มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  22.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) บทที่ 20

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 20

พระอองรีได้ขอให้สิงห์ไปแจ้งแก่กุลวดีว่า ท่านอยากจะพบกับหมอวัชรินทร์ กุลวดีจึงได้ติดต่อไปยังวัชรินทร์และเดินทางมาพบกับพระอองรีในวันหนึ่ง โดยมีกุลวดีและสิงห์นั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย

“ที่อาตมาเชิญโยมมาพบในวันนี้เพราะอาตมาอยากจะถามโยมเกี่ยวกับการรักษาอาการตาบอดของโยมรจนาว่าพอมีหนทางใดทำได้บ้าง”

“ช่วงนี้ได้แต่รอรับการบริจาคครับ ผมก็พยายามติดตามอยู่ แต่คนที่รอรับการบริจาคนั้นมากกว่าคนที่บริจาคมากนัก”

“นอกจากคิวที่ต้องรอนานแล้ว ยังต้องคัดเลือกการเข้ากันได้ การยอมรับของร่างกายด้วยอีกหรือไม่”

“ไม่ค่อยเท่าไรครับ ส่วนของกระจกตาที่เราจะเปลี่ยนแทนกันนั้น เป็นส่วนที่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงน้อยมาก ปกติแล้วการเปลี่ยนอวัยวะที่จะมีปัญหาการเข้ากันได้นั้น จะเป็นกับอวัยวะที่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมากๆเท่านั้น ส่วนกระจกตานั้น แทบจะไม่มีปัญหานี้ หรือถ้าจะมีก็สามารถทานยาลดการต่อต้านได้ครับ”

“อาตมาก็พอจะทราบมาเช่นนั้น แต่ต้องการความมั่นใจจึงได้เชิญโยมมาพบในวันนี้ ”พระอองรีกล่าวอย่างเคร่งขรึมจนทุกคนพากันนั่งนิ่งไปหมดเพื่อรอฟังท่านกล่าวต่อ

“อาตมามีเรื่องอยากจะขอให้โยมช่วย”

“เรื่องอันใดหรือครับ”วัชรินทร์ถามด้วยความสงสัย

“อาตมาจะสละดวงตาให้แก่โยมรจนาข้างหนึ่ง โยมจะช่วยเป็นธุระได้ไหม”

กุลวดีและสิงห์ต่างพากันอุทานและทักท้วงห้ามปรามออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน แต่พระอองรีก็ยังคงยืนกรานในความตั้งใจของท่าน วัชรินทร์ที่มีอาการตกใจในตอนแรกเช่นกัน ได้กล่าวว่า

“ผมเองก็อยากจะช่วยให้เธอหายเป็นปกติเช่นกัน แต่การบริจาคดวงตาทำได้กับผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้ว หรือเป็นญาติพี่น้องกันเท่านั้นครับ กับคนปกติดีๆแล้วกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำครับ เพราะเกรงจะเกิดการข่มขู่หรือซื้อขายอวัยวะกันเกิดขึ้น”

“อาตมาทราบดี จึงอยากจะขอให้โยมช่วย”

วัชรินทร์ยืนกรานที่จะไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย จึงได้กราบลาพระอองรีลงมาจากกุฏิ พร้อมกับกุลวดีและสิงห์ที่เดินตามลงมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อเดินจากมาได้ไกลพอสมควรแล้ว สิงห์ก็ตรงเข้าขยุ้มที่คอเสื้อของวัชรินทร์ด้วยความโมโห ทำให้กุลวดีต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ

“พี่สิงห์ พี่จะทำอะไร !”

สิงห์ไม่สนใจเสียงร้องของกุลวดี แต่กล่าวกับวัชรินทร์ด้วยความไม่พอใจว่า

“กลัวคุก กลัวตารางมากนักหรือไง พระท่านยอมสละดวงตาข้างหนึ่งของท่านให้แก่น้องรจ เพื่อให้เธอกลับมามองเห็นได้ แต่มึง คนที่อ้างว่ารักน้องรจมากอย่างนั้นอย่างนี้ คนที่จะหมั้นกับเธอ กลับกลัวที่จะกระทำผิดกฏหมายมากกว่าที่อยากจะเห็นเธอกลับมามองเห็นได้ดังเดิมหรือ คนอย่างมึง ไม่คู่ควรกับน้องรจ แม้แต่น้อย” กล่าวจบ สิงห์ก็เหวี่ยงวัชรินทร์กระเด็นลงไปกองกับพื้น แล้วเดินจากไปด้วยความขุ่นเคือง

วัชรินทร์กลับไปครุ่นคิดถึงคำขอของพระอองรี และคำดุด่าของสิงห์แล้ว ก็ตัดสินใจที่จะยอมทำการผ่าตัดปลูกถ่ายดวงตาให้แก่รจนาตามที่พระอองรีขอ เขาเดินทางกลับมาที่วัดอีกครั้งหนึ่งตามลำพัง และแจ้งให้แก่พระอองรีทราบ เมื่อพระอองรีได้ทราบเช่นนั้น จึงไปกราบเรียนถึงความตั้งใจของตนเองให้หลวงตาได้รับทราบ

“การสละอวัยวะเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้น เป็นกุศลผลบุญอันประเสิรฐ อาตมาขออนุโมทนา ว่าแต่ท่านได้ไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วใช่ไหม”

“คิดดีแล้วครับ ไม่มีครั้งใดที่ผมจะรู้สึกว่าได้ทำบุญทำกุศลแล้วจะปลาบปลื้มใจมากเท่าครั้งนี้”

“นี่แหละคือผลบุญอันประเสริฐ อันจะยังประโยชน์สุขให้แก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ เมื่อท่านคิดได้ดังนี้ อาตมาก็ยินดีด้วย และขอบใจแทนรจนาและแม่ของเธอด้วย แต่อาตมาคิดว่า ก่อนที่ท่านจะไปสละดวงตานั้น ท่านควรจะไปในเพศฆราวาสจะเหมาะกว่า”

“ผมก็ตั้งใจเช่นนั้นครับ จึงมากราบเรียนหลวงตาก่อน หากท่านเห็นด้วยผมก็จะขอลาสิกขา เพื่อไปเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดครับ”

เมื่อสิงห์ได้ทราบข่าวว่าพระอองรีจะลาสิกขา ก็บังเกิดความอาลัยยิ่งนัก และยิ่งได้ทราบเหตุผลที่พระอองรีจะสึกแล้ว ยิ่งทำให้เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาได้เดินทางไปพบราตรีและแจ้งให้ทราบว่า พระอองรีจะสึกในวันมะรืนแล้ว

“ก็ดี จะได้ไปเสียให้พ้นๆ”ราตรีกล่าวอย่างไร้น้ำใจไมตรี

“น้าควรจะรู้ไว้ด้วยว่า พระท่านสึกเพื่อเตรียมการเข้ารับการผ่าตัด”

“ผ่าตัด ! ท่านป่วยหรือ”ราตรีถามและเริ่มคิดเป็นห่วงขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว

“ท่านเตรียมผ่าตัดเพื่อสละดวงตาของท่านให้แก่น้องรจ”สิงห์กล่าวด้วยความสำนึกตื้นตันจนต้องสะอึกสะอื้นออกมา “ท่านทำเพื่อรจนาถึงเพียงนี้แล้วน้าจะยังรังเกียจท่านได้ลงคออีกหรือ”สิงห์กล่าวแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะทานทนได้อีก “ ฉันมันเด็กวัด มีความรู้น้อย ไม่อยากจะว่ากล่าวผู้ใหญ่เช่นน้า แต่ฉันอยากจะขอเตือนสติน้าว่า พระท่านมาหาถึงบ้านแล้ว เราไม่ใส่บาตรให้ท่านนั้น บาปหนาเพียงใด เรื่องอย่างนี้เราคนไทย เราคนพุทธ เขาไม่ทำกันหรอก”

สิงห์กล่าวแล้วก็เดินจากไปด้วยความไม่พอใจ คงทิ้งให้ราตรีนั่งนิ่งๆอยู่ตรงที่นั้นราวกับรูปปั้น พร้อมกับใคร่ครวญถึงความเสียสละของพระอองรี และการกระทำอันไร้น้ำใจของตัวเธออยู่เป็นเวลานาน

วันรุ่งขึ้น รจนาต้องแปลกใจที่ได้ยินเสียงราตรีตำน้ำพริกตั้งแต่เช้า เธอค่อยคลำไปตามทางเพื่อไปยังที่ๆราตรีนั่งอยู่แล้วถามว่า

“วันนี้ทำกับข้าวอะไรหรือแม่”

“แม่ว่าจะทำน้ำพริกกะปิ ไข่ชะอมแล้วก็ถั่วเขียวต้มน้ำตาล”

รจนารับฟังแล้วก็นั่งลงข้างๆเพื่อช่วยราตรีรูดใบชะอม พร้อมกับน้ำตาคลอทั้งสองข้าง เมื่อรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เธอเคยสอนให้อองรีทำเช่นนี้ ในการมาเที่ยวบ้านเธอเป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน แล้วเธอก็ต้องคิดถึงเขาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพบว่า อาหารที่จัดเตรียมในวันนี้ ล้วนแต่เป็นอาหารที่เขาโปรดปรานทั้งสิ้น

เมื่อจัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ทั้งสองคนแม่ลูกก็จูงกันออกมารอพระที่หน้าบ้าน เมื่อพระมาถึงราตรีค่อยๆประคองมือของบุตรสาวให้ใส่อาหารคาวหวานลงในบาตรด้วยความตั้งใจ จนครบห้ารูปแล้ว รจนากำลังจะนั่งลงเพื่อรับศีลรับพร แต่ราตรีได้ดึงข้อมือของเธอไว้แล้วกล่าวว่า

“วันนี้มีพระเพิ่มมาอีกรูปหนึ่ง” กล่าวแล้วก็ค่อยๆประคองมือของรจนาตักข้าวใส่บาตรที่ว่างเปล่าของพระอองรีพร้อมด้วยอาหารคาวหวานเหมือนดังเช่นพระรูปอื่นๆ สิงห์ยืนมองดูรจนาที่ได้มีโอกาสใส่บาตรเป็นครั้งแรกให้แก่พระอองรีด้วยความปลาบปลื้มใจจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา

เช้ามืดวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะทำวัตรเช้า พระอองรีก็ได้ลาสิกขา และเดินทางเข้ากรุงเทพฯในทันที รจนาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกเงียบเหงาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางครั้งก็รู้สึกใจหายขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียว จนต้องร้องเรียกหาราตรีด้วยความหวาดกลัว เมื่อราตรีมาหาและโอบกอดปลอบโยนบุตรสาวไว้ เธอก็คลายความหวาดวิตกลงไปได้สักพักหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องกลับมารู้สึกวังเวงใจจนต้องร้องเรียกหาราตรีอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดทั้งวัน

อองรีเดินทางมายังบ้านของศักดาเพื่อแจ้งให้ทุกคนที่นั่นทราบถึงความตั้งใจของเขา นงนุชแม้จะนับถือในความรักและความเสียสละของอองรี แต่ก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ จึงขอให้เขาได้ทบทวนให้รอบคอบอีกสักครั้งหนึ่ง แต่อองรีได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่มีใครหรืออะไรที่จะเปลี่ยนใจเขาได้ และยืนยันว่า ทันทีที่รจนาสามารถมองเห็นได้ดังเดิมแล้ว เขาก็จะบินกลับฝรั่งเศสและจะไม่กลับมาอีก และได้ขอร้องให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อให้รจนาลืมตนและแต่งงานกับวัชรินทร์ ตามที่แม่ของเธอต้องการในที่สุด

“เธอทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ยอมสละดวงตาให้หญิงคนรัก เพื่อให้เธอไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น” นงนุชกล่าวเตือนสติเขาด้วยความสงสัย

“ผมทนเห็นเธอต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ไม่ได้ครับ”

“แล้วเธอเล่า ทำเช่นนี้ไม่ทุกข์ทรมานหรือ”

อองรีนิ่งอึ้งไปสักพัก เพราะไม่แน่ใจในตนเองเช่นกัน ก่อนที่จะตอบว่า

“ผมปลื้มใจครับ ไม่มีการทำกุศลครั้งใดที่ผมจะอิ่มเอมใจและปลาบปลื้มใจมากเท่าครั้งนี้มาก่อน ผมได้บริจาคดวงตาข้างหนึ่งให้แก่เพื่อนมนุษย์ผู้น่าสงสารและเธอคนนั้น เป็นคนที่ผมรักมากที่สุดด้วย”

“โรแมนติคจัง”อรอุมาบุตรสาวคนเล็กของนงนุชกล่าวด้วยความชื่นชม “พี่อองรีเหมือนกับสุภาพบุรุษในเทพนิยายเลย”

“น้ำเน่าสิไม่ว่า หลงใหลงมงายในความรักจอมปลอมจนไม่ได้สติ” อลิสาผู้เป็นพี่สาวกล่าวด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะขอตัวขึ้นห้องของเธอไป เพื่อส่งข่าวให้แก่ปิแอร์ บิดาของอองรีได้รับทราบ

“ทำไมเธอจึงไม่คิดที่จะแต่งงานกับรจนาเสียเอง อุตสาห์ยอมสละดวงตาให้แก่เธอแล้ว ยังจะสละหญิงคนรักให้แก่ชายอื่นอีกหรือ อาไม่เข้าใจความคิดของเธอจริงๆ”นงนุชกล่าวอีกครั้ง

“ผมคงไม่อาจที่จะแต่งงานกับเธอได้ครับ เพราะแม่ของเธอรังเกียจผมมากเหลือเกิน หากว่าเธอมาแต่งงานกับผมก็จะทำให้เธอต้องทำให้แม่ของเธอเสียใจผิดหวัง อันจะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมใหม่ของเธอขึ้นมา”

นงนุชรับฟังแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อว่า เวลาที่ผ่านไปไม่นาน อองรีจะเข้าใจและศรัทธาในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาถึงเพียงนี้

วันต่อมา ศักดาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากปิแอร์ที่โทรมาต่อว่าเขาและนงนุชเป็นการใหญ่ที่ปล่อยให้อองรีทำเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เขาอุตสาห์ไว้วางใจฝากฝังให้ช่วยดูแลบุตรชายของเขาในระหว่างที่อยู่เมืองไทย ศักดาและนงนุชพยายามที่จะอธิบายอย่างไรปิแอร์ก็ไม่ยอมเข้าใจและได้สั่งอองรีว่าห้ามทำการใดๆจนกว่าเขาจะมาถึงกรุงเทพฯในวันพรุ่งนี้

อองรีมีอาการซึมเศร้าลงไปในทันทีที่คุยโทรศัพท์กับปิแอร์จบ นงนุชเห็นอาการของเขาเช่นนั้นก็บังเกิดความสงสารยิ่งนัก ในขณะเดียวกันก็เข้าใจถึงหัวอกของผู้เป็นพ่อเช่นปิแอร์เช่นกัน ตัวเธอเองก็ตอบไม่ได้ว่า หากอองรีเป็นลูกชายของเธอแล้ว เธอจะยินยอมให้เขาทำเช่นนี้หรือไม่ นงนุชเดินเข้าไปในห้องทำงาน แล้วโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“แก้วหรือ...นี่ฉันนงนุชนะ มีเรื่องอย่างให้ช่วยเหลือสักหน่อย....”

วันรุ่งขึ้น ศักดาขับรถไปรับปิแอร์มาจากสนามบิน ทันทีที่มาถึงบ้าน เขาก็เปิดฉากตำหนิบุตรชายในทันทีที่พบหน้า ว่ากระทำการอันเป็นการไร้สติและไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง อองรีก้มหน้าก้มตารับฟังคำตำหนิจากผู้เป็นพ่อแล้วก็ชี้แจงอย่างใจเย็นว่า

“พ่อครับ เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมอยู่ที่ปารีส ผมสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้พ่อมากมาย ผมเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ มีข่าวกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแต่ละวัน ผมทำผู้หญิงเสียใจมามากมาย ผมทำพวกเธอเสียหาย เสียชื่อเสียงมากี่คน ทำไมพ่อต้องคอยตามจ่ายเงินชดใช้ให้กับความผิดของผมด้วย โดยที่พ่อไม่เคยดุด่าผมเหมือนเช่นวันนี้เลย”

“นั่นเพราะพ่อรักลูก และอยากจะชดเชยความรักที่แม่ของลูกไม่มีโอกาสที่จะมอบให้แก่ลูกได้อีกต่อไป”

“แต่พอผมจะกระทำความดีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พ่อกลับมาดุด่าผมเช่นนี้หรือครับ”

“ทำความดีมีวิธีทำได้มากมาย ลูกอยากได้เงินเท่าไรลูกบอกพ่อสิ จะบริจาคเงินช่วยเหลือเธอ จัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือเธออย่างไร ลูกก็ว่ามา ทำไมต้องยอมเสียดวงตาของตนเองเพื่อผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง”

“รจนาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆนะครับพ่อ”อองรีเริ่มมีเสียงดังขึ้น “พ่อเคยพบเธอ และพ่อก็ชอบเธอ”

“ใช่ ! พ่อชอบเธอและพร้อมที่จะชอบผู้หญิงทุกคนที่ลูกรัก”

“ผมไม่เคยรักใคร นอกจากรจนาเท่านั้น”อองรียืนกราน

“กลับไปกับพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่นานลูกก็จะลืมเธอ กลับไปใช้ชีวิตเจ้าชายแห่งกรุงปารีส ตามแบบที่ลูกเคยเป็นอย่างมีความสุขเถิด”

“ความสุขของผมคือการได้ช่วยเหลือผู้หญิงที่ผมรักครับ”

“อองรี !” ปิแอร์เริ่มมีอารมณ์โมโห “ถ้าลูกไม่กลับไปกับพ่อวันนี้ พ่อจะตัดสิทธิ์ทุกอย่างของลูกออกจากกองมรดกของพ่อในทันที”

“พ่อมีเรื่องที่จะกล่าวกับผมเพียงเท่านี้ใช่ไหมครับ”อองรีกล่าวอย่างท้าทาย ทำให้ปิแอร์โกรธจนตัวสั่น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวอันใดออกมา ประตูห้องทำงานก็ได้เปิดออก โดยที่นงนุชได้ก้าวออกมาจากห้องพร้อมด้วยผู้หญิงในวัยเดียวกับเธออีกคนหนึ่ง

“แก้วตา...”ปิแอร์ร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ใช่ ฉันเอง คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะ คิดถึงแต่เรื่องเงินเหนือสิ่งอื่นใด คิดว่าจะใช้เงินซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งมนุษยธรรมในใจของลูกชายของคุณ”

แก้วตาหยุดพูดพักหนึ่งเพื่อหันมามองดูอองรีให้เต็มตา ในขณะที่อองรีก็มองเธอด้วยความสงสัยเพราะไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนเช่นกัน แก้วตาหันมาเผชิญหน้ากับปิแอร์อีกครั้งแล้วกล่าวว่า

“ถ้าคุณมีความกล้าหาญได้เพียงครึ่งหนึ่งของลูกชายของคุณ เรื่องของเราคงไม่ต้องจบลงเช่นนี้”

“แก้วตา...ผม...ผม...”ปิแอร์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่สามารถกล่าวอันใดออกมา

“ออกมาคุยกันข้างนอกเถิดค่ะ ไม่ได้พบกันเสียนานคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันมาก”แก้วตากล่าวแล้วก็เดินนำปิแอร์ออกไปที่สวนด้านนอก

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันหรือครับ”อองรีหันมาถามนงนุชด้วยความสงสัย เมื่อเห็นปิแอร์เดินตามแก้วตาออกไปแต่โดยดี

“อองรี เธอรู้ใช่ไหมว่าพ่อของเธอได้แต่งงานกับแม่ของเธอโดยที่ไม่ได้รักกัน”

“ครับ ผมทราบ ผมจึงมักทำตัวประชดประชันอยู่เสมอว่าผมเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากความรักของพ่อและแม่”

“แก้วตาคือคนรักที่แท้จริงของพ่อของเธอ”นงนุชตัดสินใจบอกความจริง “ความจริงอาไม่อยากเอาเรื่องเก่าๆขึ้นมาพูด แต่อาอยากให้เธอได้รู้ อยากให้เธอได้คิด ยามนั้นพ่อของเธอและแก้วตานั้น รักกันมาก แต่ย่าของเธอได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแก้วตาที่เป็นคนไทยอย่างสิ้นเชิง และขู่พ่อของเธอเหมือนที่เธอโดนขู่ในวันนี้ ว่าจะตัดเขาออกจากกองมรดก ทำให้ทั้งสองคนต้องแยกทางกันในที่สุด อาได้เห็นความพลัดพราก ความเศร้าโศกของทั้งสองคนที่ล้วนเป็นเพื่อนรักของอา และยังได้เห็นถึงความทุกข์ที่ตกทอดมาถึงเธออีกด้วย ดังนั้น อาจึงอยากให้เธอได้คิดทบทวนดูอีกสักครั้งในเรื่องของรจนา อารู้ว่าเธอทั้งสองคนรักกัน และรักกันมากด้วย เธอจะไม่มีวันที่มีความสุขถ้าเธอไม่ได้อยู่กับคนที่เธอรัก และรจนาก็เช่นเดียวกัน วัชรินทร์จะปกปิดแม่ของเขาได้นานเพียงใด รจนาจะต้องเผชิญอะไรบ้างเมื่อถึงวันที่แม่ของเขารู้ความจริง อาไม่คัดค้านที่เธอจะสละดวงตาให้แก่รจนา แต่อาอยากจะให้เธอทบทวนเรื่องที่จะยอมสละรจนาให้แก่วัชรินทร์ เธอควรจะสู้นะ ไม่ใช่สู้เพื่อตัวเธอเองเท่านั้น แต่ต้องสู้เพื่อรจนา และสู้เพื่อความรักของเธอทั้งสองคนด้วย”

อองรีนิ่งอึ้งไปนานเพราะบังเกิดความหวั่นไหวในใจขึ้นมาในทันที เมื่อได้ฟังคำพูดเตือนสติอันมีค่าของนงนุช แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกล่าวด้วยความขมขื่นใจว่า

“ถ้ารจนาขอให้ผมสู้เพื่อเธอ ผมก็พร้อมที่จะสู้และไม่มีวันที่จะยอมเสียเธอไป แต่...แต่เธอไม่เคยขอผมเลย เธอเป็นฝ่ายบอกเลิกผมเสียเองด้วยซ้ำ”

ปิแอร์ยินยอมให้อองรีทำตามที่ตนเองปราถนาหลังจากได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมจากแก้วตาอยู่เป็นเวลานาน อองรีจึงได้เดินทางเข้าพักที่โรงพยาบาลล่วงหน้าหนึ่งวันตามที่วัชรินทร์ได้นัดหมายไว้ โดยมีปิแอร์ติดตามมาให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลแห่งเดียวกันนั้น รจนาก็ได้เข้ามาพักเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดเช่นเดียวกัน โดยมีราตรีและกุลวดีติดตามมาช่วยเหลือดูแล เช่นเคย

“พ่อครับ”อองรีได้กล่าวกับพ่อของเขาเมื่ออยู่ตามลำพังในห้องพัก “ผู้หญิงคนนั้น...ผมหมายถึงอาแก้วตา ...”

“พ่อขอโทษ”ปิแอร์กล่าวเพราะเข้าใจว่าอองรีกำลังนึกถึงแม่ของเขาอยู่

“ไม่มีใครผิดหรอกครับพ่อ ความรักไม่เคยทำให้ใครผิด”

ปิแอร์มองดูบุตรชายด้วยความแปลกใจ เขาเปลี่ยนแปลงไปมากนับจากที่ได้มาศึกษาที่นี่ เพราะอะไร เพราะการศึกษา เพราะวัฒนธรรม เพราะศาสนาพุทธ หรือว่าเพราะผู้หญิงคนนั้น รจนา ผู้หญิงที่ลูกของเขารักยิ่งกว่าใคร

“อานงนุชบอกว่า อาแก้วตาไม่ได้แต่งงานกับใครนับจากที่เธอเลิกรากับพ่อ”

“เรื่องมันนานมามากแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลย”ปิแอร์พยายามพูดตัดบทก่อนที่จะหันเหหัวข้อสนทนาไปว่า “พรุ่งนี้ พ่อคงไม่ได้อยู่ในช่วงที่ลูกผ่าตัด พ่อต้องรีบบินกลับปารีส เพราะมีงานค้างอีกมากมาย พ่อต้องขอโทษด้วยนะ”

กล่าวจบเขาก็ตรงเข้าไปสวมกอดบุตรชายด้วยความรักและความเข้าใจ อองรีสวมกอดพ่อตอบเช่นกันก่อนที่จะกล่าวว่า

“พ่อครับ สิ่งที่พ่อขาดไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองนะครับ สิ่งที่พ่อขาดไปคือผู้หญิงที่พ่อรักต่างหาก ไม่ต้องรีบกลับไปดูแลธุรกิจของพ่อหรอกครับ กลับไปหาผู้หญิงกลับไปหาความรักที่พ่อทอดทิ้งกันมากว่ายี่สิบปีเถิดครับ”

วันรุ่งขึ้น อองรีถูกพามายังห้องผ่าตัดและนอนคอยอยู่ในนั้นด้วยความสงบ สักครู่หนึ่งรจนาก็ถูกเข็นมาบนเตียงแล้วมาหยุดอยู่ที่ข้างๆเตียงของเขา อองรีขยับตัวอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เขามองดูหญิงคนรักที่นอนอยู่ข้างๆ อยากจะเอื้อมมือออกไปเกาะกุมเพื่อให้กำลังใจเธอ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเพราะจำเป็นต้องปกปิดเธอเกี่ยวกับการผ่าตัดในครั้งนี้

“มีใครใช้น้ำหอมกลิ่นกุหลาบหรือเปล่าคะ”เสียงรจนาถามขึ้นมาลอยๆทำให้อองรีตกใจจนต้องซุกตัวลงนอนตามเดิม

“ไม่มีนี่คะ”เสียงพยาบาลคนหนึ่งตอบ

“ดิฉันเหมือนกับจะได้กลิ่นดอกกุหลาบ” รจนายังคงถามด้วยความสงสัยต่อไป

“บางทีอาจจะเป็นกลิ่นจากน้ำยาปรับอากาศก็ได้ค่ะ”

วัชรินทร์เดินเข้ามาตบไหล่อองรีเบาๆ ก่อนที่จะเดินไปยังเตียงของรจนาแล้วถามว่า

“เป็นไงรจ พร้อมหรือยัง”

“พร้อมค่ะ”รจนาตอบ “พี่หมอคะ พอจะทราบไหมคะว่าผู้เสียชีวิตที่บริจาคดวงตาให้แก่รจนั้นคือใคร”

วัชรินทร์อ้ำอึ้งอยู่สักครู่ก่อนที่จะตอบไปว่า

“เอ้อ พี่ก็ไม่ทราบจ้ะ เป็นระเบียบของการบริจาคอวัยวะที่เขาห้ามเปิดเผยชื่อผู้ให้และผู้รับการบริจาค เนื่องจากเกรงปัญหาด้านจริยธรรมที่อาจจะตามมาในภายหลัง”

“รจแค่อยากจะทราบเท่านั้นค่ะ เวลาทำบุญจะได้รำลึกถึงผู้มีพระคุณท่านนั้น” รจนากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง ก่อนที่จะได้ยินเสียงวัชรินทร์ตำหนิพยาบาลว่า

“พยาบาล ทำไมจึงยังไม่ให้คนไข้ถอดแหวนออกก่อนเข้าห้องผ่าตัด”

“รจขอไว้เองค่ะ” รจนาตอบคำถามแทนพยาบาลพร้อมกับกำมือข้างที่สวมแหวนนั้นไว้แน่น “รจขอสวมใส่แหวนวงนี้ไว้ตลอด แม้ว่ารจจะต้องสิ้นใจตายคาเตียงผ่าตัดนี้ ก็โปรดอย่าได้ถอดแหวนวงนี้ออกจากนิ้วของรจเลยนะคะ”

วัชรินทร์จำต้องยอมทำตามที่เธอขอร้องและเริ่มลงมือวางยาสลบเธอในเวลาต่อมา จากนั้นจึงวางยาสลบให้กับอองรีเป็นคนถัดไป ก่อนที่จะทำการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาจนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นบุรุษพยาบาลจึงเข็นเตียงของทั้งสองคนแยกย้ายกันกลับไปพักฟื้นยังห้องพักของแต่ละคน

หลังการผ่าตัด อองรีได้แอบมาเยี่ยมรจนาที่ห้องของเธอโดยไม่ให้เธอรู้ตัวอยู่เสมอ และเมื่อถึงกำหนดวันเปิดผ้าพันแผลที่ดวงตาของเธอ เขาก็แอบเฝ้าดูอยู่นอกห้องด้วยใจที่เต้นระทึกและรู้สึกปีติยินดีในทันทีที่ได้ยินเสียงแสดงความยินดีจากผู้คนที่อยู่ในห้องของเธอที่พากันแสดงออกมาถึงความดีใจที่เธอกลับมามองเห็นได้ดังเดิมแล้ว เมื่อตระหนักแน่ชัดแล้วว่าการเสียสละของเขาบรรลุผลสำเร็จแล้ว เขาจึงค่อยๆหันหลังเดินกลับไปยังห้องของเขาอย่างเงียบๆตามลำพัง

การผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดี รจนาสามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แม้จะเป็นการเห็นได้ด้วยสายตาเพียงข้างเดียวก็ตาม แต่นั่นเหมือนกับเป็นการจุดประกายของความหวังในชีวิตของเธอให้กับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้รับการบริจาคอีกครั้งหนึ่ง

อองรีได้เตรียมตัวที่จะเดินทางกลับฝรั่งเศสในอีกสองวันต่อมา โดยมีกุลวดีและวัชรินทร์มาส่งเขาถึงสนามบิน อองรีสวมใส่แว่นตาดำและยังคงมีผ้าปิดแผลปิดที่ดวงตาข้างหนึ่ง เขายื่นมือให้วัชรินทร์จับ เพื่อเป็นการอำลาและกล่าวว่า

“ดูแลรจนาให้ดีด้วยนะครับ”

วัชรินทร์ได้แต่พยักหน้ารับคำเพราะรู้สึกอับอายใจจนไม่อาจที่จะกล่าวอันใดออกมาได้ ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เขาเคยดูถูกดูแคลนว่าไม่มีวันที่จะรักรจนาจริง กลับเป็นผู้ที่เสียสละอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้รจนากลับมามีชีวิตที่ปกติได้ดังเดิม

จากนั้นอองรีก็กล่าวอำลาแก่กุลวดี ที่ซาบซึ้งใจในความดีงามความเสียสละของเขาจนต้องร้องไห้ออกมา

“ฉันขอขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้แก่ยายรจด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ช่วยดูแลเธอด้วยนะครับ” อองรีกล่าวก่อนที่จะโบกมือลาทั้งสองคนแล้วเดินไปยังด่านตรวจประทับตราผู้โดยสารขาออก เพื่อเดินทางออกจากประเทศไทยเป็นการถาวร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา