ในเรือนเบี้ย

8.0

เขียนโดย ilithyia

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.43 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,992 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 21.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) เมืองราม(100%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เจ็ดวันก่อน ณ เรือนพระพรหมเสนา  ผู้คนในเรือนต่างแตกตื่นโกลาหนกันใหญ่  ต้นเหตุเพราะเจ้าสีนิลม้าตัวโปรดของคุณพระกำลังพยศหนักกระโดดข้ามคอกออกมาได้จนต้องไล่จับให้วุ่น  ผู้ชายในเรือนตอนนี้มีเพียงทาสคือนายยอด  นายสัก  และเมืองรามลูกชายคนที่สองของคุณพระที่พอขี่ม้าได้บ้างหากแต่ไม่เก่งวิชาการบังคับม้าเท่าผู้พ่อ  เมืองรามให้ทาสทั้งสองคนคอยใช้หวายหวดอากาศคอยดักไว้ไม่ให้ม้าเตลิดไปไกลจากโรงม้า  ส่วนตนใช้เชือกทำเป็นบ่วงบาศก์คล้องเจ้าสีนิลไว้ได้ก่อนจะขึ้นขี่  แต่เจ้าม้าดื้อไม่ยอมง่ายๆ  มันวิ่งเตลิดจนออกจากโรงม้าไปได้  และวิ่งไปทางสวนหลังเรือน  เจ้าสีนิลเป็นม้าศึกคู่ใจพระพรหมเสนา  มันองอาจฮึกเหิมมากยามออกศึกไม่ยอมฟังคำสั่งใครนอกจากนาย  มันคงเบื่อที่ถูกล่ามไว้ที่โรงม้ามาหลายวัน  จึงอยากแผลงฤทธิ์ขึ้นมาบ้าง  เจ้าม้าดื้อออกแรงควบสุดฝีเท้าจนถึงพุ่มต้นชะอม  แม่วาดทาสสาวที่มัวก้มเก็บยอดชะอมอยู่ไม่ทันได้ยินเสียงเอะอะจากด้านหลังพอลุกขึ้นยืนก็ถูกเจ้าสีนิลพุ่งชนเข้าอย่างจัง  เมืองรามเองตกจากหมดสติไปทั้งนายทั้งบ่าว  นายยอดนายสักช่วยกันพยุงนายน้อยขึ้นเรือนพลางร้องเรียกทาสสาวคนอื่นให้ไปช่วยแม่วาดที่นอนสลบอยู่ในสวน

     เสียงอึกทึกครึกโครมบนเรือนทำให้แม่นายมิ่งหล้าที่กำลังสอนลูกสาวเย็บผ้าวางมือจากงานออกมาดู  พอพบลูกชายตนถูกบ่าวหามขึ้นเรือนมาก็ตกใจนัก  ยิ่งพอมองใกล้ขึ้นก็พบว่ามีเลือดออกมากมายเหลือเกินที่ศีรษะก็ยิ่งเป็นห่วง

     “ไอ้ยอดไอ้สัก  ค่อยๆพาเมืองรามเข้าไปนอนในห้อง” 

     “ไอ้ยอดเอ็งรีบไปตามท่านขุนเวชฯมาที  ไอ้สักเอ็งไปเรียนคุณพระว่าพ่อเมืองรามตกม้าเจ็บหนัก  เอื้อยคำฟอง  ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาหื้อลูกข้าด้วย”  แม้จะตระหนกตกใจเพียงไหนแม่นายมิ่งหล้าก็สั่งงานบ่าวไพร่ที่ยืนไม่เป็นอันทำอะไรได้ถูก

     ท่านขุนเวชสิทธิ์ผู้เป็นหมอเมื่อทราบข่าวก็รีบลงเรือมากับนายยอด  แล้วรีบตรวจดูอาการของบุตรชายพระพรหมเสานา  หลังห้ามเลือดเสร็จก็มอบยาให้ห่อหนึ่ง

     “พ่อเมืองรามบาดเจ็บหนักที่ศีรษะเพียงเท่านั้นดอก  ส่วนอื่นมิได้บาดเจ็บอันใด  แต่เพียงเท่านั้นก็สาหัสนัก  ขึ้นกับตัวพ่อเมืองรามเองแล้วว่าจักฟื้นขึ้นมาเมื่อใด  ยานี่เป็นยาห้ามเลือดใช้โรยที่ปากแผล  ส่วนยารักษาอาการตกเลือดภายในกระเดี๋ยวให้นายยอดตามไปเอาที่เรือนข้าเทิด”  ขุนเวชสิทธิ์กำชับเรื่องวิธีการใช้ยาก่อนจะลากลับ  ยิ่งฟังที่ขุนเวชฯพูดเรื่องอาการเมืองรามแม่นายมิ่งหล้าก็ยิ่งกังวลมากกว่าเดิม  พระพรหมเสนารีบกลับจากการควบคุมดูแลการสร้างพระราชวังใหม่หลังจากนายสักไปแจ้งว่าลูกชายตกจากหลังม้า  มาถึงเรือนคล้อยหลังขุนเวชสิทธิ์กลับไปไม่นานนัก 

     “คุณพี่เจ้าขา  มาดูลูกที  ป่านนี้ยังไม่ได้สติเลย”  แม่นายมิ่งหล้ารีบเล่าถึงอาการของเมืองรามตามที่ขุนเวชฯได้บอกไว้ 

     “แม่หล้า  เจ้าไปจัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียน  ในห้องพระเถิด  บัดเดี๋ยวพี่จะเข้าไปสวดมนต์ให้ลูก”  พระพรหมเสนาตรวจดูตามร่างกายลูกชายสักพักก็หันมาบอกภรรยา 

     พระพรหมเสนาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวมานุ่งห่มชุดขาวเข้าห้องพระไปตั้งแต่เย็นแล้วไม่ได้ออกมาอีกจนถึงเช้า  ซึ่งตามปกติแล้วก็เป็นสิ่งที่คุณพระกระทำเป็นประจำในวันพระโดยจะเข้าไปสวดมนต์ถืออุโบสถศีลในห้องพระเพียงลำพังมิให้ผู้ใดมารบกวน  พระพรหมเสนาเป็นผู้มั่นคงในศีลธรรม  เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางวิทยาอาคม  เป็นคนสำคัญในกองทัพที่จะทำหน้าที่กำหนดฤกษ์ยามการเดิมทัพ  การปลุกเสกของขลังและสักยันต์เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร 

     “อย่ากังวลใจไปนักเลยแม่หล้า  กระเดี๋ยวเมืองรามก็คงฟื้น  แลเจ้าจะได้ลูกชายคนใหม่”  พระพรหมเสนาเดิมเข้ามาบอกภรรยาที่ยังคอยเฝ้าลูกชายทั้งคืนมิได้ห่าง

     “คุณพี่หมายความว่าจะใด” 

     “เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองหนา”  พระพรหมเสนาไม่ได้อธิบายอะไร  แล้วยังปลีกตัวไปชำระร่างกายผลัดเปลี่ยนผ้านุ่ง

...................................................................................................................

     วันแรกของการฟื้นขึ้นมาในร่างของเมืองราม  พิรัลรู้สึกว่ามีคนคอยเอาผ้าชุบน้ำเย็นๆมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้และกระซิบค่อยๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น  พิรัลลืมตาขึ้นช้าๆ  ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผู้หญิงสองคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นแม่ลูกกันแน่  เพราะหน้าตาเหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน  คนที่เป็นแม่นี่เองที่คอยเช็ดตัวให้เขา  ส่วนลูกสาวก็คอยถือพัดโบกให้เย็นขึ้น

     “เมืองราม  ตื่นแล้วก่อลูก”

     “อ้ายฟื้นแล้ว”  คนแม่พูดด้วยสำเนียงที่เขาไม่คุ้นหูนักน่าจะเป็นสำเนียงทางเหนือ  ส่วนคนลูกพูดด้วยสำเนียงภาคกลางแต่ยังมีภาษาพื้นเมืองปนมาบาง

     “เจ็บปวดตรงไหนหื้อบ่ลูก  บอกแม่”  ลูกเหรอ....พิรัลกระพริบตาถี่ๆ  เขาอยากมองผู้หญิงคนนี้ให้ชัดขึ้นว่าใช่แม่ของเขาจริงหรือ  หากคนนี้คือแม่ของเขา  สาวน้อยคนนั้นก็น่าจะเป็นน้องสาว  น้องคนละพ่อ

     “ผม...ปวดหัวมาก”  พิรัลค่อยๆพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะลำคอฝืดแห้งเต็มทน

     “มิ่งเมือง  ไปเรียนคุณพ่อทีว่าพี่เมืองรามฟื้นแล้ว”  พอสาวน้อยคนนั้นลุกวิ่งไป  พิรัลจึงสังเกตเห็นว่า  สาวน้อยที่ชื่อมิ่งเมืองนั้นแต่งตัวโบราณย้อนยุค  เพราะเธอใส่ผ้าแถบนุ่งผ้าถุง  มวยผมและใช้ปิ่นเงินปัก  พอหันมามองคนแม่ก็พบว่าแต่งตัวไม่ต่างกัน

     “เมื่อตะกี้  แม่เรียกผมว่ายังไงนะครับ” 

     “เมืองรามไงลูก  เป็นหยังถามแปลกๆ”

     ทำไมแม่ถึงเรียกเขาว่าเมืองราม  เขาไม่คุ้นเลยว่าพ่อหรือแม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อนี้  นี่ใช่แม่ของเขาแน่หรือ  ยิ่งมองพิรัลยิ่งคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้  แม่ของเขาไม่ใช่คนทางเหนือ  โดยเฉพาะอาการเป็นห่วงเป็นใยเขาแบบนี้  ยังไงก็ไม่ใช่แน่ๆ  ไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนแปลกหน้าคนอีกคน  ชายวัยกลางคนผิวกร้านแดดไว้หนวดนุ่งโจงกระเบนมีผ้าคาดเอวยาวเพียงเข่า  ชายคนนั้นยืนมองหน้าพิรัลอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปากบอกคนอื่นในห้อง

     “แม่มิ่ง  แม่หล้า  พวกเจ้าออกไปคอยข้างนอกก่อนหนา  พ่อมีเรื่องจะพูดกับเมืองรามตามลำพัง”  ว่าแล้วสองสาวก็มองหน้ากันเพียงครู่  ก่อนที่คนเป็นแม่จะพยักหน้าเรียกให้ลูกสาวเดินตามออกมาจากห้องนั้นแล้วหับประตูปิด

     ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง  พิรัลเองก็ค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง  เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายคงมีเรื่องจริงจังจะคุยด้วย

     “เจ้ามีชื่อว่ากระไร  เป็นใคร  มาจากที่ใด” 

     “ผมชื่อพิรัล  ทำงานเป็นช่างเทคนิกของบริษัทที่กรุงเทพครับ  ผมถูกคนร้ายแทงมา”  ว่าแล้วพิรัลก็ยกมือคลำตำแหน่งที่ตนเองโดนแทง  ปรากฏว่าไปพบร่องรอยของการมีบาดแผลและไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

     “บ้านเมืองของเจ้าคงไกลจากที่นี่นัก  ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของบรรษัทแลชื่อเมืองกรุงเทพมาก่อน  แต่ก็ยังดีที่พอพูดภาษาคุยกันได้รู้เรื่อง”  ชายคนนั้นพูดกับเขา  แล้วนิ่งเหมือนครุ่นคิดอะไรไปสักพักก่อนจะพูดกับเขาต่อ

     “เอาเถิด  ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นใคร  แต่บัดนี้  เจ้าจงจำไว้เสียว่าตัวเจ้าชื่อเมืองราม  เป็นบุตรชายของข้าพระพรหมเสนา”  ประหลาด!  นี่มันเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้น  ทำไมอยู่ดีๆ เขาต้องมาเป็นคนอื่น  มีชื่อใหม่  มีครอบครัวใหม่  มีพ่อ....ที่จำไม่ได้ว่าเคยมี

     “ทำไมผมต้องเป็นลูกคุณ”  พิรัลตัดสินใจถามออกไปอย่างที่ใจคิด  แม้จะรู้สึกเกรงใจคนตรงหน้าอยู่มาก  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถูกรู้สึกยำเกรงในตัวชายคนนี้อย่างประหลาดทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน  พิรัลรู้สึกได้ว่าชายคนนี้เป็นคนจริงและไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะมาล้อเล่นด้วย

     “ก็เพราะเจ้าได้จากที่ที่เจ้าเคยอยู่มาแล้ว  ไม่มีมีหนทางจะกลับไปได้  จิตวิญญาณของเจ้าได้มีที่อยู่ใหม่  คือมาเป็นลูกของข้า  ส่วนเมืองรามลูกข้าคนเดิม.....หมดบุญแล้ว”  ยิ่งอธิบายพิรัลก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ

     “แล้ว...ท่าน  ทราบได้ยังไง” 

     “เดิมข้าเป็นเจ้าคุ้มเชียงทองที่เมืองตาก  ได้เรียนรู้วิชาอาคมและโหราศาสตร์จนสามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้คล่อง  ข้าสามารถรู้ได้ด้วยญานและตรวจดูดวงชะตา”

     “เดิมท่านอยู่ที่ตาก  แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรือครับ”  พิรัลตัดสินใจถาม  ในใจเขาคิดว่าที่นี่คงห่างไกลกรุงเทพมากเหมือนอย่างที่คนบอกว่าเป็นพ่อพูด  เพราะอะไรต่างก็ดูแปลกตา

     “ที่นี้คือกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร  ราชธานีใหม่ที่สมเด็จพระบรมราชาที่๔  ได้ทรงดำริให้สร้าง” 

     “พระเจ้าตากสิน”  พิรัลอุทานออกมาเมื่อสามารถเรียบเรียงเรื่องราวในหัวได้

     “ใช่  แต่เจ้ามิบังควรเอ่ยพระนามลำลองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” 

      “พ่อจะบอกทุกคนว่าเจ้าเสียสติบางส่วนไปจากการตกม้า  เจ้าจงเรียนรู้การอยู่การเนาที่นี่เสียใหม่  และจงจำไว้  ว่าต่อไปนี้เจ้าคือลูกพ่อ  และพ่อจะรักเจ้าเท่าบิดาพึงรักบุตร  อย่าได้กลัวอันใดไป”  คำพูดของพระพรหมเสนา....พ่อของเขา  เหมือนจะให้คำสัญญาเพื่อให้พิรัลวางใจ

     “ทำไมท่าน....พ่อ  ถึงดีกับผม  ทั้งที่ผมมาแทนที่ลูกชายของท่านที่หมดบุญ”

     “เพราะพ่อรู้ว่าเจ้าจะมาเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อภูมิใจ”

.......................................................................................................

     วันที่สองของของการตื่นขึ้นมาเป็นบุตรชายพระพรหมเสนา  พิรัลซึ่งพยายามจดจำตัวเองใหม่ว่าชื่อเมืองรามก็ได้พยายามรู้จักตัวคนใหม่  ทำความรู้จักคนในครอบครัว  ซึ่งพระพรหมเสนาได้สั่งแก่ทุกคนในเรือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่าลูกชายท่านบาดเจ็บหนักพอฟื้นขึ้นมาก็มีอาการหลงลืมไปบางสิ่ง  ทุกคนในบ้านยังคอยกังวลเรื่องการเจ็บป่วยของเขา  ทั้งแม่มิ่งหล้าและมิ่งเมืองน้องสาวก็ผลัดกันมาคอยเฝ้าไม่ห่าง  พิรัลมีทาสชื่อนายยอดเป็นผู้ช่วยส่วนตัว  คอยเล่าเรื่องไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆตามที่ตนได้รู้มาให้ฟัง 

      “คุณเมืองราม  แม่นาย  คุณมิ่งเมือง  ยายตองนวล  พี่คำฟอง  พึ่งลงมาจากเมืองตากได้เพียงเดือนเดียวขอรับ  พอพวกคุณๆมา  คุณพระจึงได้หาทาสสาวมาไว้คอยรับใช้  แต่คุณพระไม่ชอบการเอิกเกริก  เรือนนี้จึงมีทาสไม่หนาแน่นเท่าเรือนเจ้าขุนมูลนายคนอื่น”  นายยอดนอกจากจะคอยดูแลปรนนิบัติตามที่แม่นายได้สั่งไว้  ยังคอยเล่าจ้อเรื่องต่างๆให้ฟังได้ไม่มีหยุด  เพราะคุณเมืองรามคนใหม่ของนายยอดน่ารับใช้กว่าคนเดิมเป็นไหนๆ  คนเดิมที่เอาแต่เมาน้ำจันทน์แล้วอาละวาด 

     “เอาเรื่องอันใดมาใส่หัวลูกข้าหรือไอ้ยอด”  แม่นายของเรือนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบุตรสาวที่ช่วยยกสำรับอาหารมา

     “เปล่าขอรับแม่นาย”

     “กิ๋นข้าวหงายเถิดลูก  วันนี้นอนพักอีกสักวัน  อย่าพึ่งรีบออกไปไหน”

     “คุณพี่ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”  มิ่งเมืองเป็นเด็กน่าเอ็นดู  นอกจากติดแม่แล้วก็คอยแวบมาดูแลพี่ชายตลอด

     “หากพี่บอกว่าหายปวดแล้ว  เจ้าจะเลิกรินยาหม้อให้พี่ใช่ไหม”  พิรัลยิ้มให้แม่และน้องด้วยหัวใจที่ตื้นตัน  วันนี้เขาพึ่งได้รู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัว  ครอบครัวที่กอปรด้วยพ่อแม่ลูกและมีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น  เขามีความสุขที่ตนเองมีความสำคัญ  เป็นที่รัก  เป็นที่ต้องการ  เพราะนอกจากป้าที่เลี้ยงเขามาแล้ว  พิรัลก็ไม่รู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีใครต้องการเขาอยู่อีก  เขาไม่รู้ว่าความสุขนี้จะอยู่กับเขาได้นานแค่ไหน  แต่ในตอนนี้เขาขอกอบโกยความสุขจากช่วงเวลานี้ไว้ก่อน

.................................................................................................

    ล่วงเข้าวันที่สามของการอยู่ที่นี่  พิรัลเริ่มกระวนกระวายเมื่อนึกถึงใครคนหนึ่ง  วาดดาว....ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง  เขาจำได้เพียงว่าเขาถูกแทงขณะที่เข้าไปช่วยขวางเธอจากคนร้าย  แล้วสติเขาก็ดับวูบไปและฟื้นขึ้นมาอีกทีที่นี่  หากโลกใบนั้นมีป้าคนเดียวที่คอยห่วงเขา  วาดดาวก็เป็นเพียงคนเดียวที่เขาคอยห่วง 

     “เจ้ามีเรื่องกังวลอันใดหรือ”  พระพรหมเสนาเดินเข้ามาถามบุตรชายที่นั่งเหม่อซึมอยู่ที่ชานเรือน  หลังจากที่มารดาเห็นว่าแข็งแรงขึ้นมาบ้างก็อนุญาตให้ออกมานอกห้องหับ

     “ขอรับท่านพ่อ”

     “หากเจ้าเป็นห่วงคนที่บ้านก็จงตั้งจิตอุทิศกรรมดีที่เจ้าเคยทำให้ปกปักคุ้มครองเขา  คงพอช่วยได้บ้าง”

     “ท่านพ่อไม่สามารถทราบได้หรือขอรับ  ว่าครอบครัวของผมทางโน้นเป็นอย่างไร”  เขาคิดถึงป้า  คิดถึงวาดดาว

     “ห่างไกลกันเพียงนั้น  พ่อคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้”  พระพรหมเสนาส่ายหน้า  เรื่องบางเรื่องก็เกินอำนาจที่คนธรรมดาจะให้คำตอบได้  แม้ว่าจะมีวิชาอาคมเก่งกล้าเพียงใด

     “พ่อบอกเจ้าได้เพียงว่า  เจ้ามิได้มาที่นี่เพียงผู้เดียว  เจ้ายังพาผู้หนึ่งมาด้วยเจ้า.....แลใกล้มาถึงแล้ว”  ใคร!  ใครหลุดมาที่นี่พร้อมเขา  ใจของพิรัลภาวนาให้เป็นวาดดาว  คนที่อยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายในโลกปัจจุบัน

     แม้จะอยากออกไปตามหาคนที่พระพรหมเสนาพ่อของเขาพูดถึง  แต่พิรัลก็ไม่สามารถทำได้  ทั้งเพราะพ่อบอกให้เขาใจเย็นอีกไม่นานจะได้พบคนคนนั้นแน่  และทั้งแม่และน้องสาวคอยมานั่งเฝ้าหรือไม่ก็มองมาไม่ห่างตาเพราะคิดว่าเขายังไม่หายดี  นายยอดอีกคนที่คอยทำตามคำสั่งแม่นายอย่างเคร่งครัด  คือเฝ้าคุณเมืองรามไว้ให้ดีอย่าให้ลงจากเรือนได้เป็นอันขาด  นายยอดแอบกระซิบบอกว่า

     “แม่นายกลัวว่าคุณเมืองรามจะแอบไปดื่มสุรา”  โถ่!  เขาในยุคนี้เป็นไอ้ขี้เมาหรือ

     ตกบ่ายเสียงเอะอะดังโวยวายมาจากทางหลังเรือน  นายยอดเองยังถูกนายสักเรียกให้ลงไปช่วยเพราะมีนางทาสคนหนึ่งพยายามหลบหนี  ฟังจากเสียงแล้วคงไล่จับกันอยู่พักใหญ่  กระทั่งนายยอดขึ้นเรือนมาท่าทางเหน็ดเหนื่อย 

     “นังวาดฟื้นแล้วขอรับ  มันเป็นบ้า  พยายามจะวิ่งหนี  กระผมกับไอ้สักจับได้แล้ว  ให้นังนาพากลับเรือนไป”  นายยอดเข้ามารายงานแม่นายผู้เป็นใหญ่ในเรือน

     “สลบไปหลายวัน  ก็ควรอยู่ดอกที่จะฟื้นมาเป็นบ้าเป็นหลังไป”

     พิรัลจับใจความได้ว่าเสียงอื้ออึงเมื่อกี้เกิดจากนางทาสชื่อวาด  ที่พึ่งฟื้นจากการหมดสติวันนี้และเป็นบ้า  วาดอย่างนั้นหรือ  จะใช่คนที่ท่านพ่อบอกหรือไม่  ใช่วาดดาวหรือเปล่า  ถึงจะสงสัยเพียงไหน  พิรัลก็ได้แต่เก็บอาการไว้ไม่ให้ใครผิดสังเกต  ยามค่ำพิรัลจึงได้ถามถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ  และถามถึงทาสหญิงคนนั้นที่ชื่อวาด  พอนายยอดเล่าเหตุการณ์เรื่องเขาตกม้าและแม่วาดถูกเจ้าสีนิลเหยียบเข้าให้ฟังเขาก็ยิ่งสงสัยว่านังวาดจะเป็นวาดดาว

..................................................................................

     วันต่อมาพิรัลคอยสังเกตถึงทาสผู้หญิงที่ขึ้นมาทำงานบนเรือน  ไม่มีใครที่เขาคุ้นหน้า  ถามชื่อแล้วได้รู้ว่าชื่อนา  และดวง  พอถามถึงทาสที่ชื่อวาดก็ได้ความว่ายังไม่หายดีและแม่นายอนุญาตให้รักษาตัวอยู่ในเรือนทาสด้านหลัง

........................................................................................................

     ถัดมาอีกวันพิรัลไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว  เขาแสดงอาการว่าแข็งแรงขึ้นมากเพราะไม่อยากให้ทุกคนมาคอยเฝ้าว่าเขาจะเจ็บปวดที่ใด

     “หากท่านแม่อนุญาต  ลูกจะลงไปว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้ท่านแม่ดู  จะได้รู้ว่าลูกหายแล้ว”

     “แหม  พอแข็งแรงขึ้นหน่อยเดียวก็ห้าวจริงหนาพ่อคุณ”  แม่นายมิ่งหล้าหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นบุตรชายทำทีขึงขัง

     แท้จริงแล้วพิรัลแอบวางแผนไว้ในใจ  หากไม่มีใครคอยจับตามอง  เขาคงแอบหลบลงจากเรือนได้  อยากจะลงไปดูให้แน่  ว่าที่เรือนทาสนั้นใช่วาดดาวหรือไม่  แต่จนแล้วจนรอดพิรัลก็ทำไม่สำเร็จ

..................................................................................................

     เช้าวันที่หก  พิรัลตื่นล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวออกไปรับอาหารเช้าพร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องสาว  นึกไว้ในใจว่ายังไงเสียวันนี้เขาต้องรู้คำตอบให้ได้  เขาได้แต่คิดและวางแผนต่างๆนานาที่จะหาทางแอบไปที่เรือนทาส  จนไม่ได้ทันหลบทาสสาวที่กำลังก้มหน้าจัดสำรับอยู่  เธอหันกลับมาชนเขาอย่างจัง

“วี!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา