The Witches II : Dark Heart

9.2

เขียนโดย Kyoso12

วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.58 น.

  9 ตอน
  6 วิจารณ์
  9,273 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 18.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เด็กน้อยผู้เปลี่ยนโชคชะตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(ณ ป่าทางด้านนอกเมือง)

                ในช่วงสายของวันเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังใช้ทักษะของเค้าที่มีอยู่ในการล่ากระต่ายป่าเพื่อจะนำไปเป็นอาหารเย็นของวันนี้และตอนนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังสะกดรอยตามกระต่ายตัวที่เค้าต้องการอยู่ เด็กน้อยคนนี้มีผมสีแดงประกาย ที่เข้ากันได้ดีดวงตาสีฟ้าและผิวขาวที่ดูอ่อนนุ่มของเค้า ทันใดนั้นเองเค้าก็สังเกตุเห้นกระต่ายตัวที่เค้าต้องการ เค้าใช้ธนูเล็งไปที่มันและยิงออกไปแต่ก็พลาดท่า

 

“โถ่ ให้ตายสิเราพลาดอีกแล้วละจิมมี่” มอร์เดร็ดหันไปคุยกับม้าของเขา ก่อนที่เค้าจะจูงม้าต่อเพื่อสะกดรอยตามกระต่ายต่อไป

“จิมมี่รู้อะไรมั้ย ผมแปลกใจมากเลยว่าทำไมแม่ต้องพยายามปิดบังเรื่องราวของพ่อด้วยทั้งที่ผมพร้อมแล้วที่จะรู้เรื่องราวของพ่อแต่แม่ก็ผลัดเรื่องนี้ทุกปีเลย ผมอยากรู้จังเลยจิมมี่ว่าพ่อของผมคือใคร” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังครึกโครมของทหารที่ควบม้ามาทางที่มอร์เดร็ดอยู่อย่างรวดเร็วทำให้มอร์เดร็ดต้องหาที่ซ่อนตัว

 

“มาเร็วจิมมี่มาซ่อนตรงนี้เร็ว” มอร์เดร็ดวิ่งไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อใช้มันซ่อนตัวจากคนที่กำลังมา

“เดี๋ยวข้าจะไปล่ากวางนี้ส่วนพวกเจ้าไปอีกทางละกัน” ส่วนของชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ขอรับ!!!” เหล่าทหารพากันรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มอร์เดร็ดพยายามใช้สายตาสังเกตุชายที่อยู่ตรงหน้า เค้าทั้งตัวสูงใหญ่ มีผมสีทองที่เป็นประกายและยังมีดวงตาสีฟ้าที่เหมือนกับเค้าทำให้มอร์เดร็ดอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าชายคนนี้คือใคร

“เดี๋ยวนะๆ ข้ารู้นะว่ามีใครบางคนแอบอยู่ที่นี่ออกมาซะเถอะ” ชายคนนี้ลงจากหลังม้าและพยายามเดินหามอร์เดร็ดที่กำลังซ่อนตัวอยู่ ส่วนเฮดิสที่กำลังเฝ้าดูมอร์เดร็ดอยู่ผ่านทางกระจกวิเศษที่อยู่ในคฤหาสน์ของเค้า เฮดิสร่ายคาถาลงไปดังนนี้ว่า

‘สายเลือดย่อมล้างด้วยเลือดเพียงแค่สบตาคำสาปนี้จะหายไปความทรงจำจะกลับคืนมา’

เมื่อเฮดิสร่ายคาถาจบเค้าจึงกลับไปมองการกระทำของมอร์เดร็ดต่อ

“ข้าจะนับถึงสามถ้าเจ้าไม่ออกมาละก็...”

“เดี๋ยวท่าน!! ข้ายอมแล้ว” มอร์เดร็ดลุกออกมาจากพุ่มไม้และค่อยๆเดินไปหาชายที่อยู่ตรงหน้า

“อ้าว เด็กเองงั้นหรอเจ้ามาทำอะไรแถวนี้”

“ผมแค่มาล่ากระต่ายเอาไปให้แม่ก็เท่านั้นเอง”

“งั้นหรอ ไม่ต้องกลัวข้าไปหรอกเจ้าหนู ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”

“มอร์เดร็ด”

“มอร์เดร็ดงั้นรึ จริงสิข้าลืมแนะนำตัวไปเลย ตัวข้ามีนามว่าอาเธอร์”

“ท่านเป็นกษัตริย์แห่งคาเมรอท!!”

“ถูกต้องเจ้าฉลาดดีนี่แม่ของเจ้าคงจะสอนเจ้ามาดี ว่าแต่บ้านเจ้าอยู่แถวไหน”

“เอ่อ เกรงว่าผมคงจะบอกท่านไม่ได้เพราะแม่ไม่ให้ผมบอกที่อยู่กับคนแปลกหน้า”

“จริงหรอ แต่ข้าเองก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเป็นว่าข้าจะเชิญเจ้าไปชมงานวิวาห์ของข้าที่วังเป็นการตอบแทนที่เจ้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”

“จริงหรอ!!!”

“จริงสิ กษัตริย์อย่างข้ารักษาคำพูดอยู่แล้ว”

“ขอบคุณท่านมาก ผมจะรีบกลับบ้านไปบอกแม่” มอร์เดร็ดรีบขึ้นบนหลังม้าของเค้า

“ขอให้โชคดีละกันเจ้าหนู” อาเธอร์โบกมือให้กับมอร์เดร็ดที่กำลังมุ่งตรงกลับบ้านไปยังบ้านของเค้า ส่วนอาเธอร์เองก็รู้สึกแปลกๆกับเด็กคนนี้ราวกับว่าพวกเค้า 2 คนจะต้องมีอะไรร่วมกันแน่นอน และในตอนนี้เด็กน้อยของเราก็กำลังควบม้ากลับไปยังบ้านของเค้าในขณะที่แม่กำลังรอเค้าอยู่ เค้าแทบจะทนไม่ไหวที่กลับไปบอกแม่เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“แม่ครับ!!!” มอร์เดร็ดตะโกนเรียกแม่ของเขา

“ว่าไงจ๊ะลูก เป็นอะไรทำไมดีใจอะไรขนาดนั้นละ”

“เมื่อกี้ผมเจอกับกษัตริย์ด้วยละ” มอร์เดร็ดที่ยิ้มแย้มอยู่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อเห็นแม่ของเค้าไม่รู้สึกยินดีไปกับเค้าด้วย

“....”

“เค้าเชิญพวกเราไปพิธีแต่งงานด้วยนะแม่”

“ห้ามไป...”

“แม่...ทำไมละ”

“แม่บอกว่าห้ามไปไง!!!!” เมื่อเค้าเห็นว่าแม่ขึ้นเสียงใส่เค้าทำให้เค้าเงียบลงไปทันที และเกิดคำถามขึ้นภายในใจทำไมแม่ต้องขึ้นเสียงใส่เค้าด้วยเพียงเค้าพูดถึงเรื่องที่กษัตริย์อาเธอร์เชิญชวนไปพิธีวิวาห์ มอร์เดร็ดจึงเดินเข้าไปบ้านไปอย่างเงียบโดยที่ยังมีคำถามอยู่ในใจของเค้าอยู่ว่าทำไมแม่ของเค้าถึงได้เป็นแบบนี้

   ทั้งที่ผ่านมาแม่จะรับฟังทุกเรื่องที่เค้าพูดเสมอและยังดีใจทุกครั้งที่เค้ามีเรื่องๆดีดีกลับมาบอกให้แม่ของเค้าฟัง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ มอร์เดร็ดแอบดูแม่ของเค้าผ่านทางหน้าต่างของบ้าน เค้าเห็นแม่ของเค้ากำลังร้องไห้เศร้าโศกอยู่ที่หน้าบ้านราวกับคนเสียสติ มันทำให้เค้านึกอะไรบางอย่างออก ใช่ เค้าต้องไปพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้

(3 วันต่อมา)

                ในช่วงสายของวันมอร์เดร็ดขออนุญาตแม่ของเค้าเพื่อออกไปล่ากระต่ายในป่าซึ่งแม่ของเค้าก็ยอมแต่โดยดี ทำให้เค้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากและควบม้าออกไป

“เอาละจิมมี่วันนี้เข้าเมืองกัน เราจะไปตามหาพ่อกัน” มอร์เดร็ดสั่งม้าของเค้าเสร็จจึงรีบควบออกไปโดยไวที่สุด ส่วนแม่ของเค้าก็ทำได้แค่จ้องมองเด็กน้อยอยู่ภายบ้านและภาวนาว่าอย่าให้มอร์เดร็ดไปพบอาเธอร์อีกครั้งเด็ดขาด

   และในช่วงเวลาตลอด 3 วันที่ผ่านมอร์เดร็ดได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้แล้วทำให้เป้าหมายของเค้ามีเพียงหนึ่งเดียวคือกษัตริย์อาเธอร์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ว่าพ่อของเค้าคือใครเพราะถามแม่ของเค้าหรือแม่แต่ลุงเฮดิสก็ไม่มีใครยอมบอกเค้าเรื่องพ่อ จนทำให้เค้าต้องออกมาตามหาด้วยตัวเอง

  มอร์เดร็ดควบม้าไปเรื่อยๆจนมาถึงยังตัวเมือง เค้ารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เข้าเมืองครั้งแรก เค้าถึงถามไถ่พวกชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นว่าปราสาทของกษัตริย์ไปทางไหนเพื่อเข้าจะไปได้อย่างถูกทาง..................................................

                ในขณะเดียวกันกษัตริย์อาเธอร์ที่กำลังเตรียมตัวในชุดเจ้าบ่าวที่ดูสง่าและสมกับเป็นกษัตริย์อย่างถึงที่สุด เค้าครุ่นคิดถึงเด็กน้อยที่เค้าเจอเมื่อ 3 วันก่อนว่าเด็กคนนั้นจะมาไหมเพราะเค้ารู้ว่าหน้าตาของเด็กคนนี้ช่างคล้ายคลึงกับเค้าเมื่อยังเยาว์เหลือเกิน

“เอ่อ ท่านครับจวนจะได้เวลาเข้าพิธีแล้วนะพะยะค่ะ” ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อบอกเวลากับอาเธอร์

“อื้ม ข้ารู้แล้วและอีกอย่างถ้ามีเด็กสามัญชนคนนึงมาขอเข้าชมพิธีนี้ก็ให้เข้ามาได้เลย”

“ขอรับ!!” อาเธอร์รีบจัดการแต่งตัวเองให้ไวขึ้นเพื่อจะได้เข้าพิธีวิวาห์เสียที อาเธอร์เดินไปทางห้องโถงของปราสาทและเข้าสู่พิธีวาวาห์ของเค้า

ทางด้านของมอร์เดร็ดเองก็รีบเร่งควบม้าให้เร็วขึ้นเพื่อจะไปให้ทันพิธีวิวาห์ของกษัตริย์อาเธอร์ ‘เค้าจะต้องเป็นพ่อของผมแน่ๆ ถ้าผมเอาสร้อยที่แม่ให้มาให้เค้าดู เค้าจะต้องรู้แน่ๆว่าแม่ของผมคือใคร’

“เร็วเข้าจิมมี่เราต้องไปให้ทันเวลา” มอร์เดร็ดควบม้าอย่างสุดแรงเกิด จนมาถึงยังด้านหน้าปราสาทที่ถูกตกแต่งเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด อีกทั้งท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังครึ้มฝน และท่าทางฝนจะตกหนักอีกด้วยทำให้มอร์เดร็ดไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่ประตูของวัง

“เฮ้ย เจ้าหนูใครอนุญาตให้สามัญชนอย่างเจ้าเข้าไปข้างในกัน” ทหารคนหนึ่งกีดกันมอร์เดร็ดไว้

“แต่ท่านอาเธอร์เป็นคนเชิญข้าด้วยตัวเอง อีกอย่างข้าก็แค่จะเข้าไปชมตามคำสั่งของท่านอาเธอร์ก็เท่านั้นเองไม่เชื่อพวกท่านก็ลองไปถามท่านอาเธอร์เองสิ”

    เมื่อทหารได้ยินดังนั้นจึงปล่อยให้มอร์เดร็ดเข้าไปในวังได้ในตอนนี้พิธีวิวาห์กำลังเริ่มประกอบพิธีในการส่งตัวเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าว เมื่อมอร์เดร็ดเห็นดังนั้งจึงพยายามจะวิ่งเข้าไปในงานแต่ถูกเฮดิสที่จู่ๆก็ปรากฎตัวขึ้นห้ามเอาไว้

“ทำไมละท่านลุงเฮดิส”

“ใจเย็นๆก่อนมอร์เดร็ด ถ้าขืนเจ้าเข้าไปตอนนี้เจ้าได้ถูกจับเข้าคุกใต้ดินแน่ๆ”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงละ”

“เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าจะเข้าไป”

“ผมแน่ใจสิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือผมจะต้องพูดกับเค้าให้ได้”

“เฮ้อ รีบไปเถอะ” เฮดิสถอนหายใจก่อนที่จะหายตัวไปอีกครั้ง ปล่อยให้มอร์เดร็ดเดินเข้างานนี้ไปเพียงลำพัง มอร์เดร็ดรวบรวมความกล้าที่มีและตะโกนออกไปกลางงานวิวาห์ที่กำลังเริ่ม

“เอาละต่อไปจะเป็นพิธีแลกแหวน....” บาทหลวงกล่าวขึ้น

“ช้าก่อน!!!!” เสียงของมอร์เดร็ดที่ตะโกนออกไปทำให้แขกทุกคนที่อยู่ในงานต่างพากันจ้องมองมอร์เดร็ดด้วยสายตาเดียวกันรวมถึงอาเธอร์และเจเนวีฟด้วย

“เจ้าหนู.....”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!” เจเนวีฟบ่นขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ท่านอาเธอร์ ท่านจำสร้อยเส้นนี้ได้มั้ย!!” มอร์เดร็ดตะโกนถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับวิ่งไปหาอาเธอร์เพื่อนำสร้อยเส้นนี้ไปให้เค้า

“สร้อยเส้นนี้มัน....ข้าถึงว่าทำไมข้าหามันไม่เจอ..” อาเธอร์ครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ราวกับเค้าเคยให้สร้อยเส้นนี้ไว้กับใครบางคน

“ท่านเคยให้สร้อยเส้นนี้กับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อ 8 ปีก่อนใช่หรือไม่” เมื่ออาเธอร์ได้ยินดังนั้นทำให้ความทรงจำเมื่อ 8 ปีก่อนของเค้ากลับคืนมาทุกๆอย่างไม่ใช่แค่ความทรงจำเมื่อ 8 ปีก่อนแต่ย้อนมันไปจนถึงครั้งที่เค้ายังอายุ 5 ขวบที่เค้าเคยถูกช่วยชีวิตไว้

  โดยผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมยาวสีแดงเพลิงที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งราวต่างๆที่เกิดขึ้นป่าอาถรรย์อีกด้วย เค้าจึงนึกคำถามขึ้นเพื่อถามมอร์เดร็ดให้แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นใช่ที่อยู่ในความทรงจำของเค้าหรือไม่

“แม่ของเจ้ามีนามว่าอะไร”

“เมลิซ่า....” เมื่ออาเธอร์ได้ยินดังนั้นทำให้น้ำตาของเค้าไหลเอ่อออกมาจนอาบไปทั่วแก้มของเค้า อาเธอร์จึงคุกเข่าลงต่อหน้ามอร์เดร็ดและยิ้มให้กับเด็กน้อยคนนี้

“พาข้าไปหาแม่ของเจ้าได้มั้ย มอร์เดร็ด”

“ได้ครับ”

“ขอบคุณมากมอร์เดร็ด” อาเธอร์เข้าสวมกอดเด็กน้อยคนนี้ไว้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้งและหันหน้าทางเจเนวีฟที่กำลังยืนหงุดหงิดอยู่

“จะเริ่มพิธีต่อได้รึยังอาเธอร์” เจเนวีฟถามขึ้น

“ขอโทษทีเจเนวีฟแต่ว่าผมคงแต่งงานกับคุณไม่ได้แล้ว” เมื่อเจเนวีฟได้ยินดังนั้นจึงทำให้เธอโกรธหนักยิ่งกว่าเดิม เธอรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาฉีกหน้าของเธอกลางพิธีวิวาห์ ทำให้เธอที่อยากจะระบายความโกรธออกมากลางพิธีวิวาห์นี้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอต้องรักษาหน้าของเธอเอาไว้ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงที่เธอสั่งสมมาต้องพินาศไปแน่

“ไม่..อาเธอร์”

“ผมเสียใจจริงๆ” อาเธอร์หันหลังให้กับเจเนวีฟและเดินตรงเข้าไปหามอร์เดร็ด

“เอ่อ ท่านอาเธอร์...” มอร์เดร็ดพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกว่าแต่ตอนนี้ช่วยพาข้าไปหาแม่ของเจ้าทีข้าอยากจะพบนางให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้” เมื่อมอร์เดร็ดได้ยินดังนั้นเค้าจึงพยักหน้าและพาอาเธอร์ออกไปจากปราสาททันทีปล่อยให้เจเนวีฟตกเป็นเป้าสายและคำพูดต่างๆนาๆจากผู้คนที่มาร่วมพิธีวิวาห์นี้

(ทางด้านของเมลิซ่า)

                เฮ้อ จนสายป่านนี้แล้วมอร์เดร็ดก็ยังไม่กลับมาบ้านสักที ฉันบ่นในใจเล็กน้อยในขณะที่กำลังทำความสะอาดคอกม้าอยู่ จริงๆเลยเด็กคนนี้ชักจะเริ่มเหมือนกับ...เอ่อ ไม่สิต้องพูดยังไงดี ฉันผิดเองแหละที่วันนั้นฉันไปตวาดใส่เค้าแบบนั้นไม่น่าเลยฉันเนี่ย ฉันหลุดไปโมโหใส่ลูกแบบนั้นได้ยังไงกัน

“แม่ครับผมกลับมาแล้ว!!” เสียงของมอร์เดร็ดตะโกนขึ้น เฮ้อ ในที่สุดก็กลับมาสินะ

“แม่เตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้แล้วนะเข้าไปท่านได้เลย!!!” ฉันตะโกนบอกมอร์เดร็ดและก้มหน้าทำความสะอาดคอกม้าต่อไป เฮ้อ ฉันนึกว่าเค้าจะหนีไปแล้วเสียอีก

“เมลิซ่า........” เสียงใครบางคนดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ฉันถึงกับต้องหยุดชะงักและหัวใจของฉันที่สั่นระรัวราวกับคนที่กำลังจะเสียสติ ฉันค่อยๆหันหลังไปเพื่อพบกับคนคนนั้น

“เมลิซ่า นี่ผมเองไง.....” ภาพคนตรงหน้าทำให้ฉันถึงกับหลั่งน้ำตาใช่ เค้าคืออาเธอร์คนที่ฉันคิดถึงมากที่สุด และรักมากที่สุด

“คุณมาที่นี่ทำไม...”

“ผมแค่มาตามหาภรรยาของผมที่หายไป” อาเธอร์เดินมาเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ

“แล้วเจเนวีฟของคุณละ” ฉันพยายามก้าวเท้าถอยหลังเรื่อยๆ

“เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว แต่ผมแค่อยากรู้ที่ผ่านมาทำไมคุณถึงหายตัวไป ทำไมคุณถึงลบทรงจำของผมออกไป!!”

“เพราะฉันคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วเท่าที่ฉันคิด”

“แต่ไม่เลยเมลิซ่าผมคิดถึงคุณมาก จนกระทั่งผมได้เจอกับมอร์เดร็ดและทันทีที่เค้าเอ่ยชื่อของคุณออกมา มันทำให้ผมรู้ทุกอย่าง”

“...” ฉันเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“คุณทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลมอร์เดร็ดตั้งแต่อยู่ในท้องของคุณรวมทั้งพลาดโอกาสที่จะได้ตอนที่เค้าเกิดมาเมลิซ่า คุณรู้มั้ยว่าผมเจ็บปวดมากแค่ไหนขอร้องละเมลิซ่ากลับไปพร้อมกับผมได้มั้ย....”

“แล้วคิดว่าฉันไม่ทรมานบ้างหรออาเธอร์!!! ที่ผ่านมาฉันร้องไห้ทุกคืนก็เพราะฉันคิดถึงคุณแต่ฉันก็ทำใจและกลับไปหาคุณเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วอาเธอร์ ฉันขอโทษที่ลบความทรงจำของคุณไปแต่.....” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบอาเธอร์ก็ตรงเข้ามาจูบฉันทันที เป็นจูบแบบเดียวกับที่ฉันโหยหามานาน

  และยังเป็นจูบที่ฉันคิดถึงมันมากที่สุด อาเธอร์กำชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยฉันให้เป็นอิสระเลย ฉันจึงพยายามดันหน้าอกของเค้าออกอาเธอร์จึงหยุดและเปลี่ยนมาสบตาฉันแทน

“พอเถอะ...เมลิซ่าหยุดทำร้ายตัวเองสักที”

“แต่ฉัน.....”

“พอได้แล้วน่าที่รัก..คุณเจ็บปวดมามากพอแล้วเพราะฉะนั้นชีวิตของคุณหลังจากนี้ผมจะดูแลมันให้ดีที่สุดผมสัญญา คุณจำที่เราสาบานกันที่ต้นไม้ใหญ่ได้มั้ย”

“จำได้สิ” เมื่ออาเธอร์พูดถึงครั้งที่เราเคยไปสาบานกันที่ต้นไม้ใหญ่ในป่าแห่งภูติพรายมันทำให้ฉันยิ้มขึ้นอีกครั้ง

“ตอนนี้ผมจะทำคำสัญญานี้ให้เป็นจริงดังนั้น...” อาเธอร์คุกเข่าลงต่อหน้าฉันพร้อมกับดึงมือข้างซ้ายของฉันมากุมเอาไว้

“นี่คุณจะทำอะไรอีกเนี่ย”

“เมลิซ่าคุณจะแต่งงานกับผมได้มั้ย” อาเธอร์หยิบแหวนเพชรสีขาวบริสุทธิ์ออกมามันทำให้ฉันรู้สึกประหม่าจนพูดไม่ออก น้ำตาแห่งความสุขของฉันหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง

“เมลิซ่า...” อาเธอร์ทำสายตาอ่อดอ้อนมาที่ฉัน

“ตกลงฉันจะแต่งงานกับคุณ” ทันทีที่ฉันพูดจบอาเธอร์จึงสวมแหวนให้กับฉันที่นิ้วนางข้างซ้ายตอนนี้ฉันดีใจมากจนถึงไม่สามารถบอกความรู้สึกที่แสนสุขนี้ออกมาเป็นคำพูดได้

“อันที่จริงวันนี้ผมมีเข้าพิธีวิวาห์ก็จริงแต่ว่าเจ้าสาวของผมนั้นอยู่ที่นี่ คุณยินดีที่จะกลับไปเข้าพิธีวิวาห์กับผมมั้ยที่รัก?”

“ห๊ะ!! เดี๋ยวนี้เลยหรอ!!!”

“ใช่ ถ้าเราไปตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก”

“เอ่อ ขอเวลาฉันเปลี่ยนชุดสักครู่จะได้มั้ย”

“เอาสิเชิญเลย” อาเธอร์ถอยห่างออกจากตัวฉันเพราะเค้าเองก็คงจำได้ว่าฉันเองก็เป็นแม่มดเหมือนกัน ฉันร่ายเวทย์มนต์ไปที่เสื้อผ้าอันแสนจะสกปรกของฉันให้กลายเป็นชุดเจ้าสาวสีขาวที่ประดับไปด้วยคริสตัลมากมายระยิบระยับซึ่งมันทำให้ชุดของฉันดูเด่นขึ้นทันตา พร้อมด้วยมงกุฏเล็กที่ฉํนเสกขึ้นมาเพื่อใช้มันประดับศรีษะ

  และใบหน้าที่แต่งเติมจากเวทย์มนต์ของฉันทำให้ฉันดูเป็นเจ้าสาวที่สวยสะพรั่งราวกับดอกไม้แรกแย้ม อาเธอร์ที่อยู่ตรงหน้าฉันถึงกับตะลึงในชั่วขณะ ส่วนมอร์เดร็ดเองที่เมื่อสักครู่นี้แอบอยู่นั้นก็เดินออกมา

“ว้าววววววววว!! แม่สวยที่สุดเลยครับ!!” มอร์เดร็ดกล่าวขึ้น

“ขอบคุณจ๊ะ” ฉันหันไปยิ้มให้มอร์เดร็ด

“เอาละเจ้าสาวแสนสวยของผมได้เวลาไปเข้าพิธีกันแล้ว” อาเธอร์มือมาให้กับฉัน ฉันจึงเอื้อมไปกุมมือของเค้าและเดินที่ม้าของเค้าเพื่อจะกลับไปยังพิธีวิวาห์ที่ปราสาทของเค้า เมื่อไปถึงม้าของอาเธอร์ อาเธอร์ขึ้นไปบนหลังม้าก่อนที่จะดึงมือฉันให้ขึ้นไปซ้อนทางด้านหลังของเค้า

“เอาละกอดเอวผมไว้แน่นๆนะที่รัก”

“อื้ม” ฉันกอดเอวของอาเธอร์แน่น จากนั้นอาเธอร์จึงควบม้าออกไปโดยที่มีมอร์เดร็ดขี่ม้าของตัวเองตามมาข้างหลัง อาเธอร์ควบม้าของเค้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งเข้าไปยังตัวเมืองคาเมรอทชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ในตรงนั้นต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ กันตลอดทางที่ม้าควบผ่านไป

“ท่านเมลิซ่า!! ดีใจด้วย!!”

“ยินดีด้วยท่านเมลิซ่า!!!

เสียงของชาวบ้านที่เรียกชื่อของฉันทำให้ฉันถึงกับแปลกใจพวกเค้ายังจำฉันได้ แถมยังยินดีกับฉันอีกด้วยนั่นเป็นเพราะสิ่งที่ฉันทำเอาไว้ทั้งหมดงั้นหรอ ไม่ว่าจะเป็นการแจกจ่ายยาหรืออาหารให้แก่ผู้ยากไร้ หรือการรักษาเจ้าหญิงมอร์กาน่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยทำเอาไว้ก่อนที่ฉันจะหายไป 8 ปี! และมาจนถึงตอนนี้ทุกคนยังจดจำฉันได้ดีและแล้วอาเธอร์ก็ควบม้ามาถึงยังหน้าปราสาทเหล่าทหารที่เฝ้ายามอยู่นั้นต่างพากันตกตะลึง

“ท่านอาเธอร์!! ไปอยู่ที่ไหนมา!!! แขกเริ่มหงุดหงิดกันหมดแล้วนะพะยะค่า”

“ข้าแค่ไปตามเจ้าสาวตัวจริงมาน่ะ เอาละช่วยไปบอกทุกคนในงานทีเราจะเริ่มพิธีกันใหม่อีกครั้ง” เมื่อทหารได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในปราสาทเพื่อแจ้งข่าวให้กับทุกคนได้ทราบ ส่วนอาเธอร์เองก็ยื่นมือมาทางฉันที่กำลังลงจากหลังม้า

“เอาละที่รักถึงเวลาของคุณแล้ว”

“ฉันรู้แล้วละ” ฉันสอดมือเข้าไปเพื่อควงแขนของอาเธอร์และเดินเข้าไปในพิธีวิวาห์พร้อมกัน เมื่อแขกทุกคนที่อยู่ในงานเห็นภาพของฉันและอาเธอร์ที่กำลังเดินเข้าไปในงานต่างจ้องมองกันเป็นตาเดียวกันและมีเสียงซุบซิบมากมายเกี่ยวกับฉัน

‘ผู้หญิงคนนี้ใครกันน่ะ ท่านดยุครู้จักนางมั้ย’ ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้น

‘ไม่เคยเลยแต่นางช่างดูงดงามยิ่งกว่าสตรีใดใดที่ข้าเคยพบ งดงามยิ่งกว่าท่านเจเนวีฟเสียอีก’

‘ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ดูชุดของนางสิช่างตกแต่งได้อย่างประณีตช่างคนใดกันที่เป็นคนตัดเย็บชุดนี้ให้กับนาง’ ผู้หญิงอีกคนกล่าวขึ้น

“ตื่นเต้นมั้ยที่รัก” อาเธอร์กล่าวขึ้น

“ตื่นเต้นสิ นี่พิธีแต่งงานของฉันเชียวนะ” ฉันตอบคำถามของอาเธอร์และยิ้มขึ้นเราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงด้านหน้าของบาทหลวงที่ยืนรอพวกเราทั้งคู่อยู่

“อ่ะ....เอ่อ....ท่านอาเธอร์..” บาทหลวงที่อยู่ตรงหน้าพวกเราถึงกับพูดตะกุกตะกักและทำอะไรไม่ถูก

“เรามาเริ่มทำพิธีกันใหม่เถอะ พระคุณเจ้า” อาเธอร์กล่าวขึ้น

“อ่ะ..เอ่อ...เอางั้นก็ได้ท่านอาเธอร์”

“ขอบคุณมากคะ พระคุณเจ้า” ทันทีที่ฉันกล่าวขอบคุณบาทหลวง บาทหลวงท่านนี้ก็หน้าแดงขึ้นและยิ้มเล็กๆให้กับพวกเราทั้งคู่และเริ่มทำพิธีให้กับพวกเราทั้ง ในช่วงเวลานั้นฉันรู้แค่เพียงว่าฉันมีความสุขที่สุดแล้ว

  ถึงแม้ว่าจะเป็นความสุขที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวแต่ตอนนี้ฉันได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ซึ่งนั่นก็เพราะมอร์เดร็ดลูกชายสุดที่รักของเค้า เค้าสามารถคลายมนต์สะกดของอาเธอร์ที่ฉันได้ร่ายใส่อาเธอร์เอาไว้ เฮ้อ ว่าแล้วพ่อลูกคู่นี้นิสัยเหมือนกันเลยนะ เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดใด

“เอาละต่อไปนี้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะกล่าวคำปฎิญาณ ขอให้ท่านเจ้าบ่าวกล่าวตามคำข้าก่อน”

“ครับ”

“ข้าพเจ้ากษัตริย์อาเธอร์ เพนดรากอนจะรับและดูแลเมลิซ่า เมอร์เรลเป็นภรรยาและราชีนี ตราบจนชีวิตวิตจะหาไม่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ดูแลเธอไม่ว่ายามเจ็บป่วยไข้หรือยามสบาย..”

“ข้าพเจ้ากษัตริย์อาเธอร์ เพนดรากอนจะรับและดูแลเมลิซ่าเป็นภรรยาและราชีนีคู่บารมีของท่าน ตราบจนชีวิตวิตจะหาไม่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ดูแลเธอไม่ว่ายามเจ็บป่วยไข้หรือยามสบาย ผมรักคุณนะที่รัก” เมื่อฉันได้ยินประโยคสุดท้ายของอาเธอร์จึงทำให้ฉันถึงกับยิ้มแก้มปริ

“และเมลิซ่าท่านกล่าวตามคำข้านะ”

“ได้คะ”

“ข้าพเจ้าเมลิซ่า เมอร์เรลจะรับและดูแลกษัตริย์อาเธอร์ เพนดรากอนเป็นสามีและกษัตริย์คู่บารมีของเจ้า ตราบจนชีวิตวิตจะหาไม่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ดูแลเธอไม่ว่ายามเจ็บป่วยไข้หรือยามสบาย..”

“ข้าพเจ้าเมลิซ่า เมอร์เรลจะรับและดูแลกษัตริย์อาเธอร์ เพนดรากอนเป็นสามีและกษัตริย์คู่บารมีของเจ้า ตราบจนชีวิตวิตจะหาไม่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ดูแลเธอไม่ว่ายามเจ็บป่วยไข้หรือยามสบาย ฉันก็รักคุณเหมือนกัน” อาเธอร์ที่ได้ยินดังนั้นก็แก้มแดงและยิ้มปริมากกว่าเดิมเสียอีก จากนั้นบาทหลวงจึงเรียกคนให้คนถือหมอนที่มีแหวนทองคำให้มาตรงนี้

 

“ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นการแลกแหวนของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวขอให้พวกท่านสวมแหวนทองคำบริสุทธิ์ในขณะที่ข้ากล่าวคำปฎิญาณ เอาละกษัตริย์อาเธอร์ท่านจะยอมรับหญิงสาวผู้นี้เป็นภรรยาและราชีนีของท่านหรือไม่”

“ข้ารับ” อาเธอร์ค่อยๆบรรจงถอดแหวนเพชรของฉันออกและสวมแหวนทองคำเข้าไปแทนที่

“แล้วเจ้าละเมลิซ่าจะรับชายหนุ่มผู้นี้เป็นสามีและกษัตริย์ของเจ้าหรือไม่”

“รับคะ” ฉันสวมแหวนอีกวงหนึ่งให้กับอาเธอร์อย่างช้าๆ

“แหวนทองคำบริสุทธิ์นี้จะเป็นตัวแทนว่าทั้งสองได้ผูกใจกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แล้วก็ถึงเวลาแล้วที่ข้าขอประกาศให้ท่านทั้งสองเป็นสามีและภรรยาที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมที่ได้จารึกไว้ซึ่งเป็นอันเสร็จพิธีแล้ว เชิญท่านอาเธอร์จุมพิศเจ้าสาวได้”

ทันทีที่บาทหลวงกล่าวจบพิธี อาเธอร์ก็ดึงตัวฉันเข้าไปจูบโดยทันที ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ อาเธอร์จูบฉันโดยที่ไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อยฉันเลย นี่เค้าไม่คิดบ้างหรือไงแขกอยู่ที่นี่ตั้งเยอะนะ

“พอได้แล้วครับพ่อ!!” มอร์เดร็ดเดินเข้ามาตะโกนที่ข้างๆของอาเธอร์จึงทำให้อาเธอร์ยอมปล่อยฉันแต่โดยดีและหันไปอุ้มมอร์เดร็ดขึ้น

“รู้แล้วครับ พ่อขอโทษลูกด้วยนะพอดีว่าพ่อรักแม่มากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าแม่กับพ่อแต่งงานกันแล้วผมก็กลายเป็นเจ้าชายสิครับ”

“ถูกต้องแล้วจ๊ะ” ฉันลูบหัวมอร์เดร็ดอย่างเบามือส่วนมอร์เดร็ดเองก็หันมายิ้มให้ฉันก่อนจะมือเล็กๆทั้งสองข้างมากอดพวกเราทั้งคู่ ช่างเป็นภาพครอบครัวที่ดูน่ารักที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีมา และตอนจบดั่งเทพนิยายที่ฉันว่ามันไม่มีจริงนั้นก็เกิดขึ้นที่นี่แล้ว อาเธอร์พาฉันเดินขึ้นไปยังชั้นบนของปราสาทเพื่อจะออกไปทักทายชาวเมืองจากทางด้านบนของปราสาท

 

“กษัตริย์อาเธอร์และราชินีเมลิซ่าจงเจริญ!!!” เสียงของชาวเมืองที่กำลังร้องสรรเสริญพวกเราทางด้านนอกของปราสาททำให้ฉันรู้สึกตื้นตันเอามากๆ ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่

“เป็นไงบ้างละ”

“จะให้ฉันพูดยังไงละ”

“อื้ม จริงสิมอร์เดร็ด”

“ครับพ่อ”

“ชาวเมืองทุกคนยังไม่ได้รู้จักลูกเลยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เฉพาะวันนี้ผมให้เป็นวันของแม่ก็พอครับ เพราะผมเห็นเศร้าอยู่คนเดียวทุกวันเลยดังนั้นให้วันนี้เป็นวันของเถอะครับส่วนของผมจะวันไหนยังไงก็ได้”

“มันต้องอย่างนี้สิลูกพ่อ!” อาเธอร์ขยี้หัวของมอร์เดร็ดจนผมของมอร์เดร็ดยู้ยี้ไปหมด

“พ่อพอแล้ว!!”

“ก็พ่อหมั่นเขี้ยวลูกนี่นา” ฉันได้แต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองพ่อลูกคู่นี้ที่กำลังเล่นกันแกล้งกันอย่างสนุกสนาน ส่วนตัวฉันเองก็มองลงไปด้านล่างเพื่อชาวเมืองทุกคนที่ต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดีให้กับฉันและอาเธอร์ และสายตาฉันก็ไปสดุดกับใครบางคนเข้า

  ใช่ เฮดิส! เค้ายืนปะปนอยู่กับชาวเมืองตรงนี้เฮดิสส่งยิ้มเล็กมาให้ฉันก่อนที่จะหายตัวไปอีกครั้ง เฮ้อ เฮดิสนี่มาไวไปไวจริงเลยนะ หลังจากที่อาเธอร์เล่นกับมอร์เดร็ดเสร็จแล้วจึงหันมากุมมือฉันและใช้มืออีกข้างโบกมือให้กับชาวเมืองตาม เฮ้อ นี่แหละเค้าละ

และหลังจากจบพิธีในช่วงเช้าและช่วงค่ำของวันนี้ฉันก็ได้มีโอกาสฉลองกับอาเธอร์เป็นการส่วนตัวโดยที่ไม่มีใครมารบกวนพวกเราทั้งคู่ พวกเรากอดจูบกันอยู่บนเตียงนอนของอาเธอร์สักพักก่อนที่เราจะได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน

“เฮ้อ พวกเราไม่ได้ทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” อาเธอร์กล่าวขึ้น

“เท่าที่ฉันจำได้ก็ประมาณ 8 ปีได้แล้วนะ”

“8 ปีหรอนานมากแล้วนะเนี่ย”

“ใช่ นานจนลูกของเรารู้เรื่องพอที่จะทำให้เราทั้งคู่มาเจอกันได้”

“ต้องขอบคุณมอร์เดร็ดสินะว่าแต่ลูกละ”

“ตอนนี้เค้ากำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ในห้องนอนของเค้า ส่วนคุณเองก็เมาจากงานเลี้ยงช่วงค่ำมามากแล้วอาเธอร์ คุณเองก็ควร......” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบอาเธอร์ก็จัดการจูบฉันอีกครั้งทำให้ฉันต้องดันหน้าอกของเค้าออก

 

“คุณเนี่ยก็ยังดูสาวและสวยไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” อาเธอร์สบตาฉันกับอย่างแน่นิ่ง

“พอดีว่าแม่มดอย่างฉันมีอายุขัยประมาณ 2-3 ร้อยปีจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ฉันยังดูสาวเหมือนกับผู้หญิงที่อายุ 20 กว่าๆทั้งที่อายุจริงฉันปาไป 41 แล้ว”

“ถึงคุณจะอายุมากกว่าผมแค่ไหนแต่คุณก็ยังสวยที่สุดในสายตาของผมอยู่ดี”

“ขอบคุณ”

“ว่าแต่ต่อจากนี้เราจะมีลูกเพิ่มสักกี่คนดี” อาเธอร์ถามฉันพร้อมกับทำสายตายั่วยวนและใช้มือเชยที่คางของฉัน

“แล้วแต่คุณฉันยังไงก็ได้”

“เอาสัก 12 คนเป็นไงหรือ 15 คนไปเลย”

“บ้าไปแล้วนั่นมันเยอะเกินไป สัก2ถึง4 คนก็พอแล้วที่รัก”

“งั้นก็ตกลงตามนั้น แต่ถ้ามีเพิ่มมาเรื่อยๆงั้นก็แสดงว่าเสน่ห์ของคุณไม่มีตกเลยยังไงละ”

“แหม ปากหวานเกินไปแล้วอาเธอร์ ปากหวานจนชักจะคลื่นไส้เสียจริง”

“งั้น ลุยเลยละกัน” เมื่ออาเธอร์พูดจบ อาเธอร์จึงเข้ามาจูบฉันอย่างดุเดือดบวกกับฤทธิ์ของไวน์ที่เค้าดื่มเข้าไปมากจนทำให้ตัวอาเธอร์เองควบคุมสติแทบไม่อยู่ อาเธอร์จู่โจมฉันราวกับราชสีห์ที่กำลังคลั่งแบบสุดๆ

   และไม่มีที่ถ้าว่าจะหยุดง่ายๆเลยซึ่งดูเหมือนว่าการถอดเสื้อสำหรับเค้ามันจะช้าเกินไปแล้ว เค้ากระชากชุดของฉันออกเป็นชิ้นๆจนไม่เหลือชิ้นดีเลย จากนั้นอาเธอร์จึงจัดการไซร้ไปที่ต้นคอของฉันอย่างดุเดือดอีกครั้ง มันทำให้ฉันต้องจิกไปที่แผ่นหลังของเค้าจนเป็นรอยแผลที่กลางหลัง

“อาเธอร์....เบาๆหน่อยได้มั้ย....”

“...ทำไมละที่รักผมว่าแบบนี้ก็ดีออกนะ”

“แต่ว่าฉันเจ็บ”

“ผมเองก็เจ็บเหมือนกับคุณนั่นแหละ” อาเธอร์ไม่ฟังคำขอร้องของฉันเลยสักนิดเค้าจัดการไซร้ที่คอของฉันแรงขึ้นเข้าไปอีก ตอนนี้ร่างกายของฉันรู้สึกร้อนไปหมดจนสติแทบจะหลุดออกไป อาจจะเป็นเพราะกลิ่นของไวน์ที่มาจากอาเธอร์ด้วยถึงทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ได้ เฮ้อ แต่ก็แบบนี้แหละอาเธอร์ครั้งนี้ฉันอาจจะยอมปล่อยเค้าไปก่อน...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา