KADILON CLAN สายเลือดเทพมังกร

7.0

เขียนโดย kanticha

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.46 น.

  2 chapter
  0 วิจารณ์
  4,134 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บุกรุก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 2
            ยามเช้าของคอร์เวเรียยังคงดำเนินไปอย่างสงบด้วยดี ภายในตลาดสดกลางเมืองร่างสูงในชุดอยู่บ้านสวมผ้ากันเปื้อนและหมวกแบบแม่บ้าน ก้าวเท้าไปทั่วเพื่อจับจ่ายซื้อสินค้า มีทั้งผักและเนื้อ ของแห้งและสดปนกันอยู่ในตะกร้าใบใหญ่ที่เขาถืออยู่ในมือ เอเทียสยกมือขึ้นทักทายแม่ค้าวัยกลางคนที่กำลังเข็นกะหล่ำปลีมาตั้งแผงขาย เขาฉีกยิ้มรับเมื่อพ่อค้าชาวประมงกวักมือเรียกเขาให้มาช่วยยกกล่องใส่ปลา ตั้งจัดลงบนหน้าร้าน
          “ฮึบ” แขนแกร่งจัดการยกกล่องน้ำแข็งที่ข้างในบรรจุปลาทะเลสดๆลงมาจากรถม้าที่จอด อยู่หน้าร้าน เขาก้าวเท้าเอากล่องน้ำหนักไม่น้อยวางลงบนพื้นปูนในร้านขายสัตว์ทะเล ปาดเหงื่อเล็กน้อยแล้วจึงยกฝาครอบออก กลิ่นเหม็นตุๆเฉพาะตัวของสัตว์น้ำเค็มลอยขึ้นแตะจมูกจนร่างสูงต้องเผลอดึง มือขึ้นมาปิดจมูก เขาหัวเราะแห้งๆให้พ่อค้าตัวอ้วนที่ยื่นหน้ากากและถุงมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม เอ็นดู
            หลังได้รับอุปกรณ์ช่วยเหลือครบครัน จึงไม่มีอุปสรรคใดๆมาวางกั้นการช่วยงาน เอเทียสลงมือโกยเอาน้ำแข็งมาวางไว้ในถาดรองแสตนเลศที่ตั้งเอาไว้อยู่แล้ว สัมผัสเย็นจากน้ำแข็งไม่ส่งผลกระทบใดๆกับชายหนุ่มสุขภาพดีอย่างเขา มือหนาใต้ถุงมือสีขาวล้วงเข้าไปดึงปลาเก๋าตัวโตออกมาจากลังแล้วจัดแจงวางมัน ลงบนถาดน้ำแข็ง
            พ่อค้าเจ้าของร้านเดินมาหยุดข้างๆพร้อมกล่องอีกกล่อง เอเทียสสังเกตเห็นว่าใต้แพน้ำแข็งซึ่งเป็นน้ำทะเล หมึกกล้วยที่ยังมีชีวิตอยู่กำลังยืดหนวดยาวๆของมันเกาะผนังกล่องเพื่อปีนหนี ออกมา โชคร้ายที่ผนังนั้นลื่นเกินไปทำให้เจ้าหมึกตัวน้อยได้แต่ลื่นไถลลงมาที่เดิม
             กล่องสุดท้ายเป็นปลาทูน่าครีบเงินตัวใหญ่ยักษ์ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายและจ้องมองสิ่ง(ไม่)มีชีวิตในมือ มันอร่อยเชียวล่ะ ถ้าไม่ติดที่มีราคาของมันแพงพอจะทำให้กระเป๋าเงินเก่าๆของเขาฉีกเป็นรูรั่ว
          “เอาไปสักตัวไหมล่ะ ถือว่าแทนค่าจ้างครั้งนี้” ชายแก่ที่ยังฟิตปั๋งหัวเราะร่า เขายกมือขึ้นกล่าวทักทายเพื่อนวัยเดียวกับตัวเองที่ทำหน้าที่คนส่งปลาได้ดี เยี่ยมเหมือนทุกเช้า
          “ไม่เป็นไรครับ ผมมีของทำมื้อเย็นแล้ว” เอเทียสรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ปลาทูน่าตัวนี้ราคาคงไม่ต่ำกว่าห้าร้อยห้าสิบโกลด์ เทียบกับค่าแรงที่เขาควรจะได้เป็นจำนวนสองร้อยโกลด์ ถึงจะอยาก แต่เขาก็คงรับไว้ไม่ได้
           “เรื่องเล็กน่า เธอช่วยงานร้านของลุงตั้งเยอะ เอาไปแค่ตัวเดียว ลุงไม่ขาดทุนถึงขั้นล้มละลายหรอก”
            “แต่...” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังตัดใจยอมไม่ได้อยู่ดี
            เจ้าของร้านสัตว์ทะเลกอดอกเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของร่างสูง ก่อนที่คิ้วหนาจะคลายปมหลังคิดข้อเสนอดีๆได้ “เอางี้ วันไหนว่าง มาทำหน้าที่ตรงหน้าร้านแทนลุงหน่อย หน้าตาเธอคงเรียกลูกค้าได้เยอะ ฮ่าฮ่าฮ่า!!”
            ไม่ว่าเปล่า ฝ่ามือกร้านงานก็ทุบลงบนไหล่แกร่งของคนตรงหน้าอย่างแรงสองสามทีจนเอเทียสน้ำตาตก
             “ครับ.. ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมชวนอลิสมาด้วยเลย..”เอเทียสว่าก่อนหลับตาหยี่เมื่อชายกลางคนที่อายุ ไม่น้อยตามแรงกระแทกฝ่ามือลงบนไหล่ของเขาอีกสี่ครั้งพร้อมหัวเราะอย่างถูกใจ
             “ดีๆ ชวนมาด้วยเลย รายนั้นคงทำหน้าที่ได้ดีกว่าพี่มันแน่ๆ”
             ชายหนุ่มฉีกยิ้มรับ เขานึกสีหน้าของน้องสาวตัวแสบไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง เมื่อเห็นเขาแบกปลาทูน่าตัวใหญ่นี้กลับบ้าน แต่คงยากกว่านี้ถ้าให้จินตนาการสีหน้าของเธอตอนเขาบอกว่าให้ช่วยมาทำงานหน้า ร้าน
                ....คงตลกไม่น้อย ถ้าให้หนอนหนังสือสุดขี้งกอย่างเธอมาทำหน้าที่แทนพ่อค้าปลาใจกว้าง
    
             “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสติของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลส้มให้หันไป มอง ขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อผู้มาใหม่ดันขัดขวางเวลาการอ่านนิยายเล่มหนาของเธอ
              “เข้ามาได้เลยค่า ไม่ได้ล็อค” ดวงตาสีเขียวเมินกลับมาจ้องหน้าหนังสืออีกครั้ง ทว่าไม่ถึงนาทีเสียงเคาะประตูก็ทำให้เธอต้องประสาทเสียและสาวเท้ายาวๆไปเปิด ประตู แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าคนๆนั้นเป็นพี่ชายคนดีของเธอ แถมเขายังแบกทูน่าตัวโตพาดบ่ามาอีกด้วย
              เอเทียสที่กำลังหอบลิ้นห้อยเป็นหมาหอบแดดก้าวเข้ามาภายในบ้านหลังเล็กที่ถูก เช่าไว้สำหรับอาศัยอยู่ชั่วคราว เดินผ่านน้องสาวที่จ้องหน้าตัวเองด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาเดินแบกตะกร้าและปลาตัวโตเข้าไปในห้องครัวหลังบ้านอย่างว่องไวโดยไม่คิด รอฟังคำพูดใดๆของน้องสาว
           เอ ลิซเซียเหลือบมองปลาทูน่าครีบเงินที่ราคาแพงหูฉี่สลับกับใบหน้าคมสันของพี่ ชายที่นอนเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้อย่างหวาดๆ เธอมั่นใจว่าพี่ชายคนดีไม่มีทางมีเงินมากพอที่จะซื้อวัตถุดิบชั้นสูงแบบนี้ เข้าบ้านแน่นอน หรือว่า....
              “ไม่ได้ขโมยนะ” เอเทียสขัดอย่างว่องไวราวอ่านใจอีกฝ่ายออก
              “แล้วเอามาจากไหนคะ อย่าบอกนะว่าพี่ตกมาเองน่ะ”
              “ได้มาฟรี ลุงกัสให้มาแทนค่าแรงครั้งนี้”
               “จริงดิ! โห พี่ไปพูดอะไรลุงกัสถึงจัดให้ขนาดนี้!”
              ดวงตาสีเขียวมะกอกกลอกไปมาอย่างขี้คร้านจะอธิบาย เอเทียสยื่นมือไปหยิบเอามีดทำครัวเล่มบางมาจัดการแล่เนื้อปลาทูน่าที่ตัวโต จนยัดหม้อทั้งตัวไม่ลง เขาชี้นิ้วสั่งให้น้องสาวปากดีไปเตรียมผักสำหรับทำเป็นซุปทานคู่กับเมนูปลา ทูน่ารมควันที่เขาตัดสินใจจะทำเป็นอาหารคืนนี้
              ขณะที่กำลังจรดปลายมีดผ่าท้องเอาเครื่องในออก มือหนาก็เป็นอันต้องหยุดลง เขาหันไปหาน้องสาวที่น้ำตาท่วมหน้าเพราะฤทธิ์ของกลิ่นกระเทียม เหลียวซ้ายแลขวาก่อนออกปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
              “วันนี้สังหรณ์ใจไม่ดีเลย พี่ว่าเราต้องรีบย้ายออกไปจากที่นี่”
               “สักสัปดาห์หน้าได้ไหมคะ พักนี้เราย้ายที่อยู่ถี่เกินไป เงินหมุนไม่สะดวกเลย” คนถือบัญชีประจำบ้านว่าก่อนเอามือปาดน้ำตาทิ้ง เอลิซเซียแตะนิ้วเข้ากับปลายคางพลางคำนวณจำนวนเงินที่เหลืออยู่ทั้งหมดของ เธอและพี่ชาย ถึงก่อนหน้านี้มีเงินเหลืออยู่มากพออยู่กินเป็นปีโดยไม่ต้องทำอะไร แต่แล้วเมื่อต้องประสบวิกฤต เนื่องด้วยเงินส่วนใหญ่ได้เสียให้กับค่ารักษาพยาบาลและทำพิธีเผาศพของแม่ที่ พึ่งเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน พวกเธอจึงต้องช่วยกันทำงานหาเงินเป็นค่าอาหารและที่พักกันยกใหญ่
              แถมอุปสรรคอีกอย่างคือการที่พักนี้พี่ใหญ่ประจำบ้านรู้สึกใจคอไม่ดีบ่อยๆ สองเดือนที่ผ่านมานี้พวกเธอจึงได้ย้ายเมืองที่อยู่อาศัยมาแล้วเกือบๆห้า เมืองได้
              เอเทียสเม้มริมฝีปาก เขากรีดมีดลงไปใต้ชั้นผิวเกล็ดมันเลื่อมของเจ้าปลาตัวโต ทำไมเขารู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆทั้งที่สภาพร่างกายก็ยังปรกติดีไม่เจ็บป่วยตรง ไหนนี้นา
              บุตรชายแห่งตระกูลคาร์ดิลอนพึมพำเสียงแผ่วเบาด้วยลำคอที่แห้งผากขึ้นมาเสียเฉยๆ
              “.....ขออย่าให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ละกัน”
 
             ภายนอกบ้านเช่าหลังน้อยที่มีผู้อาศัยอยู่เป็นสองพี่น้องที่กำลังถูกตามล่า ร่างเพรียวบางของหญิงสาวคนหนึ่งได้มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ บ้านเข้าไปจนลับสายตา มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าย่ามสีดำเหมือนต้องการค้นบางอย่างแล้วจึงกลับขึ้น มาพร้อมแผ่นกระดาษเปื่อยๆแผ่นหนึ่ง
             “นี่น่ะหรอ เอเทียส คาร์ดิลอน” สีหน้าหลังฮูดหนาค่อนข้างจะเจือความรู้สึกหงุดหงิดปนหนักใจเล็กน้อย เธอถอนหายใจพลางหย่อนแผ่นกระดาษที่มีการวาดรูปหน้าของบุรุษคนหนนึ่งพร้อมราย ละเอียดยิบย่อยเอาไว้
              ร่างบางบนต้นไม้ต้นใหญ่เอามือปิดปากหาวหวอด ดวงตาสีไพลินหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อแสงจากพระอาทิตย์ยามสายแยงเข้าตา เธอหมุนตัวหลบไปอีกทางก่อนดึงเอาฮูดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำบนศีรษะลงมาปิดใบ หน้าอีก
              “ดูยังไงก็ไม่น่ามีอะไรพิเศษ เจ้าพวกนั้นคิดอะไรอยู่กันนะ ”
              ว่าพลางนึกไปถึงตาแก่เบื้องบนที่อยู่ดีไม่ว่าดีหางานยุ่งยากเข้าตัว จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าพวกเขาเป็นคนทำหน้าที่นี้เอง.... แต่ไหงกลายเป็นเธอที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย ถึงต้องเป็นคนรับหน้าที่ทำภารกิจบ้าๆนี่กันเล่า!!
              แม้จะต่อรองให้คนอื่นรับหน้าที่นี้แทน แต่สุดท้ายเจ้าพวกผู้เฒ่าหัวรั้นก็ยัดเยียดให้เธอทำงานนี้ แถมมีค่าตอบแทนเป็นเวลาพักร้อนหนึ่งเดือนเต็มกับเงินค่าแรงอีกห้าพัน โกลด์....
              ......แค่หนึ่งเดือน กับอีกแค่ห้าพันโกลด์ต่างหาก!!
              “เฮ้อ....” ร่างบางถอนหายใจยาวเหยียด เธอข่มตาให้หลับลงพลางคิดกล่อมตัวเองในแง่ดีว่า ‘พักร้อนตั้งหนึ่งเดือน แถมได้ค่าแรงอีกตั้งห้าพันโกลด์แหนะ รีบทำงานบ้าๆนี้ให้เสร็จไวๆก็พอ..’
              หารู้ไม่ว่า ‘งานบ้าๆ’ ในความคิดของ คราริส เซดินาร์ อย่างการตามหาคนจะไม่ใช่งานบ้าๆอีกต่อไป หากเธอได้รู้ความจริงทั้งหมดจากปากของเหล่าผู้เฒ่าที่เป็นคนมอบหมายงานนี้ให้เธอ
 
 
              หลังสภาพอากาศที่ร้อนตับแลบของคอร์เวเรียในเวลาบ่ายผ่านพ้นไป หมู่เมฆโปร่งแสงที่เริ่มก่อตัวปิดบังไอความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ส่งผลให้ เมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุดในตอนใต้ของ ฮาเวล ทวีปตะวันออกแห่งความมั่งคั่งของมนุษย์มีอุณหภูมิพอเหมาะหรือง่ายๆก็คือกำลังเย็นสบาย
               ขณะนี้เข็มนาฬิกากำลังชี้บอกเวลาห้าโมงเย็น สองพี่น้องคาร์ดิลอนกำลังทำหน้าที่เป็นบริกรเสิร์ฟอาหารภายในร้านอาหารที่ ตั้งเด่นหราอยู่กลางเมืองอย่างขยันขันแข็ง
              หนอนหนังสือผู้ใช้เวลาช่วงเช้าขลุกตัวอยู่แต่กับหน้ากระดาษในชุดพนักงาน เสิร์ฟสีดำเดินตรงนำเครื่องดื่มสีสวยไปส่งให้ลูกค้าที่เป็นเด็กชายตัวเล็ก เรือนผมสีน้ำตาลสว่างยาวระแผนหลังของเธอถูกจับมัดเป็นเปียเดี่ยวเพื่อความ คล่องตัว ร่างบางฉีกยิ้มรับน้อยๆเมื่อลูกค้าตัวเล็กยิ้มยิงฟันจนตาหยี เอลิซเซียลอบหัวเราะในใจ....เหมือนว่าฟันหน้าของเจ้าหนูนั่นจะหลออยู่ด้วย แหละ
              “อลิส มารับออเดอร์โต๊ะยี่สิบแปดด้วย”
              “ค่า”เจ้าของชื่อขานรับคำสั่งของพี่ชายที่เดินสวนกับเธออย่างพอดิบพอดี เอเทียสวางหม้อต้มยำลงบนโต๊ะที่มีครอบครัวใหญ่จับจองอยู่มุมห้อง เขาเลื่อนมือวางข้าวผัดหมูจานโตสำหรับห้าคน ตามมาด้วยไข่เจียวจานยักษ์ที่พอวางลงไปแล้วแทบไม่เหลือที่ให้วางเมนูอื่น
              “พี่ชายมีแฟนหรือยังคะ” เด็กสาวอายุไม่ต่ำกว่าสิบหกที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนอีกสามสี่คนออกปากถาม เสียงใส เธอกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ เอเทียสที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่เกาท้ายทอยและหัวเราะแห้งๆเป็นการตอบกลับ
              ก็นะ.... เขาต้องย้ายบ้านตลอดเวลา ต้องดูแลน้องสาวที่แสนดี.....หรือเปล่า ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องรักๆใคร่ๆอยู่แล้ว
              ไม่ทันได้ขยับปากพูดคุย เสียงเรียกของชายวัยกลางคนที่ข้ามฝากมาแต่ไกลก็ต้องทำให้ชายหนุ่มต้องงับปากไว้ก่อน
               “น้องๆ เก็บเงินด้วย”
               “คร้าบ! สักครู่นะครับ!!”
               ชายหนุ่มขานรับ เขาแทบเหาะไปทำตามคำสั่งของเหล่าลูกค้าที่เรียกหากันอย่างไม่หวั่นไม่ไหว ผ่านไปสองชั่วโมงเอเทียสที่พึ่งส่งหมูย่างจานโตลงบนโต๊ะสามปาดเหงื่อ เป่าปากโล่งเมื่อได้ยินคำสั่งพักงานของผู้จัดการร้าน เขาเดินเข้าไปหลังร้านพร้อมๆกันกับเอมมี่ที่ทำหน้าที่รับออเดอร์โต๊ะล่าสุด เสร็จพอดี
               เอเทียสฉีกยิ้มละมุนตอบรับกลุ่มพนักงานเสิร์ฟสาวที่เดินสวนมาผลัดกะ เขาเดินไปเปลี่ยนชุดหลังร้านเป็นชุดลำลองตัวเดิม หรือก็คือเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลดำแขนกุดก่อนเดินออกมาแล้วหยุดรอน้องสาวที่เดิน ตามหลังมาติดๆ
             “นี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว รีบกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วเข้านอนกันเถอะ” ร่างสูงผู้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลากล่าวกับหญิงสาวที่เดินอยู่ ข้างๆ เอลิซเซียพยักหน้ารับเบาๆ เธอกับพี่ชายต้องทานข้าวเย็นมาก่อนเข้าทำงานตอนเวลาสี่โมงครึ่ง ระยะเวลาทำงานคือสองชั่วโมงครึ่งที่แทบจะไม่มีช่วงเบรก ดังนั้นถ้าไม่เติมพลังมาก่อนให้เต็มที่ มีหวังได้ล้มพับไประหว่างทำงานแน่ๆ
 
              ทั้งสองใช้เวลาเดินเท้ากลับมายังบ้านที่อยู่ไกลออกมาจากจัตุรัสกลางเมืองที่ เป็นสถานที่ทำงานไม่ถึงสิบนาที เอลิซเซียขออนุญาตเป็นฝ่ายเข้าอาบน้ำก่อน แน่นอนว่าพี่ชายแสนดีอย่างเอเทียสไม่มีทางขัดน้องสาว เขาเดินขึ้นเข้าไปในห้องนอนของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้ห้องครัว นั่งลงบนเตียงไม้ซึ่งถูกรองผ้าเปื่อยๆเพื่อรอเวลาระหว่างให้เอลิซเซียอาบน้ำ ล้างตัวเพื่อเตรียมเข้านอน
             ดวงตาสีเขียวเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงดาวยังคงพรั่งพรายเต็มฟากฟ้าเหมือนอย่างเช่นทุกคืน เอเทียสเอามือปิดปากหาวหวอดใหญ่ เขาหรี่ตาเล็กน้อย ขนบนตัวลุกเต้นเมื่อปลายประสาททั่วร่างกายรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง..... บางยิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อตัวเขาและเอลิซเซีย
               เอเทียสยื่นมือเข้าไปใต้เตียง เขาคว้าเอาดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา ดึงดาบออกจากฝักหนังที่ยุ่ยจนแทบจะขาดคามือ ใบดาบเก่าๆเขรอะสนิมเป็นสิ่งบ่งบอกถึงราคาที่ไม่ถึงสามสิบ ร่างสูงยืดตัวขึ้นตรง เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนรีบวิ่งออกจากห้องและเลี้ยวเข้าห้องครัวเพื่อเปิดประตูออกทางหลังบ้าน ตามทิศที่ได้ยินเสียงขยับของสิ่งมีชีวิต
               เสียงกุกกักเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของสัตว์ตัวเล็กอย่างหนูหรือแมลงสาบ เขารับประกันได้เลยเพราะไม่มีทางที่พวกมันจะทำให้ร่างกายของเขาตื่นตัวได้ ขนาดนี้....
              เอเทียสสูดหายใจเข้าลึก ดาบผุกร่อนสนิมในมือถูกกระชับแน่น เงาดำเงาหนึ่งพุ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่ายากที่สายตาจะจับทัน มันตามมาด้วยเงาที่มีลักษณะคล้ายกันอีกสองเงาซึ่งเคลื่อนที่วนไปรอบๆร่างของ เขาเหมือนต้องการจะดูท่าที
           “พวกแกเป็นใคร!”เอเทียสคำราม สร้างภาพให้ตัวเองเป็นราชสีห์ที่หงุดหงิดจากการถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากพวัง การหลับใหล ....แม้ตัวจริงจะเป็นแค่เพียงลูกไก่ในกำมือที่พร้อมจะถูกขย้ำทุกเมื่อหากผู้ ล่าคิดเอาจริง
             เงาทั้งสามหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเจอคำพูดที่ถูกแสร้งให้น่ากลัวของเป้าหมาย ร่างที่มีขนาดตัวสูงใหญ่สุดเป็นผู้ปลดผ้าคลุมออกเป็นคนแรก โครงหน้าคมสันถูกเติมแต่งด้วยจมูกที่โด่งเป็นสัน ดวงตาสีทองคมปราดและคิ้วหนาโก่งสีเข้ม ผมสีเดียวกับดวงตาถูกซอยสั้นติดศีรษะเป็นส่วนที่ขับให้ผู้ชายตรงหน้าดูคล้าย คนที่เกิดมาในตระกูลสูงส่ง เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าหล่อนมีความสัมพันธ์อะไร กับคนๆนี้
              อีกร่างเป็นเด็กชายตัวเล็กสูงแค่ไหล่ ดูน่ารักและไม่มีพิษสง แต่เอเทียสกลับสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีพลังบางอย่างที่เขาไม่ควรประมาท
             “พวกแกเป็นใคร.. ต้องการอะไร!” ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ยังคงถูกกดให้แข็งกร้าว
             “หึ...” หญิงสาวผมทองเค้นเสียง เธอดึงดาบออกมาจากฝักข้างเอว และชี้มันใส่หน้าของคนปากกล้าที่ไม่มีความน่ากลัวสักนิด “พวกเราจะเป็นใครไม่สำคัญ เราต้องการตัวแก รู้ไว้แค่นั้นก็พอ”
              เอเทียสกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาลชนิดที่แทบจะขยี้ตัวเองให้สลายไปเสียตรงนี้ทำให้ ร่างกายของชายหนุ่มสะท้าน
              เขาพยายามสงบสติตัวเองไม่ให้แสดงท่าทีเกรงกลัวออกมา มือที่ถือดาบเริ่มแฉะซึมไปด้วยเหงื่อ เอเทียสขบฟันก่อนประกาศไปอีกครั้ง “ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางไปกับพวกแกแน่!”
              “งั้นก็.....” ซีรัสย่อตัวเตรียมพร้อม ในมือของเขาไม่ใช่ดาบแต่เป็นโซ่เส้นใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปมาราวมีชีวิต ทว่าไม่ทันที่จะเข้าโจมตีเป้าหมาย เสียงแหลมใสของใครคนนึงก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
              “พี่คะ!!” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่หน้าซีดทันตา เขารีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่คุ้นเคย
              เอลิซเซียเบิกตากว้าง เสียงเรียกเมื่อครู่เธอมีจุดประสงค์คือต้องการจะตามตัวพี่ชายไปอาบน้ำ แต่กลายเป็นว่ามันทำให้เธอกลายเป็นจุดโฟกัสของดวงตาทั้งสี่คู่ และหนึ่งในนั้นเป็นของพี่ชายที่กำลังยืนถือดาบผุสนิมเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า ทั้งสามอยู่
               “หนีไปอลิส!” เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้สมองของชายหนุ่มปั่นป้วน เอเทียสคำรามตามหลังน้องสาวที่ออกตัววิ่งไปทางท่าเรือโดยไม่ต้องรอคำสั่งของ เขาแต่แรก
               ซีรัสและซิลเวีย สองพี่น้องฝาแฝดหันมามองหน้ากันอย่างต้องการสื่อสาร ฝ่ายหญิงพยักหน้ารับ เธอรีบพุ่งตัวตามร่างบางที่ออกวิ่งเต็มกำลังเข้าไปในเมืองโดยมีร่างของเด็ก ชายปีศาจวิ่งตามหลังไปติดๆ
               “อลิส!” เอเทียสพุ่งตัวตามร่างเพรียวบางของซิลเวียที่กำลังควงดาบยาวในมือ เตรียมวาดใส่ใส่น้องสาวของเขาจากทางด้านหลัง แต่ในระยะที่ห่างกันไม่ถึงเมตร เงาดำไหววูบของคู่ต่อสู้อีกคนก็โผล่ขึ้นมากั้นกลางเสียก่อน
               เคร้ง!!
               เสียงกระทบกันของโลหะดังสนั่น ซีรัสแอบสะท้านในใจ ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ดูจะไม่มีพื้นฐานด้านการต่อสู้ของชายหนุ่มตรงหน้า นี้จะสามารถรับการโจมตีจากโซ่ถักของเขาได้โดยไม่ล้ม เอเทียส คาร์ดิลอน.... หมอนี่เองหรอ...
เอ เทียสกัดฟันกรามแน่นยิ่งขึ้น เขายกมือกดต้นแขนที่สั่นระริกของตัวเอง ถึงจะเบรกเท้าและยกดาบขึ้นกันได้ทัน แต่แรงกระแทกจากโซ่เหล็กที่รวมกันจนกลายเป็นแท่งเหล็กน้ำหนักหลายสิบกิโลทำ ให้ร่างของเขาชาไปชั่วขณะ
               “ไม่อยากเชื่อเลยว่าแกจะรับการโจมตีของฉันได้ งั้นลองนี่หน่อยเป็นไง” รอยยิ้มเหมือนเห็นของเล่นใหม่ผุดขึ้นบนใบหน้าของซีรัส หนุ่มผมทองดีดนิ้ว โซ่ที่รวมกันอยู่ในมือพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ปลายโซ่แต่ละเส้นมีปลายแหลมคมไม่ต่างจากหอก มันพุ่งเข้าหาร่างของเอเทียสที่ยังคงพยายามถือดาบในมือให้มั่น
               เอเทียสใจหายวาบ การโจมตีครั้งนี้เขามั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางหนีและป้องกันได้ ร่างสูงสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อพยายามกดความกลัวของตัวเองเอาไว้ใต้ จิตสำนึก ดาบผุๆที่เริ่มเกิดรอยร้าวถูกกระชับมั่นอีกครั้ง เขาส่งเสียงคำรามก่อนพุ่งตัวเข้าหาอสรพิษเหล็กนับสิบที่พุ่งตรงเข้ามาซึ่งๆ หน้า
                ทว่าไม่ทันที่โซ่โลหะจะได้แตะตัว เงาดำของใครบางคนก็โผล่ขึ้นมาขวางตรงหน้าเสียก่อน...
                เคร้งง!!
               โลหะเหล็กเส้นหนาปะทะกับบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างกลมโปร่งแสงคล้ายกระจก ติดที่มันแข็งจนสะท้อนโซ่เหล็กถูกสะท้อนกลับจนเกิดเสียงปะทะหวีดหูดังไปทั่ว บริเวณ
              เอเทียสอ้าปากกว้าง ดวงตาสีเขียวมะกอกสั่นระริก เขาจ้องมองร่างใต้ผ้าคลุมสีน้ำเงินกรมท่าที่สะบัดพริ้วไปตามแรงปะทะของสายลม
             “!?” ซีรัสขมวดคิ้วเรียวมุ่น สัมผัสไอพลังเวทแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นเคยแผ่ขยายออกมาจากร่างบางที่กางฝ่า มือสร้างโล่มนตรากั้นการโจมตีของเขา
             ฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่ค่อยๆจางลงกลืนสภาพหายไปในอากาศเย็นสบาย ในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ฮูดสีน้ำเงินเข้มถูกดึงออก เผยให้เห็นเค้าหน้าสวยคมใต้เนื้อผ้าชั้นดี เส้นผมสีขาวสะอาดดุจหิมะแรกตกที่ถูกปล่อยระต้นคอเป็นอย่างแรกที่เอเทียส สังเกตเห็น ผิวสีซีดคล้ายคนไม่ถูกแดดของเจ้าหล่อนเป็นสิ่งที่น่าฉงนสำหรับผู้คนในเขต เมืองท่าที่ร้อนอบอ้าว
             และสิ่งที่เด่นรองลงมาก็คงไม่พ้นดวงตาสีน้ำเงินดุจท้องนภายามราตรีกาลของเธอ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา