มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  22.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 12

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 12

หลังจากที่อองรีและรจนาปรับความเข้าใจกันและเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯพร้อมกันแล้ว แม่ชีสงวนที่อยู่ที่วัดท้ายบ้านได้เดินทางมาพบกับราตรีที่บ้านของเธอ ราตรีรีบออกมาต้อนรับและเชื้อเชิญให้แม่ชีสงวนนั่งที่เก้าอี้ด้วยความรู้สึกที่สงสัยและไม่ค่อยจะสบายใจเมื่อเห็นท่าทีอันเคร่งขรึมของแม่ชีผู้มาเยือน

“แม่ชีมาหาฉันถึงบ้าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”ราตรีถามอย่างนอบน้อม

“จะว่ามีก็มี ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นาน ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี”แม่ชีสงวนกล่าวอย่างไม่สบายใจ จึงพลอยทำให้ราตรีรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย

“มีเรื่องอะไรหรือคะ โปรดบอกมาเถอะคะ เผื่อว่าฉันจะพอช่วยเหลือได้บ้าง”

แม่ชีค่อยๆล้วงลงไปในถุงผ้า แล้วหยิบรูปถ่ายเก่าๆออกมาใบหนึ่งส่งให้แก่ราตรี เธอรับมาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเดินไปหยิบแว่นสายตามาใส่ แล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ

“ใครกันคะนี่ หน้าตาเหมือนแม่รจ ลูกสาวของฉัน แล้วนั่น...ผู้ชายคนนั้น...ทำไมถึงหน้าตาเหมือนกับเพื่อนฝรั่งของเธอเหลือเกิน”

“ถ้าฉันจะบอกเธอว่าเป็นรูปของเขาทั้งสองคน เธอจะเชื่อหรือไม่”แม่ชีกล่าว

“รูปของทั้งสองคน”ราตรีทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แต่รูปนี้ดูเหมือนจะถ่ายมานานมากแล้วนะคะ แล้วดูเหมือนจะเป็นรูปถ่ายในงานพิธี...งานแต่งงาน....เป็นไปไม่ได้ ยายรจต้องไม่ทำตัวแบบนี้แน่” ราตรีร้องอย่างตกใจเมื่อเข้าใจว่าลูกสาวได้แอบไปเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่ได้บอกกล่าว

“ใจเย็นๆราตรี นี่ไม่ใช่รูปของหนูรจนาหรอก แต่เป็นรูปของพวกเขาทั้งสองคนในชาติปางก่อน”

“ชาติปางก่อน จะเป็นไปได้อย่างไรคะ คุณแม่กำลังจะบอกว่าทั้งสองคนเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อนหรือคะ” ราตรีพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

“ถ้าลำพังเป็นแต่เนื้อคู่กันมาจากชาติปางก่อนก็คงจะดี แต่ทั้งคู่ไม่เพียงแค่เป็นเนื้อคู่กันแต่ยังเป็นคู่อาฆาตพยาบาทที่จองเวรผูกพันกันมาหลายชาติแล้ว”

แม่ชีสงวนกล่าวพร้อมกับถอนหายใจด้วยความกังวล ก่อนที่จะส่งบันทึกเล่มหนึ่งให้แก่ราตรีที่กำลังตกตะลึงและคาดไม่ถึง

แผ่นดินสยาม พ.ศ.2436หรือ ร.ศ.112 หลังจากที่อังเดรทราบว่ารสผู้เป็นภรรยากำลังตั้งครรภ์ เขาก็เฝ้าเอาอกเอาใจหญิงคนรักมิได้ขาด หากรู้ว่ารสอยากทานหรืออยากได้อะไร เขาจะต้องเสาะหามาให้จนได้ แม้ว่าจะมีราคาแพงและต้องนำเข้ามาจากสิงค์โปร์หรือชวาก็ตามที จนเป็นที่ร่ำลือว่าจะหาผู้ชายคนไหนที่รักลูกรักเมีย มากเท่ากับอังเดรนั้น หาไม่มีอีกแล้ว สิ่งที่อังเดรต้องทำทุกเช้าก่อนที่เขาจะไปทำงานคือ เขาจะต้องกอดร่ำลาภรรยาด้วยความรักอยู่เป็นเวลานานและก้มลงเอาหน้าแนบกับท้องของเธอ เพื่อคุยกับลูกที่อยู่ในครรภ์ บอกกล่าวกับลูกในท้องว่า เขากำลังจะไปทำงาน สั่งสอนลูกไม่ให้เกเรเช่นทำให้ผู้เป็นแม่ต้องมีอาการแพ้ท้องเป็นต้น ส่วนรสนั้นก็จะเตรียมดอกกุหลาบดอกหนึ่งให้สามีเสียบกระเป๋าเสื้อ ไปทำงานทุกเช้า

“คุณจะได้คิดถึงฉันและลูกทุกครั้งที่คุณเห็นกุหลาบดอกนี้” เธอกล่าวกับสามีทุกเช้าเช่นนี้ก่อนที่เขาจะไปทำงาน

ปลายเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2436 ขณะที่รสกำลังสอนหนังสือให้แก่ แม้น เด็กผู้หญิงที่เป็นทาสรับใช้ในเรือนของเธออยู่นั้น เธอก็ได้กล่าวกับแม้นว่า

“นังแม้น หนังสือหนังหาเอ็งก็พอจะอ่านออกเขียนได้แล้ว หมั่นทบทวนอย่าให้ลืมเชียว อีกไม่นานเมื่อเอ็งอายุครบยี่สิบปี เอ็งก็จะพ้นจากการเป็นทาสแล้ว จะได้ออกไปทำมาหากินสร้างเนื้อสร้งตัวได้”

“แต่บ่าวไม่อยากไปเลยเจ้าค่ะ อยู่กับคุณก็ดีอยู่แล้ว ถ้าออกไปบ่าวก็ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร”

“อยู่กับข้าไม่ได้ดอก ทรงมีรับสั่งให้ลูกทาสที่เกิดหลังปี2411 อันเป็นปีที่เสด็จขึ้นครองราชย์นั้น พ้นจากการเป็นทาสเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ถ้าข้าไม่ทำตามข้าจะมีความผิดได้”

“ให้บ่าวได้อยู่รับใช้คุณต่อไปเถิดนะจ๊ะ บ่าวยินดีที่จะเป็นทาสของคุณไปตลอดชีวิต”

รสมองดูแม้นด้วยความรู้สึกสงสาร เพราะตนเองก็ทราบดีว่า พวกทาสเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูราวกับนกในกรง แม้จะขาดอิสรภาพไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการทำมาหากิน หากวันใดได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้วจะสามารถทำมาหากินด้วยลำแข้งของตนเองได้เพียงใด

“เอาไว้ให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้เอ็งรีบไปดูที่ท่าน้ำหน่อยป่านนี้นายผู้ชายคงใกล้จะกลับมาถึงแล้ว”

แม้นรีบขมีขมันลงจากเรือนไปในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กลับมารายงานว่า

“นายผู้ชายกลับมาแล้วจ้ะ แต่อยู่ที่เรือนใหญ่คุยงานกับท่านเจ้าคุณ”

“ไปพบกับพ่อของข้านะหรือ ฤาว่าจะมีกิจธุระอันใดสำคัญ” รสกล่าวด้วยความสงสัย เพราะนับตั้งแต่แต่งงานกันมาหลายเดือนแล้ว ท่านเจ้าคุณยังไม่มีทีท่าที่จะยอมรับในตัวบุตรเขยชาวต่างชาติผู้นี้แต่อย่างใด

อังเดรเดินกลับมายังเรือนของตนก็เวลาค่ำแล้ว รสที่รอคอยสามีด้วยความกังวลใจ เมื่อเห็นสามีเดินกลับมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเช่นนั้น ก็ได้แต่ขอให้เขาไปอาบน้ำให้สบายกายสบายใจก่อนแล้วจึงออกมานั่งทานข้าวที่ได้จัดรอไว้เป็นเวลานานแล้ว

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ เห็นว่าไปแวะที่เรือนเจ้าคุณพ่อ”รสถามด้วยความเป็นห่วงขณะคดข้าวแล้วส่งให้สามีที่รับจานข้าวมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

“ทหารของสยามปะทะกับทหารญวณในสังกัดของฝรั่งเศส ที่คำม่วน เมื่อวานนี้”

“ตายจริง !”รสร้องอย่างตกใจ “แล้วมีใครเป็นอันตรายหรือเปล่าคะ”

“ฝ่ายสยามตายไปหกคน ฝ่ายญวณตายไปสิบเอ็ดคน แต่ที่สำคัญคือมีนายทหารระดับสูงของฝรั่งเศสตายไปคนหนึ่งด้วย”

“แล้วทำไมจึงเกิดการปะทะกันขึ้นได้เล่าคะ”รสถามด้วยใจคอที่ไม่ค่อยจะดี

“ฝรั่งเศสได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือคำม่วน แต่เจ้าเมืองคำม่วนไม่ยอม จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้น”

“คำม่วนเป็นของสยามมาแต่โบราณกาลแล้ว ฝรั่งเศสจะมาอ้างสิทธิเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”รสเถียงกับสามี

“คำม่วนเป็นของญวณมาก่อน เมื่อฝรั่งเศสได้ครอบครองญวณแล้ว ก็ย่อมจะได้สิทธิในคำม่วนด้วย”

“ทำเช่นนี้ก็เหมือนกับโกงกันชัดๆ”รสกล่าวอย่างไม่พอใจในการกระทำของพวกฝรั่งเศส

“เรื่องที่น่าหนักใจไม่ใช่ว่าใครโกงใครดอก เวลานี้มีทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตเพราะฝีมือของทหารสยาม ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสไม่พอใจอย่างมาก ผมเกรงว่านี่จะเป็นชนวนให้ฝรั่งเศสใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานสยามได้”

และการณ์ก็เป็นไปดังที่อังเดรคาดไว้ เมื่ออีกไม่ถึงสองเดือนต่อมา ฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบ 2 ลำ เข้ามาทางปากน้ำ รัฐบาลสยามได้ทำการประท้วงและเรียกร้องให้ฝรั่งเศสถอยเรือของตนกลับออกไป แต่ฝรั่งเศสหาได้สนใจในคำประท้วงของสยามแต่ประการใด ด้วยมั่นใจในแสนยานุภาพทางทหารของตนที่เหนือกว่าสยามเป็นอย่างมาก

ยามนั้น รสได้รู้สึกถึงความตึงเครียดที่บังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของตน ทั้งจากทางด้านบิดาและด้านสามี เธอรู้สึกได้ว่านับตั้งแต่เธอเกิดและโตมาไม่เคยมีเวลาใดที่แผ่นดินสยามอันสงบร่มเย็นจะถูกข้าศึกรุกรานมาจนประชิดติดพระนครเช่นนี้ เธอต้องไปอยู่ที่เรือนใหญ่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงรื่นผู้เป็นมารดาเสมอๆ เนื่องจากท่านเจ้าคุณมีราชการในช่วงนี้ จนบ่อยครั้งที่ไม่ได้กลับมาพักแรมที่เรือน

ทางฝ่ายสยามได้มีการหารือและวางแผนกันอย่างเคร่งเครียดในการที่จะหาทางคลี่คลายวิกฤติของบ้านเมืองในครั้งนี้ ได้มีการจมเรือหลายลำเพื่อขวางลำน้ำและยังได้ขึงโซ่เหล็กวางขวากไว้สกัดไม่ให้เรือรบของฝรั่งเศสล่วงเข้ามาได้โดยง่าย ปืนเสือหมอบซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่เพิ่งติดตั้งเสร็จ อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม ที่จะสกัดกั้นเรือของศัตรูร่วมกับเรือรบอีกสี่ลำที่ถูกส่งเข้ามาประจำการในบริเวณนั้น

วันที่ 13 กรกฎาคม 2436 นับเป็นครั้งแรกที่แต่งงานกันมาที่อังเดรไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน รสสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น จึงได้เดินไปยังเรือนใหญ่ของผู้เป็นบิดา จึงได้ทราบจากคุณหญิงรื่นว่า ท่านเจ้าคุณก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้านเช่นกัน รสมองดูใบหน้าของแม่เมื่อได้เห็นแววตาที่เด็ดเดี่ยวมั่นคงของผู้เป็นมารดา จึงเกิดความกล้าขึ้นมาและได้ถามว่า

“แม่จ๋า บ้านเมืองของเราจะเป็นอันตรายหรือไม่จ๊ะ”

“ไม่! เราจะไม่ยอมให้ไอ้พวกฝรั่งมาย่ำยีเราได้ง่ายๆ แผ่นดินของพวกเราแม้คืบหนึ่งศอกหนึ่งก็อย่าหวังว่าจะได้ไป”

คำพูดอันหนักแน่นของคุณหญิงรื่นนั้น ไม่ได้ทำให้รสรู้สึกดีขึ้นเลย เธอตระหนักดีว่าแสนยานุภาพทางทหารของฝรั่งเศสนั้น เหนือกว่าสยามเพียงใด เพราะในยามนั้นประเทศเพื่อนบ้านที่รายล้อมสยามอยู่ก็ล้วนตกเป็นของฝรั่งต่างชาติกันหมดแล้ว คงเหลือแต่เพียงสยามเท่านั้นที่ยังอยู่รอดมาได้ ท่ามกลางความหวาดหวั่นใจว่า จะสามารถอยู่ได้เช่นนี้อีกนานเพียงใด

รสอยู่เป็นเพื่อนมารดาจนเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงได้ตัดสินใจค้างคืนอยู่กับมารดาที่นี่ จนรุ่งเช้า ท่านเจ้าคุณได้กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้จะดี และร้องเรียกให้บ่าวไพร่ให้รีบนำปืนคาบศิลามาให้โดยเร็ว เพื่อที่จะรีบร้อนกลับไปลงเรือที่จอดคอยอยู่ที่ท่า คุณหญิงรื่นเห็นเช่นนั้นจึงยุดชายเสื้อของผู้เป็นสามีไว้แล้วพูดปลอบประโลมให้สงบจิตสงบใจให้เย็นลง ด้วยเกรงว่า ความหุนหันจะนำพาภัยมาสู่ผู้เป็นสามี เจ้าคุณยอมนั่งลงอย่างขัดใจไม่ได้ ก่อนที่จะกล่าวด้วยความฉุนเฉียวว่า

“เมื่อวานเย็นเรือรบไอ้พวกระยำฝรั่งเศส พยายามที่จะฝ่าแนวป้องกันของเราที่ปากน้ำเข้ามา จึงได้เกิดการปะทะกับเรือรบและป้อมปืนของฝ่ายเราอย่างดุเดือด”

ทั้งคุณหญิงรื่น รส และบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นต่างตั้งใจฟังด้วยความตกใจ

“แล้วเป็นอย่างไรบ้างพ่อ เราต้านพวกมันไว้ได้ใช่ไหม”รสถามผู้เป็นบิดา ซึ่งหันมามองหน้าบุตรสาวด้วยความปวดร้าวใจ ก่อนจะตอบว่า

“เรือฝ่ายเราถูกจมหนึ่งลำ อีกลำถูกยิงจนใช้การไม่ได้ ทหารสยามพลีชีพนับสิบคน”ท่านเจ้าคุณกล่าวแล้วก็สะอื้นขึ้นมาในลำคอก่อนที่จะพยายามควบคุมเอาไว้แล้วกล่าวต่อไปว่า “เวลานี้เรือรบของพวกมันแล่นผ่านปากน้ำมาได้แล้ว กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง!”

คุณหญิงรื่นและรสตกใจแทบสิ้นสติ เอกราชของสยามหมิ่นเหม่ราวกับกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่างคิดด้วยความคับแค้นใจว่า หากฝ่ายข้าศึกเป็นพวกพม่ารามัญเหมือนสมัยก่อน ก็จะชวนกันจับอาวุธเข้าปกป้องบ้านเมืองอย่างไม่เกรงกลัว แต่ศัตรูที่เป็นฝรั่งต่างชาติเหล่านี้ นั่งเรือมา แต่มีอาวุธที่ทรงพลังยิ่ง การที่จะลุยน้ำเข้าไปต่อกรด้วยนั้นไม่อาจจะกระทำได้เลย

รสก้มลงกราบแทบเท้าของผู้เป็นบิดาที่กำลังจะลุกเดินออกจากบ้านไป แล้วกล่าวด้วยน้ำตาที่อาบนองใบหน้าว่า

“พ่อจ๋า ไม่ต้องห่วงแม่นะจ๊ะ ฉันจะอยู่ดูแลแม่ให้ดีที่สุด พ่อไปรบและรักษาบ้านเมืองของเราเอาไว้ให้ได้นะจ๊ะ”

ท่านเจ้าคุณหยุดและหันมามองดูบุตรสาวที่นั่งอยู่แทบเท้า แล้วเอามือลูบไล้ศีรษะของเธอด้วยความอาดูร ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินลงจากเรือนไป

นับตั้งแต่นั้นมา รสก็มีปากเสียงกับอังเดรผู้เป็นสามีแทบทุกวัน ด้วยต่างฝ่ายต่างก็รักในชาติบ้านเมืองของตน เมื่อทะเลาะกันมากเข้า รสก็ย้ายมาอาศัยนอนอยู่ที่เรือนใหญ่กับมารดา ในขณะที่อังเดรก็ยุ่งอยู่กับการร่างหนังสือเจรจากับทางสยาม จึงกลับมาบ้านบ้างไม่กลับบ้าง ไม่อาจกำหนดแน่นอนได้

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ รสได้ทราบข่าวจากท่านเจ้าคุณผู้เป็นบิดาว่า รัฐบาลฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดเรียกร้องให้สยามชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อแรกได้รับฟังเธอก็รู้สึกดีใจว่าหากสามารถเจรจาชดใช้ค่าเสียหายต่างๆกันได้แล้ว ปัญหาต่างๆก็น่าจะคลี่คลายลงได้ แต่แล้วเธอก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เธอคิดนั้น ไม่อาจจะเป็นจริงได้เมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณกล่าวด้วยความคับแค้นใจว่า

“ข้อเรียกร้องของพวกมันนั้นเกินกว่าจะรับได้จริงๆ มันขอดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงทั้งหมด และยังให้เราต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 3 ล้านบาทให้กับมันในทันที กับอีก 2 ล้านฟรังส์ ที่จะต้องทยอยผ่อนชำระ”

“แล้วพวกเจ้านายมีความเห็นเช่นไรกันจ๊ะเราจะยอมตามที่มันขอไหม”รสถามบิดาด้วยความรู้สึกขุ่นแค้นแน่นในทรวงอก

“บางท่านก็อยากให้รบพุ่งให้แตกหัก บางท่านก็อยากให้ยินยอมตามที่มันขอ”

“แล้วพระเจ้าอยู่หัวเล่าพ่อ พระองค์ทรงมีพระราชดำริเช่นไร”

เมื่อได้ยินคำถามของบุตรสาว ความเคร่งขรึมของท่านเจ้าคุณได้กลับกลายเป็นความหมองเศร้าขึ้นมาในทันที รสมองดูกายที่สั่นเทิ้มสะอึกสะอื้นของบิดาด้วยความตกใจ ท่านเจ้าคุณไม่อาจกลั้นอารมณ์ความรู้สึกได้อีกต่อไปจึงได้ร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร และกล่าวตอบบุตรสาวด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจว่า

“พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร !”

รสรู้สึกใจหายวูบดังคนที่กำลังจะหมดสติ เมื่อได้ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักและเคารพของไพร่ฟ้าประชาชน กำลังทรงพระประชวร

“ทรงพระประชวรเพราะกลัดกลุ้มพระทัยอันเนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ ไม่ทรงยอมเสวยพระโอสถใดๆเลย ได้แต่รับสั่งว่า หากเอกราชของสยามต้องสิ้นลงในวันใด ก็จะขอสิ้นพระชนม์ตามเอกราชของสยามตามไปด้วย”

รสรับฟังบิดากล่าวถึงตอนนี้ก็ไม่อาจหักห้ามจิตใจได้อีกต่อไป น้ำตาแห่งความจงรักภักดีไหลหลั่งออกมาอาบทั่วใบหน้า ก่อนที่จะค่อยๆก้มลงกราบไปยังทิศทางที่พระบรมมหาราชวังตั้งอยู่

อังเดรกลับมาที่บ้านในตอนค่ำ ก็พบกับสภาพบ้านเรือนที่มืดมิด ไม่ได้จุดคบจุดไต้ดังปกติ เมื่อเดินขึ้นมาบนเรือนก็ได้พบกับรสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางความมืด อังเดรจึงจุดตะเกียงขึ้นแล้วถามว่า

“ทำไมจึงมานั่งอยู่มืดๆ ไม่จุดโคมไฟบ้างเลย”

“บ้านเมืองกำลังมีทุกข์ จะจุดโคมไฟไปทำไมกัน” รสตอบอย่างไร้เยื่อใย

อังเดรทราบดีว่ารสไม่พอใจด้วยเรื่องอันใด เขาพยายามที่จะเข้ามาโอบกอดเพื่อปลอบประโลมเธอ แต่รสกลับสะบัดกายออกมาอย่างไม่ใยดี แล้วตำหนิผู้เป็นสามีว่า

“พวกคุณกระทำตัวไม่ต่างกับโจร”

“รส นี่มันเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติของแต่ละคน คุณไม่ควรเอาเรื่องนี้มาปะปนกับเรื่องของเราทั้งสองคน”

“ใช่สิ ลองคุณเป็นฝ่ายถูกรังแกเช่นเดียวกับที่ชาวสยามโดนรังแกแล้ว คุณจะพูดเช่นนี้ไหม”

“หรือว่าสยามไม่เคยรุกรานประเทศอื่นที่อ่อนแอกว่า” อังเดรย้อนเอาทำให้รสต้องขุ่นเคืองถึงที่สุด เธอลุกขึ้นยืน แล้วมองสามีด้วยสายตาที่ชิงชังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“วันใดที่เรือรบของพวกคุณ บังอาจลั่นกระสุนใส่แผ่นดินสยามของฉันแล้ว วันนั้นจะเป็นวันสิ้นสุดแห่งความรักของเราทั้งสอง”

รสกล่าวได้แค่นั้นแล้วก็เดินลงจากเรือนเพื่อไปยังเรือนใหญ่ของท่านเจ้าคุณอย่างรวดเร็ว แต่เธอเห็นว่าเป็นเวลามืดค่ำแล้ว จึงไม่อยากรบกวนผู้เป็นบิดามารดา จึงได้เดินตรงไปยังหอพระ ด้วยตั้งใจที่จะไปสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองแผ่นดินสยามและพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักและเคารพเทิดทูน เมื่อเธอเปิดประตูหอพระเข้าไป ก็พบว่า คุณหญิงรื่นผู้เป็นมารดากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ก่อนแล้ว ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ รสค่อยๆนั่งลงข้างๆอย่างเงียบๆ แล้วหลับตาพนมมือสวดมนต์ในใจ ตามผู้เป็นมารดา

หลายวันต่อมา รสได้พบกับท่านเจ้าคุณอีกครั้ง แม้สีหน้าของท่านจะยังดูอิดโรยแต่ก็ดูผ่อนคลายความกังวลลงจากวันก่อนมาก รสรีบถามถึงความคืบหน้าทันทีที่บิดานั่งลงเรียบร้อยแล้ว

“เรารอดแล้วลูก แผ่นดินสยามรอดแล้วลูก”ท่านเจ้าคุณกล่าวขณะที่มีน้ำตาหยดเล็กๆเกาะที่ขอบตา

“จริงหรือจ๊ะพ่อ ไอ้พวกฝรั่งมันยอมถอนเรือของมันออกไปแล้วใช่ไหมจ๊ะพ่อ”รสกล่าวด้วยความรู้สึกยินดีและโล่งใจเป็นที่สุด ขณะที่ท่านเจ้าคุณรับคำบุตรสาวด้วยการพยักหน้ารับช้าๆแล้วกล่าวเพิ่มเติมว่า

“เราต้องยอมทำตามทุกอย่างที่มันขอ ทั้งดินแดน ทั้งเงินค่าปรับ พระเจ้าอยู่หัวทรงไตร่ตรองแล้วว่าจำต้องยอมสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ นี่ดีว่าได้อาศัยเงินถุงแดงในท้องพระคลังที่ล้นเกล้ารัชกาลที่สามทรงสั่งสมเอาไว้ ไม่คิดเลยว่าจะได้นำมาใช้ไถ่แผ่นดินดังที่เคยตรัสไว้จริงๆ”

“เงินถุงแดงมีมากขนาดนั้นเชียวหรือพ่อ”

“มีมากทีเดียว แต่มากอย่างไรก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้พวกมันตามที่มันเรียกร้อง พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ทรงช่วยกันเสียสละราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อไถ่แผ่นดินออกมาให้พวกเรายังคงเป็นไทกันต่อไป” กล่าวแล้วท่านเจ้าคุณก็ก้มลงกราบไปยังทิศทางที่พระบรมมหาราชวังตั้งอยู่ เช่นเดียวกับรสที่กระทำตามบิดาด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้

ยามนั้นสยามไม่เพียงแต่ต้องเสียเงินทองจำนวนมากเพื่อไถ่แผ่นดินเท่านั้น ยังต้องยอมเสียดินแดนส่วนที่เป็นประเทศลาวทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศส อีกทั้งต้องยอมแก้ไขกฎหมายต่างๆอีกมากมายตามที่ฝรั่งเศสขอมา และเพื่อเป็นการประกันไม่ให้สยามบิดพลิ้ว ฝรั่งเศสจึงได้เคลื่อนกำลังไปยึด จังหวัดจันทบุรี เอาไว้เป็นหลักประกัน การกระทำของฝรั่งเศสเยี่ยงนี้ ทำให้รสรู้สึกเคียดแค้นและชิงชัง ชาวฝรั่งเศสรวมทั้งสามีของตนยิ่งนัก เธอได้เดินทางไปยังบริเวณท่าน้ำ และได้เห็นคนงานกำลังขนเงินที่บรรจุในถุงแดงใส่รถเข็นเพื่อเข็นไปลงเรือของฝรั่งเศสที่จอดเทียบอยู่ ชาวสยามหลายคนต่างยืนมองดูเงินของแผ่นดินของตนที่ต้องถูกเข็นไปลงเรือของต่างชาติด้วยความปวดร้าวใจ รถเข็นคันแล้วคันเล่า ถูกเข็นผ่านหน้าไป ความหนักของโลหะที่บรรทุกในรถนั้นหนักจนกดทับพื้นถนนที่ถูกมันลากผ่านให้เป็นร่องลึกจมลงไป สภาพอันยับเยินของถนนที่ถูกรถเข็นบดทับนั้น ไม่ต่างจากจิตใจของชาวสยามที่ถูกบดขยี้รังแกแต่อย่างใด รสทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงที่พื้นถนนนั้น พลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสร่องทางที่ถูกล้อบดทับเหล่านั้น แล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความช้ำชอกใจ

เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยมีแม้น ทาสสาวที่คอยติดตามไปด้วยอย่างใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าสถานฑูตฝรั่งเศส ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่ปฏิเสธไม่ยอมให้เธอเข้าไปข้างใน ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ด้วยรู้สึกว่า แผ่นดินสยาม แต่ทำไมคนสยามเช่นเธอจึงไม่อาจเข้าไปได้ รสยืนชะเง้อมองอยู่ที่ริมรั้ว เผื่อว่าอังเดรจะสามารถมองเห็นเธอจากข้างใน แต่เธอกลับได้ยินแต่เสียงเฉลิมฉลองของพวกฝรั่งเศสที่ต่างพากันดีใจที่สามารถขูดรีดจากสยามได้ดังที่ต้องการ

รสค่อยๆเดินกลับบ้านอย่างช้าๆด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ราวกับคนไร้วิญญาณ เธอเดินผ่านตลาด จึงตั้งใจจะเข้าไปหาซื้อกับข้าวเพื่อมาเตรียมทำอาหารเย็น แม่ค้าขายผักคนหนึ่งจำรสได้ เมื่อเธอเดินเข้าไปขอซื้อผัก แม่ค้าผู้นั้นกลับขว้างผักเข้าใส่หน้าของเธอ แล้วด่าทอว่า

“กูไม่ขายให้มึง ไอ้เมียฝรั่ง ผัวมึงทำอะไรไว้กับแผ่นดินของเรา มึงยังจะไปเลี้ยงดูมันอีกหรือ”

พวกแม่ค้าคนอื่นๆในตลาดมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันด่าทอรส บ้างก็ขว้างข้าวของเข้าใส่เธอ จนแม้นต้องเข้ามาช่วยกันเธอให้ออกมาจากที่แห่งนั้น รสเดินจากออกมาด้วยน้ำตาที่นองใบหน้า ความเจ็บปวดกายที่ได้รับจากการถูกขว้างปา ยังไม่เท่ากับความปวดร้าวในใจ เธอเดินกลับมาถึงบ้าน โดยมีแม้นค่อยๆพยุงให้นั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนที่จะรีบไปหาน้ำมาให้เธอดื่ม

รสเอื้อมมือปลดสร้อยทองที่เธอสวมใส่อยู่ ส่งให้แก่แม้นแล้วกล่าวว่า

“เอ็งเก็บเอาไว้ ข้ามอบให้เอ็ง วันใดเอ็งพ้นจากการเป็นทาส จะได้ใช้เป็นทุนตั้งตัว”

“แต่บ่าวไม่อยากไปไหน บ่าวอยากอยู่รับใช้คุณไปตลอด”

รสไม่กล่าวตอบแต่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องนอนของตน แล้วปิดประตูอยู่แต่ในห้องนั้นจนมืดค่ำ เมื่ออังเดรกลับมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าที่ฟุ้งไปทั้งตัว เขาก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเธอ แล้วหอมแก้มเธอที่แกล้งทำเป็นนอนหลับครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเลื่อนกายลงไปเอาหน้าแนบที่หน้าท้องของเธอแล้วกล่าวกับลูกในท้องว่า

“พ่อกลับมาแล้ว พ่อมาช้าเพราะมัวแต่ฉลองความสำเร็จกันอยู่”

จากนั้นอังเดรก็หลับไป และมาสะดุ้งตื่นในตอนเช้าเมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรตกแตก เขาลุกขึ้น ไม่พบรสอยู่ข้างกาย แต่กลับพบกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนที่นอนตรงที่เธอนอน

“ฉันอยากให้คุณได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักบ้าง”

อังเดรอ่านแล้วก็บังเกิดความสงสัย จึงเปิดประตูแล้วเดินออกมาจากห้องนอน ก็ได้พบกับแม้นที่กำลังเก็บกวาดเศษกระจกที่ตกแตกอยู่

“บ่าวขอโทษค่ะ บ่าวกวาดเรือนแล้วไปปัดโดนกรอบรูปที่คุณกับคุณรสถ่ายคู่กันในวันแต่งงาน ตกลงมาแตก”

อังเดรมองดูรูปถ่ายที่แม้นถือไว้ในมือแล้วก็ไม่ได้ตำหนิอันใด ได้แต่ถามหาว่ารสอยู่ที่ไหน ซึ่งแม้นเองก็ไม่ทราบเพราะเข้าใจว่าเธอยังคงอยู่ในห้องนอน อังเดรจึงลงจากเรือนและได้พบว่า แปลงกุหลาบที่เขาหามาปลูกให้เธอนั้น บัดนี้ถูกถางทำลายจนยับเยิน อังเดรเดินพลางร้องเรียกหาเธอจนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งที่แผ่ขยายออกมาของมันนั้น มีร่างของรสห้อยอยู่

เขาร้องด้วยความตกใจแล้วรีบแก้เธอลงมาจากต้นไม้นั้นในทันที แต่ไม่ทันการเสียแล้ว รสได้หมดลมหายใจไปนานแล้ว อังเดรสวมกอดร่างของภรรยาที่จากไปพร้อมกับลูกในท้องแล้วร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกราวกับว่าจะขาดใจตายตามไป

แม้นถือรูปภาพใบนั้นลงมาจากเรือน แล้ววิ่งมาตามเสียงร้องของอังเดร ภาพที่เธอเห็นอยู่เบื้องหน้านั้น ทำให้เธอต้องกรีดร้องออกมา แล้ววิ่งไปยังเรือนของท่านเจ้าคุณทันที

อังเดรร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่สักพัก ก็บังเกิดความเคียดแค้นชิงชังรสขึ้นมา เพราะสิ่งที่เธอทำนั้นก็เพื่อต้องการให้เขาได้รับความเสียใจ ด้วยการทำลายชีวิตลูกน้อยของเขาที่อยู่ในท้องของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าเขารักลูกมากเพียงใด อังเดรคิดเช่นนี้แล้วก็บังเกิดความแค้นเคือง จึงกล่าวกับร่างของเธอว่า

“เมื่อคุณทำร้ายผมเช่นนี้ ผมก็จะไม่มีวันให้อภัยคุณ ไปลงนรกเสียเถิดนางมารร้าย”

จากนั้นเขาก็อุ้มร่างของเธอ ตรงไปยังบ่อน้ำ แล้วทิ้งร่างนั้นลงสู่ก้นบ่อในทันที ก่อนที่จะตะโกนตามลงไปว่า

“ลงไปอยู่ในนรกนั่นแหละนังมารร้าย ถ้าชาติหน้ามีจริงกูจะขอเกิดมาจองล้างจองผลาญมึงทุกชาติไป”

นับแต่นั้นมา อังเดรก็คุ้มคลั่งเสียสติจนต้องถูกส่งตัวกลับไปฝรั่งเศสในที่สุด ส่วนแม้นนั้นได้หนีเตลิดไป และได้ออกบวชเป็นแม่ชีในเวลาต่อมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา