ลิขิตโลกา - One World

8.0

เขียนโดย CatMoNo

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.20 น.

  13 บท
  2 วิจารณ์
  11.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) คำสาปแช่ง และการไล่ล่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ 6 คำสาปแช่ง และการไล่ล่า

 

          ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเกือบ ๆ เที่ยง แต่ถึงอย่างนั้น อาการปวดหัวของผมก็ยังไม่หายไป มันยังปวดขึ้นมาเป็นพัก ๆ เหมือนเดิม ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะไม่ได้กินยาแก้ปวดตามปกติ หรือว่ามันเป็นเพราะโทยะมันเอายาแปลก ๆ มาให้ผมกินกันแน่ ผมนอนค้างอยู่แบบนี้ซักพักก็คิดขึ้นมาได้ว่า ริน จะมารับไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ผมเลยรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันทันที

 

          " เอก.....เสร็จรึยัง ไปหม่ำ ๆ กันเตอะ...." ริน ที่ไม่คิดเรื่องการเคาะประตูอันถือเป็นมารยาทที่ควรทำของกุลสตรีดีงาม ก็พรวดพราดเข้ามาในห้องผมแบบไม่ให้ตั้งตัว นี้ถ้าผมกำลังแต่งตัวหรือกำลังโป้อยู่ จะถือว่าใครได้รับความเสียหายกันแน่นะ อื่ม......ผมคิดว่าผมเสียหายมากกว่า.....มั้ง?

 

          " เออ....พึ่งล้างหน้าเสร็จเนี้ยแหละ แกหัดเคาะประตูซักหน่อยก็ดีนะครับ ไอ้คุณหนูริน ให้มันดูเหมาะสมกับที่เป็นลูกของมหาเศรษฐีซักหน่อยก็ดีนะเราว่า " ผมแกล้งแซวรินไปเล่น ๆ พร้อมกับเช็ดหน้าไปด้วย

 

          " ก็นี่ไง เดินเข้ามาแบบนี้แหละ นิสัยคุณหนูสุดสวยผู้เอาแต่ใจไงล่ะ อย่าบ่นมากเลยน่า ไปหม่ำ ๆ ข้าวร้านป้าเหมียวกันเถอะ หิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวอยู่แล้วเนี้ย " รินพูดจบก็ดึงแขนผมเบา ๆ ให้ออกไปกินข้าว (ไหล่ผมเกือบหลุด) เราทั้งสองขับรถออกจากโรงแรมที่พักไปร้านอาหารประจำที่กินกันบ่อย ๆ ถือว่าโชคยังดีที่มีโต๊ะว่าง เพราะแม้ว่าจะเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทาง แต่เรื่องรสชาตินี่ต่อให้เป็นเชฟต่างประเทศก็ยังอาย (แต่ป้าเค้าทำได้แค่อาหารไทยนะ) ทำให้ปกติแล้วโต๊ะทุกโต๊ะจะเต็มเสมอ

 

          " ป้าเหมียว.......คิดถึงกับข้าวฝีมือป้าเหมียวจังเลย หนูขอผัดกระเพราไก่กับน้ำส้มคั้นนะคะ........แล้วของเอกเอาหมูกระเทียมค่ะป้า " ริน พอนั่งปุ๊บก็สั่งอาหารทันที โดยที่ไม่คิดจะถามผมซักคำว่าผมอยากกินอะไร " ได้เลยจ๊ะหนูริน รอไม่เกิน 2 นาที รับรองอร่อยเหาะ " นั้นไง ป้าเหมียวแกหยิบหมูลงผัดกับกระเทียมแล้ว จะไม่เอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วใช่มั้ยครับ

 

          " เห้ย...ริน ไหงสั่งหมูกระเทียมวะ ถามเราก่อนมั้ยว่าอยากกินรึเปล่า " ผมกะว่าจะกินไก่ผัดพริกแกงนะเนี้ย อดแด๊กสิครับแบบนี้

 

          " เอาน่า....ก็เค้าอยากกินหมูกระเทียมด้วยกันกับเอกนี่น่า เอกก็สั่งเผื่อให้เค้ากินด้วยไม่ได้เหรอ เอกใจร้าย อะ.....ฮื่อ ๆ ๆ ๆ อ้อ.....เอกจะทิ้งเค้าแล้วใช่มั้ยล่ะ ใช่สิ....พอได้เค้าแล้วเค้าก็หมดค่าสำหรับเอกแล้วสินะ.....ฮื่อ ๆ ๆ " รินแกล้งก้มหน้าบีบนำ้ตา (ที่ไม่มีซักหยด) พร้อมกับพูดออกมาเสียงดังจนคนในร้านหันมามอง

 

          เอิ่ม.....ผมว่ามันผิดประเด็นไปไกลเลยนะ แต่ตอนเนี้ย ลูกค้าโต๊ะอื่นมองมาที่ผมด้วยสายตาเหมือนมองขยะเปียกยังไงอย่างนั้น แถมมีบางคนพับแขนเสื้อกำหมัดแน่นอีกต่างหาก....เว้นแต่ป้าเหมียว ที่กลั้นหัวเราะอยู่ข้างเตาแก๊สเพราะเห็นรินเล่นแบบนี้จนชินแล้ว

 

          " เห้ยริน พอ ๆ ๆ คนอื่นเค้าจะลุกมาถีบเราแล้ว เออ ๆ ๆ หมูกระเทียมก็ได้...." ผมรีบยอมรินในทันที เพราะรู้สึกถึงสายตาอาฆาตที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จากทางด้านหลัง

 

          " เย้.......เอกเนี้ยน่ารักที่สุดเลยอะ นี่ถ้ารินไม่ได้คิดกับเอกเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา รินไม่ปล่อยเอกไปให้ใครเด็ดขาดเลยรู้ปะ เอ.........หรือว่ายังไงดีน้า เราก็ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ นี่น่า อิอิ "

 

          " พอเลยไอ้ริน ผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้นไม่ใช่เราแน่นอน 5555 นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเลยนะ ที่รอดจากการเป็นแฟนแกมาได้เนี้ย " ผมแหย่กลับ เอาคืนเรื่องหมูกระเทียม

 

          " พูดแบบนี้.....หมายความว่าไงห่ะ ลุกขึ้นไปต่อยกันหน้าร้านระหว่างรอกับข้าวกันดีมั้ย ไอ้คุณเอก........" รินไม่พูดเปล่า ลุกขึ้นโน้มตัวลงมาดึงคอเสื้อผมด้วย แต่ก่อนที่เราทั้งสองคนจะเล่นกันไปไกลกว่านี้ ป้าเหมียวก็จัดการสงบศึกด้วยการนำอาหารที่สั่งมาวางลงบนโต๊ะพร้อมกับพูดแซวว่า " เล่นกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้นะทั้งสองคนเนี้ย แบบนี้ถ้าแต่งงานกันจริง ๆ น่าจะมีลูกหลายคนแน่เลยนะป้าว่า " พอป้าเหมียวพูดจบ รินก็เกิดอาการหน้าแดงขึ้นมาทันที " ปะ....ป้าอะ อย่าพูดแบบนี้สิ หนูเป็นผู้หญิงนะ พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ " พอเห็นอาการแบบนี้ของริน ทั้งผมและป้าเหมียวก็แอบขำกันเบา ๆ จากนั้นเราก็นั่งลงเพื่อกินข้าวด้วยกัน

 

          ผมตักหมูขึ้นมาเพื่อจะกินพร้อมข้าว แต่ก่อนที่ผมจะได้กินนั้น ผมได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นในหัวผม

 

          " ทำไม......"

 

          " ห่ะ..... " ผมหยุดตักข้าวบนจานทันที พร้อมกับเหลียวมองรอบ ๆ ตัวว่าเสียงมาจากไหน

 

          " ทำไมต้องพรากชีวิตไปจากข้า พวกเจ้าเหล่ามนุษย์ถือสิทธิ์อะไรมาตัดสินชีวิตของพวกข้า......ข้าแค้นนัก ข้าไม่เคยทำความเดือดร้อนใด ๆ ให้แก่พวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าต้องพรากข้าให้จากครอบครัว ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า " เวลาเดียวกันนั้นเองเกิดภาพหมูตัวหนึ่งกำลังจะถูกฆ่าขึ้นมาในหัว ความทรมาน ความเจ็บปวด ความแค้นและความอาฆาตของหมูนั้น ผมสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน เหมือนกับผมกลายเป็นหมูตัวนั้นที่กำลังถูกฆ่าตาย โดยมนุษย์....

 

          " เอก.......เอก......แกเป็นอะไรไป " ผมมารู้สึกตัวอีกครั้ง จากเสียงเรียกของริน และการเขย่าแขนอีกข้างของผมที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ภาพและความรู้สึกนั้นหายไปจนเหมือนความฝัน ผมรีบวางช้อนที่กำลังถืออยู่ลงบนจาน และยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม

 

          " เอก....มีอะไรรึเปล่า แกดูแปลก ๆ ไปนะ " รินถามมาอีกครั้ง

 

          " ไม่รู้สิ มันเหมือนตาฝาด แต่ก็ไม่เชิง........ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกน่า แกกินข้าวให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน ค่อยไปเล่าให้ฟังในรถ " ผมพูดบอกริน ให้กินข้าวไปก่อน เพราะถ้าเล่าตอนนี้จะพาลให้รินกินข้าวไม่ลงเหมือนผมตอนนี้ซะเปล่า ๆ

 

          " กินข้าวไหวอยู่มั้ย แกกินน้ำส้มของฉันก็ได้นะ อย่างน้อยก็รองท้องดีกว่าน้ำเปล่า ฉันพึ่งกินไปอึกเดียวเอง " รินส่งน้ำส้มมาให้ผม ผมก็ไม่อยากขัดเพื่อนเลยรับมาดื่มไปหนึ่งครั้ง เพื่อให้รินได้กินข้าวต่อให้อิ่ม

 

          ทันทีที่ผมได้ดื่มน้ำส้มไป ร่างกายของผมรับรู้ได้ทันทีถึงความสดชื้น อาการปวดหัวที่ปวดมาพัก ๆ พลันหายเป็นปลิดทั้ง และสิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ ท้องผมที่ว่างมาตั้งแต่เช้า แต่แค่ดื่มน้ำส้มไปครั้งเดียวกลับทำให้ผมอิ่มสบายท้องเหมือนได้กินข้าวไป 2 จานเต็ม ๆ

 

          ผมจ้องมองแก้วน้ำส้มในมือและทำตาโตเหมือนพึ่งเคยเห็นมัน นี่ตกลงผมเป็นอะไรไปแล้วเนี้ย แล้วถ้ารินถามจะอธิบายให้รินเข้าใจยังไงดีล่ะ ขนาดตัวผมยังอธิบายให้ตัวเองเข้าใจไม่ได้เลย......

 

          รอจนรินทานข้าวเสร็จ (พร้อมกับมีกล่องข้าวหมูกระเทียมที่กลายเป็นของรินไป เพราะผมกินไม่ลง) เราทั้งสองคนก็ขับรถกันต่อ โดยมีจุดมุ่งหมายคือศูนย์วิจัย ที่ผลิตยา X-Turn และเป็นต้นกำเนิดของเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวผมทั้งหมด

 

          ระหว่างที่ผมขับรถไปด้วยกันกับริน ผมก็เล่าให้รินฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกในร้านอาหารของป้าเหมียว ผมเล่าไปด้วยความกังวลว่ารินจะหาว่าผมบ้า หรือหัวเราะในสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่าไร้สาระ แต่พอรินได้ฟังเรื่องที่ผมเล่านี่แล้ว รีแอคชั่นของรินทำให้ผมรู้ตัวว่าผมคิดหวังกับเพื่อนคนนี้มากเกินไป

 

          " กะ....แกบอกว่าแกโดนผีหลอกเหรอเอก แล้ววิญญาณอาฆาตของหมูตัวนั้นมันยังตามมาอยู่รึเปล่าอะ ฉะ....ฉันกลัวนะ " ว่าแล้วรินก็รีบคว้าเอาพระที่ห้อยอยู่ตรงกระจกมองหลังในรถไปพนมมือไหว้แนบหน้าผาก ทำเอาผมเผลอคิดไปว่า ความจริงแล้วรินคงไม่ได้เป็นคนซับซ้อนอะไรแบบที่ผมคิดไว้สินะ

 

          ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เราก็มาถึงทางเข้าศูนย์วิจัย แต่สิ่งที่เราทั้งสองคนเห็นนั้น แทบทำให้พูดกันไม่ออก เพราะจากศูนย์วิจัยที่กินพื้นที่ถึง 3 ไร่ เป็นสถานที่ซึ่งผมเคยมาติดต่อกับศาสตราจารย์ในครั้งก่อน มาในตอนนี้มีเพียงเศษซากของความเสียหายให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ไม่เหลือสภาพของตึก หรือเสาซักต้นให้เห็นแต่อย่างใด แต่ก็ยังถือว่าดีอยู่บ้าง เพราะเจ้าหน้าตรงทางเข้าบอกว่าได้จัดการเก็บศพผู้เสียชีวิตไปทั้งหมดแล้ว ทำให้ไม่ต้องระแวงว่าเดิน ๆ ไปแล้วจะไปจ๊ะเอ๋เข้ากับขา หรือแขน ที่ยังเหลือเก็บไม่หมดแต่อย่างใด

 

          จากการตรวจสอบซากอาคารที่ถูกระเบิด เราทั้งสองคนไม่พบข้อมูลอะไรเลย ขนาดเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับงานวิจัยยา X-Turn จากกลุ่มนักวิจัยที่รอดชีวิต ก็ยังไม่มีใครให้ข้อมูลได้ ดูเหมือนว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะมีเพียงแค่กลุ่มของศาสตราจารย์ที่เสียชีวิตไปทั้งหมดแล้วเท่านั้น

 

          แต่เมื่อไหน ๆ เราก็มาแล้ว จะให้กลับไปแบบนี้มันก็รู้สึกเสียเที่ยว ผมเลยชวน ริน เดินไปดูด้านหลังของศูนย์วิจัยซักหน่อยก่อนกลับ เพราะผมเอะใจในเรื่องนักวิจัยที่หลบหนีมาหาผมถึงห้องพักได้ ผมคิดว่าเขาคงไม่เดินดุ่ม ๆ ออกมาทางด้านหน้าที่เกิดการบุกจากกลุ่มองค์กรเงาหรอก พอรินได้ฟังข้อสังเกตของผม ก็เลยตกลงเดินมาสำรวจด้วยกัน

 

          เราทั้งสองคนเดินเข้ามาจนลึกในแนวป่ารอบศูนย์วิจัย พบว่ามีร่องรอยของการยิงปืนตกอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่หลายตำแหน่ง หรือรอยกระทบของลูกกระสุนปืนที่ยิงถูกต้นไม้ ทั้งผมและรินต่างก็มัวแต่สังเกตบนพื้นดิน จนไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น กำลังมองดูผมและรินอยู่บนยอดไม้ที่ไกลออกไป สายตานั้นมองมายังผม และมองเลยไปด้านหลัง จากนั้นมันก็พุ่งเข้าป่าไป

 

          กระทั่งผมและริน เดินสำรวจลึกเข้ามาในป่ายิ่งกว่าเดิม ก็พบกับรอยเลือดหลายจุด แต่ก่อนที่เราทั้งสองคนจะได้หาข้อมูลกันต่อไป ก็มีเสียงเดินของคนสองคนดังออกมาจากแนวป่าข้างหน้า ผมก็จำได้ทันที เพราะทั้งสองคนนั้น คือสมุนเงาที่เคยถูกผมจัดการไปเมื่อคืนก่อนนั้นเอง

 

          " ไอ่หนู ยังจำพวกเราได้ใช่รึเปล่า " สมุนเงาที่ยืนอยู่ด้านซ้ายพูดขึ้นมา

 

          " เพราะแก ทำให้เพื่อนของเราต้องตายไปอย่างไร้ประโยชน์ ข้าขอทวงเกียรติของเพื่อนข้าคืน ด้วยชีวิตของแก กับนังเด็กผู้หญิงคนข้าง ๆ เลยก็แล้วกัน " สมุนเงาอีกคนพูดขึ้นด้วยอารมณ์โกรธจนตัวสั่น ทำให้สมุนเงาคนแรกต้องเอื้อมมือมาตบไหล่เบา ๆ เพื่อให้ใจเย็น

 

          " เอาล่ะ อย่างที่แกเห็น เพื่อนข้าคนนี้เขาอยากจะฆ่าแกทั้งสองคนมากกว่า แต่ข้าสามารถช่วยแกได้ ขอแค่แกส่งเอกสารงานวิจัยที่เหลือ พร้อมกับยาที่เป็นผลงานวิจัยมาให้เราเสีย แล้วข้าจะปล่อยพวกแกไป จากนั้นเราก็จะไม่ได้พบกันอีก ข้าสัญญา "

 

          ไอ้ลักษณะการพูด โดยให้คนหนึ่งขู่ อีกคนหนึ่งปลอบแบบนี้ ผมรู้สึกมันเหมือน ๆ กับหนังที่ผมเคยดูยังไงแปลก ๆ แต่ยังไงซะ ผมก็จำตอนจบของหนังเรื่องนี้ได้ พวกที่พูดแบบนี้น่ะมักจะฆ่าเป้าหมายทันทีที่ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งแน่นอนว่า กรณีนี้ผมว่ามันก็คงไม่ต่างกัน ผมคิดว่าจะลองลวงให้สมุนเงาทั้งสองเปิดเผยข้อมูลอะไรมากกว่านี่อีกซักหน่อย แต่ว่าก่อนที่ผมจะได้พูดเพื่อลวงถามอะไรออกไป รินก็ดันขัดขึ้นมาซะก่อน

 

          " ฝันไปเถอะ พวกแกฆ่าคนไปตั้งขนาดนี้ มีเหรอที่จะยอมปล่อยเราไป อีกอย่างนะ ยาที่พวกแกต้องการ ฉันกับเพื่อนกินเล่นเป็นวิตามินไปเรียบร้อยแล้วล่ะย่ะ ส่วนเอกสารงานวิจัยนั้นก็เผาไปเรียบร้อยแล้ว พวกแกไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วล่ะ โฮะ ๆ ๆ " รินพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเสียงแปลก ๆ แถมทำสีหน้าแบบสะใจที่ได้เอาคืนพวกสมุนเงาทั้งสองบ้าง แต่มันผิดกับผมในตอนนี้ ที่อยากจะยกเท้ามาก่ายหน้าผากเสียจริง ๆ (ถ้าทำได้) เพราะการกระทำของยัยเพื่อนรัก ที่ทำลายแผนลวงถามข้อมูลของผมจนไม่มีเหลือ

 

          " ถ้าอย่างนั้น ทางเดียวที่เราจะนำข้อมูลกลับไปให้องค์กรได้ ก็มีแค่นำพวกแกทั้งสองคนไปด้วยเท่านั้นสินะ แต่เอาเถอะ ถึงเป็นศพไปก็ไม่น่าจะกระทบกับการตรวจสอบงานวิจัยซักเท่าไหร

          " พอพวกมันพูดจบ ก็เดินเข้ามาหาผมและรินทันที

 

          " ริน ถ้าไม่ไหว ให้ไปหลบหลังฉันนะ " ผมกระซิบบอกรินด้วยความเป็นห่วง

 

          "อะไรยะ นี่นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันมีฉายาว่าอะไร จะให้ [จอมพลังรินรดา] คนนี้หลบอยู่หลังนายเนี้ยนะ อย่าพูดให้ขำสิ " รินพูดจบ ก็ชี้หน้าไปยังสมุนเงาที่ทำท่าโกรธในตอนแรก " แกน่ะ เห็นปากดีตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มาเจอกันทางด้านซ้ายนี่ซักหน่อยเป็นไง หรือว่าที่มีดี มันมีแค่ปาก แต่ส่วนอื่นไร้น้ำยา "

 

          ดันไปยั่วโมโหมันอีกซะอย่างนั้น แถมขอเดินแยกออกไปสู้ห่างจากผมด้วย แต่ถ้าคุณถามผมว่าผมเป็นห่วงรินรึเปล่า ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับว่า....ไม่....เพราะหากเป็นการต่อสู้ด้วยกันระหว่างมนุษย์แล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าใครจะทำร้ายรินได้

 

          " ไอ่หนู ดูเหมือนแกจะไม่กังวลเลยนะ ถ้าให้ข้าเดา นังเด็กผู้หญิงเพื่อนแกคนนั้นคงมีฝีมือไม่เบาสินะ "

 

          " ก็ไม่เท่าไหรหรอกครับ ว่าแต่...ถ้าผมจำไม่ผิด พวกคุณบาดเจ็บจากที่ผมบิดแขนและขาในครั้งก่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมหายกันเร็วขนาดนี้ได้นะ " ผมลองแหย่ถามดู เผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรบ้างนิดหน่อย แต่สมุนเงาตรงหน้าผมมีแววตาไร้ประกายและนิ่งสนิท ก่อนที่จะพูดตอบกลับมาว่า

 

          " ก็แลกมากับชีวิตของพวกข้ายังไงล่ะ " ฉับพลันที่พูดจบ เขาก็พุ่งเข้ามาอยู่หน้าผมในระยะใกล้ และยกเหวี่ยงขาขวาขึ้นมาเตะ ผมย่อตัวลงตามวิธีตั้งรับของมวยไชยา แล้วก้าวเท้าเข้าคลุกวงในแทนการถอยฉากหลบ จากนั้นผมก็เหวี่ยงศอกเข้ากระแทกรับเข้ากับหัวเข่าของสมุนเงา ที่ยังมีแรงเหวี่ยงไม่รุนแรงพอเพราะถูกชิงเข้าชิดวงในเสียก่อน

 

          ด้วยการเข้าคลุกวงในของผม ทำให้สมุนเงาไม่สามารถเตะผมได้ตามที่ตั้งใจ แถมหัวเข่าก็แตกจากการฟันศอกลงของผม แต่น่าแปลกที่แม้จะบาดเจ็บแบบนี้ สมุนเงาคนดังกล่าวกลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาให้เห็น เขายังคงบิดเอว และเหวี่ยงหมัดเข้าโจมตีเหมือนกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

 

          อาวุธของมวยไชยา คือทุกส่วนของร่างกาย แต่อาวุธที่อันตรายที่สุด ก็คือศอก เพราะมันทั้งสามารถใช้โจมตีเพื่อสังหารได้ในครั้งเดียว หรือใช้ตั้งรับโดยทำให้ฝ่ายโจมตีเป็นผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของตัวเองก็ยังได้ ดังนี้แม้ว่าต่อให้อีกฝ่ายจะง้างเหวี่ยงหมัดมาตั้งแต่ออกบ้านแล้วก็ตาม มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมอยู่ดี อย่าว่าแต่หมัดของสมุนเงาคนนี้ ที่ผมมองเห็นตั้งแต่การบิดเอวเพื่อดึงแรงในการออกชกแล้ว มันก็เหมือนกับว่า ผมมองเห็นหมัดของเขาตั้งแต่ที่เขากำลังคิดจะออกหมัดแล้วด้วยซ้ำ

 

          แต่ครั้งนี้ผมเลือกกระทำต่างออกไป ผมกระซิบเรียกชื่อกระบวนท่า [ปักษาแหวกรัง] (แนวประยุกต์ใช้) แล้วค่อย ๆ หมุนตัวกลับหลังเพื่อเบี่ยงตัวเองออกจากวิถีหมัดของอีกฝ่าย โดยประคองให้ความเร็วเท่า ๆ กับความเร็วในการออกหมัดของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็กระซิบชื่อกระบวนท่า [อิเหนาแทงกริช] (แนวประยุกต์ใช้) อาศัยแรงหมุนตัวกลับหลัง งอศอกเข้าแทงเข้าใส่หน้าอกด้านซ้ายของอีกฝ่ายทันที

 

          " กร๊อบ..... " เสียงกระดูกหน้าอกที่แตก และแน่นอนว่าแรงกระแทกย่อมส่งผลไปถึงหัวใจเช่นกัน หากว่าเป็นคนปกติแล้วล่ะก็คงสิ้นใจและล้มลงกับที่ทันทีที่โดนท่าสังหารนี้ไปแล้ว.....แต่มันดันใช้ไม่ได้ผลกับสมุนเงาคนนี้ เขาเพียงกระเด็นออกไปยืนห่างจากเดิมเท่านั้นทำให้ผมแปลกใจอีกครั้งกับร่างกายของเขา ทำไมพวกนี้ถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?

 

          " พวกแกเก่งจริง ๆ ไอ่หนู พวกข้าไม่สามารถสู้กับพวกแกได้เลยซักนิด " สมุนเงาที่สู้กับผมพูดขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองเพื่อน ที่ตอนนี้ถูกฝังอยู่ในดินไปแล้วครึ่งตัว เหลือเพียงเท้าสองข้างเท่านั้นที่ชี้ขึ้นฟ้า (สู้กันยังไงถึงจมดินไปขนาดนั้น......อีกอย่าง รินจบเกมได้เร็วกว่าผมซะอีกแหะ)

 

          " พวกข้าสู้ไม่ได้ แต่นั้นเฉพาะการต่อสู้ในฐานะมนุษย์เท่านั้นหรอกนะ

          อั๊ก.........อ๊าก................." ทันทีที่สมุนเงาพูดจบ เขาก็ร้องออกมาเสียงดัง แถมทำสีหน้าที่แสดงออกว่ากำลังเจ็บปวดทรมานอยู่

 

          " ตูม!! " เช่นเดียวกับสมุนเงาที่สู้กับริน เขาพุ่งตัวขึ้นมาคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมกับร้องออกมาด้วยเสียงที่ทรมานและโหยหวนไม่แพ้กัน

 

          จากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้รินรีบวิ่งกลับมายืนหลังผมทันที เพราะร่างของสมุนเงาทั้งสอง เหมือนถูกอัดลมเข้าไปจนร่างกายเบ่งพองแทบระเบิด ผิวกายที่ปกติเป็นสีแทน ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีดำ เขี้ยวยาวออกมาจากปากทำให้หมดความสงสัยไปได้เลยว่าหากถูกกัดจะมีบาดแผลเป็นรูปร่างแบบไหน เพราะถึงตอนนั้น มันคงแหว่งหายไปทั้งแถบแน่นอน อีกทั้งดวงตาที่แต่เดิมไร้ประกายและนิ่งสนิท ตอนนี้กลับเรืองแสงสีเขียวออกมาอย่างน่ากลัว

 

          มันเหมือนกับหนังที่เคย ๆ ดูมาแหละครับ เมื่อพวกผู้ร้ายสู้ตัวเอกไม่ได้ก็มักจะแปลงร่างขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าต่อสู้ใหม่ในแบบที่เก่งกว่าเดิม เพียงแต่ในเวลานี้ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าผมมันไม่ใช่หนังน่ะสิ มันดันเป็นชีวิตจริงของผม ที่ไม่มีอุปกรณ์แปลงร่างเป็นขบวนการ 5 สีอะไรแบบนั้น ที่ผมทำได้ตอนนี้คงมีแค่พึ่งพาพลังตนเอง เพื่อปกป้องรินเท่านั้น

 

          " กรร...... " เสียงดังออกมาจากปากของสมุนเงาทั้งสอง ทันทีที่พวกมันเปลี่ยนเป็นอสูรกายจนเสร็จ

 

          " อะ.....เอก.....รินกลัว......รินไม่สู้กับพวกมันนะ.....เอกช่วยรินด้วยนะ......" เสียงของรินที่กระซิบสั่น ๆ อยู่ข้างหลังผม ยังจำได้กันอยู่รึเปล่าครับว่า ผมเคยบอกไว้เมื่อกี้เอง รินน่ะนะไว้ใจได้ 100% เชียวแหละครับว่าชนะแน่นอน หากต้องสู้กับมนุษย์ด้วยกัน แต่ในทางกลับกัน หากต้องสู้กับอะไรพวกนี้ ก็มั่นใจได้ 100% เลยเหมือนกันว่ารินไม่มีแรงจะวิ่งหนีเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าว่าแต่ให้รินสู้เลยครับ มันเป็นเพราะประสบการณ์ฝังใจในวัยเด็กของรินเองแหละนะ ให้เล่าตอนนี้คงยาว เอาเป็นสู้กับพวกมันก่อนดีกว่า

 

          ฟุบ...อสูรกายทั้งสองหายไปจากสายตาของผม ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกระเด็นด้วยแรงกระแทกกับอะไรซักอย่างที่ต้นแขนด้านซ้าย ซึ่งตอนนี้มันยังรู้สึกชา ๆ อยู่ ในขณะเดียวกัน ผมก็มองเห็นริน ที่กระเด็นไปคนละทางกับผม ดูเหมือนเธอจะสลบไปในทันที...........ตกลงนี่ทั้งผมและรินโดนโจมตีแล้วเหรอ?

 

          โดยไม่ต้องรอให้ผมสงสัยต่อ ความเจ็บปวดวิ่งขึ้นมาสู่สมองแทบจะทันที กระดูกไหล่ซ้ายผมหักจนไม่สามารถยกแขนขึ้นได้อีก หลังผมกระแทกเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้ ๆ ตัวจนระบบไปหมดทั้งตัว เหมือนว่าเลือดจะไหลออกมาจากหูผมด้วยแหะ....

 

          " ริน...... " ผมกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ภาพในอดีตที่รินเคยถูกอสูรกายคล้าย ๆ พวกนี้ทำร้ายในวัยเด็กโดยมีผมและโทยะอยู่ในเหตุการณ์ พลันถูกฉายขึ้นมาอีกครั้งในสมองผม ผมเห็นรินกำลังจะถูกฆ่า ผมกำลังจะเสียเพื่อนรักคนสำคัญของผมไป......มันเหมือน ๆ กับครั้งนั้นไม่มีผิด

 

          " ไม่......ไม่......ข้าไม่ยอมให้พวกแกทำร้ายเพื่อนของข้าเด็ดขาด....." เสียงดังออกมาจากปากของผม มันเป็นเสียงที่ฟังดูเรียบ ๆ และไร้อารมณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ฟังดูน่าขนลุก หากรวมเข้ากับภาพบรรยากาศที่ถูกบิดเบือนจนพร่ามัวรอบ ๆ ตัวผมในขณะนี้

 

          " โฮก...... " เสียงคำรามดังขึ้นมาจากอสูรกายทั้งสอง ก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วที่สายตามนุษย์ไม่สามารถมองตามทันได้

 

          " ยอมทิ้งชีวิต เพื่อแลกกับสัญชาตญาณโง่ ๆ ของสัตว์ป่าเชียวรึ.....เหอะ.....น่าเบื่อชะมัด " ผมพูดออกมาเบา ๆ พร้อมกับแววตาที่เบื่อหน่ายกับสิ่งที่เห็น......นี่ผมกำลังพูดอะไรอยู่เนี้ย ตกลงนั้นใช่ผมเองเหรอที่พูดออกไป ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อตามคำพูดนั้นจริง ๆ ก็เถอะนะ แต่มันเหมือนไม่ใช่คำพูดตัวเองยังไงแปลก ๆ แหะ

 

          " ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตาข้า ก็จงดับสูญไปให้สิ้นเสียเถิด เจ้าพวกเศษขยะของโลกา " รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฎขึ้นที่มุมปากผม จากนั้นผมก็หมดสติไป

 

-------------------------------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา