหายใจ

            คามิลล์ไม่รอช้าสะกิดเท้าออกจากหลังอุปกรณ์ระบายความร้อนพร้อมดาบในมือ เลเดนเปิดโหมดตรวจจับความร้อนและยิงใส่ส่วนใดก็ตามของพวกกองโจรที่โผล่พ้นจากที่กำบัง แต่สิ่งที่เขาได้เห็นมีเพียงแค่ชิ้นส่วนร่างกายที่หลุดกระเด็นไปทั่วเท่านั้น

            “จบแล้วละ” เสียงเรียบๆของอากิดังขึ้นในช่องการสื่อสารของหน่วย เลเดนเดาว่าการซุ่มยิงนั่นคงเป็นฝีมือของเธอ เมื่อควันจากระเบิดจางลง ก็เหลือแค่คามิลล์ที่เสียบดาบกลับเข้าฝัก ทั้งร่างแดงฉานด้วยสิ่งที่เลเดนไม่คิดว่าเป็นสีของชุดเกราะแน่ๆ รอบตัวหญิงสาวมีร่างไม่สมประกอบของพวกโจรเรียงรายอยู่บนแอ่งเลือดที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ

            “รายงานสถานการณ์” ชายหนุ่มพูดใส่ช่องสื่อสารรวมขณะกวาดสายตาไปบนอาคารหลังอื่นๆซึ่งบัดนี้เสียงปืนเงียบลงแล้ว

            “ศัตรูในบริเวณนี้ถูกกำจัดเรียบร้อยครับ ไม่มีท่าทีว่ามีกำลังเสริม”

            “ฝ่ายเราไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมครับ แต่มีผู้บาดเจ็บหลายนาย”

            “ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บจากการถูกซุ่มโจมตีทั้งหมดแล้วค่ะ”

            “บริเวณจัตุรัสและพื้นที่ใกล้เคียงไม่มีวี่แววของศัตรู กลางจัตุรัสมีผู้คนแออัดอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีอาวุธ คาดว่าน่าจะเป็นประชาชนในเมืองที่ถูกกวาดต้อนไป แล้วก็ มีบางอย่างคล้ายๆเวทีปราศรัยอยู่”

            เลเดนวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ชั่วครู่และออกคำสั่งถัดไป

            “พาคนบาดเจ็บไปปฐมพยาบาล หากยังสามารถต่อสู้ได้ขอให้เข้าร่วมรบด้วย และให้ทุกนายมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เป้าหมายทันที อย่าออกมาบริเวณที่โล้งแจ้งเด็ดขาด ลัดเลาะไปบริเวณอาคาร หน่วยแพทย์สนามช่วยอยู่ที่นี่สักสองสามคนเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บ เอาละ ไปได้”

            เสียงที่ตอบรับกลับมาคราวนี้ทั้งดังกระหึ่มและเต็มไปด้วยพลัง แม้ว่าจะโดนเล่นงานเสียยับเยินแต่ชัยชนะต่อผู้ซุ่มโจมตีก็ทำให้กำลังใจของกองร้อยที่สี่พุ่งสูง ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองขณะมุ่งหน้ากลับลงไปยังชั้นล่าง แต่แล้วเขาก็หยุด รอยยิ้มหายไปเมื่อเห็นสิ่งหนึ่ง

            ‘อาวุธพวกนี้มัน…’

            สิ่งนั้นคืออาวุธของพวกกองโจรที่นอนตายอยู่ แต่ละกระบอกไม่ใช่ปืนธรรมดาจากโลกเก่าที่ใช้ดินปืน แต่เป็นปืนที่ใช้ระบบเหนี่ยวนำด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเดียวกับที่ใช้กันในกองทัพราชอาณาจักรหรือตามกองทหารรับจ้างระดับสูง ปืนของเจ้าคนที่โดนเขายิงตายไปเป็นโมเดลเดียวกันกับปืนในมือชายหนุ่มเสียด้วยซ้ำ

            ‘ไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัย ต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อน’

            คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงไล่เรื่องนั้นออกจากหัว จดจ่ออยู่กับการสั่งการในขั้นตอนต่อไป

            สิบนาทีต่อมา สมาชิกที่ยังเหลือรอดอยู่ของกองร้อยที่สี่ก็มาถึงทางเข้าจัตุรัส ภายในจัตุรัสเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนเพิงเล็กๆสำหรับพักอาศัยที่สร้างขึ้นมาอย่างลวกๆจำนวนมาก ไม่มีกองร้อยใดเลยที่มาถึงก่อนพวกเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีการต่อต้านใดๆจากฝ่ายตรงข้าม จะมีก็แต่เสียงพูดปราศรัยที่ฟังไม่ได้ศัพท์เท่านั้น เลเดนจึงสั่งให้ทั้งกองร้อยเข้าไปภายในบริเวณจัตุรัสทันที เมื่อเหล่าทหารภายในชุดรบย่างเท้าสู่จัตุรัส ฝูงชนที่แออัดกันอยู่ก็แตกฮือออกไป

            “นี่คือกองทัพราชอาณาจักร ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ” เลเดนกล่าว เร่งลำโพงภายนอกของชุดให้ดังสุด จึงไม่ต่างอะไรกับการตะโกนใส่เครื่องขยายเสียง หวังให้มันช่วยควบคุมสถานการณ์ได้

            แต่การประกาศของเขากลับได้รับการต้อนรับด้วยห่ากระสุนจากฝ่ายที่อยู่บนเวทีปราศรัย กองร้อยที่สี่แยกกันเข้าที่กำบังที่อยู่บริเวณนั้นทันทีและยิงตอบโต้กลับไป ไม่ถึงนาที บนเวทีก็ไม่มีใครยืนอยู่อีกต่อไป เลเดนจึงยกมือทำสัญญาณให้ทั้งกองร้อยกลับมารวมกันอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของพวกผู้คนในเมือง

            ไม่ใช่สายตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มปิติยินดี แต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังขาและเกือบจะหวาดกลัว

            เลเดนสั่งให้กองร้อยที่สี่กระจายกำลังตรึงพื้นที่บริเวณโดยรอบ และบอกให้ใครสักคนทำการติดต่อไปยังอีกสามกองร้อย ซึ่งแดเนียลก็รับอาสา ก่อนจะนำหน่วยของตนเองอีกสองคนไปยังบริเวณเวทีซึ่งท่วมเต็มไปด้วยโลหิต ฝูงชนต่างหลีกทางให้ แต่ความอึดอัดก็ยังคงอยู่

            “ยังมีรอดอยู่คนหนึ่ง” คามิลล์ปีนขึ้นไปบนเวที ดึงชายคนหนึ่งขึ้นมา ทั่วร่างไม่มีบาดแผลอะไรนอกจากตรงต้นขาขวาเท่านั้น เลเดนมองเขาอยู่ชั่วครู่ก็จำได้ว่าชายคนนี้คือ ซาซิล คารีบ ผู้นำกองโจรที่เคยเห็นจากสรุปย่อภารกิจเมื่อช่วงเช้าวันนี้

            “จะให้ฆ่าเลยไหม”

            “อย่า เขาน่าจะให้ข้อมูลสำคัญๆได้เยอะทีเดียว ซีบิล ช่วยพาเขาไปปฐมพยาบาลด้วย” ชายหนุ่มส่ายหน้า

            “ค่ะ คุณคามิลล์ ช่วยแบกเขามาทางนี้หน่อยได้มั้ยคะ”

            คามิลล์ไม่ว่าอย่างไร แต่เหวี่ยงซาซิลลงมาจากเวที ก่อนจะกระโดดตามลงมาและลากเขาเข้าไปใต้เพิงหลังหนึ่งโดยที่หัวหน้ากองโจรไม่ขัดขืนใดๆ

            “ผมติดต่อไปหาอีกสามกองร้อยแล้วครับ ดูเหมือนว่าจะถูกซุ่มโจมตีกันหมด แต่ตอนนี้ควบคุมสถานการณ์ได้เรียบร้อยและกำลังมาที่นี่ครับ” แดเนียลที่แยกตัวออกไปก่อนหน้านี้เดินเข้ามารายงาน

            “ดี…” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ห้วงความคิดวกกลับไปถึงสาเหตุที่กองโจรพวกนี้มีปืนระดับกองทัพไว้ในครอบครอง

            ‘และยังท่าทีแปลกๆของคนพวกนี้อีก…’ ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งสับสน

            ขณะที่เขากำลังคำนวณถึงความเป็นไปได้ต่างๆนั้นเอง หินก้อนเล็กหนึ่งก็กระแทกเข้ากับหน้าอก ชายหนุ่มมองไปในทิศที่มันมา ก็เจอเด็กชายคนหนึ่งอายุไม่น่าเกินสิบขวบ ที่ในมือมีก้อนหินพร้อมปา

            “ออกไปซะ! เจ้าพวกบ้า!” เด็กน้อยร้องเสียงแหลม และขว้างหินอีกก้อนใส่ชายหนุ่มซึ่งงงงันไปกับคำพูดและการกระทำของเด็กคนนั้น

            “ใช่แล้ว ออกไป!” หินอีกก้อนลอยมาทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันกลับไป คราวนี้มาจากมือของเด็กสาววัยแรกรุ่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเคียดแค้นที่ปิดไม่มิด ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด สังเกตเห็นว่าคนรอบๆอีกหลายคนก็มีท่าทีอยากจะทำแบบเดียวกันขึ้นมา

            ปัง!

            แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครได้ลงมือทำอะไรต่อ เสียงปืนก็แผดก้องจัตุรัส ทำให้ทุกอย่างชะงักงันไปชั่วครู่

            “อึก…แก…หยุดนะ!”

            ก่อนที่เสียงร้องแฝงความเจ็บปวดของคามิลล์จะทำให้เลเดนและแดเนียลพุ่งไปยังเพิงที่ใช้เป็นที่ปฐมพยาบาลหัวหน้ากองโจรทันที ภายในเหลือแต่หญิงสาวในชุดรบสีแดงอยู่เพียงแค่คนเดียว มือซ้ายกำแขนขวาที่มีเลือดไหลโทรม

            “ไอ้บ้านั่น…มันเอาปืนพกของซีบิลยิงแขนชั้น แล้วลากยัยนั่นเข้าไปในตึกทางโน้นแล้ว” คามิลล์บอก ยื่นแขนให้แพทย์สนามอีกคนหนึ่งที่เพิ่งมาสมทบตรวจ

            “คุณเลเดนคะ…คนๆนี้ต้องการจะพบกับพันโทแมน…” เสียงสั่นเครือของซีบิลดังขึ้นในช่องสื่อสารหน่วย เลเดนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะบอกให้แดเนียลติดต่อหาแมนูเอล ส่วนตัวเขาเองเดินไปทางตึกหลังที่คามิลล์พูดถึง มันเป็นตึกสำนักงานเล็กๆ

            “นั่นนายจะทำอะไร”

            “ผมมีเรื่องที่อยากจะถามหัวหน้ากองโจรนี่สักหน่อยน่ะ…” ชายหนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว สะบัดปืนกลมือไปทางด้านหลังและดึงปืนพกออกมาถือไว้แทน

            ชายหนุ่มไม่ต้องใช้ความพยายามในการหาซาซิลและซีบิลเลย เพราะรอยเลือดจากขาของหัวหน้ากองโจรเป็นตัวบอกที่ชัดเจนมากอยู่แล้ว และมันนำเขามาถึงห้องๆหนึ่งปลายสุดของตึก มีประตูทางเข้าแค่ทางเดียว ท่าทางซาซิลจะจนตรอกแล้วจริงๆ

            “ไม่ว่าแกจะเป็นใคร โยนอาวุธของแกเข้ามาในนี้ซะ ไม่งั้นไม่รับรองว่าหัวของยัยนี่จะไม่มีรูต่อไปอีกนานแค่ไหน”

            เสียงแหบแห้งดังมากจากในห้อง เลเดนก็ทำตามอย่างว่าง่ายก่อนที่จะก้าวเข้าไป

            มันเป็นห้องว่างที่ยังไม่ได้ใช้งาน จึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆอยู่เลย กลางห้องคือซาซิลซึ่งใช้มือข้างหนึ่งรัดคอของซีบิลที่ถูกถอดหมวกออกโยนไว้ข้างๆ อีกมือถือปืนพกซึ่งเอียงปากกระบอกสลับไปมาระหว่างศีรษะของซีบิลและของเลเดน

            “ถอดหมวกออก”

            เลเดนออกคำสั่งให้ชุดรบปลดล็อกหมวก ชายหนุ่มดึงมันออก มีเซอร์วิสด้วยการโยนไปข้างๆเท้าซาซิลอีกด้วย หัวหน้ากองโจรเขม้นมองมัน แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็กลับไปสนใจเลเดนต่อ

            “คุณเลเดน…” ซีบิลเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตา

            “แกไม่ใช่แมนูเอล…แมนูเอลอยู่ไหน!”

            “พันโทแมนูเอลกำลังมา แต่ชั้นอยากจะถามอะไรแกสักหน่อย…”

            เลเดนประสานมือทั้งสองไว้ตรงท้ายทอย เอ่ยด้วยเสียงสบายๆ ซาซิลหรี่ตาลง มองไม่ออกว่าชายหนุ่มมาไม้ไหน

            “พวกแกไปเอาอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้ามาจากไหนกัน?”

            “หึ พวกชั้นจะเอามาจากไหนมันไม่เกี่ยวกับแกหรอก…”

            อันที่จริงชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะยอมตอบโดยดีอยู่แล้ว เขาเลื่อนนิ้วไปเกี่ยวสลักของระเบิดแสงซึ่งแอบหยิบออกมาตอนที่ซาซิลหันไปสนใจหมวก แต่ก็ยังไม่ทำอะไรมากกว่านั้น เพราะยังมีอีกหลายคำถามที่เขาจะใช้ถ่วงเวลาได้

            “ทำไมกองโจรอย่างพวกแกถึงต้องบุกยึดเมืองด้วย แค่ดักโจมตีกองคาราวานขนส่งสินค้ามันเลวไม่พอหรือไง?”

            น่าแปลกที่คำถามนี้ทำให้หัวหน้ากองโจรขมวดคิ้ว แววงุนงงฉายชัดในดวงตา และชายหนุ่มดูออกว่ามันไม่ใช่การเสแสร้ง

            “กองโจร? บุกยึด? นี่แกพูดถึงเรื่องอะไร…”

            คำตอบนั้นทำให้เลเดนยิ่งทวีความสงสัย และมันคงออกมาบนใบหน้าของเขามากเสียจนซาซิลถึงกับแผดเสียงหัวเราะดังลั่น รอยยิ้มบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความหฤหรรษ์

            “ฮ่าๆๆๆ งั้นเหรอ แกเองก็ไม่รู้สินะ!”

            “ไม่รู้? ไม่รู้เรื่องอะไร!?”

            “หึๆ ยังไงซะ ชั้นมันก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว…จะบอกให้แกฟังเอาบุญก็ได้ ถึงความจริงของเมืองๆนี้…ถึงความลับของไอ้ประเทศเน่าเฟะนี่!”

            ปัง!

            โดยไม่มีใครคาดคิด เสียงปืนพกแผดลั่นก้องห้องแคบๆนั้น

            เมื่อสิ้นเสียงกังวานของมัน แขนของหัวหน้ากองโจรที่รัดอยู่รอบลำคอของซีบิลก็คลายออก เจ้าของแขนเอนตัวล้มลงพร้อมรูขนาดเท่าเหรียญบนหน้าผาก เลเดนรุดเข้าไปประคองซีบิลที่นั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง มองกลับไปยังจุดที่ตนเองอยู่เมื่อครู่ ซึ่งบัดนี้มีคนผู้หนึ่งมายืนแทนแล้ว

            “พันโท…”

            เขาเอ่ยยศคนๆนั้นอย่างงุนงง แมนูเอลยังคงยกปืนพกในมือค้างไว้ ดวงตาหลังแว่นไร้กรอบเยือกเย็นไร้น้ำใจจนน่าขนลุก

            “พวกเธอทั้งสองคน ไม่เป็นไรนะ?”

            แต่แล้วแววตานั้นก็หายไปพร้อมกับปืนพกที่ถูกสอดเข้าซองของมัน ผู้บัญชาการกองพันเดินห้องมาหาลูกน้องทั้งสองและถามด้วยรอยยิ้ม

            “ครับ…”

            “ดี วันนี้เราสูญเสียกันมามากพอแล้ว พวกเธอลงไปเถอะ ชั้น…ขออยู่ตรงนี้อีกสักพัก”

            โดยไม่รอให้แมนูเอลไล่อีกรอบ เลเดนพยุงซีบิลขึ้นจากพื้นและพาเธอลงจากตึก เมื่อคามิลล์และแดเนียลที่รออยู่อย่างกระวนกระวายเห็นทั้งคู่ก็วิ่งเหยาะๆเข้ามาหา คามิลล์ดึงซีบิลจากเลเดนและพาเธอไปยังแพทย์สนามคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เพราะหญิงสาวเหมือนใกล้จะเป็นลมเต็มทีแล้ว

            “แล้วหัวหน้ากองโจรล่ะครับ? เมื่อกี้ผมเห็นพันโทเดินขึ้นไป แล้วก็มีเสียงปืน…” แดเนียล

            “ตายแล้ว”

            “แต่คำสั่งบอกให้จับเป็น…”

            “ยังไงซะก็คงต้องโทษประหารอยู่ดี ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่าง คนออกคำสั่งเป็นคนยิงเองซะด้วย”

            เมื่อถึงประโยคนี้ แดเนียลก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

            “พันโทแมนน่ะเหรอครับ”

            เลเดนพยักหน้า คำพูดก่อนถูกสังหารของซาซิลยังวนเวียนอยู่ในหัว

            ‘ความจริงของเมืองๆนี้…ความลับของไอ้ประเทศเน่าเฟะนี่!’

            “คุณแดเนียลครับ คุณเคยรู้เรื่องที่ไม่ดีของราชอาณาจักรมาบ้างไหม?”

            “เอ ไม่เคยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

            “เปล่าหรอกครับ รีบกลับฐานทัพกันดีกว่า ผมอยากพักแล้ว”

            ชายหนุ่มตัดบทโดยไม่สนใจสายตาเคลือบแคลงของแดเนียลและเดินผละจากเขาไปด้วยสีหน้าที่ไม่มีใครมองเห็น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา