มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  22.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2

อองรีมารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องปฐมพยาบาลของกองอำนวยการตลาดนัด จตุจักร และได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า เขาเป็นลมหมดสติไปขณะกำลังเลือกซื้อสินค้า อองรีไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงวินาทีเดียว เขารีบผลุนผลันออกจากสถานพยาบาลนั้น โดยไม่สนใจฟังคำทักท้วงของพยาบาลที่นั่นแต่อย่างใด เขารีบวิ่งไปยังร้านขายกุหลาบร้านนั้นในทันที แต่ไม่มีเงาร่างของเธอผู้นั้นอยู่ที่นี่อีกแล้ว เขาถามแม่ค้าเจ้าของร้านด้วยภาษาไทยที่กระท่อนกระแท่นของเขา ซึ่งเธอก็พอจะเข้าใจ และชี้แจงว่า หญิงสาวผู้นั้นได้จากไป หลังจากเรียกหน่วยพยาบาลมาดูแลเขาเรียบร้อยแล้ว

“เธอยังฝากบอกด้วยนะคะว่า เธอได้เลือกกุหลาบต้นอื่นไปแทนแล้ว เผื่อว่าถ้าคุณยังอยากได้กุหลาบต้นนี้”

อองรีกลับมายังคอนโดพร้อมกับกุหลาบต้นนั้น เขาโอบอุ้มมันวางลงบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม มือของเขาลูบไล้สัมผัสรอบๆกระถางของมันอย่างแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกว่า บริเวณนี้ เคยถูกสัมผัสด้วยมือของหญิงสาวผู้นั้นมาก่อน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นักกีฬาของโรงเรียนเช่นเขา จะมาเป็นลมได้ง่ายๆเช่นนี้ เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้งเขา พระองค์ส่งเธอมาในความฝันของเขา หลายครั้งหลายหน ทำให้เขาหลงใหลในตัวเธอ และเมื่อเขาได้พบกับเธอ ก็ทรงแกล้งให้เขาเป็นลมหมดสติ ไปง่ายๆเช่นนี้ เธอมีตัวตนจริงๆ อองรีเฝ้าบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป เธอมีตัวตนจริงๆ และเขาคิดว่า เขาเคยรู้จักเธอมาก่อน โดยที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ รู้สึกอยากจะอาบน้ำ แต่เมื่อเขาถอดเสื้อออก จึงได้พบกับผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา เขาค่อยๆหยิบออกมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว ผ้าเช็ดหน้าเล็กๆผืนหนึ่ง สีขาวขลิบด้วยผ้าลูกไม้สีชมพูรอบด้าน ดูจากคุณภาพของเนื้อผ้าแล้ว ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าที่มีราคามากมายแต่อย่างใด แต่ในความรู้สึกของอองรีแล้ว มันเป็นผ้าเช็ดหน้าที่มีค่ากับเขายิ่งนัก เขาพบว่าที่มุมด้านหนึ่งของผ้านั้น มีด้ายสีแดงปักเป็นตัวอักษรไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเขาอ่านไม่ออก แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นชื่อของเธอคนนั้นผู้เป็นเจ้าของผ้าผืนนี้ เขาค่อยๆพับผ้าผืนนั้นอย่างทะนุถนอม ยกขึ้นสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆที่ติดมาด้วยความชื่นใจ ก่อนที่จะเก็บลงในลิ้นชักเพราะเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

แม่บ้านที่เขาว่าจ้าง นำเสื้อผ้าที่ซักรีดเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมาส่งที่ห้อง อองรีหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ออกมาให้เธอช่วยอ่านอักษรภาษาไทยที่ปักอยู่บนผ้าผืนนั้น

“อ่านว่ารจนาค่ะ คุณอองรี”

“หมายถึงอะไรครับ” เขาถามด้วยความสนใจ

“น่าจะเป็นชื่อของผู้หญิงนะคะ”เธอกล่าวแล้วก็ยิ้มๆ “สาวที่ไหนให้มาคะ เขาว่าถ้าผู้หญิงให้ผ้าเช็ดหน้า หมายความว่า ผู้หญิงรักนะคะ”

อองรียิ้มตอบแบบเขินๆ ก่อนจะปฎิเสธไปว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่เขาเก็บได้ เมื่อแม่บ้านออกไปแล้ว เขาก็เข้าไปนอนแช่น้ำในห้องน้ำ พลางครุ่นคิดถึงแต่ชื่อ รจนา ซึ่งคุ้นหูเขาอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น รูปร่างหน้าตาของเธอ ก็คุ้นตาเขาเหลือเกิน ราวกับว่าเขาเคยรู้จักกับเธอมาก่อนเช่นนั้น แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ว่า วรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทองที่ นงนุช ภรรยาของศักดา เคยเล่าให้เขาฟังนั้น นางเอกของเรื่องชื่อ รจนา ใช่แล้ว รจนา ตุ๊กตาเจ้าเงาะป่า ผู้หญิงในฝัน ผู้หญิงในความเป็นจริง ทำไมจึงได้ผูกพันกันโดยบังเอิญเช่นนี้

อองรีรีบขึ้นจากน้ำด้วยความรู้สึกที่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เขารีบแต่งตัวแล้วค้นหาข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ในทันที เขาใช้เฟซบุค ค้นหาข้อมูลของคนชื่อรจนา มีคนไทยชื่อรจนาที่เล่นเฟซบุค ปรากฏขึ้นนับร้อยราย เขาค่อยๆไล่เรียงไปทีละชื่อ แม้จะรู้ว่าข้อมูลและรูปภาพในเฟชบุค อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป เขาตัดคนชื่อรจนา อายุ 75 ปีออกไป รวมทั้งรจนาอีกหลายคนที่เขาคิดว่าไม่น่าจะใช่ รจนาบางคนใช้รูปประจำตัว เป็นรูปผลเงาะ บางคนใช้รูป เจ้าเงาะป่าอย่างที่เขามี บางคนใช้รูปพวงดอกไม้ บางคนใช้รูปเปลือกหอย อองรีสะดุดใจที่รจนาคนหนึ่งที่ใช้รูปประจำตัวเป็นรูปดอกกุหลาบ แต่เมื่อค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็ไม่พบอันใดนอกจากบอกว่า บ้านอยู่ที่อยุธยา เขาจึงตัดรายชื่อเธอออกเช่นเดียวกับรายอื่นๆ ก่อนที่จะกลับไปนอนพักบนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย

เวลาผ่านไปอีกหลายวันด้วยความสิ้นหวัง เขาได้ไปทานอาหารเย็นย่านชิดลม และใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นอย่างไร้จุดหมายอยู่แถวนั้น ขณะกำลังจะเดินเข้าศูนย์การค้าแห่งหนึ่งนั้น จมูกของเขาก็ได้สัมผัสกับกลิ่นหอมที่เขารู้สึกคุ้นเคย อีกครั้งหนึ่ง เป็นกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่เขาสามารถได้กลิ่นและจดจำได้อย่างชัดเจน แม้จะสงสัยว่า ในท่ามกลางสถานที่อันพลุกพล่าน ท่ามกลางจราจรที่หนาแน่นเช่นนี้ ทำไมเขายังคงได้กลิ่นหอมนี้อยู่ ขณะที่เขากำลังเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมอันเหมือนมีมนต์นั้น ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน ผู้หญิงสาวคนนั้น คนที่เขาเฝ้าติดตามใฝ่ฝันหา ได้ปรากฏกายขึ้น เธอกำลังเดินอยู่บนทางเท้าฝั่งตรงข้าม ด้วยท่าทางเยื้องกราย ช้าๆแต่สง่างาม ดังเช่นที่เขาได้พบเห็นในความฝัน เธอสวมใส่ชุดนักศึกษา มือข้างขวา หอบหนังสือแนบอก กำลังเดินมุ่งหน้าไปตามทางเท้า อองรีพยายามที่จะหาทางข้ามถนนอย่างเร่งรีบ แต่ติดที่เป็นจังหวะสัญญาณไฟเขียวให้รถวิ่ง เขาจึงต้องรอด้วยความกระวนกระวายใจ แต่เมื่อเขาเห็นเธอเดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้าแล้ว อองรีก็รีบขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้า ทางฝั่งของตนทันที โดยไม่ทันคิดว่า บนสถานีรถไฟฟ้านั้น มีรางรถไฟขวางกั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจข้ามไปยังฝั่งของเธอได้ อองรีมองเห็นเธอยืนคอยรถไฟฟ้าอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยอาการสงบและสำรวม ตรงกันข้ามกับเขาที่แทบจะคลุ้มคลั่งตายเสียให้ได้ รถไฟฟ้าแล่นเข้ามาเทียบที่ฝั่งของเธอ เขาเห็นเธอเดินเบียดผู้คนเข้าไปในรถ และก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนตัวออกไปนั้น สายตาของเธอก็เหลือบขึ้นมาและประสานสายตากับเขาพอดี เขารู้สึกว่า เธอมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นเขา ก่อนที่รถไฟฟ้าขบวนนั้นจะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป และลับหายไปจากสายตาของเขา ในที่สุด

จากการที่เขาได้พบกับเธอโดยบังเอิญที่สถานีรถไฟฟ้าย่านชิดลม ในสภาพที่เธอสวมใส่ชุดนักศึกษานั้น เขาเห็นเข็มกลัดที่เธอกลัดบนเครื่องแบบที่เป็นสัญลักษณ์เดียวกับเข็มกลัดที่อลิสากลัด ในยามที่สวมใส่เครื่องแบบนักศึกษาแล้ว จึงทำให้อองรีคาดเดาเอาว่า เธอจะต้องศึกษาอยู่ที่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย แน่ แต่ปัญหาสำหรับเขาก็คือ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ใหญ่โตและกว้างขวางมาก เขาจะหาเธอพบได้อย่างไร แต่ถึงแม้จะลำบากยากเย็นเพียงใด เขาก็ไม่ละความพยายาม โดยการเฝ้าตระเวนไปตามคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น เขาตั้งใจไปทานอาหารกลางวันที่นั่น วันละคณะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่ก็ไม่ได้ผลตามที่เขาคาดหวังแต่อย่างใด

เขาเริ่มรู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวังอีกครั้ง รวมทั้งนึกสมเพชเวทนาตนเองที่เฝ้าติดตามผู้หญิงคนหนึ่งอย่างไม่รู้เหตุผล ไม่รู้สาเหตุเช่นนี้ บัดนี้ ใกล้ถึงวันคริสต์มาส ที่เขาจะต้องกลับฝรั่งเศสแล้ว เขาคิดว่า ทางที่ดีที่สุดคือกลับไปฝรั่งเศส แล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมทั้ง เธอคนนั้น นางในฝันของเขา

อลิสาได้โทรมาแจ้งว่า ศักดาอยากจะเลี้ยงส่งให้แก่เขา อองรีตอบรับด้วยความยินดี แต่เขาขอเป็นฝ่ายเลี้ยงขอบคุณที่ศักดาและครอบครัวได้ดูแลเขาเป็นอย่างดีในช่วงที่เขามาอยู่ที่นี่ ศักดา นงนุชและบุตรสาวทั้ง 2 คน มารับอองรีที่คอนโดของเขา แล้วพากันนั่งรถไฟฟ้า ไปยังร้านอาหารที่ย่านทองหล่อ ทั้งหมดนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีทองหล่อ จากนั้นจึงเดินเข้าซอยไปอีกไม่ไกลเท่าใดนัก ก็ถึงร้านอาหารไทย ที่มีชื่อว่า “กระท่อมปลายนา” ภายในร้าน มีลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ นั่งอยู่มากมาย ดีแต่ว่าศักดาได้จองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ต้องรอคิวเหมือนลูกค้าบางกลุ่ม

บรรยากาศภายในร้านตบแต่งด้วยศิลปะแบบไทยๆ ใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลักเสียส่วนใหญ่ อองรีได้มอบหน้าที่ในการสั่งอาหารแก่อลิสาและอรอุมาดำเนินการ ในขณะที่ตัวเขากลับสนใจอยู่กับบรรยากาศรอบๆร้านด้วยความสนใจ เขาไม่เคยเห็นเรือนทรงไทยมาก่อน เมื่อได้มาพบเห็นที่ร้านนี้ จึงมองดูด้วยความสนใจและหลงใหลในความงามของสถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ที่ดูสง่างามขณะเดียวกันก็แฝงไว้ซึ่งความงดงามอ่อนช้อยอยู่ในตัว และที่สำคัญ เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันราวกับว่าได้เคยอยู่อาศัยในเรือนที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อน

เมื่อรับประทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็นำผลไม้หลากชนิดมาให้บริการ ขณะนั้นเอง จมูกของเขาก็เริ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกุหลาบที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง ประสาทสัมผัสทั่วร่างกายของเขาตื่นตัวขึ้นในทันที เขาเหลียวมองรอบกายก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเข้ามาใหม่ ซึ่งต่างพากันทยอยเข้ามานั่งคนแล้วคนเล่าจนครบ แต่ก็ไม่มีร่างของหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองหาแต่อย่างใด อองรีต้องลอบถอนหายใจด้วยความผิดหวังอีกครั้ง

ไฟในร้านหรี่ลงเล็กน้อย เพื่อไปเน้นส่องสว่างบนเวทีเล็กๆที่อยู่กลางร้าน เสียงบรรเลงเพลงจากเครื่องดนตรีไทย ดังมาจากบนเวที อองรีเหลือบสายตาขึ้นดูแล้วก็ต้องตกตะลึง ผู้หญิงที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดหลายวัน ยามนี้ เธอกำลังปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขา อยู่ห่างจากโต๊ะที่เขานั่งเพียงไม่เท่าไร เธอสวมใส่ชุดสไบเฉียงสีเหลืองสดใส ซึ่งช่วยขับผิวพรรณอันผุดผ่องของเธอให้ดูนวลตายิ่งขึ้น เธอนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นเวที แผ่นหลังยืดเหยียดตรง ขณะที่สายตาและมือทั้งสองข้างจดจ้องอยู่กับ ขิม เครื่องดนตนรีที่วางอยู่เบื้องหน้า เส้นผมยาวเหยียดตรงของเธอ ถูกหวีปัดไปด้านข้างด้านหนึ่ง เหมือนดังที่เขาได้พบทุกครั้งในความฝัน เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เธอมีดอกไม้สีชมพูดอกหนึ่งทัดอยู่ที่ข้างหู ความงามของเธอที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของเขาเวลานี้ สามารถสะกดผู้คนในที่นั้นให้ต่างพากันหยุดนิ่ง และเมื่อเธอเริ่มบรรเลงดนตรีด้วยขิมที่วางอยู่เบื้องหน้าด้วยแล้ว ก็ทำให้หลายคนในที่นั้นหยุดนิ่งจนแทบลืมหายใจ

เธอบรรเลงเพลงแรกจบลง และได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องไปทั้งร้าน เธอพนมมือไหว้ขอบคุณด้วยท่าทางที่อ่อนช้อย น่าหลงใหล ก่อนที่จะเริ่มบรรเลงเพลงที่ 2 และ 3 ติดต่อกัน อันเป็นการจบการแสดงของเธอ เธอไหว้ลูกค้าอีกครั้ง ก่อนค่อยๆคลานเข่ามาทางท้ายเวที แล้วเดินลงมาจากเวที เพื่อขอบคุณลูกค้าที่นั่งอยู่แต่ละโต๊ะ ลูกค้าหลายคนไม่รีรอ ที่จะขอถ่ายรูปคู่กับเธอพร้อมกับส่งทิปให้เป็นค่าตอบแทน อองรีเห็นลูกค้าหลายคนทำเช่นนั้น จึงหันไปกล่าวแก่อลิสาว่า

“ลิซ่า ผมอยากถ่ายรูปกับผู้หญิงในชุดไทยบ้าง”

อลิสารับคำด้วยความยินดี อองรีจึงส่งโทรศัพท์มือถือของเขาให้แก่อลิสา แล้วรอจนหญิงสาวคนนั้นเดินทักทายลูกค้าในร้านมาจนถึงโต๊ะของเขา แต่เมื่อเธอได้สบตากับอองรี ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของเธอก็กลับเรียบเฉย เหมือนกับกำลังใช้ความคิด ก่อนที่จะกลับมายิ้มดังเดิมราวกับจะนึกได้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำต่อหน้าลูกค้า ต่างจากอองรี ที่ไม่อาจจะยิ้มได้เลยเพราะรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวไปหมด เขากลัว กลัวว่าเธอจะหนีไปจากเขาอีก

“อ้าว ยิ้มหน่อยสิ อองรี ดูสิหน้าบึ้งเชียว” เสียงของอลิสากล่าวเตือน ทำให้อองรีคืนสติกลับมาได้และรีบปั้นยิ้มขึ้นมาในทันที เขาถ่ายรูปคู่กับเธอ อีก 2-3 ภาพ ก่อนที่จะหยิบธนบัตรใบละ 1,000 บาทออกมาส่งให้แก่เธอ

“ดิฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันมากเกินไป”เธอกล่าวเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

อองรีพยายามรบเร้าให้เธอรับแต่เธอยังคงบ่ายเบี่ยงปฎิเสธ แล้วอลิสาก็สร้างความไม่พอใจให้แก่อองรีด้วยการที่ดึงธนบัตรใบนั้นออกจากมือของเขาแล้วยัดเยียดธนบัตรใบละ 20 บาท ให้แก่เธอแทน ก่อนที่จะกึ่งลากกึ่งจูงมือของเขากลับมานั่งที่เดิม อองรีรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของอลิสา แต่ก็ยังเห็นแก่ศักดา จึงไม่อาจตำหนิเธอได้แต่ประการใด

อองรีมองดูเธอเดินกลับไปทางหลังร้าน จึงแสร้งทำอุบายขอตัวจะไปเข้าห้องน้ำ เขายืนเก้ๆกังๆ อยู่ตรงทางเดินแคบๆ อยู่สักพัก ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ได้มาถามเขาว่ามีอะไรจะให้ช่วยเหลือหรือไม่ อองรีจึงบอกว่า เขากำลังมองหาห้องน้ำ เธอก็รีบชี้มือบอกทางในทันที อองรีเดินไปตามทางอย่างช้าๆ ขณะที่หูของเขาก็ได้ยินเสียงเจ้าของร้านผู้นั้นกำลังกล่าวกับใครคนหนึ่งว่า

“รจ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วอยู่ช่วยน้าก่อนนะ วันนี้คนจดอาหารขาดไปคนหนึ่ง ลูกค้าเยอะเสียด้วยสิ”

“ค่ะ” เสียงรับปากจากรจนา ทำให้เขาต้องหันกลับมามองและได้สบตากับเธอพอดี รจนามีท่าทางตกใจเล็กน้อย ก่อนที่จะค้อมศีรษะของเธอลง เหมือนกับพยายามจะหลบสายตาของเขา

อองรีเดินกลับมานั่งที่เดิม หลังจากนั้นรจนาก็ออกมาที่หน้าร้านอีกครั้งในเครื่องแบบนักศึกษาของเธอ ที่มีผ้ากันเปื้อนสีเขียวคลุมทับอยู่ เธอเดินจดรายการอาหารตามโต๊ะต่างๆ ด้วยภาษาอังกฤษอย่างแคล่วคล่อง อองรีรอจนเธอจดรายการอาหารโต๊ะข้างๆเสร็จแล้ว จึงได้ยกมือขึ้น รจนาเมื่อเห็นเช่นนั้น จึงเดินเข้ามาด้วยท่าทางประหม่าและสำรวม

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” เธอถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ

“ผมอยากจะได้ไอศกรีมสักถ้วย” อองรีกล่าวตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน ในขณะที่สายตาก็มองดูแผ่นป้ายพลาสติกที่กลัดอยู่บนเสื้อของเธอ ที่อ่านเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “รจนา”

“เสียใจด้วยค่ะ ทางร้านเราไม่มีไอศกรีมจำหน่าย แต่ถ้าคุณอยากทานของหวาน เราขอแนะนำของหวานแบบไทยๆ วันนี้ทางร้านของเรามีทับทิมกรอบ ไว้บริการ ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมคะ”

อองรีสั่งทับทิมกรอบ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขนมหวานที่ว่านั้น หน้าตาและรสชาติจะเป็นเช่นไร เขาทานอาหารเสร็จและเดินทางโดยรถไฟฟ้ากลับมายังคอนโดของเขาพร้อมกับครอบครัวของศักดา ที่ต้องกลับมาเอารถที่จอดทิ้งไว้ เมื่อร่ำลากันเสร็จและเห็นรถของศักดาขับออกไปแล้ว อองรีก็ไม่รอช้า รีบวิ่งกลับไปยังสถานีรถไฟฟ้าในทันที เขากลับไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางกลับไปยังร้านอาหารแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาขยับข้อมือดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา ด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่ม และรู้สึกว่า รถไฟฟ้าขบวนนี้ช่างวิ่งช้าเสียเหลือเกิน เขาเฝ้านับสถานีแต่ละแห่งที่ผ่านมาด้วยใจที่จดจ่อ และทันทีที่ประตูรถเปิดออกที่สถานีทองหล่อ เขาก็พุ่งตัวออกจากรถในทันที แล้ววิ่งลงจากสถานีไปตามทางที่จะไปยังร้านอาหารอย่างรวดเร็ว เขาเลี้ยวโค้งที่มุมถนน และมองเห็นร้านนั้นอยู่เบื้องหน้าแล้ว แต่เขาก็เห็นไฟในร้านเริ่มทยอยดับลงทีละดวงๆ จนเหลือเพียงไฟดวงเล็กๆที่ประตูทางเข้าร้านเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แผ่นหลังเริ่มชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาวของเดือนธันวาคมก็ตาม เขามาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน หายใจหอบอย่างแรง ขณะที่เจ้าของร้านคนนั้นกำลังคล้องกุญแจล็อคประตูร้านของเธออยู่

“ขอโทษครับ ผมอยากทราบว่าคุณรจนา กลับไปหรือยังครับ”

อองรีพยายามเรียบเรียงคำพูดและกล่าวออกมาเป็นภาษาไทยให้ชัดเจนที่สุด เจ้าของร้านผู้นั้นขยับแว่นตามองดูเขาด้วยความสงสัยและไม่ค่อยไว้วางใจ อองรีถามย้ำด้วยประโยคเดิมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ตั้งใจพูดให้ช้าๆชัดๆยิ่งขึ้น

“เธอกลับไปแล้วค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

อองรีรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในทันที แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงได้ถามว่า เขาจะพบเธอได้ที่ไหน แต่เจ้าของร้านผู้นั้นได้แนะนำให้เขามาใหม่ในวันรุ่งขึ้น

“พรุ่งนี้ ไม่ได้ครับ เพราะผมต้องบินกลับในวันพรุ่งนี้แล้วครับ”

เจ้าของร้านผู้นั้นมองอองรีอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“คุณเป็นลูกค้าที่มากับกลุ่มคุณศักดา ใช่ไหมคะ”

อองรีรีบรับปากด้วยความยินดีและรู้สึกมีความหวังขึ้นมาในทันที

“เธอกลับไปหอพักได้สักครู่ใหญ่ๆแล้วค่ะ”

“หอพัก หรือครับ”อองรีทวนคำ “เธอพักที่ไหนหรือครับ แล้วคุณพอจะมีเบอร์โทรศัพท์ของเธอไหมครับ”

ท่าทางของเขาดูร้อนรนจนดูน่าสงสาร ทำให้เจ้าของร้านผู้นั้นค่อยคลายความระแวงในตัวเขาลง จึงได้บอกว่า

“เธอพักอยู่ที่หอพักนักศึกษาหญิงของจุฬาค่ะ เธอไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ถ้าคุณจะติดต่อ ลองติดต่อที่เบอร์ของเพื่อนร่วมห้องของเธอดูนะคะ”

อองรีรีบกดเบอร์โทรศัพท์ตามที่เธอบอกในทันที เสียงสัญญาณปลายทางดังขึ้น เขาถือโอกาสช่วงที่รอสายนี้กล่าวขอบคุณเจ้าของร้าน และเดินจากมาเพื่อที่จะเรียกรถแท็กซี่ เสียงหญิงสาวจากหมายเลขปลายทางที่เขาเรียก รับสายด้วยน้ำเสียงราวกับคนเพิ่งตื่นนอน อองรีขยับข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว แต่เพื่อนของเธอที่ปลายทางบอกว่า เธอยังเดินทางกลับมาไม่ถึง อองรีจึงได้แต่กล่าวคำขอบคุณ แล้วขึ้นนั่งบนรถแท็กซี่ที่มาจอดรับ เพื่อออกเดินทางไปยังหอพักของเธอในทันที

การจราจรที่ลื่นไหลในช่วงกลางดึกเช่นนี้ ทำให้เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดหมายปลายทาง อองรีเดินลงจากรถแล้วตรงไปยังป้อมยามที่อยู่ข้างๆประตูเหล็กของหอพักแห่งนั้นพร้อมกับพยายามเรียบเรียงคำพูดแล้วกล่าวเป็นภาษาไทยอย่างช้าๆว่าเขามีธุระสำคัญต้องการพบกับใครคนหนึ่งที่พักอยู่ในหอพักแห่งนั้น แต่ยามผู้นั้นปฏิเสธกลับมา ด้วยภาษาไทยที่พูดเร็วมากจนเขาฟังไม่ทัน แต่ดูจากอากัปกิริยาของเขาที่ชี้ให้ดูนาฬิกาข้อมือแล้วแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่า เกินกำหนดเวลาที่จะเข้ามาพบใครในสถานที่แห่งนี้แล้ว เขาจึงทำได้แต่เพียงเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงหลังนั้นที่ไฟบางห้องยังคงเปิดสว่างอยู่และหนึ่งในห้องเหล่านั้น ต้องเป็นห้องพักของเธอแน่นอน อองรีมองดูอยู่สักพักก็หันหลังเดินจากมาด้วยความผิดหวัง

เขาเดินไปตามทางเท้าที่เงียบสงัดด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย อากาศที่หนาวเย็นไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของเขาลงได้เลย เขาเดินลากเท้าไปอย่างไร้จุดหมาย ผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะที่มีไฟสลัวๆแห่งหนึ่งอย่างไม่สนใจ จนกระทั่งได้ยินสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในตู้นั้น จึงทำให้เขาต้องหยุดแล้วหันมามองดูด้วยความสนใจ แล้วหัวใจของเขาก็ต้องเต้นอย่างแรงด้วยความตื่นเต้น เมื่อพบว่าเป็นรจนา ที่เขากำลังตามหานั่นเองที่กำลังใช้โทรศัพท์อยู่ในตู้นั้น อองรียืนคอยอยู่ข้างนอกด้วยความยินดีและเฝ้าดูเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคนก่อนที่จะวางสายในเวลาไม่นาน เขาเห็นเธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายของเธอ ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าใส่เศษสตางค์ใบเล็กๆออกมา

รจนาพยายามเทเศษสตางค์ออกจากกระเป๋าใบนั้น เพื่อจะใช้ในการโทรศัพท์ แต่ไม่มีเศษสตางค์เหลือติดกระเป๋าเลย เธอถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนที่จะเก็บกระเป๋าใบเล็กนั้นลงตามเดิมแล้วเปิดประตูตู้โทรศัพท์ออกมา เธอมีท่าทีตกใจเล็กน้อยที่เห็นชาวต่างชาติคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก ก่อนที่จะกระชับเสื้อคลุมตัวบางๆของเธอ แล้วหอบหนังสือเรียนแนบอก ค่อยๆเดินเลี่ยงไป

“คุณครับ” อองรีเรียกเธอเบาๆ แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้เธอหยุดชะงักแล้วหันมาทันที

“คะ คุณเรียกฉันหรือคะ” เธอถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“ครับ”อองรีพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังนุ่มนวลที่สุด “ผมเข้าใจว่า คุณกำลังหาเงินเหรียญที่จะใช้โทรศัพท์ ใช่ไหมครับ”

รจนานิ่งเงียบไป เหมือนกำลังไตร่ตรองบางสิ่งก่อนที่จะตอบว่า

“ค่ะ ฉันกำลังจะไปขอแลกที่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม”

เธอกล่าวจบพร้อมกับค้อมศีรษะเป็นเชิงคำนับ เพื่อขอปลีกตัวไปทำธุระของเธอต่อไป อองรีรีบสาวเท้าเข้ามายืนขวางทางของเธอไว้ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งให้แก่เธอ

“ได้โปรด อย่าปฏิเสธความปรารถนาดีของผมเป็นครั้งที่สองเลยครับ”

“คะ?” เธอทวนคำด้วยความสงสัยในสิ่งที่เขาพูด

“วันนี้ คุณปฏิเสธที่จะรับเงินค่าทิปจากผมมาแล้วครั้งหนึ่ง”

เธอยิ้มที่มุมปากครั้งหนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ แต่ก็ทำให้อองรีรู้สึกว่า เป็นรอยยิ้มที่น่ารักจับใจเหลือเกิน

“คุณนั่นเอง ขอโทษค่ะที่จำไม่ได้ในครั้งแรก ที่ฉันปฏิเสธไม่รับเงินค่าทิปจากคุณนั้น เพราะฉันเกรงว่าคุณกำลังสับสนเกี่ยวกับธนบัตรในประเทศของฉัน จนอาจจะหยิบผิดหยิบถูก ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเงินของคุณเลยนะคะ”

อองรีรู้สึกชื่นใจและมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด ขณะที่รจนาก็คลายความวิตกหวาดกลัวในตัวเขาลงไปได้มาก

“ผมไม่ได้เข้าใจผิดหรอกครับ แต่ผมตั้งใจให้เช่นนั้นจริงๆ เพราะผม...เอ้อ..ประทับใจในการแสดงของคุณเป็นอย่างมาก”

“ขอบพระคุณค่ะ” รจนากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้และย่อเข่าด้วยท่าทางที่ชดช้อยที่อองรีไม่เคยเห็นว่าใครจะสามารถไหว้ได้งดงามเท่ากับเธออีกแล้ว “แต่มันเป็นเงินจำนวนมากเกินไปกว่าที่จะเป็นค่าทิปค่ะ เพื่อนคนไทยของคุณทำถูกแล้วล่ะค่ะที่ทำเช่นนั้น”

“เพราะเหตุนี้ผมจึงต้องตามหาคุณเพื่อกล่าวคำขอโทษ” อองรีรู้สึกขุ่นเคืองและอับอายเมื่อนึกถึงการกระทำของอลิสาขึ้นมา

“ขอโทษหรือคะ คุณจะขอโทษเรื่องอะไรคะ”

“ขอโทษในการกระทำของเพื่อนของผม เป็นการกระทำที่หยาบคายมาก การดึงเงินออกจากมือของใครก็ตาม ถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายมาก”

“ดิฉันไม่ถือสาหรอกคะ คุณอย่าเก็บมาเป็นกังวลเลยนะคะ”

“แต่ถึงกระนั้นผมก็อยากจะขอโทษ” เขากล่าวแล้วก็ยกมือไหว้แบบเก้ๆกังๆ ทำให้รจนาต้องอมยิ้มในขณะที่ยกมือไหว้ตอบเขา

“เมื่อครู่คุณบอกว่าคุณตามหาฉัน ใช่คุณหรือเปล่าคะที่โทรไปหาเพื่อนของฉัน”

“ครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของคุณและเพื่อนของคุณ แต่ผมมีความจำเป็นจริงๆที่ต้องพบกับคุณให้ได้ในคืนนี้”

คิ้วเรียวงามของรจนาต้องขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกชื่นชมในความสุภาพอ่อนโยนของเขา ที่แตกต่างจากชาวต่างชาติคนอื่นๆที่เธอเคยพบมา

“คือว่า พรุ่งนี้ผมต้องเดินทางกลับแล้ว ถ้าหากว่าผมไม่ได้พบกับคุณ และ เอ้อ....กล่าวคำขอโทษคุณแล้ว ผมคงจากไปด้วยความไม่สบายใจ”

“ถ้าเช่นนั้นคุณก็สบายใจได้แล้วสิคะ”

“ยังครับ”

คราวนี้ใบหน้าที่งดงามของเธอเริ่มแสดงถึงความไม่พอใจออกมาเมื่อรู้สึกว่า กำลังถูกตามตื๊ออย่างไม่ยอมเลิกรา อองรีเห็นสีหน้าของเธอเช่นนั้นจึงรีบกล่าวว่า

“เพราะคุณยังปฏิเสธความปราถนาดีของผมในการให้คุณยืมใช้โทรศัพท์อยู่ ถ้าคุณมีความจำเป็นก็ใช้เถิดครับ เพราะนี่เป็นเครื่องที่ผมซื้อไว้สำหรับใช้ที่เมืองไทย พรุ่งนี้เมื่อผมเดินทางกลับแล้ว เงินที่เหลืออยู่ในเครื่องก็จะสูญไปเปล่าๆอยู่ดี”

รจนาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนที่จะค่อยๆยื่นมือออกมารับโทรศัพท์เครื่องนั้นอย่างช้าๆ เธอกล่าวคำขอบคุณเบาๆ ก่อนที่จะก้าวกลับเข้าไปในตู้โทรศัพท์ และใช้เวลาไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้แก่เขาและกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง

“ขอบคุณค่ะ ฉันคงต้องแยกไปแล้ว ขอให้คุณเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะคะ”

อองรีต้องใช้ความคิดอย่างหนักว่าทำอย่างไรถึงจะได้อยู่คุยกับเธออีก เพราะหากปล่อยให้เธอเดินจากไปเช่นนี้แล้ว เขาคงไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับเธออีก เขารีบก้าวตามเธอไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ก้าวก็สามารถก้าวทันการเดินอันเชื่องช้าแช่มช้อย ที่ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของเธอได้ทัน

“คุณครับ ขอโทษที่ผมบังอาจถาม แต่ว่าคุณกำลังจะไปไหนครับ หอพักของคุณก็ปิดแล้ว คุณจะไปอยู่ที่ไหนครับ”

รจนาหยุดเดินแล้วกล่าวกับเขาว่า

“เมื่อสักครู่ที่ฉันขอยืมโทรศัพท์จากคุณ ก็เพื่อโทรไปหาเพื่อนที่อยู่แถวนี้ เพื่อขออาศัยค้างบ้านเธอสักคืนหนึ่ง ซึ่งเธอก็ยินดี”

“นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณเดินทางตามลำพังอาจจะไม่ปลอดภัย อนุญาตให้ผมเดินไปเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมครับ”

ทั้งสองคนสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ อองรีนั้นใช้สายตาแสดงออกถึงการวิงวอนขอร้อง ส่วนรจนานั้นเหมือนกับจะใช้สายตาอ่านเข้าไปให้ลึกถึงในใจของชายหนุ่มที่แสนจะสุภาพอ่อนโยนคนนี้ ก่อนที่จะตอบกลับเขาว่า

“ ตามใจค่ะ ถ้าคุณไม่กลัวเมื่อยนะคะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา