มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  22.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บทที่ 15

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 15

วัชรินทร์ได้ขับรถมาจอดที่หน้าหอพักที่รจนาอาศัยและนั่งคอยอยู่ในรถอย่างเงียบๆ ภาพที่รจนากอดกับอองรีแล้วร้องไห้อยู่กับอกของเขา ยังคงฝังตรึงอยู่ในความทรงจำ อย่างไม่อาจจะลบเลือน ยามที่เฝ้าประตูค่อยๆเลื่อนบานประตูเข้ามาบรรจบกัน อันเป็นสัญญาณว่า ห้ามผู้ใดเข้าออกหอพัก จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดในตอนเช้า วัชรินทร์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดหมายเลขปลายทางไปหารจนา

“รจ”เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ เมื่อเธอรับสาย

“ค่ะ รจพูดอยู่ค่ะ”

วัชรินทร์อ้ำอึ้งไปเพราะไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อไปดี ความเจ็บปวดจากสิ่งที่ได้พบเห็นนั้นหนักหนาเกินกว่าที่จะอดทนได้ เขาต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ ก่อนที่รจนาจะถามมาอีกครั้งว่า

“พี่หมอ มีอะไรกับรจหรือเปล่าคะ”

“เอ้อ...พี่แค่อยากโทรมาถามว่ารจกำลังทำอะไรอยู่จ๊ะ”

“รจอยู่ที่หอแล้วค่ะ กำลังจะนอน”

วัชรินทร์กดตัดสายโทรศัพท์ลงในทันที ด้วยความผิดหวังอย่างที่สุด ที่รจนากล้าโกหกเขาถึงเพียงนี้ ถ้าเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้ว เขาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเธอกระทำตัวเช่นนี้ เขาโยนโทรศัพท์ลงบนเบาะข้างๆอย่างหมดอาลัยก่อนที่จะค่อยๆขับรถจากไปด้วยความรันทดใจ

รจนามองดูหน้าจอโทรศัพท์ของเธอที่ขึ้นข้อความว่า สิ้นสุดการสนทนา ด้วยความแปลกใจที่จู่ๆวัชรินทร์ก็ตัดสายสนทนาเสียเช่นนี้ เธอวางโทรศัพท์ลงแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือด้วยความรู้สึกที่สำนึกผิดที่ต้องโกหกเช่นนี้ ก่อนที่จะสะดุ้งรู้สึกตัวเมื่อปลาได้มาร้องเรียกเธอจากด้านหลังว่า

“พี่จ๋า หนูหาขันน้ำไม่เจอ”

รจนาต้องลุกขึ้นไปยังห้องน้ำ แล้วสอนวิธีเปิดปิดฝักบัวและปรับระดับความร้อนเย็นของน้ำให้แก่เธอ จากนั้นจึงเดินมาเปิดดูตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อคลุมออกมาส่งให้ พร้อมกับกล่าวว่า

“อาบน้ำเสร็จแล้ว สวมเสื้อคลุมนี้นอนนะ เสื้อชุดเก่าจะได้ผึ่งลม เอาไว้ใส่พรุ่งนี้”

จากนั้นเธอก็เดินมานั่งพิงหลังที่เตียงนอน ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมาถึงเรื่องล่าสุดที่ทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องการขโมยแบบของกระเป๋า ความรู้สึกเกลียดชังชาวฝรั่งเศสที่เคยเลือนหายไปเมื่อเธอได้รู้จักกับอองรี ได้กลับมาปะทุอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการปะทุที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม เธอหวนคิดถึงยามที่เธอเป็นเด็กนักเรียน ครูคนหนึ่งได้เคยถามเธอว่า เมื่อโตขึ้นเธออยากเป็นอะไร

“หนูอยากเป็นนักบินค่ะ”เธอตอบครูผู้สอนอย่างฉาดฉาน

“ทำไมหรือ ลองบอกเหตุผลเพื่อนๆซิว่าทำไมเธอถึงอยากเป็นนักบิน”

“หนูจะขับเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่ประเทศฝรั่งเศสค่ะ”

“ทำไมเธอจึงคิดเช่นนั้น เธอไม่ชอบประเทศฝรั่งเศสหรือ”

“หนูเกลียดค่ะ เพราะฝรั่งเศสชอบรังแกประเทศไทย”

คิดถึงตอนนี้แล้วเธอก็พูดกับตนเองด้วยความเจ็บแค้นใจว่า

“ฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดพวกฝรั่งเศส พวกอัธพาล พวกขี้โกง” แล้วเธอก็หวนนึกถึงคำพูดของราตรี ที่ได้กล่าวว่า

“ในชาติปางก่อน ลูกกับอองรี เคยเป็นคู่พยาบาทอาฆาตกันมาก่อน และยังมีเวรมีกรรมผูกพันกันมาถึงชาตินี้ หากแม่ยอมให้ลูกแต่งงงานกับเขาแล้ว ลูกกับเขาก็จะต้องฆ่าฟันกันอีก”

รจนานึกถึงคำพูดของราตรีแล้ว ก็ต้องรำพึงกับตัวเองอีกครั้งว่า

“มันถูกลิขิตเอาไว้แล้ว มันถูกลิขิตเอาไว้แล้วจริงๆ”

เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบกระดาษออกมาเขียนจดหมายถึงเขา

“อองรีคะ นับแต่นี้ต่อไปเราอย่าได้พบกันอีกเลยนะคะ เพราะฉันอยากจะเก็บรักษาอดีตอันหอมหวานของเราเอาไว้อยู่ในใจของฉันตลอดไป ดีกว่าที่จะให้มันต้องขื่นขมไปกับอนาคตที่ไม่สดใสของเรา อาทิตย์หน้า เมื่อคุณสอบเสร็จแล้ว ฉันขอร้องให้คุณรีบเดินทางกลับฝรั่งเศสนะคะ แล้วกรุณาอย่าพยายามที่จะติดต่อกับฉันอีก ....”

เธอหยุดเขียนเพื่อใช้กระดาษเช็ดหน้าซับน้ำตาที่กำลังรินไหลออกมา ก่อนที่จะเริ่มเขียนต่อไปว่า

“ฉันขอรับผิดเองที่ไม่เชื่อฟังคำของคนรอบข้างที่คอยตักเตือนอยู่เสมอว่า ระหว่างคุณกับฉันแล้ว เราคงจะไปด้วยกันไม่ได้ เราแตกต่างกันมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม และที่สำคัญฉันยังมีความฝังใจกับการโกรธแค้นชนชาติของคุณอยู่มาแต่เก่าก่อน แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะบรรเทาลงเมื่อพบกับคุณ แต่มันไม่ได้หายไปไหน มันยังคงเก็บซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจของฉัน และรอวันที่จะระเบิดออกมาเท่านั้น เราสิ้นสุดกันแค่นี้นะคะ ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้”

รจนาอ่านทบทวนในสิ่งที่เธอเขียนอีกครั้ง พร้อมกับต้องซับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นระยะ เธอบรรจงพับจดหมายฉบับนั้น แล้วค่อยๆยกขึ้นจูบอย่างทะนุถนอม พร้อมกับถ่ายทอดความรักและความอาลัยทั้งมวลที่เธอมีต่อเขาลงในรอยจูบนั้น จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไปยังห้องของอองรีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วค่อยๆสอดจดหมายฉบับนั้นลอดช่องใต้ประตูไป

เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเวลาตีห้า ปลายังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของเธอ เธอขยับผ้าห่มให้แก่เด็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างด้วยตั้งใจจะแช่น้ำอุ่นเพื่อเป็นการผ่อนคลาย แสงไฟสลัวๆจากห้องน้ำส่องให้เห็นว่าที่พื้นห้องใต้ประตูนั้น มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ เธอหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อคลุมออกก่อนที่จะก้าวเท้าลงไปในอ่างที่มีน้ำอุ่นกำลังดี เธอเอนหลังพิงขอบอ่างแล้วค่อยคลี่จดหมายฉบับนั้นออกอ่าน

“รจนา ผมจะอยู่ที่ห้องไม่ออกไปไหน จนกว่าจะเที่ยง คุณมีเวลาที่จะไปโดยที่ไม่ต้องพบหน้าผมได้ในช่วงนี้..” รจนาอ่านถึงตอนนี้ก็ร้องไห้ออกมาทันทีด้วยความเสียใจ “ค่าห้องพักผมจัดการให้แล้ว รวมทั้งค่าเครื่องดื่มและของขบคี้ยวในตู้เย็น คุณเก็บให้เด็กคนนั้นไปด้วย แล้วอย่าลืมพาเธอไปทานอาหารเช้าเพราะได้รวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว ผมสอบวันสุดท้ายวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ และวันที่ 28 ผมจะบินกลับปารีสในทันที และจะไม่กลับมาอีกเลย เพื่อความสุขของคุณ แม้ว่าผมจะยังสับสน และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หมายเหตุ เมื่อคุณลงไปทานอาหารเช้าแล้ว อย่าลืมแวะดูห้องที่คุณได้จองไว้เพื่อจัดงานหมั้นของคุณด้วยนะครับ ขอให้คุณมีความสุข....อองรี”

รจนาพิงศีรษะลงกับขอบอ่างอย่างอ่อนแรง หยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาจนอาบไปทั่วทั้งใบหน้า จดหมายของอองรีไม่มีคำอาลัยอาวรณ์ที่เธออยากจะเห็นแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังมีคำประชดประชันให้เธอไปดูห้องที่จะจัดงานหมั้นอีกด้วย รจนาคิดด้วยความรู้สึกทั้งเสียใจและน้อยใจระคนกัน

เวลาต่อมา เธอและปลาเปิดประตูออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องเพื่อเตรียมลงไปทานอาหารเช้าและออกจากโรงแรม เธอยืนอยู่ที่หน้าห้องและมองไปยังประตูฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของอองรี สักพัก เหมือนกับบังเกิดความลังเลใจ

“พี่จ๋า เราไม่ปลุกพี่ฝรั่งให้ลงไปทานข้าวด้วยกันหรือ”เสียงปลาร้องถามด้วยความสดใส

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พี่เขาคงยังไม่ตื่น”

เธอกล่าวแล้วก็จูงมือปลาไปยังลิฟท์ในทันที ที่หลังประตูบานนั้น อองรียืนพิงประตูอยู่และได้ยินถ้อยคำที่เด็กน้อยและรจนาสนทนากันทุกถ้อยคำ เขาซบหน้ากับประตูบานนั้น แล้วใช้กำปั้นทุบที่ประตูหลายครั้งหลายหนด้วยความเจ็บช้ำใจ

รจนาทานอาหารเสร็จจึงพาปลาออกจากโรงแรมเพื่อกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอพัก เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็ถูกกุลวดีต่อว่าในทันที

“รจ เธอหายไปไหนมา รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“มีเรื่องอะไรหรือ”รจนาถามอย่างไม่สนใจ ขณะที่กำลังหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากตู้

“พี่หมอเขาโทรมาระบายใส่ฉันเป็นกระบุง เขารู้ว่าเธอไม่ได้กลับมาที่หอ เธอไปไหนมารจ...เธอไปอยู่กับอองรีมาใช่ไหม”

รจนาเบื่อที่จะตอบคำถาม เธอหยิบเสื้อผ้าแล้วเดินจะไปเข้าห้องน้ำ ทำให้กุลวดีรู้สึกไม่พอใจจึงกล่าวว่า

“รจ เธอทำเช่นนี้ได้อย่างไร เธอกำลังจะหมั้นกับพี่เขาในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว เธอยังจะไปค้างคืนกับผู้ชายคนอื่นอีกหรือ”

“กุล !”

รจนาหันกลับมาในทันทีด้วยความไม่พอใจ “เธอรู้จักกับฉันมานานเพียงใดแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงอย่างที่เธอกำลังกล่าวหาเช่นนั้นหรือ”

รจนากล่าวแล้วก็เดินออกจากห้องไปในทันที และเมื่อเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็กลับเข้ามาคว้ากระเป๋าของเธอแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจกุลวดีที่ร้องเรียกแล้ววิ่งตามหลังลงมา

“รจ เธอจะไปไหน แล้ววันนี้ไม่เรียนหรือ”

รจนาไม่ตอบคำแต่รีบลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว โดยมีกุลวดีวิ่งตามมาติดๆ ปลาเมื่อเห็นรจนาเดินลงบันไดมาก็วิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“เราจะไปหาแม่ของหนูได้แล้วใช่ไหมจ๊ะ”

“จ้ะ ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”

“ใครกันหรือ รจ”กุลวดีถามด้วยความสงสัยที่เห็นทั้งสองคนคุยกันด้วยความสนิทสนม

“คนที่ฉันนอนค้างด้วยเมื่อคืนนี้ไง” รจนาตอบเรียบๆแล้วจูงมือปลาเดินออกจากหอพักไปในทันที กุลวดีได้ยินเช่นนั้นก็รู้ตัวว่าเธอเข้าใจเพื่อนรักผิดไป จึงรีบกล่าวขอโทษ แล้วบอกว่าเธอจะรีบโทรไปอธิบายให้วัชรินทร์เข้าใจ แต่รจนากับกล่าวอย่างไม่ใยดีว่า

“ก็ตามใจเธอ พี่หมอเขาไม่เคยเข้าใจและไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันแม้แต่น้อย”

กุลวดีรีบกดโทรศัพท์ไปหาวัชรินทร์และอธิบายเรื่องที่เข้าใจผิดให้เขาทราบในทันที แต่เมื่อวางสายโทรศัพท์จากเขา ก็พบว่ารจนาพาเด็กน้อยคนนั้นขึ้นรถเมล์ที่หน้าหอพักไปแล้ว โดยที่เธอก็ไม่ทันถามด้วยว่า พวกเขากำลังจะไปไหนกัน

รจนาพาปลามาแวะซื้ออาหารและเครื่องดื่มก่อนที่จะพากันเดินขึ้นไปยังโรงพัก ปลาวิ่งเข้าไปโผกอดผู้เป็นแม่ผ่านลูกกรงในทันทีที่ขึ้นไปถึง ทั้งสองคนแม่ลูกกอดคอกันร้องไห้ระงมกันไปทั้งโรงพัก สร้างความเวทนาสงสารให้แก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก รจนาเดินเข้าไปแล้วยื่นอาหารและเครื่องดื่มที่เธอซื้อมาให้แก่แม่ค้าผู้นั้นที่หันมาขอบคุณเธอมากมายที่ช่วยดูแลบุตรสาวมาตลอดทั้งคืน รจนามองเห็นว่าแม่ค้าผู้นั้นมีผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมกายอยู่และข้างๆเธอก็มีน้ำดื่ม นมกล่องและขนมปังวางอยู่ เธอจึงถามด้วยความสงสัยว่า

“มีญาติมาเยี่ยมน้าด้วยหรือจ๊ะ”

“ไม่ใช่ญาติหรอกค่ะ ฝรั่งคนนั้นไงคะ คนที่มากับคุณเมื่อคืนนี้ เขากลับมาอีกครั้งตอนเกือบเที่ยงคืน แล้วเอาของพวกนี้มาให้ฉัน”

รจนารู้สึกคิดไม่ถึงที่อองรีจะกลับมาที่นี่พร้อมกับข้าวของเหล่านี้ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกว่า เขาไม่ใช่คนใจร้ายใจดำเกินไปนัก

“น้าคะ เรื่องของปลาลูกสาวของน้า ฉันคงไม่อาจที่จะดูแลเธอได้ตลอดไปหรอกนะ ระหว่างนี้น้าจะว่าอย่างไรคะ ถ้าฉันจะขอพาเธอไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กที่ปากเกร็ดเอาไว้ก่อน”

แม่ค้าคนนั้นมองดูบุตรสาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ขณะที่ปลาถามรจนาว่า

“ให้หนูอยู่กับพี่ไม่ได้หรือ”

“พี่ก็อยากให้หนูอยู่ด้วย แต่พี่ทำไม่ได้จริงๆ พี่ต้องอยู่หอพัก แล้วเขาก็ไม่อนุญาตให้เอาคนนอกเข้ามาอยู่ด้วยได้ หนูไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ก่อนนะ พี่สัญญาว่าพี่จะไปเยี่ยมหนูบ่อยๆ จนกว่าแม่ของหนูจะพ้นโทษออกมา”

สองแม่ลูกมองไม่เห็นทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จึงยินยอมทำตามที่รจนาเสนอ เมื่อทั้งสองแม่ลูกร่ำลากันแล้ว รจนาจึงจูงมือปลาเพื่อเตรียมเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์ต่อไป แต่เมื่อเธอเดินมาได้ไม่กี่ก้าวก็สวนทางกับผู้ชายสองคนแต่งตัวภูมิฐาน คนหนึ่งเป็นคนไทย ส่วนอีกคนเป็นชาวต่างชาติ เธอได้ยินเสียงชายคนไทยคนนั้นกล่าวกับร้อยเวรว่า เขามาติดต่อดำเนินการฟ้องร้องผู้ขายของละเมิดลิขสิทธิ์ที่ถูกจับกุมเมื่อคืนนี้ เธอหยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้ากับชายทั้งสองคนทันทีด้วยความโกรธแค้น

“ภูมิใจใช่ไหม เป็นคนไทยแต่ทำงานรับใช้ฝรั่งต่างชาติให้มากดขี่คนไทยด้วยกันเอง”

ทนายคนไทยคนนั้นหันมามองรจนาด้วยความสงสัยและตกใจ เพราะเขาไม่เคยรู้จักกับเธอมาก่อนแต่กลับถูกเธอต่อว่าต่อขานเช่นนี้กลางโรงพัก เขาพยายามที่จะชี้แจงเหตุผลความจำเป็น แต่รจนากลับไม่ยอมลดราวาศอก

“เงินของพวกเขา ทำให้คุณร่ำรวยขึ้นเพียงใดคะ กะอีแค่ขายกระเป๋าใบละไม่กี่ร้อย มันทำให้บริษัทฝรั่งเหล่านั้น รวยน้อยลงสักเท่าใดกันคะ”

เมื่อโดนด่าว่ามากๆเช่นนั้น ทนายผู้นั้นก็บันดาลโทสะ จึงขู่ว่าจะฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้ร้อยเวรต้องรีบไกล่เกลี่ยให้รจนาใจเย็นลงแล้วรีบออกไปเสียจากที่นี่ เพราะเกรงเรื่องราวจะบานปลายไปกันใหญ่ แต่ทนายผู้นั้นกลับยืนกรานที่จะฟ้องร้องเธอให้ได้ และขู่ที่จะฟ้องร้อยเวรผู้นั้นด้วยหากไม่ยอมดำเนินการตามที่เขาฟ้องร้อง ทำเอารจนาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวและสำนึกในความฉุนเฉียวของเธอที่กำลังนำความเดือดร้อนมาให้

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของชายชาวต่างชาติที่มากับทนายคนไทยก็ดังขึ้น เขารับโทรศัพท์แล้วพูดกับปลายทางอยู่สองสามคำ ก่อนที่จะหันมาปรามทนายคนไทยคนนั้นพร้อมกับหันกล่าวคำขอโทษอย่างสุภาพต่อรจนาพร้อมกับขอให้เธอออกไปจากที่นั่น รจนารีบถือโอกาสนั้น จูงมือปลาเดินลงจากโรงพักในทันที ขณะที่หูของเธอยังได้ยินเสียงโวยวายของทนายผู้นั้นที่ร้องตามหลังมาว่า

“จะไล่ผมออกหรือ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เส้นใหญ่มาจากไหน ทำไมผมจะฟ้องไม่ได้”

อองรีเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าแล้วมองดูรจนาจูงมือเด็กคนนั้นไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงพัก จนรถเมล์คันนั้นแล่นลับหายไปจากสายตา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา