Imagine Invasion

-

เขียนโดย MrNoname

วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.40 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,938 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 20.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ก่อนที่คลื่นลูกแรกจะมา คริสเป็นนักศึกษา ซึ่งถ้าพูดเรื่องเกรดแล้วเขาอยู่ในระดับพอผ่าน หน้าตาก็ธรรมดา

เขาเป็นคนที่ชอบทำงานอดิเรกหลายอย่าง ตั้งแต่เล่นเกม ดูการ์ตูน ดูภาพยนตร์ กิน เที่ยว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่รู้ว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไรดี

คริสรู้ว่าเขาต้องคิดเรื่องอนาคตได้แล้ว แต่เขาก็ยังมืดแปดด้านอยู่ดี

และแล้ว มันก็มาถึง

คลื่นลูกที่หนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในจินตนาการปรากฏตัวออกมา ตอนที่คริสดูข่าวในโซเชียลเขาก็คิดว่า“อ๋อเหรอ”สั้นๆแค่นั้น

สาเหตุก็เพราะเขาไม่ค่อยตกใจหรือตื่นเต้นกับข่าวพวกนี้มากเท่าคนอื่น โดยเฉพาะในประเทศที่เขาอยู่ซึ่งมีแต่คนไปกราบไหว้ของแปลกหาเลขเด็ด

แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นมั้ยละก็ ถ้าจะบอกว่าไม่เลยก็คงเป็นการโกหกโดยเฉพาะเมื่อสิ่งเคยมีแต่ในจอหรือหน้ากระดาษ ออกมาโลดแล่นในชีวิตจริง

ถึงแม้โดยอายุเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่เขาก็ชอบที่จะคิดแบบเด็กๆ สาเหตุก็เพราะเคยมีคนสอนเขาว่า ‘คิดแบบเด็กๆ แล้วปฏิบัติแบบผู้ใหญ่’

เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากที่จะไปดูสิ่งที่ปรากฏตัวออกมา แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเมื่อนึกถึงโปรเจคที่ต้องทำและกำลังทรัพย์ที่มีไม่พอ

จนถึงการมาของคลื่นลูกที่สองกับสาม

เมื่อถึงตอนนี้แล้ว เขาก็เริ่มสังเกตว่า เพื่อนในห้องเริ่มมาเรียนน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างจังหวัด เมื่อถามดูก็ได้ข่าวเช่น ต้องกลับไปอยู่กับที่บ้านบ้าง หรือ ที่บ้านมีปัญหาบ้าง

แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องของเขามากนัก สาเหตุเพราะทั้งเขารวมถึงพ่อและแม่นั้นมีบ้านอยู่ในเมืองหลวง ถึงแม้จะอยู่ค่อนออกไปทางชานเมืองก็ตาม

แม้กระทั่งคลื่นลูกที่สามผ่านมาได้เกือบปี ชีวิตเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจะมีอย่างเดียวคือเขาต้องจบช้ากว่าคนในรุ่นเดียวกันถึงสองปี สาเหตุเพราะย้ายภาควิชากะทันหัน

เมื่อเทรนการทำงานเริ่มเปลี่ยนไปทางนักต่อสู้มากขึ้น เขาก็มีความคิดที่จะไปลองบ้าง แต่เนื่องด้วยไม่เคยฝึกร่างกายและการต่อสู้จริงจัง เขาจึงล้มเลิกความคิดไป

จนกระทั่ง การมาถึงของคลื่นลูกที่สี่

คลื่นลูกที่สี่นั้น เป็นการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่ทรงภูมิปัญญา ตัวอย่างก็เช่น เอลฟ์ คนแคระ รวมไปถึงมนุษย์จากต่างโลก

ข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างคลื่นลูกนี้กับคลื่นลูกอื่นคือ มีการใช้ประตูมิติในการข้ามมายังโลก เพียงแต่ว่า ประตูเหล่านั้นจะปิดทันทีที่ถูกใช้งานเสร็จ ยกเว้นประตูถาวรซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก โดยประตูนั้นตั้งอยู่ระหว่างฮาวายและเอเชียในน่านน้ำสากล ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณประตูนั้นยังมีพื้นดินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ตามด้วยเมืองขนาดใหญ่ตามลำดับ สิ่งเหล่านี้ปรากฏออกมามาราวกับถูกเนรมิต โดยเมืองนั้นมีสิ่งก่อสร้างซึ่งดูคล้ายกับออกมาจากเทพนิยาย

เมื่อเหล่าผู้มาเยือนมาถึง พวกเขาก็เริ่มก่อตั้งดินแดนของตัวเองทันที เหล่าเอลฟ์ได้สร้างที่มั่นตามป่าเขาห่างไกลจากตัวเมือง ประเทศที่ใหญ่ที่สุดก็ตั้งอยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่าในอดีตซึ่งตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ป่าเขียวชอุ่ม

ส่วนคนแคระ ได้หาพื้นที่ตามเหมืองเก่าๆเป็นที่อาศัย และขุดลึกลงไปใต้ผิวโลก จนมีอาณาจักรใต้ดินขนาดมหึมา

ส่วนมนุษย์จากต่างมิตินั้น ได้ตั้งถิ่นฐานในเมืองที่ใกล้กับประตูถาวรกลางมหาสมุทรแปซิฟิก

เนื่องจากประตูหลักนั้นอยู่ในน่านน้ำสากล ทำให้องค์การสหประชาชาติถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการบริหารจัดการประตูโดยมี สหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเนื่องจากประเทศตนอยู่ใกล้มากที่สุด

เมื่อภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าดินแดนนั้นมีมนุษย์ที่มีอารยะธรรมอาศัย องค์การสหประชาชาติจึงมีมติที่จะติดต่อกับเหล่าผู้ที่มาจากโลกอื่น โดยมีกองเรือที่สามและเจ็ดกองกองทัพเรือสหรัฐให้การคุ้มกัน

เหตุการณ์นี้ ถูกเรียกภายหลังว่า การติดต่อครั้งแรกหรือเฟิร์สคอนแทค

ครั้งแรกที่ผู้แทนจากยูเอ็นเข้าไปใกล้กับเกาะนั้น พวกเขาก็พบกับการต้อนรับจากกองทัพเรือของผู้มาเยือน ก่อนที่การติดต่อครั้งแรกจะจบลงด้วยการปะทะกัน ผู้แทนจากยูเอ็นได้ตัดสินใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการต้องการเจรจาโดยการยกธงขาว พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปบนเกาะได้

ในทีแรก ผู้แทนจากยูเอ็นคาดว่าการติดต่อครั้งแรกนั้นจะล้มเหลวเพราะกำแพงภาษา แต่พวกเขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่แค่ในจินตนาการอย่าง‘เวทมนตร์’เป็นครั้งแรก

เหล่าผู้มาเยือนได้ใช้เวทมนตร์แปลภาษา ทำให้การเจรจาพูดคุยจบลงด้วยดี โดยการติดต่อครั้งแรกนั้น จะเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปของทั้งสองโลกเป็นส่วนใหญ่ แต่หนึ่งในความสำเร็จก็คือ ทางยูเอ็นได้รับอนุญาตจากทางผู้มาเยือนให้สามารถตั้งสถานกงสุลบนเกาะ และตั้งสถาบันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมจากทั้งสองฝ่าย

เมื่อผู้แทนกลับมาจากภารกิจ องค์การสหประชาชาติได้เรียกประชุมใหญ่ ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ได้เป็นถูกเรียกเข้าประชุม

วาระของการประชุมก็คือ เกี่ยวกับประตูมิติและการรายงานและบอกกล่าวถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการติดต่อครั้งแรก

ทางยูเอ็นได้ยืนยันแล้วว่า ดินแดนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศไหนทั้งสิ้น ผู้คนในดินแดนนั้นก็ไม่ใช่คนที่มาจากโลกนี้ มติที่ประชุมองค์การสหประชาชาติได้กำหนดชื่อเรียกดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิน่า’ และเรียกผู้คนจากดินแดนนั้นว่า ‘อิมาจิเนี่ยน’

ที่ประชุมได้มีมติยอมรับอิมาจิน่าเป็นประเทศหนึ่งๆ มีสิทธ์ในการปกครองตนเอง และห้ามการแทรกแซงไม่ว่าด้านใดก็ตามจากทุกประเทศบนโลก

ในตอนแรก สหรัฐอเมริกาได้อาสาที่จะเป็นตัวแทนในการจัดการเรื่องต่างๆแทนยูเอ็น แต่แน่นอน รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศย่อมไม่ยอมเพราะกลัวการผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว สุดท้ายที่ประชุมเลยมีมติให้องค์การสหประชาชาติมีสิทธ์ในการดูแลเรื่องต่างๆรวมถึงการติดต่อกับอิมาจิน่า โดยมีเงื่อนไขคือการตัดสินใจทำอะไร ต้องผ่านการประชุมก่อนเท่านั้น

จากนั้นจึงเป็นเรื่องทั่วไปของอิมาจิน่า

เมื่อทางผู้แทนของยูเอ็นที่ได้ไปติดต่อได้รายงานจบ ที่ประชุมก็เงียบไปพักใหญ่ ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งที่ถูกเรียกว่า เวทมนตร์นั้น ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในความเป็นจริงเรียบร้อยแล้ว

ตามรายงาน เหล่าผู้มาเยือนได้กล่าวไว้ว่า โลกทางนี้นั้น มีปริมาณเวทมนตร์สูงกว่าโลกของพวกเขามากพวกเขายังบอกอีกว่า‘อนุภาคเวทมนตร์’นั้นได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่คลื่นลูกที่หนึ่งแล้ว เพียงแต่มันเบาบางกว่าตอนนี้มาก และเนื่องจากโลกฝั่งนี้ไม่เคยเจอเวทมนตร์มาก่อน ทำให้พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งการติดต่อครั้งแรก

ผู้มาเยือนยังบอกอีกว่า ด้วยอนุภาคเวทมนตร์ที่กระจายอยู่ในบรรยากาศนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความเข้มข้นมากพอ สิ่งมีชีวิตจากโลกของพวกเขาก็จะปรากฎร่างขึ้นได้

อนุภาคเวทมนตร์ยังมีคุณสมบัติอีกอย่าง คือการทำให้ความสามารถทางเวทมนตร์ของผู้คนตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากโลกไหนก็ตาม

หลังจากการประชุมและถกเถียงอย่างยาวนาน ที่ประชุมได้มีมติที่จะอนุญาตให้แต่ละประเทศส่งตัวแทนเข้ามาเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเรื่องเวทมนตร์ โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมีความสามารถทางเวท หรือไม่ก็ ต้องเป็นผู้ที่เก่งระดับหัวกะทิที่คัดเลือกแล้วเท่านั้น โดยคนเหล่านี้ถูกเรียกจากที่ประชุมว่า ‘นักเรียนแลกเปลี่ยน’

โดยเหล่านักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นจะถูกส่งขึ้นไปยังสถาบันที่อิมาจิน่า เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์และถ่ายทอดองค์ความรู้ของโลกกับผู้มาเยือน

คริสเองเป็นหนึ่งในนักเรียนแลกเปลี่ยน สาเหตุที่เขาถูกเลือกนั้นไม่ใช่เพราะเขาเป็นหัวกระทิ แต่เพราะเขามีความสามารถทางเวทที่ตื่นขึ้นมาทำให้เขาได้รับการคัดเลือก

และที่นั่นคือที่ๆเขาได้พบกับโทมัส เฮล

................................................

กริ้งงงงงงง กริ้งงงงงงงง

คริสลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงปลุกของสมาร์ทโฟนที่ตั้งเอาไว้

     (ได้เวลาเปลี่ยนริงโทนแล้วมั้ง) เขาคิดในใจ

เขาลุกออกจากที่นอนอย่างช้าๆ เขาหยิบยาสีฟัน แปรงสีฟันและขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าแล้วจึงลุกออกมานอกเต็นท์

อากาศยามเช้าท่ามกลางธรรมชาตินั้นสดชื่นอย่างมาก คริสบิดไปมาสองถึงสามครั้งเพื่อยืดเส้นยืดสาย จากนั้นถึงเดินไปยังพุ่มไม้ใกล้ๆเพื่อล้างหน้าและแปรงฟัน

เมื่อเขาทำธุระเสร็จ

     “ตื่นเช้าจังนะคะ”

พอได้ยินเสียงทักคริสก็หันไป

เอเลนยืนอยู่ตรงนั้น เธออยู่ในชุดที่พร้อมออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว

     “ดูทรงแล้ว เธอน่าจะตื่นก่อนผมซักพักแล้วนะ” คริสตอบกลับไป

     “ช่วงเช้าตรู่เป็นช่วงที่อนุภาคเวทมนตร์จะเข้มข้นค่ะ เป็นช่วงเวลาเหมาะที่สุดที่จะฝึกเวท”

     “เห ตื่นแต่เช้าเพื่อมาฝึกเหรอ เป็นเด็กที่น่าชื่นชมจังนะ”

คิ้วของเอเลนขมวดเข้าหากันเพราะคำพูดนั้น

     “นายก็ไม่ได้แก่กว่าชั้นซักเท่าไหร่ อย่าทำเหมือนชั้นเป็นเด็กสิ” คำพูดนั้นมีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง

     “เอ่อ ขอโทษนะ ผมพูดไม่คิดไปหน่อย”

(ลืมไปเลยแฮะว่าอายุรูปร่างกับจิตใจของเรานั้นไม่เท่ากัน)

ตอนนี้นั้น ร่างกายของคริสเทียบเท่าเด็กอายุสิบห้าปี แต่จริงๆแล้วเขาอายุมากกว่านั้นถึงสิบกว่าปีทีเดียว

ส่วนสาเหตุนั้น ต้องย้อนไปถึงช่วงที่เขาทำการสมัครเพื่อเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา