SoulWalker

-

เขียนโดย คนนะจ๊ะ

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.01 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  5,126 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 20.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

 

 

               ตั้งแต่ที่โลกถือกำเนิดและให้กำเนิดสรรพชีวิตมากมายบนผืนแผ่นดินนี้ กาลเวลาผันเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ต่างๆถือกำเนิดขึ้นและดับสิ้นไปตามกาลยุคสมัย กฏการดำเนินชีวิตของโลกแสนง่ายดาย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นผู้อยู่รอดเสมอ โลกได้คัดสรรค์ผู้ปกครองพื้นพิภพครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งถึงยุคของสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญานามว่า ‘มนุษย์’

               มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอหากเทียบกับยุคของสัตว์อื่นๆ กระนั้นสิ่งที่มาทดแทนความอ่อนแอ คือ การสรรสร้างค์ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องสวมใส่ ที่อยู่อาศัย อาวุธ ไปจนถึงอารยธรรม พวกเขาปกครองผืนแผ่นดินได้นานกว่าสัตว์ใดๆบนโลกใบนี้ พวกเขาแข็งแกร่ง พวกเขาทรงปัญญา อย่างน้อยพวกเขาก็คิดกันแบบนั้น

               พวกเขาคิดว่าตัวเองแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน สถาปนาตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐเพราะพวกมนุษย์รู้จัก คุณธรรม จริยธรรม ผิดชอบชั่วดี และมนุษย์ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลในการช่วยเหลือเพื่อนสิ่งมีชีวิตมากมายในโลกใบนี้

               หรือกระทั่งเป็นเหตุผลในการฆ่า

               สัตว์อื่นๆบางชนิดมีการฆ่าพวกเดียวกันเองตามเงื่อนไขธรรมชาติที่สร้างพวกมันมา ซึ่งมนุษย์แตกต่างจากพวกนั้น มีคนเคยพูดไว้ว่าทุกชีวิตมีค่าแต่ใครล่ะเป็นคนกำหนดค่าให้กับชีวิตเหล่านั้น ชีวิตสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อความสนุกมีค่าเท่ากับราคากระสุนที่ยิงออกไป ชีวิตของผู้หญิงที่ถูกโจรวิ่งราวแทงในตรอกมืดมีค่าแค่เงินในกระเป๋าที่ถูกแย่งไป หรือ ชีวิตของคนตาบอดที่โดนรถชนแล้วหนีถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ตายอย่างไร้ค่า

               ประเสริฐกับเดรัจฉานมันก็เป็นแค่เส้นคั่นบางๆระหว่างมนุษย์กับสัตว์

               ‘สงคราม’ คือการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ การฆ่าที่สามารถฆ่าล้างพันธุ์โดยไม่สนใจอะไร ทำไมคำว่าจริยธรรมถึงไม่ช่วยทำให้พวกเขาคิดได้ ทำไมคำว่าคุณธรรมถึงไม่ทำให้พวกเขาหยุด ทำไมผิดชอบชั่วดีถึงไม่ทำให้พวกเขาสำนึก ทั้งที่รู้ว่าสงครามมีแต่ความทุกข์ยากและความตายของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้วทำไมสงครามถึงยังเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ

               มันก็แค่เรื่องง่ายๆ เพียงเพราะคำว่า ‘อำนาจ’

               ถ้ามีคนอยู่ 10 คน ปกครอง 10 ประเทศ วันหนึ่งพวกเขาเกิดมีความคิดแตกแยกไม่ลงลอยกัน เจรจากันได้ก็ดีไปแต่ถ้าไม่ล่ะ

               พวกเขาจะกลับไปใช้กฏง่ายๆตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นมา ‘ผู้ชนะคือความถูกต้อง ผู้แข็งแกร่งกว่าได้ครอบครองทุกอย่าง’

               งั้นถ้าหากโลกนี้มีผู้ปกครองเพียงผู้เดียวล่ะ ผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จไร้ซึ่งผู้ต่อต้าน ผู้ซึ่งสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกให้เป็นไปดั่งใจต้องการ

               กลายเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกเสียเอง

               ถ้าเลือกผู้ที่เหมาะสมและมอบอำนาจให้เขา โลกก็จะสงบสุขไปตลอดกาล

               ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นต้องคัดเลือกผู้ที่ปราดเปรื่อง แข็งแกร่ง ว่องไว เหนือเผ่าพันธุ์ใดๆบนโลกนี้

 

 

               เมื่อทรายในนาฬิกาหยุดไหลนั่นคือเวลาที่เหมาะสมในการคัดเลือก

 

               ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโรงเรียนกวดวิชาตรงข้ามกับโรงเรียนของผม นั่งมองออกไปตรงถนนที่มีเด็กนักเรียนมากมายรวมถึงรถที่จอดอยู่ตามสัญญาณไฟจราจร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังมอง

               สองคนที่กำลังมองซ้ายมองขวาอยู่แถวหน้าทางเข้าโรงเรียนต่างหากที่ผมกำลังรู้สึกสนใจ

               ผมเห็นพวกมันครั้งแรกเมื่อสามวันก่อน ทั้งที่ใส่เครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันแต่กลับไม่คุ้นหน้าคุ้นตา มองผ่านๆน่าจะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายซึ่งที่นี่มี 20 ห้องกับ 3 หลักสูตรธรรมดาและ 2 หลักสูตรพิเศษ

               ที่น่าแปลกใจคือใบหน้าของพวกมันไม่ได้โผล่ในรายชื่อของนักเรียนมัธยมปลายทั้ง 2400 คนของโรงเรียนนี้ ยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดแต่ก็ต้องตีไปก่อนว่าพวกมันไม่ได้มาดี

เพราะไม่มีคนดีคนไหนเดินเข้าประตูหลังบ้านคนอื่นที่ไม่รู้จัก

               ผมเอามือลูบสัญลักษณ์ตรงข้อมือซ้ายที่กำลังส่องแสงสีฟ้าอยู่แล้วกระซิบกับตัวเองเบาๆ

               “เชนจ์”

               เกิดแสงสว่างวูบเดียวแล้วหายไปพร้อมกันนั้นผู้คนที่อยู่รอบตัวผมกระทั่งรถชนิดต่างๆบนท้องถนนกลับกลายเป็นเพียงภาพจางๆไร้เฉดสี ผมดึงฮู้ดเสื้อกันหนาวขึ้นมาปิดหน้าประสานมือแล้วกระชากออกจากกัน

               แสงสีฟ้ายาวตามระยะห่างระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้าง เมื่อสุดระยะแสงสว่างนั้นก็แตกกระจายออกกลายเป็นดาบสองด้าน ผมใช้มือจับใบดาบแล้วหมุนตัวดาบกลางอากาศก่อนคว้าที่ด้ามจับตรงกลางระหว่างใบดาบทั้งสอง

ขนาดนี้พวกมันจะรู้ตัวก็ไม่แปลก เกิดแสงจ้าสีฟ้าสองจุดจากนั้นร่างที่จืดจางไร้เฉดสีก็กลับมามีสีและรูปร่างชัดเจนอีกครั้ง

               “พวกแกเป็นใคร มาจากไหน” ผมพูดพลางกระโจนเข้าหาสองคนนั้นที่ตั้งท่าจะเรียกอาวุธ มือขวาบีบคอผู้ชายคนแรกไว้พร้อมกับเตะอีกคนออกไปจากตรงที่ยืนอยู่

               “ต้องการอะไร” ผมเลื่อนใบดาบเตรียมจะเชือดคอ หากมันไม่คายออกมาภายในสามวินาที

               วูบ

               ผมรีบปล่อยมือออกจากคอของหนึ่งในพวกมันแล้วตีลังกาหลังหลบคมหอกที่เล็งเข้ามาตรงซี่โครงขวาได้อย่างฉิวเฉียด

               “เดี๋ยวก่อน เราแค่อยากคุย” คนที่โดนผมบีบคอพูดด้วยน้ำเสียงขาดๆหายๆ

               “ถ้าเอาเวลาสามวันที่พวกแกมาทำลับๆล่อๆหน้าโรงเรียนฉันมาเจรจาฉันอาจจะอยากคุยด้วย แต่ตอนนี้หมดเวลาแล้วว่ะ” ผมดึงด้ามดาบให้แยกออกมาเป็นสองส่วน เกิดเสียงแกร็กตามด้วยใบดาบทั้งสองที่โค้งไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วเกี่ยวเอาเส้นเอ็นตรงกลางกลายเป็นคันธนู กระบอกเก็บที่เต็มไปด้วยลูกธนูปรากฏขึ้นด้านหลัง ผมหยิบลูกธนูขึ้นมาสามลูกแล้วยิงไปที่พวกมันทั้งสองคน

               คนใช้หอกปัดทิ้งได้ทั้งหมด ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

               พอเห็นว่าทางนี้ไม่คิดจะคุยด้วย เจ้าคนที่กำลังเจ็บคออยู่ก็เรียกอาวุธของตัวเองออกมาบ้าง เป็นมีคู่ ลักษณะทางกายภาพก็เป็นพวกว่องไวทั้งคู่ พวกสืบข่าวสินะ เอาเถอะมันจะมาทำอะไรก็เรื่องของมัน ปาดคอมันซะตรงนี้ก็จบเรื่อง

               ไม่สิ อย่างน้อยต้องรู้ให้ได้ว่ามันสังกัดไหน

               “เอาล่ะ ถ้าอยากพูดฉันจะเปิดโอกาสให้พวกแกพูด” ผมดึงหลอดของเหลวสีแดงข้นออกมาจากเข็มขัดกางเกงใช้ปากกัดจุกออก

               “ช้าไปมั้งพวก ตอนนี้พวกเราไม่คิดจะเจรจาอะไรทั้งนั้น” เจ้าคนใช้หอกว่าแบบนั้น ผมกระดกของเหลวสีแดงหนือจนหมดหลอด พริบตานั้นภาพทุกอย่างก็พร่ามัว ในหัวเหมือนมีแรงบีบอย่างแรงจน หน้าอกปวดร้าวราวกับกำลังถูกมีดแทงแหวกเนื้อเข้าไป

               แล้วความเจ็บปวดทั้งหมดก็สิ้นสุดลง

               “เออ นั่นแหละที่อยากได้ยิน” ผมทิ้งหลอดเปล่าลงพื้นจ้องเขม็งไปที่สองคนนั้น

               “ไว้เดี๋ยวจัดการพวกแกแล้วจะตามไปลากพวกที่เหลือเอง เก็บปากไว้อมเหรียญได้เลย”

 

               ‘แหวกเสี้ยวเหมันต์’

 

               ผมกระโจนเข้าหาทั้งสองคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้พวกมันพร้อมใจกันลงดาบแบบไม่มีลังเล ส่วนผมก็สวนกลับไปโดยไม่จำเป็นต้องป้องกัน

เคร้ง!

               “อะไรกัน!?” หอกที่น่าจะแทงทะลุหัวของผมกลับปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นและโดนดีดกลับไปเช่นเดียวกับมีดสั้น เอ็นธนูถูกดึงง้างและซัดลูกธนูระยะเผาคนเข้าที่หัวไหล่ขวา หน้าอก และ ปอดซ้าย ของเจ้าคนใช้มีดคู่

               เจ้าคนใช้หอกดูท่าทางตื่นตระหนกจนสติไม่อยู่กับร่องกับลอย ดูท่าแล้วน่าจะเป็นพวกมือใหม่สินะ ผมดีดตัวเข้าหาเจ้าบ้าที่ยังคงไม่เลิกโง่แทงหอกมาอีกสามครั้งซึ่งผลก็เหมือนเดิม ใบดาบกลับทิศทางอีกครั้งกลับมาเป็นดาบสองด้าน ผมใช้สันมือฟาดเข้าตรงกระเดือกของมันเต็มแรง กระโดดเหยียบหน้าอกมันที่ลงไปนอนกับพื้นแล้วแทงดาบลงตรงช่วงท้องของมันทะลุไปถึงพื้นคอนกรีตด้านล่าง

               “เอาล่ะ พวกมือใหม่อย่างแกไม่น่าถูกส่งมาแค่สองคนแน่ ต้องมีพวกที่คอยตามมาดูแลพวกแก” เจ้าคนใช้หอกกรีดร้องลั่นเมื่อผมบิดดาบเปิดแผลให้กว้างขึ้น “บอกมาพวกมันอยู่ไหน”

               “ไอ้เวรเอ๊ย อ๊าก!!!”

               “ตอบให้ตรงคำถาม พวกมันอยู่ที่ไหน” ผมออกแรงเลื่อนใบดาบให้แหวกหนังด้านบนท้องของมันอีกสองเซนติเมตรและจะเพิ่มอีกหนึ่งเซนทุกคำตอบของมัน

               “อั่ก” มันกระอักเลือดออกมา เหมือนเลือดจะท่วมหลอดลมจนหายใจไม่ได้แล้ว ไม่เป็นไรผมไม่รีบ ค่อยๆให้มันคายออกมาทีละคำนั่นแหละ

               แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใจเย็นเหมือนผม พวกที่ผมถามหาออกมาจากที่ซ่อนตามจุดต่างๆแล้วเข้าจู่โจมผมเป็นกลุ่มเหมือนฝูงหมาป่า ถึงจะป้องกันไว้ได้หมดแต่ก็โจมตีสวนกลับไปไม่ได้ นับว่าการประสานงานเป็นกลุ่มค่อนข้างดีเลยทีเดียว

               หก ไม่สิ เจ็ดคนงั้นเหรอ แยกไปดูคนบาดเจ็บสอง อีกห้าคนกันท่าไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง แต่ละคนไม่สวมผ้าคลุมหน้าก็ผ้าปิดปากทั้งนั้น

               “วันรวมญาติรึไง” ผมทัดดาบไว้บนบ่าเดินซ้ายทีขวาทีดูเชิงเจ้าพวกนี้ที่หยุดโมตีลัยังไม่มีท่าทีจะเข้ามา

               “แก! พวกเรามาเพื่อเจรจากับแกนะ!” หนึ่งในนั้นตะโกนกลับมาอย่างเดือดดาลเมื่อเห็นพวกพ้องของตัวเองบาดเจ็บเจียนตาย

               “อยากคุยเหรอ? ปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามาในถิ่นคนอื่นเขาแบบนี้เนี่ยนะ” ผมชี้หน้าถามพวกมันเรียงตัวซึ่งก็เงียบไม่มีคำตอบกลับมา

               “พวกแกไม่ได้เดินเข้ามาแบบจริงใจ จะให้ฉันคิดยังไง” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำตอบ

งั้นก็ตามเนื้อผ้า เชือดทิ้งไปให้หมด

               “พวกฉันเสียเพื่อนไปสองคนก็เพราะหลงเชื่อไอ้พวกคนดีช่างปราศัย จะรู้ได้ไงว่าพวกแกก็ไม่ได้มาแบบเดียวกัน”

ครืน!

               เมื่อผมพูดจบกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็โอบล้อมพวกเราทุกคนเอาไว้ เด็กสาวผู้ใช้กระบองสามท่อนน้ำแข็งกระโดดลงมาจากยอดน้ำแข็งที่สูงเกือบสิบเมตรทางด้านหลังเจ้าพวกนั้นโดยไม่เป็นอะไร

               จำนวนคนในตอนนี้ไม่ได้ทำให้พวกนั้นได้เปรียบขึ้นมาเลยในสถานการณ์แบบนี้ กลับกันเจ็ดคนนั้นกลับเป็นฝ่ายถูกกดดันเสียเอง ราวกับหนูติดอยู่ในกรงราชสีห์รอเวลาตายอยู่ในนั้น ให้พวกมันคิดแบบนั้น ทำให้พวกมันรู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้และจำเป็นต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรก แต่ต้องไม่ไล่ต้อนพวกมันมากจนเกินไป เวลาจัดการพวกทันจะได้ไม่มีการขัดขืนมาก

               ผมหันไปสบตากับคู่หูที่ยืนฝั่งตรงข้ามพลางพยักหน้า ถ้าพวกมันไม่ทำอะไรเลยภายใน 10 วินาที เธอจะบดพวกมันด้วยก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่มีน้ำหนักหลายสิบตัน

               “พวกเรา...ถอยก่อน” คนที่ดูเป็นหัวหน้าบอกกับคนอื่นๆ พริบตานั้นใต้เท้าของพวกนั้นก็เกิดแสงจากวงเวทขึ้น แสงนั่นสว่างเสียจนแทบจะเผาลูกตาของผมให้มอดไหม้กลายเป็นขี้เถ้า และเมื่อแสงนั่นดับลงผมก็ไม่เห็นพวกนั้นอยู่ในครรลองสายตาแล้ว

               “ชิ” ผมเดาะลิ้นอย่างนึกเสียดายพลางกดมือที่สัญลักษณ์ตรงข้อมือซ้าย จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม โลกกลับมามีเฉดสีอีกครั้งพร้อมกับภาพของเด็กนักเรียนที่กำลังกลับบ้านหลังเลิกเรียนพิเศษ

                ขณะนี้เป็นเวลา 20.00 นาฬิกา

               “พอตามได้ไหม” ผมหันไปถามเด็กสาวที่เดินมายืนข้างผมตั้งแต่ออกมาจากโลกเสมือน

               “ไม่อ่ะ ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดอ่านเส้นทางดำเนินการของวงเวทออกนะยะ” เธอแหวใส่ผมที่ถามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเราสองคนไม่ได้มีความสามารถของจอมเวทโดยตรงล่ะนะ

               “งั้นก็แล้วไป กลับบ้านกันเถอะ”

               “เดี๋ยวสิยะ แล้วทำไมนายถึงไม่เรียกฉันตอนเจอศัตรู นี่ถ้าฉันไม่เลิกเรียนแล้วออกมาเจอนาย ป่านนี้นายโดนพวกนั้นกระทืบเละไปแล้ว” เธอด่าผมพลางเอามือกดเข้ามาที่กลางหน้าผากผมอย่างแรง

               “เอาน่า เรื่องแค่นี้ฉันเอาอยู่” ผมใช้มือปัดนิ้วเธอออกไปแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มของเธอบ้าง

               “เหอะ! ปากดีเหลือเกินนะ คราวหน้าเกิดอะไรขึ้นฉันไม่รู้ด้วยแล้ว” แม่คุณเธอบ่นฉอดๆขณะที่ส่งกระเป๋ามาให้ผมถือ ให้ตายเถอะนี่ไม่ใช่ของผมสักหน่อยทำไมต้องเป็นผมที่ต้องถือตลอดเลยนะ

โครม!

               เสียงกระแทกอย่างรุนแรงดึงความสนใจจากทั้งผมและเด็กสาวให้หันไปมองที่ต้นเสียง รถสปอร์ตคันสวยที่วิ่งมาด้วยความเร็วเกินกำหนดในเขตชุมชนได้ชนเข้ากับเด็กนักเรียนคนหนึ่งจนรถบุบเข้าไปครึ่งคัน

               ใช่แล้ว คุณฟังไม่ผิดหรอก รถสปอร์ตนั้นแหละที่บุบเข้าไปครึ่งคัน ส่วนเด็กที่โดนชนไม่เป็นอะไรเลย

               ตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังหน้าซีดอ้าปากเหวออยู่กลางถนน ผมเห็นอะไรลางๆคล้ายกับวัตถุสัมฤทธิ์ตั้งอยู่ตรงหน้าแต่มันเลือนลางมากเสียจนนึกว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

               “หมอนั่น เพื่อนห้องเดียวกับนายนี่” เด็กสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่วนผมจ้องเขม็งไปที่หน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น จริงอย่างที่เธอพูดเจ้านั่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นห้องเดียวกับผม ตอนนี้พลังของหมอนั่นก็ตื่นขึ้นมา

               และในวินาทีนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นอีกร่างหนึ่งที่กำลังเดินข้ามถนนไปแบบไม่สนใจเหล่าไทยมุงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังของหมอนั่นดูคุ้นๆน่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องอีกคนของผมแต่ที่คุ้นกว่าคือเงาดำที่ตามหลังหมอนั่นไป

               บ้าจริง หมอนั่นก็เป็นโซลเบรคเกอร์เหมือนกัน

               “มุกปล่อยตรงนี้ไปก่อน ต้องรีบไปช่วยไอ้บ้านั่นก่อนที่จะโดนเบียทริสกินหัวเอา”         

 

 

                          

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา