พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  43 บท
  0 วิจารณ์
  33.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) บทที่ 19 ยกพลขึ้นบก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 19

ยกพลขึ้นบก

 

          เป็นค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท อากาศร้อนอบอ้าวราวกับฝนจะตก เมฆหนาทึบบดบังแสงดาวทุกดวง เสาคบเพลิงและตะเกียงรอบๆ ฐานทัพเรือซาโมโรว์ทุกดวงต้องถูกจุดเพื่อให้แสงสว่างแก่บริเวณนั้น คลื่นลมค่อนข้างแรง กระแสลมพัดเข้าหาฝั่งทัศนวิสัยค่อนข้างแคบเพราะไม่มีแสง เมื่อมองออกไปกลางทะเลจะแยกไม่ออกเลยว่าเรือลำใหญ่ๆ กับหมู่เกาะเล็กๆ นั้นต่างกันอย่างไร พวกทหารที่เฝ้ายามอยู่ตามท่าเรือและชายฝั่งต่างนั่งล้อมกองไฟกันและเหลือบมองไปตามชายฝั่งเป็นระยะๆ  เรือสำเภาลำใหญ่หลายลำจอดเทียบเรียงกันไว้ที่ท่าเรือตามปกติ เป็นเรือเปล่าทุกลำ เพราะกองกำลังบนเรือถูกส่งไปเป็นกองหนุนที่โอมิลรอนหมดแล้ว ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์จึงเหลือกองกำลังอยู่รักษาการณ์แค่หยิบมือเดียว ท้องทะเลดูท่าจะไม่สงบเสียเลย คลื่นทะเลก่อตัวและซัดใส่โขดหินเสียงดังสนั่น

          “โชคดีจริงๆ ที่เราไม่ต้องเดินทางไปกับพวกกองหนุน” ทหารคนหนึ่งคุยกับเพื่อน “อยู่ที่นี่สบายกว่าเยอะ ไม่ต้องทำอะไรมากนัก ไม่ต้องเสี่ยงภัยอะไรด้วย”

          “ข้าว่าเราไม่ใช่คนขี้เกียจหรอกนะ แต่เราก็ควรได้รับผลตอบแทนอันเหมาะสมกับที่เราลงแรงไปด้วย ไม่ใช่ได้แค่เบี้ยหวัดทหารต่ำๆ แทบจะไม่พอกิน ขณะที่พระราชาและพวกขุนนางเอาแต่ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ใครจะมีกำลังใจทำงาน” เพื่อนทหารอีกคนอ้าปากหาว “หากทำงานหนักมันได้ผลตอบแทนพอๆ กับทำงานลวกๆ แล้วใครจะโง่ไปทำงานหนักล่ะ เราอยู่ที่นี่ดีแล้ว ดีกว่าลำบากเดินทางไปโอมิลรอน”

          “ถูก” ทหารคนที่สามเห็นด้วย“คงมีอะไรให้ทำมากมายแน่ ถ้าเราต้องไปโอมิลรอน พวกดาร์คเนสดีวิลตั้งค่ายขวางหน้าเมืองไว้ เจ้าเมืองโอมิลรอนไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

           “แต่เดี๋ยวกัปตันเท็มเปิลก็จะนำทัพเรือกลับมาช่วยแล้ว” ทหารอีกคนเอ่ยขึ้น “พวกดาร์คเนสดีวิลปิดล้อมอยู่ได้ไม่นานหรอก--”

                คำพูดสองสามคำสุดท้ายของทหารคนนั้น ถูกกลบด้วยเสียงปืนใหญ่หลายกระบอกที่ดังมาจากทะเลฝุ่นทรายฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เข้าหูเข้าตาพวกเขา ทหารมนุษย์ทุกคนในฐานทัพเรือต่างหันคว้าอาวุธกันหน้าตั้ง กระสุนทรายอีกระลอกถูกยิงเข้าหาท่าเรือและแตกกระจายออกเป็นฝุ่นทรายหนาทึบ มันไม่ใช่กระสุนทำลายล้าง แต่เป็นกระสุนสำหรับบดบังทัศนวิสัย ทำให้พวกมนุษย์มองเห็นสิ่งที่บุกเข้ามาจากทะเลได้ยากยิ่งเรือสงครามลำใหญ่ห้าลำระดมยิงกระสุนทรายเข้าใส่ชายฝั่ง และลอยลำเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ  ใบเรือแต่ละลำมีตราสัญลักษณ์ต้นตะบองเพชรสีน้ำตาล ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์โฮเซ่ พวกโฮเซ่เลือกที่จะบุกเข้ามาทางชายฝั่งน้ำตื้นเพราะมีการป้องกันที่เข้มแข็งน้อยกว่าบริเวณท่าเรือน้ำลึก มันมีป้อมและหลุมกำบังน้อยกว่า ถึงอย่างไรชายฝั่งน้ำตื้นก็ไม่สามารถนำเรือรบลำใหญ่มาเทียบท่าได้อยู่แล้ว พวกมนุษย์จึงไม่สร้างแนวป้องกันแน่นหนานัก

                “เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว น้ำตื้นเกินไป” ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่สวมเกราะพร้อมรบ บอกกับกอร์รินบนเรือจ่าฝูง กอร์รินก็สวมเกราะติดริ้วธงพร้อมรบเช่นกัน

                “หันข้างเรือ” กอร์รินตะโกน “ยิงปูทางทันทีที่พร้อม”

                เรือรบโฮเซ่ทั้งห้าลำหันด้านข้างเรือเข้าหาชายฝั่ง ด้านข้างเรือเป็นด้านที่มีปืนใหญ่มากที่สุด แล้วทุกกระบอกก็ถูกจุดชนวนระดมยิงเข้าใส่ชายฝั่งซาโมโรว์ ทั้งกระสุนทรายและกระสุนเหล็ก ป้อมและหลุมกำบังหลายแห่งพังย่อยยับ พวกทหารมนุษย์กระจัดกระจายกันไปคนละทาง บางคนพยายามยิงปืนใหญ่ตามชายฝั่งโต้ตอบ แต่ฝุ่นทรายและการกระหน่ำยิงของอีกฝ่ายก็ทำให้โต้ตอบไม่สะดวก แนวป้องกันตามชายฝั่งน้ำตื้นพังย่อยยับไปตามๆ กัน ป้อมถล่ม ปืนใหญ่ตะแคงล้ม หลุมกำบังถูกกลบ กองทหารรักษาชายฝั่งก็กระจัดกระจายไปทั่ว ไม่สามารถตั้งขบวนแถวเตรียมตั้งรับได้

                “นำเรือบดลงน้ำ” กอร์รินตะโกนสั่ง “เริ่มปฏิบัติการยกพลขึ้นบก”

                เรือรบลำใหญ่ทั้งห้าหย่อนเรือบดทั้งหมดที่มีอยู่ลงไปในน้ำ อีกทั้งยังมีอีกหลายลำพ่วงอยู่ที่ท้ายเรือด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมกองเรือของกอร์รินถึงนำเรือบดมาด้วยมากเป็นพิเศษ พวกเขาจะบุกซาโมโรว์จากทางชายฝั่งน้ำตื้นนั่นเอง พวกทหารโฮเซ่ทยอยกันโรยตัวลงไปบนเรือบดแต่ละลำ ลำไหนที่เต็มแล้วก็พายตรงเข้าหาชายฝั่ง

          กอร์รินยืนอยู่ที่หัวเรือบดลำแรกสุด พวกทหารบนเรือช่วยกับพายอย่างแข็งขัน ท็อกซ์ฟ็อกส์ยืนอยู่ที่หัวเรือบดห่างออกไปสามลำ จ้องมองตามกอร์รินอย่างข้องใจ ปกติแล้วผู้บัญชาการกองกำลังมักไม่ไปอยู่ตำแหน่งแนวหน้าเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกนิสัยที่กอร์รินซึมซับมาจากพวกดาร์คเนสดีวิลอีกแล้ว

                “บุตรชายแห่งแบร์ร็อคทุกท่าน จงเร่งพาย” กอร์รินตะโกนปลุกใจ “เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กองเรือของพวกมนุษย์มาตลอด วันนี้เราจะเป็นฝ่ายชนะบ้าง ฐานทัพเรือที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือหัวใจของกองทัพเรือของพวกมัน หากพิชิตมันได้ ก็เท่ากับว่าเราชนะสงครามทางทะเลที่ต่อสู้กันมายาวนาน”

                พวกทหารโฮเซ่คำรามอย่างฮึกเหิมพร้อมกับเร่งพายเต็มกำลัง กอร์รินพับหนามเหล็กตามชุดเกราะที่ไหล่ หัวเข่า ข้อศอก หน้าแข้ง และหลังแขน ให้ตั้งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับต่อสู้ เมื่อกองเรือบดเข้าไปใกล้ชายฝั่ง ทางเรือรบใหญ่ทั้งห้าลำก็ต้องหยุดยิง พวกมนุษย์ตามชายฝั่งจึงเริ่มตั้งตัวได้บ้าง และพยายามยิงสกัดด้วยปืนยาว ทหารโฮเซ่ถูกยิงตายตกเรือไปบ้าง กอร์รินและท็อกซ์ฟ็อกซ์ย่อตัวหลบกระสุนอย่างชำนาญ พวกทหารโฮเซ่บนเรือก็ยิงธนูสวนกลับไปเช่นกัน ฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายทั่วชายฝั่งและกระแสลมที่พัดเข้าหาชายฝั่งนั้น ช่วยลดประสิทธิภาพการยิงสกัดของพวกมนุษย์ได้มาก

                แล้วเรือบดกลุ่มแรกๆ ก็เข้าไปจอดเทียบหาดทราย กอร์ริน ท็อกซ์ฟ็อกซ์ และบรรดาทหารโฮเซ่ ชักอาวุธออกมา บุกตรงเข้าหากองกำลังมนุษย์ พวกโฮเซ่เป็นเผ่าพันธุ์ทะเลทรายและเผ่าพันธุ์พืช ดวงตาของพวกเขาเป็นแก่นไม้ ไม่มีน้ำ ฝุ่นทรายจึงไม่มีผลกับดวงตาของพวกเขา พวกมนุษย์พยายามสกัดไว้เต็มที่ พวกที่อยู่บนป้อมที่ยังไม่พังก็พยายามยิงสนับสนุน แต่ฝุ่นทรายไม่ได้ทำให้การยิงราบรื่นเลย พวกโฮเซ่อาศัยความได้เปรียบเรื่องทัศนวิสัยจัดการฟันแทงสังหารพวกมนุษย์ล้มตายกันเกลื่อน ไม่มีใครคาดฝันว่าซาโมโรว์จะถูกบุก พวกมนุษย์เข้าใจว่าเป้าหมายหลักในครั้งนี้ของศัตรูคือโอมิลรอน ในเมื่อตอนนี้กองกำลังส่วนใหญ่ที่คอยปกป้องซาโมโรว์นั้นถูกส่งไปเป็นกองหนุนที่โอมิลรอนแล้ว ซาโมโรว์ก็คงจะต้านทานกองกำลังของกอร์รินได้ลำบาก เรือบดลำแล้วลำเล่าเข้ามาจอดเทียบชายฝั่งแล้วส่งทหารโฮเซ่ขึ้นบกเรื่อยๆ พวกโฮเซ่กระจายกันออกไปเพื่อเข้าควบคุมพื้นที่ต่างๆ ป้อมและหลุมหลบภัยถือเป็นเป้าหมายแรก หากยึดครองได้ก็จะยิ่งเพิ่มความได้เปรียบในการรบมากขึ้นอีก

                กอร์รินฟาดฟันขวานจัดการพวกทหารมนุษย์ ว่องไวมากทีเดียวสำหรับคนที่ใช้ขวานเป็นอาวุธ บ้างก็ว่าศิลปะการใช้ขวานของเขามีลักษณะใกล้เคียงกับดาบ รูปร่างขวานของเขาบางส่วนก็คล้ายคลึงกับดาบ มันใช้แทงได้ เขาหลบดาบมนุษย์ หันกลับไปใช้ขวานปาดคอ หลบอีกเล่ม แล้วจามขวานเข้าที่กะโหลก เตะก้านคอทหารมนุษย์คนหนึ่งด้วยสนับแข้งติดหนามเหล็กตายคาที่ ควงขวานและแทงไปข้างหลังสังหารทหารมนุษย์คนหนึ่งได้โดยไม่ต้องหันไปมอง อัศวินมนุษย์คนหนึ่งควบม้าห้อเข้ามาแทงทวนใส่ เขาตอบโต้อย่างเหนือชั้นด้วยการกระโดดตีลังกาสูงหลบทวน พร้อมกับใช้ขาสองข้างเกี่ยวคออัศวินคนนั้นร่วงลงจากม้าคอหักตาย ท็อกซ์ฟ็อกซ์ฟาดโล่ใส่ทหารมนุษย์คนหนึ่งล้มหงาย แล้วหันมามองอย่างประหลาดใจ

                “ทำได้ยังไง เกราะที่ท่านสวมมันไม่ได้เบาๆ เลยนะ”

                “ตั้งแต่กลับมาจากโฟรเซ็นทิเนล ข้าอุตส่าห์ฝึกท่านั้นเป็นร้อยรอบ มันต้องใช้ได้สักรอบสิ” กอร์รินตอบ เสยสนับแขนเหล็กติดหนามเข้าที่ใต้คางทหารมนุษย์คนหนึ่ง

                ภายในเวลาไม่นาน พวกโฮเซ่ก็บุกเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณท่าเรือน้ำลึก จัดการกับแนวป้องกันทางทะเลจนหมดสิ้น เรือรบใหญ่ของพวกโฮเซ่ทั้งห้าลำจึงสามารถเข้ามาจอดเทียบที่ท่าเรือน้ำลึกได้ การให้เรือรบศัตรูมาจอดเทียบเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกมนุษย์เลย ปืนใหญ่จากเรือโฮเซ่ทั้งห้าลำเริ่มระดมยิงอีกครั้ง ยิงใส่ขบวนแถวพวกมนุษย์ให้แตกกลุ่ม ยิงปูทางให้กองทหารราบบุกเข้าไปง่ายขึ้น ยิงใส่พวกมนุษย์ที่ประจำอยู่ตามป้อมและแนวกำบัง และยิงกระสุนทรายก่อกวนประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมนุษย์ พวกมนุษย์ลำบากเสียแล้วเมื่อต้องเผชิญกับกลยุทธ์ยกพลขึ้นบกจากชายฝั่งน้ำตื้น และมีเรือรบคอยยิงปืนใหญ่สนับสนุนจากท่าเรือน้ำลึก เดิมทีก็เป็นรองในเรื่องจำนวน ยิ่งต่อสู้ในลักษณะที่เสียเปรียบกว่ายิ่งย่ำแย่

                “หลายคน รวมทั้งข้า อาจเคยคิดว่าท่านยังเป็นเด็ก ค่อนข้างอ่อนประสบการณ์” ท็อกซ์ฟ็อกซ์สะบัดขวานลายไฟตัดหัวอัศวินมนุษย์คนหนึ่ง “แต่ครั้งนี้ ข้ายอมรับว่ายุทธวิธีของท่านก็สร้างสรรค์ไม่เลว”

                “อย่าประมาทว่าคนอายุน้อยจะมีความสามารถไม่เท่าคนอายุมาก” กอร์รินแทงปลายขวานเข้าที่กลางหัวใจทหารมนุษย์คนหนึ่ง แล้วถอนออกมาปาดคออีกคนหนึ่ง “พระราชามนุษย์ได้บทเรียนเรื่องนี้ไปแล้ว”

                “ฐานทัพบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์จะยกกำลังมาเสริมที่นี่” ท็อกซ์ฟ็อกซ์แกว่งคมขวานเสยใส่หน้าทหารมนุษย์หน้าหงาย กระแทกสนับศอกติดหนามใส่ทหารอีกคนที่ลอบมาข้างหลัง ชุดเกราะของเขาก็ติดหนามเหล็กบางส่วนเหมือนกันตามลักษณะเกราะของพวกโฮเซ่ แต่ยังไม่ติดหนามหลายส่วนเท่าเกราะของกอร์ริน

                “ยกมาเลย นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ” กอร์รินพูดไปฟันแทงสังหารพวกมนุษย์ไป “ต่อสู้ในลักษณะนี้ เรากำลังได้เปรียบ เรือรบของเราประจำที่แล้ว ยกมาให้เราตัดกำลัง เราจะได้เข้าโจมตีฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ในวันข้างหน้าได้ง่ายขึ้น”

                กอร์รินขว้างขวานออกไป มันลอยหมุนลุกติดไฟร่อนไปตามทิศทางการควบคุมของสายตาเขา บินเข้าใส่กลุ่มทหารมนุษย์เหมือนกงจักรและบั่นคอพวกทหารมนุษย์ไม่เลือกหน้า ท็อกซ์ฟ็อกซ์ม้วนตัวเข้ามาต่อสู้อารักขา เพื่อกอร์รินจะได้ใช้ตาควบคุมขวานโดยไม่มีใครขวางเมื่อขวานอยู่ในสภาวะนี้ดูจะมีอำนาจการตัดสูงมาก เกราะเหล็กของพวกทหารพวกอัศวินมนุษย์ถูกตัดขาดง่ายดายราวกับเป็นผ้า โล่เหล็กดาบเหล็กที่บางๆ ก็ถูกตัดขาดเช่นกัน ขวานติดไฟร่อนไปร่อนมาคอยก่อกวนสลายกลุ่มพวกมนุษย์ได้อย่างดี การต่อสู้ครั้งนี้ พวกมนุษย์แทบจะหมดโอกาสที่จะรวมกลุ่มกันได้

                มีเสียงเป่าแตรดังขึ้นไกลๆ กำลังเสริมจากฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์เคลื่อนพลมาถึงแล้ว ขวานไหม้ไฟร่อนกลับไปเข้ามือกอร์รินพร้อมกับเปลวไฟที่ดับวูบลง กอร์รินหายใจหนักขึ้นเล็กน้อย การใช้ความสามารถพิเศษนั้นต้องอาศัยแรงกาย จำเป็นที่ต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ พวกมนุษย์ที่รักษาฐานทัพเรือนั้นรีบถอยไปสมทบกับกองกำลังเสริม ซึ่งนำมาโดยเจ้าชายอโลบัสและพวกอัศวินขี่ม้า ธงสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์โบกสะบัดให้เห็นเต็มไปหมด กอร์รินโบกขวานส่งสัญญาณไปทางเรือรบโฮเซ่ทั้งห้าลำที่เทียบท่าเรือน้ำลึกอยู่ เรือทั้งห้าลำหยุดยิงปืนใหญ่ แต่บรรจุกระสุนเตรียมพร้อมเต็มที่ พวกทหารโฮเซ่ทั้งหมดขยับเข้ามารวมแถวกับกอร์รินและท็อกซ์ฟ็อกซ์ ยกโล่ยกขวานตั้งท่าเตรียมสู้ จัดขบวนพร้อมรบ บัดนี้ พวกมนุษย์ที่เหลือในพื้นที่ฐานทัพเรือนั้น ต่างถอยออกไปรวมกับกำลังเสริมที่มุ่งหน้าสวนเข้ามา เสมือนเป็นการปล่อยพื้นที่ให้พวกโฮเซ่ควบคุมโดยไม่มีทางเลือก

                อโลบัสกระชากบังเหียนหยุดม้าก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ฐานทัพเรือ ทั้งกองกำลังหยุดตาม กอร์รินและพวกโฮเซ่ยืนถืออาวุธ ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้หากอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาอีก ทั้งสองกองกำลังหยุดนิ่ง จ้องมองกันอย่างดูเชิง ท่ามกลางฝุ่นทรายที่ค่อยๆ จางลงไป อโลบัสหันไปมองเรือรบโฮเซ่ทั้งห้าลำอย่างพิจารณา แล้วหันไปมองกองกำลังโฮเซ่อีกครั้ง ยังสงบเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง

                “เข้ามาสิ” กอร์รินกระซิบภาวนา “บุกเข้ามาเลย”

                อโลบัสยังคงเฉย สีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ เหมือนเคย แล้วเขาก็หันไปสั่งการอัศวินที่ถือธงคนข้างๆ ด้วยเสียงเรียบๆ

                “ถอยกลับฐานบัญชาการ”

                “จะปล่อยให้พวกมันควบคุมพื้นที่ฐานทัพเรือใหญ่ง่ายๆ อย่างนี้หรือครับ” อัศวินแย้ง

                “ศัตรูกำลังอยู่ในเชิงยุทธ์ที่ได้เปรียบ” อโลบัสชี้ไปยังเรือรบโฮเซ่ทั้งห้าลำ “เรือรบของพวกนั้นจะคอยยิงใส่เราจากด้านข้าง ทำให้เราเสียเปรียบอย่างยิ่ง เราควรรักษากองกำลังที่เหลือไว้ปกป้องฐานบัญชาการใหญ่ในตัวเมือง ที่นั่นห่างจากทะเล พวกโฮเซ่จะใช้เรือรบยิงสนับสนุนไม่ได้

                อัศวินโบกธงให้สัญญาณ แล้วกองกำลังมนุษย์ก็เคลื่อนพลถอยกลับไป กอร์รินลดขวานลงอย่างนึกเสียดาย หากว่าพวกมนุษย์บุกเข้ามาก็จะเข้าแผนของเขาพอดี พวกเขาจะตัดกำลังพวกมนุษย์ได้มากมาย จนถึงขั้นบุกยึดฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ได้ในคืนนี้ทีเดียว แต่อโลบัสใจเย็นและฉลาดกว่านั้นจึงไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ เอาเถิด ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปตามแผน พวกเขายกพลขึ้นบกเข้าควบคุมพื้นที่ฐานทัพเรือได้ในเวลาอันรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะบุกฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ในแผนขั้นต่อไป

                “จัดการเรื่องคนเจ็บคนตาย” กอร์รินสั่งการ เก็บขวานลงเข็มขัด ฝุ่นทรายจับเกาะเลือดมนุษย์แห้งกรังบนชุดเกราะ “ขนข้าวของลงจากเรือทั้งห้าลำ ซ่อมแซมป้อมและแนวป้องกันตามชายฝั่งเท่าที่จะพอทำได้ ตรวจสอบดูว่าพวกมนุษย์ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เราใช้ได้บ้าง”

                พวกโฮเซ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ตามคำสั่ง ท็อกซ์ฟ็อกซ์เดินเข้ามาหากอร์รินพร้อมกับส่งถุงใส่น้ำให้ กอร์รินพยักหน้าขอบคุณแล้วรับไปดื่ม

                “เราพิชิตฐานทัพเรือของพวกมนุษย์ได้เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก” ท็อกซ์ฟ็อกซ์พูดอย่างยินดีปรีดา “ใครจะไปรู้ว่า หลังจากที่เราพ่ายสงครามทางทะเลแก่พวกมันมาตลอด เราจะมายืนกำชัยอยู่ที่นี่ได้”

                “ยังไม่สมบูรณ์เพื่อนฝูง” กอร์รินตบไหล่อีกฝ่าย เกราะกระทบกันเสียงดัง “พิชิตฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ได้ จึงจะถือว่าเรามีชัยเหนือทัพเรือของพวกมนุษย์โดยสมบูรณ์ ตอนนี้ก็เหลือแต่ให้พวกดาร์คเนสดีวิลมาสมทบกับเราที่นี่ แล้วเราจะได้เริ่มบุกเข้าไปพิชิตมันกัน”

 

****************

 

                “นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น”

                เสียงตะโกนของพระราชาแห่งโมราโซมอสดังกึกก้องทั่วท้องพระโรงในยามสาย ฐานทัพเรือใหญ่ซาโมโรว์ที่ถูกพิชิตอย่างสายฟ้าแลบทำให้พระองค์โกรธเกรี้ยวจนเส้นเลือดปูด บรรดาขุนนางต่างยืนก้มหน้ากันตามระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของพวกเขาหรือไม่ ก็ต้องทนเสียงพระราชาตะโกนเพื่อระบายอารมณ์ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปิดล้อมโอมิลรอนนั้น บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดมาตลอด แต่คงไม่มีวันไหนแล้วที่จะตึงเครียดเท่าวันนี้ โมราโซมอสเริ่มเข้าตาจน หากจะทำอะไรสักอย่าง ก็ควรตัดสินใจได้แล้ว

                “พวกมันปั่นหัวพวกเรา” พระราชาตะคอก “ตอนแรกก็ยกทัพเรือบุกเข้ามาทางน่านน้ำเหนือของเรา ให้เราเข้าใจว่าพวกมันจะล่อกองเรือของเราออกจากฐานทัพเรือซาโมโรว์ แล้วก็ยกกองทหารม้าไปปิดล้อมโอมิลรอน ให้เราเข้าใจว่าโอมิลรอนคือเป้าหมายของพวกมัน บีบให้เราส่งกำลังเสริมจากซาโมโรว์ไปช่วยโอมิลรอน สุดท้ายแล้ว เป้าหมายแท้จริงของพวกมันก็คือซาโมโรว์นี่เอง พวกมันหลอกล่อให้ซาโมโรว์ขาดการป้องกัน และยกพลขึ้นบกเข้าพิชิตฐานทัพเรือในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยกองกำลังเพียงห้าลำเรือ”

                “ทูลเสด็จลุง” แม็ค แรคแทนทินเอ่ยขึ้น “พวกทหารซาโมโรว์รายงานว่าพวกโฮเซ่ใช้กลยุทธ์ที่ได้เปรียบ ยกพลขึ้นบกทางชายฝั่งน้ำตื้น และให้เรือรบของพวกมันจอดเทียบที่ท่าเรือน้ำลึก คอยยิงปืนใหญ่สนับสนุนจากด้านข้าง กองกำลังรักษาชายฝั่งก็มีไม่เพียงพอเพราะถูกถอนไปเป็นกองหนุนที่โอมิลรอนหมดแล้ว เจ้าชายอโลบัสจำต้องเรียกกองกำลังที่เหลือให้กลับไปรวมที่ฐานบัญชาการใหญ่ซาโมโรว์ หากตั้งรับจากที่นั่น อย่างน้อยเรือรบของพวกโฮเซ่ก็ยิงไม่ถึง”

                “ตามที่พวกทหารรายงานมา กองกำลังโฮเซ่ที่ยกพลขึ้นบกนั้น นำมาโดยรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคพะยะค่ะ” เอ็ดด์ เฟรเทลเสริม “เขาติดริ้วธงไว้ที่หลังไหล่ข้างหนึ่ง เป็นโฮเซ่ที่อายุไม่มากนัก”

                “เด็กเมื่อวานซืนอีกคนที่บังอาจมาท้าทายข้าอีกแล้ว” พระราชาบันดาลโทสะ “มันเป็นใครมาจากไหนอีก ข้าเกลียดนัก ไอ้พวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจอมอวดดี”

                แน่ล่ะ ศัตรูแต่ละคนของพระองค์อยู่ในวัยคราวลูกคราวหลาน แล้วก็มาวัดรอยเท้ากับพระองค์อย่างไม่คิดยำเกรง ย่อมทำให้พระองค์เจ็บอายขายหน้า

                “พวกโฮเซ่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ รองผู้นำสูงสุดย่อมไม่ใช่คนห่างไกลจากผู้นำสูงสุดนัก อาจเกี่ยวข้องกันโดยสายเลือดเสียด้วยซ้ำ” เจ้าเมืองวิงเบิร์ดทูล “เขายังหนุ่มอยู่มาก จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่พวกทหารเรียกเขา จากลักษณะเกราะสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยหนามของเขาว่า บราวน์บีเซล (Brown Bezel)”

                “แบล็กไรดิงฮู้ด บราวน์บีเซล” พระราชากัดฟันคำราม “อีกไม่นานก็คงจะมีฉายางี่เง่าอย่างเรดอีเกิล (Red Eagle) หรือกรีนแลนเทิร์น (Green Lantern) โผล่มา”

                “ถ้าพวกโฮเซ่บุกเข้าโจมตีฐานทัพบัญชาการใหญ่ กองกำลังที่เหลือของเจ้าชายอโลบัสจะต้านไม่อยู่” เจ้าเมืองวิงเบิร์ดทูลต่อ “อีกฝ่ายเป็นต่อเรื่องจำนวน แล้วพื้นที่ในบริเวณฐานบัญชาการก็ไม่เหมาะแก่การรับศึก มันไม่มีกำแพง ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า มีเพียงป้อมกระจายอยู่ประปราย ไม่น่าจะช่วยอะไรได้มาก”

                “ถ้าเราให้เจ้าเมืองริฟเฟอร์ยกกองหนุนกลับไปเสริมที่ซาโมโรว์ล่ะ” พระราชาถาม

                “เกรงว่านั่นจะไม่ใช่ความคิดที่ดีพะยะค่ะ” ขุนนางคนที่ไว้หนวดเคราภูมิฐานทูล “พวกดาร์คเนสดีวิลยังรวมพลจ่ออยู่หน้าเมืองโอมิลรอน พร้อมด้วยเครื่องกลสงครามที่ประกอบขึ้นมา ในตอนแรกพวกมันยังไม่บุกเข้าตีเมือง แสร้งทำเป็นต่อรองเรื่องเชลยศึก ทำสงครามจิตวิทยาเพื่อหลอกล่อให้ซาโมโรว์ส่งกองหนุนออกจากเมือง เปิดทางให้พวกโฮเซ่ยกพลขึ้นบกได้ ในตอนนี้ฐานทัพเรือซาโมโรว์ถูกพิชิตแล้ว ถ้าให้เจ้าเมืองริฟเฟอร์ยกกองหนุนกลับไป พวกปีศาจคงจะไม่รีรอที่จะบุกเข้าตีโอมิลรอนแน่”

                “เมื่อไหร่ทัพเรือของกัปตันเท็มเปิลจะกลับมาเสียที” พระราชาถามเสียงดัง “พวกเขามีมากพอที่จะปราบพวกเศษสวะออกไปจากอาณาจักรข้าได้”

                “กำลังอยู่ในระหว่างเดินทัพพะยะค่ะ” เฟรเทลทูล “แต่กว่าจะกลับมาถึง ฐานบัญชาการซาโมโรว์ก็อาจถูกพิชิตเรียบร้อยแล้ว และเจ้าชายอโลบัสก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้”

                “ซาโมโรว์คือศูนย์กลางการส่งกองทัพของอาณาจักรเรา เป็นหน้าด่านของอาณาจักรเรา และเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพเรือ เหล่าทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเรา มันจะถูกพิชิตไม่ได้ เข้าใจไหม มันจะถูกพิชิตไม่ได้” พระราชาประกาศกร้าว เป็นห่วงเมืองมาก แต่ดูจะไม่ใส่ใจบุตรชายของตนเท่าไรนัก

                ทุกคนยืนนิ่ง มองพระราชานั่งกุมมงกุฎอยู่บนบัลลังก์ รอให้พระองค์คิด รอให้พระองค์สั่งการ รอให้พระองค์ตะโกนตะคอกอะไรออกมาอีก

                “เราต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว ขืนชักช้า ได้เสียเมืองสักเมืองแน่” พระองค์พูดเสียงเบา ดูอ่อนเพลียจากการตะโกนเล็กน้อย “กองหนุนของเจ้าเมืองริฟเฟอร์ในโอมิลรอนไปไหนมาไหนไม่ได้เพราะมีพวกดาร์คเนสดีวิลจ่ออยู่หน้ากำแพงเมือง เห็นที เราต้องเริ่มจากการปราบปรามพวกปีศาจเสียก่อน อย่างน้อยก็แก้ปัญหาในส่วนของเมืองโอมิลรอน เจ้าเมืองริฟเฟอร์และเจ้าเมืองแร็กซ์ริงจะต้องผนึกกองกำลังของตนเข้าขับไล่พวกดาร์คเนสดีวิลออกไปจากพื้นที่”   

                “ทำเช่นนั้น ตัวประกันจะถูกตัดหัวหมดนะพะยะค่ะ” อาร์รอส ไอวิวรี่ ผู้ซึ่งอุตส่าห์ยืนเงียบอยู่นาน แย้งออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาพยายามไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะข้ามมากระทบส่วนที่เขากำลังรับผิดชอบอยู่จนได้

                “สถานการณ์มันไม่คอยท่าแล้ว มัวแต่ชักช้าไม่ได้ เราจำต้องเสียสละตัวประกัน เพื่อความมั่นคงของอาณาจักร” พระราชาตวาดกลับ “นักบวชเหล่านั้นสละชีพเพื่อเผ่าพันธุ์ หากเชื่อตามลัทธิของพวกเขา พวกเขาจะได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์”

                “พระองค์จะทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่เคร่งศาสนาได้ลุกฮือ” อาร์รอสเตือน “การที่พระองค์แสดงความไม่แยแสต่อชีวิตสาวกของศาสนา อาจส่งผลให้พวกเขาก่อจลาจลได้”

                “ข้าหมดความอดทนกับพวกผู้ชุมนุมงี่เง่าทั้งหลายแล้ว บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย พวกนี้ก็ทำให้วุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก” พระราชาตะโกนหลอดคอแทบแตก “ข้าจะจัดการกับศัตรูจากนอกอาณาจักรได้อย่างไร หากคนในอาณาจักรก่อความวุ่นวายเสียเอง พอแล้วสำหรับความวุ่นวาย สลายการชุมนุม”

                “สลายการชุมนุม” อาร์รอสตาค้างอย่างตกใจ “หากพระองค์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมสักกลุ่ม ก็เท่ากับไปเข้าข้างอีกกลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เสมือนเป็นการเลือกฝ่าย ฝ่ายที่ถูกสลายจะต้องเคียดแค้นพระองค์ ความวุ่นวายจะบังเกิดหนักในอนาคตเป็นแน่แท้”

                “งั้นก็สลายมันให้หมดทุกกลุ่ม จะได้แสดงให้รู้ว่าข้าไม่อยู่ฝ่ายใครทั้งนั้น ข้าเป็นพระราชานะ ทุกคนต่างหากที่ต้องอยู่ฝ่ายข้า” พระราชาตะโกน “ความศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นเอกภาพของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มันหายไปไหนหมด ประชาชนมีสิทธิ์ออกมาตั้งกลุ่มชุมนุมก่อความวุ่นวายอย่างนี้ได้อย่างไรกัน เห็นกฎหมายไม่มีขอบเขตเลยหรือไร เราปล่อยให้บ้านเมืองขาดวินัยมามากพอแล้ว ต้องยุติเรื่องบ้าๆ นี้เสียที”

                “ฝ่าบาท” อาร์รอสพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “การสลายการชุมนุมประชาชนทุกกลุ่มนั้น เป็นการกระทำที่รุนแรงมาก”

                “สถานการณ์ของอาณาจักรเรามันกำลังย่ำแย่ มันไม่ใช่เวลาจะมาประนีประนอม ปัญหาที่มีต้องแก้โดยเร็วที่สุด” พระราชาฟาดฝ่ามือลงบนที่วางแขนบัลลังก์ คงเจ็บมือเพราะมันแข็งมาก “ข้าไม่อยากจะฟังคำโต้แย้งใดๆ อีกอาร์รอส ทำหน้าที่ของเจ้าตามที่ได้รับมอบหมาย”  

                อาร์รอสโค้งศีรษะ แล้วหันหลังเดินออกจากท้องพระโรงไป มือสองข้างกำแน่นอย่างอดทนอดกลั้น แรคแทนทินและเฟรเทลมองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

                “เสด็จลุง” แรคแทนทินหันไปหาพระราชาอีกครั้ง ด้วยท่าทีประจบประแจง “แล้วเรื่องซาโมโรว์พระองค์จะทำเช่นไรพะยะค่ะ”

                “ก็ต้องหวังว่าอโลบัสจะต้านให้อยู่ จนกว่ากองเรือของกัปตันเท็มเปิลจะกลับมาสมทบ” พระราชาพึมพำ “เราไม่เหลือกองหนุนจะส่งไป ทำอะไรมากไม่ได้ ที่พอทำได้ก็มีแต่รอให้กองกำลังของเจ้าเมืองริฟเฟอร์และเจ้าเมืองแร็กซ์ริงขับไล่พวกดาร์คเนสดีวิลออกไป แล้วจึงเคลื่อนพลต่อไปช่วย”

                “เกรงว่าจะเป็นไปได้ยากพะยะค่ะ” เจ้าเมืองวิงเบิร์ดทูล “พวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ กองกำลังของท่านเจ้าเมืองทั้งสองต้องเสียหายหนักหากเกิดการปะทะ อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะพวกปีศาจได้หรือไม่”

                “ต้องชนะให้ได้ ขับไล่พวกมันไปให้ได้” พระราชายื่นคำขาด “ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำให้พวกมันเสียหายมากพอจนทำอะไรเราไม่ได้ แล้วกองกำลังของกัปตันเท็มเปิลจะมาจัดการต่อเอง”

                เจ้าเมืองวิงเบิร์ดโค้งศีรษะ

                “จะให้พวกมันชนะไม่ได้เข้าใจไหม” พระองค์กัดฟันพึมพำ “ข้าทนไม่ได้ที่จะแพ้พวกเด็กเมื่อวานซืน จะเอาหน้าไปมองใครที่ไหน พวกมันจะต้องถูกข้าถีบกลับไปยังอาณาจักรโสโครกของพวกมัน ข้าจะทำทุกวิธีทางไม่ให้ปฏิบัติการของพวกมันสำเร็จ”

 

****************

 

                ท่ามกลางเสียงก่นด่า เสียงสาปแช่งของเหล่าประชาชนผู้ชุมนุม อาร์รอส ไอวิวรี่จำต้องทำหน้าที่ตามคำสั่งของพระราชา การสลายการชุมนุมย่อมหนีไม่พ้นความรุนแรง ทหารสวมเกราะ ถือโล่ ถืออาวุธไร้คม เข้าปะทะกับกลุ่มประชาชนที่ปราศจากอาวุธ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความคั่งแค้น เมืองอันสวยงามเกิดความอลหม่าน เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนด้วยความโกรธ มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย บรรดาเพื่อนและญาติของผู้เสียหายต่างร้องด่าทออาร์รอสและพระราชา บ้างก็บอกว่าทหารทำร้ายประชาชน บ้างก็บอกว่าเป็นการกระทำของทรราช อาร์รอสได้แต่นั่งอยู่บนหลังม้า มองความรุนแรงที่ตนได้กระทำต่อคนในเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไม่มีทางเลือก ทนรับความเกลียดชังจากประชาชน ผู้ชุมนุมที่โกรธจัดบางคนถึงกับเข้าต่อสู้กับพวกทหารด้วยมือเปล่าอย่างคิดเอาชีวิตเข้าแลก การที่พวกทหารทำร้ายญาติพี่น้อง ทำร้ายเพื่อนพวกเขา ย่อมทำให้พวกเขาแค้นใจจนควบคุมสติไม่อยู่ เมืองหลวงโมราโซมอสกลายเป็นเมืองแห่งความวิปโยคเสียแล้ว

                “ท่านไอวิวรี่” อัศวินคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามารายงาน “บรรดาผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ยอมสลายกลุ่ม เรายิงปืนยาวขึ้นฟ้าก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังใช้ของแข็งขว้างปาใส่พวกทหารของเราอีก ผู้ชุมนุมบางคนก็มีอาวุธ ท่านเห็นควรว่าต้องใช้วิธีที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่”

                อาร์รรอสนั่งเงียบอยู่บนหลังม้า ตาเหม่อลอยด้วยความหดหู่ เหตุใดหนอเขาต้องมาข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้ พระราชาเป็นคนสั่ง เขาเป็นคนดำเนินการ ประชาชนถูกทำร้าย

                “ท่านไอวิวรี่” อัศวินเรียกอีกครั้งด้วยเสียงดังขึ้น “โปรดสั่งการ”

                “พระราชาสั่งให้เราสลายการชุมนุม ก็ต้องเป็นไปตามนั้น” อาร์รอสถอนหายใจ “อย่างใช้ปืนยิงประชาชน แค่ยิงขึ้นฟ้าขู่เท่านั้น เข้ากระชับพื้นที่ให้มากขึ้น สำหรับผู้ชุมนุมที่มีอาวุธ ให้ทหารของเราเปลี่ยนมาใช้อาวุธมีคมได้”  

                อัศวินโค้งศีรษะคำนับ แล้วควบม้าไปจัดการ อาร์รอสหลับตาอย่างเศร้าใจ มันจบลงเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

 

****************

 

                ที่เมืองโอมิลรอน แผ่นราชโองการได้ส่งไปถึงแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง เจ้าเมืองโอมิลรอนแล้ว บิลิส ริฟเฟอร์ เจ้าเมืองซาโมโรว์ก็อยู่ที่นั่นด้วย ข่าวเรื่องพวกโฮเซ่ยกพลขึ้นบกทำให้เขาอยากกลับเมืองใจจะขาด แต่หน้าที่ของเขา ต้องควบคุมกองหนุนอยู่ที่นี่

                “คำสั่งจากพระราชา” แร็กซ์ริงม้วนแผ่นเอกสารราชโองการหลังจากอ่านเสร็จ “เราต้องนำกองกำลังบุกเข้าไปขับไล่พวกดาร์คเนสดีวิลออกจากพื้นที่”

                “นั่นหมายความว่า พระองค์ตัดสินใจที่จะละทิ้งชีวิตพวกตัวประกันฝ่ายเรา” ริฟเฟอร์พูดเสียงเบา “นักบวชในวิหารทุกคนจะต้องตาย”

                “กองกำลังของเรามีเพียงพอหรือคะ” ฟิเร็นดาถาม “ข้าเห็นพวกดาร์คเนสดีวิลไม่ได้มีน้อยๆ แล้วยังเป็นกองกำลังทหารม้าอีก”

                “ค่อนข้างสูสี หากปะทะกันก็ต้องเสียหายทั้งสองฝ่าย” ริฟเฟอร์อธิบาย “แต่เราอยู่ในพื้นที่ของเรา แม้จะเสียหายหนัก ก็ยังกลับมาตั้งหลักในเมืองได้ ขณะที่พวกมันอยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง หากได้รับความเสียหายหนักย่อมไม่เสี่ยงอยู่ต่อ ต้องถอยกลับโฟรเซ็นทิเนล”

                “ข้าจะนำกองกำลังของข้ามารวมกับกองหนุนของท่าน” แร็กซ์ริงบอก

                “ข้าจะเป็นคนนำทัพหน้า ท่านคอยสนับสนุนอยู่ทัพหลัง” ริฟเฟอร์กล่าว “ข้าเห็นว่าพวกมันประกอบเครื่องกลสงครามขึ้นมาหลายเครื่อง อาจเป็นอันตรายต่อกองกำลังของเราได้ ฉะนั้น ทหารม้าจะบุกเข้าไปก่อน เพื่อเข้าทำลายเครื่องกลโดยเร็วที่สุด เครื่องกีดขวางต่างๆ ที่พวกมันวางไว้นั้น ดูไม่เป็นอุปสรรคอะไรมาก มีช่องทางให้ม้ากระโดดข้ามได้”

                “ข้าขอไปด้วยค่ะ” ฟิเร็นดาอาสา

                “แน่ใจหรือว่าอยากไป” แร็กซ์ริงถาม

                “ค่ะ”

                “งั้นไปสวมชุดเกราะเสียฟิเร็นดา” ริฟเฟอร์พยักหน้า “เราจะเริ่มจัดทัพออกไปปะทะกับพวกดาร์คเนสดีวิล ในอีกยี่สิบนาทีข้างหน้า”

                เสียงระฆังเรียกรวมพลดังก้องกังวานไปทั่วฐานทัพโอมิลรอน ดังออกไปยังค่ายชั่วคราวของพวกดาร์คเนสดีวิล ที่กำลังถูกเก็บย้ายอย่างรวดเร็ว นักรบดาร์คเนสดีวิลทุกคนเก็บข้าวของขึ้นหลังม้าหรือรถม้าศึกตามที่วางแผน เตรียมพร้อมไว้แล้วหากพวกมนุษย์มีการเคลื่อนไหว มันรวดเร็วมากเพราะพวกเขาแทบไม่ได้นำอะไรติดตัวมา ส่วนใหญ่มีเพียงอาวุธสำหรับใช้ในการรบเท่านั้น เสบียงอาหารที่ยึดมาได้ก็ถูกส่งกลับโฟรเซ็นทิเนลไปตั้งแต่วันแรกๆ แล้ว

                “เร็วเข้าสหายทุกคน พวกมนุษย์จะแห่กันมายึดพื้นที่คืนแล้ว” กัปตันมาซูลขี่ม้าปีศาจ คอยสั่งการ “เราต้องไวกว่าพวกมัน อะไรที่ไม่จำเป็นให้ทิ้งไว้ที่นี่ พวกที่แอบเอาอาหารติดไม้ติดมือไปก็ขอให้เอาติดไม้ติดมือไปจริงๆ ไม่ใช่ขนไปเป็นกระสอบ เราต้องไปสมทบกับพวกโฮเซ่ที่ซาโมโรว์อีกนะ ข้าต้องการให้กองกำลังของเรามีความคล่องตัวสูง”

                ตัวประกันมนุษย์ถูกมัดให้นั่งคุกเข่าเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่หน้าค่าย ตอนนี้เหลือเพียงพวกนักบวช แต่ละคนทั้งอิดโรยทั้งหวาดกลัว โซลิแทร์เดินไปเดินมาอยู่เบื้องหน้าตัวประกันเหล่านั้น ชายผ้าคลุมปัดถูกหน้าตัวประกันที่เขาเดินผ่าน เขาคอยเหลือบสายตามองไปยังกำแพงเมืองโอมิลรอน เฝ้ารอความเคลื่อนไหวของพวกมนุษย์อย่างใจเย็น เซซิลขับรถม้าศึกตรงเข้ามาหา พร้อมกับกล่าวรายงาน

                “ติดตั้งในวิหารเรียบร้อยแล้ว ข้าวางสายลวดทองแดงยาวออกมาที่หน้าวิหาร แค่ใช้สายฟ้าของท่าน มันก็จะนำไฟฟ้าไปจุดประกายไฟทันที”

                “แล้วพวกนั้นล่ะ” โซลิแทร์ชี้ไปยังเหล่าเครื่องกลไม้ขนาดใหญ่ที่พวกตนประกอบขึ้น มันวางเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหลังรั้วค่ายเล็กน้อย ระยะวางห่างกันเท่ากับความสูงของเครื่องกลแต่ละเครื่อง จนบัดนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีไว้ใช้ทำอะไร แต่คงจะไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เพราะงานดูหยาบๆ

                “แค่เอาอะไรกระทุ้งกระแทกแรงๆ ก็ได้เรื่องแล้ว” เซซิลบอก “ข้าเชี่ยวชาญเรื่องเคมีและเครื่องกล ท่านลอร์ด เรื่องนี้ไว้ใจข้าได้ การจะประกอบเครื่องกลดีๆ สักเครื่องอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากจะประกอบเครื่องกลให้มันทำงานอย่างนั้น” เขาชี้ไปที่เครื่องกลแต่ละเครื่อง “ไอ่โง่ที่ไหนก็ประกอบได้ง่ายๆ”

                ด้านหน้ากำแพงเมืองโอมิลรอน พวกทหารและอัศวินมนุษย์กรูกันออกจากประตูเมืองทุกบาน มาตั้งขบวนแถวเตรียมพร้อมรบ บิลิส ริฟเฟอร์ แอนโทนิดัส แร็กซ์ริง และฟิเร็นดา เกรซไปประจำตำแหน่งของตน แต่ละคนจ้องมองมายังโซลิแทร์และเหล่าตัวประกัน การปรากฏตัวของกองกำลังมนุษย์ไม่ได้ทำให้พวกตัวประกันดีใจเลย ตรงกันข้าม มันเสมือนเป็นคำตัดสินประหารพวกเขา

                “บิลิส ริฟเฟอร์เตรียมจะบุกเข้ามาแล้ว” เซซิลพูด

                “ท่านเตรียมถอยทัพร่วมกับคนอื่นๆ เถิดอาจารย์เซซิล ข้าอยู่จัดการตรงนี้เอง” โซลิแทร์พยักหน้า

                เซซิลทำสัญลักษณ์แขนกากบาท แล้วขับรถม้าจากไป ชะลอรถม้าเล็กน้อยขณะขับผ่านแนวเครื่องกล ราวกับระมัดระวังไม่ให้พื้นบริเวณนั้นเกิดการกระเทือนมากนัก อ้อมวัตถุขนาดใหญ่ที่ถูกคลุมผ้าไว้บริเวณด้านหลังแนวเครื่องกล ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้านั้นคืออะไร แต่ดูคล้ายๆ กับรูปปั้นขนาดใหญ่ โซลิแทร์หันไปมองเหล่าตัวประกันที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นด้วยท่าที่คล้ายกับรอการประหาร ประธานนักบวชซิทอยู่ซ้ายสุดของแถว

                “ดูเหมือนว่าพระราชาของพวกเจ้า จะไม่แยแสกับชีวิตสาวกศาสนาเท่าไรนัก” โซลิแทร์พูดเสียงเย็นผ่านหน้ากาก “ทุกเรื่องแย่ๆ ทุกความโหดเหี้ยมที่พวกเจ้าเคยทำกับเราเพื่อเขา สุดท้ายแล้ว พวกเจ้าก็เป็นแค่เครื่องมือของพวกนักปกครอง เมื่อเครื่องมือใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว มันก็ถูกโละทิ้ง”

                “เจ้าจะฆ่าพวกเราหรือ” นักบวชคนหนึ่งถามเสียงสั่น เหงื่อแตกโทรมกาย

                “ไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวนะ” โซลิแทร์พูดเรียบๆ “แต่ข้าสัญญาไว้แล้วว่า ถ้าเผ่าพันธุ์พวกเจ้าส่งกองกำลังบุกเข้ามา เราจะตัดหัวพวกเจ้าทุกคน ข้าต้องรักษาคำสัญญา”

                นักบวชคนนั้นทำท่าจะเป็นลม คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ประธานนักบวชซิทพยายามปลอบทุกคนให้สงบ แม้เสียงของตนจะสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ก็ตาม

                “เราจะได้ไปอยู่ในหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์จะให้รางวัลเรากับวีรกรรมอันสูงส่ง อย่าได้หวาดกลัวความตาย นักบวชผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน เราเป็นคนดี ตายไปก็จะขึ้นสวรรค์”

                แต่กลับไม่มีใครฟังเขาสักคน บางคนร้องไห้ออกมา บางคนโรคทางเดินหายใจกำเริบ ช่างน่าสมเพช ศาสนาคือคำลวง นักบวชระดับสูงไม่ใช่คนโง่ ลึกๆ แล้วพวกเขาหลอกตัวเองไม่ได้ว่าอะไรคือความจริง ยามที่พวกเขาใช้หลักศาสนาเป็นข้ออ้างในการสร้างผลประโยชน์ให้ตนนั้น พวกเขาคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นความจำเป็นทางศาสนา ในตอนนี้ธาตุแท้ทั้งปวงเผยออกมาแล้ว นักบวชเกือบทั้งหมดก็เป็นแค่คนโป้ปด ที่ไม่เคยเชื่อสิ่งที่ตัวเองพร่ำบอกคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนพวกที่เคยเชื่อในศาสนาอย่างสนิทใจนั้น ในตอนนี้ก็เริ่มตระหนักได้แล้วว่า ตนมัวแต่ไปหลงงมงายอะไรอยู่

                โซลิแทร์กางแขนออกสองข้าง หงายฝ่ามือที่สวมถุงมือเหล็กขึ้น ส่งเมฆขึ้นฟ้า เมฆฝนเริ่มก่อตัว ท้องฟ้ามืดครึ้ม บังเกิดเสียงฟ้าคำราม แล้วเม็ดฝนก็เทกระหน่ำลงมา กองกำลังของบิลิส ริฟเฟอร์เริ่มเปียกปอน ส่วนกองกำลังดาร์คเนสดีวิลตัวแห้งสนิท ฝนไม่ตกในพื้นที่ที่พวกเขาอยู่อีกเช่นเคย อย่างน้อยอากาศที่นี่ก็ไม่ได้หนาวเย็นเท่าโฟรเซ็นทิเนล น้ำฝนไม่จับเป็นน้ำแข็งเมื่อตกถูกตัวมนุษย์คนใด แต่มันก็สร้างความเฉอะแฉะไม่น้อย พื้นดินเริ่มกลายเป็นโคลน ทัศนวิสัยเริ่มย่ำแย่ พายุฝนที่กระหน่ำหนักทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ ชัดเจนน้อยลง อย่างไรก็ตาม พวกมนุษย์ก็สังเกตเห็นประกายสีแดงเจิดจ้าพุ่งขึ้นส่องสว่างบนท้องฟ้าร่วมกับแสงฟ้าแลบ มันเป็นสัญญาณพลุที่ผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลยิงขึ้น

                “สัญญาณพลุสีแดง สัญญาณถอยทัพ” แร็กซ์ริงตะโกนผ่านเสียงฝนและเสียงฟ้าร้อง หนวดเคราเปียกโชก “พวกดาร์คเนสดีวิลกำลังจะถอยหนี”

                “เป็นโอกาสสมควรที่เราจะบุกเข้าไปยึดพื้นที่คืน” ริฟเฟอร์ตะโกนกลับ “พวกมันมีเครื่องกลสงคราม ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะใช้การได้ดี แต่เราจะประมาทไม่ได้ มันอาจสร้างความเสียหายมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะยังไง ต้องบุกเข้าไปประชิดเครื่องกลทุกเครื่องโดยเร็วที่สุด เพื่อหยุดการทำงานของมัน ทุกคนพร้อมไหม”

                “พร้อม” แร็กซ์ริงตอบ

                “พร้อมค่ะ” ฟิเร็นดาตอบ

                ริฟเฟอร์ยกแตรจ่อปาก แล้วเป่าส่งสัญญาณโจมตี กองกำลังมนุษย์เคลื่อนพลบุกไปข้างหน้า ทัพหน้าซึ่งมีริฟเฟอร์และเหล่าทหารม้านั้น บุกนำหน้าไปก่อน มุ่งตรงไปยังเครื่องกลแต่ละเครื่อง ส่วนแร็กซ์ริงและฟิเร็นดาคุมทัพหลังตามไปติดๆ ฝ่าสายฝนวิ่งลุยโคลน เตรียมอาวุธพร้อมสู้ โซลิแทร์มองฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามา เขาก้าวเดินไปยังริมสุดแถวทางขวาของบรรดาเชลย ชักดาบออกมา

                “เวลาค่อนข้างกระชันชิด เกรงว่าพวกเจ้าจะมีเวลาสั่งเสียไม่มาก” โซลิแทร์กล่าว “ใครมีอะไรก็รีบๆ พูดออกมา เดี๋ยวจะพูดไม่จบเสียก่อน”

                “ได้โปรด อย่าฆ่าข้า” นักบวชคนริมซ้ายสุดอ้อนวอน ใบหน้าเปียกโชกด้วยน้ำตา

                “เจ้าไม่เห็นจะละเว้นดาร์คเนสดีวิลที่เจ้าฆ่าเลย ตอนที่พวกเขาพูดอย่างนี้” โซลิแทร์ตัดคอนักบวชคนนั้นฉับเดียวขาด

                “ข้า--ข้า--” นักบวชคนที่สองอ้ำอึ้ง

                “ขออภัย ตอนนี้ไม่เหมาะแก่การติดอ่าง ไม่เห็นหรือไงว่ากองทหารของพวกเจ้ากำลังบุกเข้ามา” โซลิแทร์ตัดคอนักบวชคนนั้นขาด

                “ได้โปรด ข้ามีลูกชาย” นักบวชคนที่สามพูดเสียงสั่น

                “ไม่อยากจะเชื่อเลย มุขนี้ใช้กันมากมายในหมู่มนุษย์จริงๆ ตั้งแต่ทหาร อัศวิน ไม่เว้นแม้นักบวช จำได้ว่านักบวชห้ามมีครอบครัวไม่ใช่หรือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำตัวไม่ค่อยถูกวินัยศาสนานะ” โซลิแทร์ฟันดาบตัดคอนักบวชคนนั้น

                เขาเดินตัดคอนักบวชทีละคนตั้งแต่ขวาไปซ้าย บางคนก็ถูกตัดคอก่อนจะทันได้พูดอะไร ต้องเร่งทำเวลาหน่อย กองทหารม้าของบิลิส ริฟเฟอร์ใกล้เข้ามาทุกทีๆ พวกนั้นก็คงเห็นอยู่ว่าเขากำลังตัดหัวนักบวชทีละคน ถึงเร่งม้ากันใหญ่ แต่ไม่ทันช่วยแน่นอน ตอนนี้นักบวชทุกคนถูกตัดหัวจนหมด เหลือเพียงประธานนักบวชซิทคนเดียวที่อยู่คนซ้ายสุดของแถว โซลิแทร์ก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้า เชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นด้วยปลายดาบ ประธานนักบวชซิทกำลังร้องไห้ ตัวสั่น ขวัญเสีย ภาพลักษณ์ของนักบวชตัวอย่างผู้ทรงอำนาจไม่มีอีกแล้ว เขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้กล้าหาญต่อความตายและเชื่อว่าความดีจะคุ้มครองอย่างที่เคยพร่ำบอกทุกคนมาตลอดชีวิต เขาก็เป็นแค่ปุถุชนธรรมดา ไม่ได้พิเศษไปกว่ามนุษย์คนใดเลย

                “ได้โปรด ข้ายังไม่อยากตาย” เขาอ้อนวอน

                “ไหนบอกว่าตายไปแล้วจะขึ้นไปเสพสุขบนสวรรค์ไง เจ้าไม่เชื่อแม้แต่หลักธรรมคำสอนที่ตัวเจ้าพูดเองเลยหรือ” โซลิแทร์เอียงคอ “แสดงว่าที่ผ่านมา ศาสนาของเจ้ามันก็แค่เรื่องเหลวไหลสินะ”

                “ได้โปรด เมตตาข้าด้วย”

                “ดาบเล่มนี้ถูกหล่อขึ้นจากชิ้นส่วนรถม้าศึกของเด็กทารก ที่เจ้าเคยนำเขาไปโยนทิ้งแม่น้ำ” โซลิแทร์ขยับใบดาบมาให้ประธานนักบวชซิทได้เห็นชัดๆ “เขาเคยพูดให้ข้าได้ยินว่า อยากเห็นเจ้าคุกเข่าไป จนกว่ารถม้าของเขาจะเหยียบคอเจ้าให้ขาด น่าเสียดายเขาไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว” ดาบเล่มนั้นเงื้อขึ้น ประธานนักบวชซิทมองตามตาค้าง “แต่เอาเถิด”

                คมดาบตัดคอประธานนักบวชซิทขาดกระเด็นในครั้งเดียว ริฟเฟอร์กัดฟันแน่น เร่งลงแส้ม้ามากขึ้นอีก ตอนนี้กองทหารม้าของเขาใกล้จะเข้ามาถึงหน้าค่ายของพวกดาร์คเนสดีวิล ใกล้จะถึงตัวโซลิแทร์แล้ว โซลิแทร์หันหลัง เดินกลับเข้าไปในค่ายอย่างใจเย็น ดาบเก็บลงฝัก ไม่หันไปมองเหล่าศัตรูที่บุกเข้ามา ไม่เร่งการก้าวเท้า สายตาเย็นชาท่ามกลางเงาหน้ากากและหมวกฮู้ดมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่แยแส ผ้าคลุมโบกสะบัดเป็นฉากหลัง

                พวกทหารม้ามนุษย์บังคับม้ากระโดดข้ามและอ้อมหลบสิ่งกีดขวางต่างๆ อย่างไม่ยากเย็น รวมทั้งกระโดดข้ามศพของพวกนักบวชที่ถูกตัดคอด้วย โคลนบนพื้นอาจทำให้ลื่นเล็กน้อย สายฝนกระหน่ำทำให้มองเห็นไม่ชัดบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ พวกเขาบังคับม้ากระโดดข้ามรั้วค่าย พังรั้วค่ายเข้ามาบ้าง ไล่ตามหลังโซลิแทร์ที่ยังคงก้าวเดินฉับๆ อย่างสงบนิ่งไม่หยุดเดิน พวกเขาใกล้เข้าไปถึงแนวเครื่องกลที่พวกดาร์คเนสดีวิลตั้งทิ้งไว้แล้ว พวกทหารม้ามนุษย์รีบกระจายกัน เตรียมเข้าไปควบคุมเครื่องกลแต่ละเครื่อง คาดว่าจะไล่ทันโซลิแทร์ที่แนวเครื่องกลด้วย ความจริงแล้วเครื่องกลแต่ละเครื่องไม่น่าจะมีพิษสง เพราะไม่มีดาร์คเนสดีวิลคนใดอยู่ควบคุมเครื่องกลเลย ไม่มีดาร์คเนสดีวิลสักคนหลงเหลืออยู่ในค่ายเสียด้วยซ้ำ เหลือเพียงแต่โซลิแทร์ที่ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ด้วยท่าทางเยือกเย็น

                แล้วริฟเฟอร์และพวกทหารม้ากลุ่มแรกๆ ก็ไล่ตามโซลิแทร์ทันเมื่อถึงแนวเครื่องกลพอดี พวกเขาเงื้อดาบขึ้น เตรียมโจมตีใส่เป้าหมาย ผู้ซึ่งยังเดินต่อไปอย่างใจเย็น ไม่แม้แต่จะหันมามอง

                ทันใดนั้น พื้นที่อยู่ใต้ม้าของริฟเฟอร์และพวกทหารม้ารอบตัวเขาก็ยุบตัวลงไปเป็นหลุมลึก ห่างจากหลังเท้าโซลิแทร์ไปเพียงสองสามฟุต พวกมนุษย์ตกลงไปในกับดักท้องร่องที่พวกดาร์คเนสดีวิลขุดเป็นแนวยาว ยาวไปตามแนวเครื่องกลแต่ละเครื่อง โดยเว้นช่องห่างกันเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับตั้งเครื่องกล พวกทหารม้าที่บุกเข้าหาเครื่องกลนั้นเป็นอันตกลงไปในท้องร่องกันหมด พวกดาร์คเนสดีวิลนำแผ่นไม้บางๆ จากฝากระท่อมมาปิดปากท้องร่องและเอาหญ้าเอาดินมาคลุมไว้ มันเพียงพอรับน้ำหนักได้บ้าง โซลิแทร์จึงเดินเหยียบข้ามไปได้ แต่สำหรับกองทหารม้ามนุษย์ที่ขี่ม้าย่ำโครมๆ บุกมามากมายเช่นนี้ มันย่อมรับน้ำหนักไม่ไหว ส่งผลให้พวกทหารม้ามนุษย์ตกลงไปในท้องร่องกันหมด พวกดาร์คเนสดีวิลรู้ดีว่าพวกมนุษย์จะรีบบุกเข้าหาเครื่องกลก่อน จึงขุดท้องร่องไว้ใกล้ๆ เครื่องกลแต่ละเครื่อง กล่าวคือใช้เครื่องกลเป็นตัวล่อนั่นเอง

          โคลนลื่นๆ ความเร็วของม้า สายฝนที่บดบังมุมมอง ทำให้พวกที่ขี่ม้าตามหลังมาหยุดไม่อยู่ ตกลงไปในท้องร่องตามๆ กัน พวกที่อยู่ก้นหลุมก็ขึ้นไม่ได้ พวกที่เหยียบทับคนอื่นอยู่ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน มันไม่ใช่ท้องร่องตื้นๆ โคลนที่ปากหลุมก็ทำให้ลื่น ม้าที่ตกลงไปด้วยยิ่งทำให้ยุ่งยาก พวกอัศวินที่สวมเกราะหนาหนักทั้งตัวยิ่งแทบไม่มีโอกาสจะปีนขึ้นมา พวกมนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายต่างส่งเสียงร้องห้ามไม่ให้พวกข้างหลังตามมา มีเสียงตะโกนว่า “อย่าเหยียบเจ้าเมืองริฟเฟอร์ พระราชาได้ตัดหัวพวกเจ้าแน่หากม้าของใครเหยียบเขาตาย”  

                โซลิแทร์ก้าวเดินไปถึงวัตถุขนาดใหญ่คลุมผ้า ที่ก่อนหน้านี้เซซิลขับรถม้าอ้อมมัน เขาคว้าผ้าผืนใหญ่แล้วกระชากออก เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกคลุมอยู่ มันไม่ใช่รูปปั้น แต่เป็นเอเลนเซฟเวอรี่สีดำ พาหนะคู่ชีพของเขา มันกางปีกกางขยับตัว หัวทั้งสามหันไปสามทิศทาง ปากที่เต็มไปด้วยเขียวสีดำอ้าออก มีเปลวไฟสีน้ำเงินส่องสว่างออกมา

                แล้วดาวตกที่มีไฟสีน้ำเงินลุกท่วมสามลูก ก็พุ่งเข้าใส่เครื่องกลสามเครื่อง เครื่องกลขนาดใหญ่ที่พวกดาร์คเนสดีวิลประกอบอย่างหลวมๆ นั้น เมื่อถูกดาวตกไฟพุ่งใส่ ก็เป็นอันพังหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ ซึ่งชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของมันก็ถล่มลงไปใส่พวกทหารม้ามนุษย์ที่ติดอยู่ในท้องร่องใกล้เคียง นี่คงจะเป็นการทำงานที่แท้จริงของเครื่องกลเหล่านี้ มีไว้เพื่อล่อพวกทหารม้ามนุษย์เข้าไปติดในท้องร่อง แล้วพังล้มใส่ เป็นเหตุว่าทำไมพวกดาร์คเนสดีวิลถึงประกอบมันได้แย่นัก ทั้งคานไม้และชิ้นส่วนหนักๆ ของเครื่องกลทั้งสามเครื่องพังล้มลงไปทับบดขยี้พวกทหารมนุษย์ในท้องร่องสามตำแหน่ง

          หัวทั้งสามของเจ้าเอเลนเซฟเวอรี่สีดำหันไปหาเครื่องกลอื่นๆ ที่เหลือ แล้วพ่นดาวตกถล่มมันลงทีละเครื่อง ทหารมนุษย์บางคนรวมทั้งเจ้าเมืองริฟเฟอร์โชคดี สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาบนปากหลุม หนีการถูกทับได้อย่างหวุดหวิด แต่ที่เหลืออีกเกือบทั้งหมดที่ติดอยู่ในท้องร่องนั้นไม่มีใครรอด พวกดาร์คเนสดีวิลคำนวนระยะห่างระหว่างเครื่องกลแต่ละเครื่องไว้อย่างพอดิบพอดี เมื่อมันพังล้มใส่ท้องร่อง มันจึงไม่เหลือช่องว่าง

                “อยู่เฉยๆ อย่าขยับตัวมาก” แร็กซ์ริงลงจากหลังม้า ลุยโคลนเข้ามาดูอาการริฟเฟอร์ที่นอนหอบหายใจอยู่บนพื้นโคลนใกล้ๆ ท้องร่องที่เต็มไปด้วยท่อนไม้หนักๆ และร่างคนตายที่ถูกทับอยู่ข้างใต้ เขา ฟิเร็นดา และพวกทัพหลัง เคลื่อนพลตามมาถึงพอดี “ท่านขี่ม้าตกท้องร่อง ร่างกายอาจได้รับการบอบช้ำ กระดูกบางส่วนอาจเคลื่อน”

                “หายใจลึกๆ นะคะท่านเจ้าเมือง” ฟิเร็นดาปาดโคลนออกจากใบหน้าและปากของเจ้าเมืองริฟเฟอร์ ฝนที่กระหน่ำลงมาทำให้แต่ละคนเปียกปอนเลอะเทอะ “เราจะพาท่านไปพยาบาล”

                “หลงกลพวกดาร์คเนสดีวิลอีกแล้ว” ริฟเฟอร์พูดอย่างอ่อนแรง “บ้าจริง!”

                พวกทัพหลังที่ตามมาพยายามหาดูว่ามีใครในท้องร่องที่รอดบ้าง แต่ไม่มีใครรอด การถูกชิ้นส่วนไม้ใหญ่ๆ หนักๆ ล้มทับในหลุมแบบนั้น ถ้าไม่ตายก็คงกระดูกแหลกไปครึ่งตัว โซลิแทร์ขี่พาหนะบินขึ้นสูง หันไปหาวิหารของเจ้าชายไททอส ที่มีลวดทองแดงโยงจากในวิหารออกมาหน้าประตู สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงไปที่ปลายลวด ทำมันละลาย และทำพื้นหินอ่อนหน้าวิหารเป็นบ่อลึก แต่ประเด็นสำคัญคือ มีกระแสไฟฟ้าไหลไปตามเส้นลวดด้วยความเร็วสูง ไหลตามแนวลวดที่โยงเข้าไปในวิหาร กระจายแตกแขนงออกไปตามเส้นลวดหลายเส้นที่ผูกโยงกันไว้ แต่จุดปลายทางของเส้นลวดทุกเส้นคือมันโยงเข้าไปในลูกระเบิดเพลิงปีศาจจำนวนมาก ที่เซซิลนำมาด้วย มันวางกองกันอยู่ที่เสาบางต้น บางลูกก็วางกองอยู่ที่โคนเสาในห้องใต้ดิน เมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารไวไฟในลูกระเบิดเพลิงแต่ละลูก สิ่งที่ตามมาคือ มันระเบิดออกอย่างรุนแรงจนหักต้นเสาแต่ละต้นล้มลงมาทีเดียว

                พวกทหารมนุษย์ได้แต่อ้าปากค้าง มองดูวิหารอันเลิศหรูวิจิตรพังถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา ชิ้นส่วนวิหารไถลลงมาจากเนิน รูปปั้นขนาดยักษ์ของเจ้าชายไททอสกลิ้งลงมาบดขยี้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ขวางทาง พังย่อยยับ วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนการกดขี่พวกดาร์คเนสดีวิล ตอนนี้เหลือเพียงเศษซาก สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรื่องทางศาสนาของพวกมนุษย์ กลับกลายเป็นเศษอิฐเศษหิน ท่ามกลางพายุฝน แสงฟ้าแลบ และเสียงฟ้าคำราม พลุสีดำก็พุ่งออกจากปลายมือของโซลิแทร์ขึ้นฟ้า แล้วแตกกระจายออกเป็นรูปกากบาทสีดำ แอ็กนอสทิกส์ครอส ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์ดาร์คเนสดีวิล มันลอยเด่นอยู่เหนือซากหักพังของวิหาร

                “ไม่อยากเชื่อเลยว่า มันจะมีวันแบบนี้ในชีวิตข้า” แร็กซ์ริงพูดอย่างสมเพชตัวเอง เงยหน้ามองแอ็กนอสทิกส์ครอสบนท้องฟ้า กลุ่มควันสีดำของกากบาท ตัดกับแสงฟ้าแลบอย่างโดดเด่น ฟิเร็นดาจับแขนอาจารย์อย่างให้กำลังใจ

                “เราทุกคนเลือกที่จะรับใช้พระราชา และเราก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา” ริฟเฟอร์พูดเสียงเบา

                เพียงชั่วสายฟ้าแลบหนึ่งครั้ง โซลิแทร์และพาหนะก็หายไปจากท้องฟ้า พายุที่ค่อยๆ สงบลง เมฆฝนที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว บอกให้รู้ว่าผู้ควบคุมมันจากไปแล้ว

 

**************

 

                แพทย์หลวงโกลด์แมนนั่งอ่านจดหมายอยู่ในกระโจมของตน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นของอาณาจักรไอซ์เมส เป็นจดหมายที่รายงานข่าวเกี่ยวกับความวุ่นวายในอาณาจักรโมราโซมอส เขาถอนหายใจออกมาเป็นไอควันสีขาว จิบจอกเหล้าในมืออีกข้างเพื่อให้อบอุ่นขึ้น ภารกิจค้นหาแร่ที่เขาได้รับมอบหมายนั้น ไม่มีอะไรคืบหน้าตามคาด เขาย้ายที่ตั้งมาหลายที่ ค้นหาในเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไอซ์เมสมาหลายเมือง ก็ยังไม่พบเจออะไรที่น่าสนใจเลย นอกจากหิมะ ภูเขาน้ำแข็ง และความว่างเปล่าสีขาวสุดลูกหูลูกตา เห็นชัดว่าเขาถูกส่งมาทำภารกิจที่ค่อนข้างไร้สาระ เป็นธรรมดาว่าเมื่อใดก็ตามที่ข้าราชการมนุษย์ทำสิ่งที่ขัดอกขัดใจต่อคนที่ตำแหน่งสูงกว่า พวกเขามักจะถูกกลั่นแกล้งด้วยการถูกส่งไปทำประจำการหรือทำภารกิจในพื้นที่กันดาร ห่างไกลแหล่งผลประโยชน์ หรือบางครั้งก็ถูกส่งไปยังพื้นที่เสี่ยงภัย และเต็มไปด้วยความยากลำบาก โกลด์แมนรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่ามากกับการทำภารกิจอันเลื่อนลอยนี้ แต่เขาก็ยังกลับโมราโซมอสไม่ได้หากไม่มีอะไรที่แสดงความคืบหน้ากลับไปรายงาน เอาเถิด โมราโซมอสตอนนี้ก็ยังไม่น่ากลับนักหรอก ทั้งพวกโฮเซ่ ทั้งพวกดาร์คเนสดีวิล ทั้งจลาจลในเมือง นี่ยังไม่รวมถึงเสียงโวยวายของพระราชาและความดันโลหิตที่ขึ้นสูงของพระองค์ เป็นคราวเคราะห์ของแพทย์หลวงคนอื่นๆ ที่ต้องรับกรรมไป

                “จดหมายจากโมราโซมอสหรือคะ” ซอร์โรร่าแหวกผ้าเข้ามาในกระโจม พร้อมกับส่งยิ้มทักทาย เธอสวมชุดขนสัตว์กันหนาวสีขาวทั้งตัว เช่นเดียวกับซินิท โกลด์แมนที่ตามหลังมาติดๆ

                “อรุณสวัสดิ์แม่หนูน้อย” โกลด์แมนม้วนจดหมายเก็บ ซอร์โรร่าไม่ควรรู้เรื่องพวกดาร์คเนสดีวิลบุกประชิดเมืองโอมิลรอนตอนนี้ อาจเกิดความวุ่นวายได้ “อารมณ์ดีได้ทุกวันเลยนะ พ่อของท่านบอกว่าท่านชอบหิมะ ชอบอากาศเย็นๆ”

                “ข้าชอบดินแดนที่มีหิมะปกคลุมค่ะ ท่านไม่คิดว่ามันสวยหรือคะ” ซอร์โรร่าเอียงคอยิ้ม โกลด์แมนส่ายหน้าทันที “แต่ไอซ์เมสก็หนาวเกินไปจริงๆ สมกับเป็นพื้นที่ที่หนาวเย็นที่สุดในดาวดวงนี้”

                “อย่างน้อย มันก็ทำให้ลูกสาวของข้าแต่งตัวได้มิดชิดขึ้น” โกลด์แมนปรายตาไปทางซินิทที่ส่งยิ้มทะเล้นให้

                “ที่นี่ข้าขอยอมแพ้ค่ะ มันหนาวจนข้าไม่อยากจะถอดอะไรออกเลยสักชิ้น” ซินิทขยับเข้าไปใกล้กระบะกองไฟกลางห้อง

                “วันนี้เราจะค้นหาที่ไหนต่อหรือคะ” ซอร์โรร่าเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างหน้าโต๊ะทำงานของโกลด์แมน

                “หลังจากค้นหาแร่บ้าๆ นั่นมาหลายเมือง และคว้าน้ำเหลวทุกเมือง วันนี้เราจะเริ่มค้นหาที่เมืองที่สำคัญที่สุดของไอซ์เมส เมืองหลวงเดธแอเรีย” โกลด์แมนยกกองเอกสารออกไปจากโต๊ะ แล้วเอาแผนที่มาวางแทน “ซึ่งก็เป็นไปได้สูงว่าจะคว้าน้ำเหลวเหมือนกัน เพราะเดิมทีเมืองนี้เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในไอซ์เมส ถ้ามีแร่อะไรสำคัญ ก็คงถูกพวกเอลิลขุดเอาไปหมดแล้ว แต่ไหนๆ เราก็มาตั้งค่ายใกล้ๆ กับเดธแอเรียแล้ว ต้องสำรวจเสียบ้าง จะได้ไม่ถือว่าบกพร่องในหน้าที่”

                “เดธแอเรีย เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้” ซินิทหันมาพูดอย่างตื่นเต้น มือยังอังไฟอยู่ “พวกท่านคิดว่ามันยังมีเศษซากของความเจริญหลงเหลืออยู่หรือเปล่าคะ”

                “พวกเอลิลถูกพวกไซคัสกวาดล้างมานานแสนนานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนั้นถูกทำลายย่อยยับ” โกลด์แมนตอบ “พ่อคิดว่าเมืองนั้นไม่มีเศษซากความเจริญใดๆ ให้เราเห็นหรอก นอกจากหิมะและความว่างเปล่า เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่เราผ่านมา”

                “แต่อย่างน้อยก็น่าจะสำรวจง่ายหน่อย จริงไหมคะ” ซอร์โรร่าพูดในแง่ดี “พื้นที่ในเมืองหลวงเดธแอเรียค่อนข้างราบเรียบเสมอกัน ไม่มีภูเขาน้ำแข็งหรือเนินสูงๆ มาเป็นอุปสรรค”

                “เดธแอเรียเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง เราไม่มีทางสำรวจเสร็จภายในวันเดียว” โกลด์แมนส่งแผนที่ให้ซอร์โรร่า “ข้าได้ระบายสีพื้นที่ในแผนที่แล้ว มันคือพื้นที่ที่ท่านจะต้องไปสำรวจในวันนี้ หากไม่พบวี่แววของแร่โคลด์สโตน เราจะสำรวจพื้นที่อื่นในวันต่อไป นี่ เข็มทิศ”

                เขาส่งเข็มทิศให้ซอร์โรร่า เป็นเข็มทิศที่ไม่มีตัวอักษรบอกทิศเหนือทิศใต้ มีเพียงตัวเข็มที่เป็นโลหะมีลายใยแมงมุม

                “แน่ใจหรือคะว่ามันใช้ได้จริงๆ” ซอร์โรร่ารับมาอย่างไม่สู้ศรัทธา “ที่ผ่านมามันไม่เห็นจะแสดงตำแหน่งของแร่โคลด์สโตนให้เรารู้เลย เข็มไม่เห็นจะหมุนเลยสักครั้ง”

                “ก็เพราะไม่มีแร่โคลด์สโตนอยู่ใกล้ๆ น่ะสิ เข็มมันจะหมุนก็ต่อเมื่อมีแร่โคลด์สโตนอยู่ใกล้ๆ” โกลด์แมนบอก “ข้าขอยืนยัน สิ่งนี้คือเครื่องมือที่ใช้ค้นหาแร่โคลด์สโตนได้ดีที่สุด ตัวเข็มทำด้วยโลหะใยแมงมุม แร่โลหะพิเศษที่ไม่ว่าจะนำมาหล่อทำเป็นอะไร มันก็จะมีลายเป็นใยแมงมุมเสมอ โลหะชนิดนี้จะทำปฏิกิริยากับแร่โคลด์สโตนเมื่ออยู่ใกล้กัน”

                “ฟังดูเป็นแร่หายากนะคะ”

                “หายากมากทีเดียว ข้าถึงได้มาแค่นิดเดียว เอามาทำเข็มทิศได้แค่สามอัน ภารกิจค้นหาของเราจึงไม่คืบหน้านัก เพราะมีแค่ท่านกับทหารม้าลาดตระเวนอีกสองคนที่คอยขี่ม้าถือเข็มทิศตรวจพื้นที่ไปเรื่อยๆ มันคลอบคลุมพื้นที่ได้ช้ามาก แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว”

                “ท่านได้โลหะใยแมงมุมมายังไงหรือคะ”

                “นานแล้วล่ะ หลายสิบปีก่อน ไม่ใช่เรื่องน่าสนใจนักหรอก” โกลด์แมนบอกปัด “ที่สำคัญคือ ข้าคงไม่มีปัญญาหามาเพิ่มได้อีกแล้ว ฉะนั้น อย่าทำมันหายล่ะ ท่านไอวิวรี่”

                “ข้าใช้มันมาตั้งแต่เริ่มภารกิจ มันก็ยังอยู่ดีไม่หายไปไหนไม่ใช่หรือคะ” ซอร์โรร่าส่งยิ้มหวานให้ “บอกทหารลาดตระเวนของท่านอีกสองคนดีกว่า แต่คิดอีกที่ข้าว่าคงไม่เข้าท่านัก ถ้าพวกเขารู้ว่าเข็มทิศที่พวกเขาถืออยู่ทำมาจากแร่โลหะหายาก อาจมีการแอบแกะไปขายได้”

                “นี่ ข้ารู้สึกไม่ดีเลยนะ ที่ให้ท่านออกไปตากลมตากหิมะ ค้นหาสิ่งที่แทบจะไม่มีอยู่จริง ซึ่งท่านก็ทำด้วยความกระตือรือร้นและเต็มใจมาตลอด” โกลด์แมนว่า “ถ้าท่านเหนื่อยหรือรู้สึกงี่เง่า ท่านไม่ต้องออกไปก็ได้ อยู่กับพวกเราที่นี่”

                “อย่ากังวลเลยค่ะ ข้าไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย ข้ายินดีที่ได้ช่วยท่าน แล้วมันก็ทำให้ข้าได้สัมผัสกับพื้นที่หิมะใกล้ชิด อย่างที่ข้าไม่มีโอกาสได้ทำยามที่ต้องอยู่ในโมราโซมอส” ซอร์โรร่าพูดอย่างอารมณ์ดี “อย่างที่พ่อข้าบอกค่ะ ข้าชอบหิมะ ชอบอากาศเย็น แม้ที่นี่จะเย็นไปหน่อยก็ตาม”

                “ท่านน่ารักอย่างนี้เสมอ” โกลด์แมนพูดอย่างเอ็นดู “ข้าไม่สนหรอกว่าแร็คแทนทินกับพระราชาจะพูดอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับท่าน แต่สำหรับข้า ท่านคือสาวน้อยผู้อ่อนโยนและมีเมตตาต่อสิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะเมตตา สำหรับมนุษย์ทั่วไปท่านประหลาด แต่สำหรับข้า ท่านพิเศษมาก”

                “คงมีแค่ท่านและมนุษย์อีกไม่กี่คน ที่คิดกับข้าอย่างนี้ค่ะ” ซอร์โรร่าลุกขึ้น ชะโงกตัวข้ามโต๊ะไปจูบแก้มโกลด์แมน “ข้าไปนะคะ”

                “ข้าไปช่วยท่านจัดม้าเองค่ะ” ซินิทลุกจากกองไฟ เดินตามซอร์โรร่าออกไปจากกระโจม

                นอกกระโจมที่ปราศจากกองไฟและความมิดชิดนั้น อากาศหนาวเย็นกว่ามาก กระโจมหลังอื่นๆ เต็มไปด้วยหิมะและเกล็ดน้ำแข็ง พวกทหารที่ร่วมเดินทางมาด้วยต่างห่อตัวอยู่ในเสื้อกันหนาวและนั่งผิงไฟ แต่ละคนหายใจออกมาเป็นควันขาว แม้ว่าซอร์โรร่าจะชอบแดนหนาวที่ปกคลุมด้วยหิมะ แต่บรรยากาศของที่นี่มันก็ชวนหดหู่ไม่น้อย มันเวิ้งว้างว่างเปล่า เงียบสงัด มองไปทางไหนก็มีแต่สีขาว แสงแดดก็ทึบทึม ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต ราวกับเป็นดินแดนที่ถูกทิ้งร้าง หรือว่าดินแดนแห่งนี้จะต้องคำสาปจริงๆ ว่ากันว่าพื้นที่และผู้อาศัยนั้นจะซึมซับกันและกัน สิ่งหนึ่งจะบ่งบอกถึงตัวตนของอีกสิ่งหนึ่ง ความว่างเปล่าหนาวเย็นไร้ชีวิตชีวาของอาณาจักรไอซ์เมส ก็คงบ่งบอกถึงความไร้ชีวิตจิตใจไร้ความรู้สึกของพวกเอลิลที่เคยอาศัยอยู่ได้ดี  ซอร์โรร่าเดินเข้าไปหาม้าตัวใหญ่สีขาวสะอาดหมดจดที่ถูกผูกอยู่ข้างๆ กระโจมของเธอ มีคนก่อไฟให้มันผิง มันเป็นพาหนะคู่ชีวิตของเธอ เธอเลี้ยงดูมันตั้งแต่มันลืมตาดูโลก เมื่อมันโตขึ้นก็ขี่มันไปไหนมาไหนตลอด เทียบกับม้าตัวอื่นๆ ในค่ายแล้ว ม้าตัวนี้ดูจะชื่นชอบพื้นที่หิมะไม่ต่างจากเจ้าของ อาจเป็นเพราะมันซึมซับนิสัยจากผู้เป็นนายมาไม่น้อย

                “เซเฟอร์ หนุ่มน้อย” เธอลูบลงบนแผงคอขาวสะอาดของมันอย่างรักใคร่ “วันนี้เราจะไปวิ่งเล่นกันอีก อากาศหนาวๆ ทำให้เจ้าอยากยืดแข้งยืดขาใช่ไหม เจ้าเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เจ้าคงจะเบื่อที่จะอยู่เฉยๆ”

                แน่นอน มันเป็นม้า ไม่เข้าใจที่เธอพูดสักคำหรอก แต่มันรู้ว่าเธอจะพาไปวิ่งเพราะเธอสวมอานให้มัน เจ้าม้าหนุ่มสะบัดหางขาวนุ่มเหมือนผ้าแพรฝอย และขยับกีบเท้าอย่างกระตือรือร้น

                “เป็นม้าที่สวยมากเลยค่ะ ท่านคงดูแลมันอย่างดี” ซินิทช่วยซอร์โรร่าใส่อานม้า

                “ตั้งแต่ทำคลอดมันเลยค่ะ มันเพิ่งจะโตเป็นหนุ่ม อาจดื้อรั้นสักหน่อย โปรดอย่าถือสามันนะคะหากมันไปเตะถูกเสากระโจมของท่านเข้า” ซอร์โรร่าขยับสายอานให้แน่ใจว่ากระชับดีแล้ว “มันมีสัญชาตญาณของม้าศึก บางครั้งก็ทำอะไรไม่นุ่มนวลนัก”

                “นี่ค่ะ” ซินิทช่วยซอร์โรร่ายกสัมภาระขึ้นไปไว้บนหลังเจ้าเซเฟอร์ “อาหารของท่านอยู่ในห่อเล็กๆ นี่ อย่าให้มันสัมผัสอากาศมากนะคะ อากาศหนาวๆ จะทำให้มันแข็งจนท่านกัดไม่เข้า”

                “ท่านน่ารักมากเลยค่ะ ท่านทั้งสวยและมีน้ำใจ ข้าชื่นชมท่านที่สุดเลย” ซอร์โรร่ายิ้มให้อีกฝ่าย

                “แหม คำชมทำเอาข้าเขินเลย โดยเฉพาะเมื่อออกมาจากปากคนสวยอย่างท่าน” ซินิทยิ้มตอบกลับ “สารภาพว่าบางครั้ง ข้าก็แอบอิจฉาหน้าสวยๆ ของท่านมาก ท่านหน้าเหมือนตุ๊กตาตัวที่ดีที่สุดที่ข้ามีเลย”

                “ข้าก็แอบอิจฉาหุ่นสวยๆ ของท่านเหมือนกัน” ซอร์โรร่าหัวเราะเสียงใส “ไม่รู้ว่าข้าต้องใส่เสื้อดันทรงกี่ชั้น จึงจะได้เท่าท่าน”

                “ข้าสงสัยมานาน” ซินิทพูดเสียงเบา มีความเกรงใจอยู่ในน้ำเสียง “จริงๆ ข้าไม่ควรสนใจเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน”

                “ท่านสงสัยว่าข้าเป็นพวกรักร่วมเพศจริงหรือเปล่า” ซอร์โรร่ายิ้มอย่างรู้ทัน

                “ท่าน เอ้อ ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า ท่านไม่เคยมีอะไรกับเพศตรงข้าม” ซินิทพูดเสียงเบาลงอีก “แต่เคยมีอะไรกับเพศเดียวกัน”

                “ข้าไม่ใช่นางเอกในนิยายน้ำเน่าที่ไม่มีอะไรด่างพร้อย ไม่ใช่พวกเจ้าหญิงในอุดมคติที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง อย่างที่พวกหัวโบราณยกย่องกันหนักหนา มันไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นคนที่มีค่าหรือไม่มีเลย ไม่สำคัญว่าเราจะทำตัวยังไง การกระทำตัวต่อผู้อื่นต่างหากที่สำคัญกว่า อย่างน้อยข้าก็ไม่ทำอะไรงี่เง่าอย่างเช่นเที่ยวกำหนดกฎเกณฑ์ผู้หญิงคนอื่นๆ ว่าควรจะเป็นยังไง” ซอร์โรร่าผูกสัมภาระกับอานม้า “นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ข้าโตเป็นสาว ข้ามีความต้องการ ข้าก็บำบัดมัน ไม่เสียหายอะไรใช่ไหมคะ”

                “แล้วมันเป็นยังไงหรือคะ หมายถึงกับผู้หญิง”

                “ก็ดีค่ะ ท่านก็คงรู้ ข้าหมายถึง ท่านก็คงรู้ว่าดีที่ว่านี่มันรู้สึกอย่างไร”

                “กี่คนแล้วคะ ที่ท่าน--”

                “แค่คนเดียวค่ะ แต่กี่ครั้งข้าก็จำไม่ได้แล้ว ไม่ค่อยสนิทกันนัก ก็รู้กันว่าซินซิสเทอร์ไว้ใจไม่ค่อยได้ แต่เธอทั้งสวยทั้งร้อนแรง ข้าเองยังอดอิจฉารูปร่างของเธอไม่ได้”

                “แล้วท่านไม่ชอบผู้ชายหรือคะ”

                “จริงๆ แล้วข้าชอบค่ะ” ซอร์โรร่าบอกตามตรง “แต่รสนิยมข้าอาจจะแปลกหน่อย ข้าชอบผู้ชายที่หน้าหวานงดงามเหมือนผู้หญิง ตาสวยๆ โตๆ ขนตายาวๆ หน้าขาวสะอาด แต่ขออย่าเป็นพวกชายรักชายนะ”

                “รสนิยมท่านไม่แปลกหรอกค่ะ ผู้ชายหน้าสวยๆ ข้าก็ชอบ” ซินิทสนับสนุน “มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อเลย นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านไม่เคยคบผู้ชาย ในอาณาจักรของเราคงยากจะหาผู้ชายลักษณะนี้ได้”

                “อีกทั้งผู้ชายในอาณาจักรของเราก็มีแต่พวกงี่เง่า” ซอร์โรร่าเสริม “ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตที่แย่ที่สุดในดาวดวงนี้ ก็คือมนุษย์เพศชายนี่แหละ โดยเฉพาะพวกนักปกครองและพวกคนมีเงินที่ใช้ชีวิตสำราญไปวันๆ บางคนคิดว่าตนเองหล่อ และผู้หญิงคนอื่นก็คิดว่าเขาหล่อ แต่ที่ข้ามองเห็น ก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งที่ข้าจะเบือนหน้าหนีได้ตลอดเวลา แล้วข้าก็เกลียดพวกที่ตัดผมสั้นๆ เหี้ยนๆ ติดหนังหัวด้วย มันน่าเกลียดมาก”

                “แสดงว่าท่านชอบผู้ชายผมยาวหรือคะ”

                “ไม่ใช่ยาวรุงรังหรือทำทรงเปิดหน้าผากกว้างเหมือนที่ผู้ชายมนุษย์บางคนชอบทำ มันน่าเกลียดจะตาย หากผู้ชายจะไว้ผมยาว ก็ขอให้ยาวแล้วหน้าดูหวานๆ ค่ะ ไว้ผมปรกหน้าผากยิ่งดี คงดูสวยมาก” ซอร์โรร่าตาเป็นประกาย “ที่พูดมาทั้งหมด มันคงไม่ทำให้ท่านหวาดกลัวข้าใช่ไหมคะ รสนิยมของข้าคงไม่เหมือนกับคนทั่วไปนัก ยอมรับว่าจิตใจข้า ก็ใช่ว่าจะปกติเหมือนคนส่วนใหญ่”

                “ข้าไม่สนใจเรื่องนิสัยส่วนตัวของท่านหรอกค่ะ สำหรับข้ากับพ่อนั้น ท่านดีกับเรามาก ท่านอ่อนหวาน สุภาพ น่ารัก มีน้ำใจ คนอื่นจะพูดไม่ดีกับท่านยังไงก็ช่างปะไร ข้าคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” ซินิทกล่าว “ถ้าข้าเป็นผู้ชาย ข้าคงชอบท่านไปแล้ว”

                “ท่านไม่ต้องเป็นผู้ชายก็ชอบข้าได้นะคะ” ซอร์โรร่าขยิบตา

                “ข้า” ซินิทพึมพำ “ไม่ได้ชอบเพศเดียวกันค่ะ”

                “แหม น่าเสียดายจัง” ซอร์โรร่าหัวเราะ “ข้าต้องไปลาดตระเวนแล้ว เจอกันตอนมื้อค่ำนะคะ”

                แล้วเธอก็ยื่นหน้าไปจูบปากซินิท ผู้ซึ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ปีนขึ้นหลังเจ้าเซเฟอร์ ขี่ลุยหิมะออกไปสู่พื้นที่สีขาวอันกว้างไกล มือข้างหนึ่งถือเข็มทิศที่โกลด์แมนมอบให้ ได้แต่หวังว่ามันจะทำให้ค้นพบอะไรบ้าง เธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้ในอาณาจักรของเธอมีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้เลยว่าภารกิจที่เธอกำลังทำอยู่ มันไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย ใครจะไปสนใจแร่ประหลาดกัน ในเมื่อแผ่นดินกำลังวุ่นวาย ขณะที่เธอกำลังค้นหาสิ่งที่แทบจะไม่มีอยู่จริงนี้ โมราโซมอสกำลังเข้าสู่ช่วงเป็นช่วงตาย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา