มนตราดอกกุหลาบ

8.7

เขียนโดย 2305

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.

  25 บท
  0 วิจารณ์
  22.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 3.2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 3.2 อองรีเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ ในท่ามกลางเสียงตะโกนสั่งงานกันนั้น มีเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กบางเสียงแทรกอยู่ ตามมาด้วยเสียงดังเหมือนเสียงระเบิดดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ อองรีได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างชัดเจน

“ยิง!”

สิ้นเสียงนั้น ก็มีเสียงกัมปนาทกึกก้องของปืนใหญ่ดังขึ้นมาเป็นชุด แต่แล้วสรรพสำเนียงเหล่านั้นก็เงียบสงบลงอย่างฉับพลันทันใด อองรีได้กลิ่นของดอกกุหลาบที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง เขาเหลียวหาที่มาของกลิ่นนั้น แล้วก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งปรากฎกายอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา เธออยู่ในชุดสไบเฉียงที่เขารู้จักดีและกำลังยืนหันหลังให้เขา เธอค่อยๆหันตัวมาทางเขาอย่างช้าๆ และเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน เขาก็ต้องตกใจ เพราะเป็นรจนานั่นเอง แต่สีหน้าของเธอในยามนี้แฝงแววเกลียดชังและเคียดแค้นพยาบาท จนเขารู้สึกตกใจ ริมฝีปากของเธอค่อยๆเผยอขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงที่เยือกเย็นแต่ดังกังวานพร้อมทั้งกล่าวว่า

“วันใดที่เรือรบของพวกคุณ บังอาจลั่นกระสุนใส่แผ่นดินสยามของฉันแล้ว วันนั้นจะเป็นวันสิ้นสุดแห่งความรักของเราทั้งสอง”

อองรีรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเขย่าตัวเขา เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันละมุนละไมของรจนาปรากฎอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา ไม่ใช่ใบหน้าของรจนาที่ดูบึ้งตึงดุร้ายเหมือนที่เขาเพิ่งพบเห็นเมื่อสักครู่แต่อย่างใด

“ตื่นหรือยังคะ เดี๋ยวจะพลาดไม่ได้ดูสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง” เธอถามทันทีที่เห็นเขาลืมตาขึ้นมา

“ผมหลับไปหรือครับ”อองรีถามด้วยความงุนงง

“ค่ะ คุณคงจะเหนื่อย พอมานั่งเรือได้รับลมเย็นๆจึงเผลอหลับไป ฉันต้องขอโทษที่ต้องปลุกคุณ เพราะเราใกล้จะผ่านวัดอรุณฯแล้ว คุณจะได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกอีก”

อองรีหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปพระปรางค์วัดอรุณอันสง่างาม จนเป็นที่พอใจแล้ว รจนาก็พาเขาย้ายมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพื่อเตรียมถ่ายรูปพระบรมมหาราชวัง ที่จะถึงในเวลาอีกไม่นาน อองรีถ่ายรูปปราสาทราชวัง จากเรือที่เขานั่ง ด้วยความชื่นชมและตื่นตาตื่นใจในความงดงามที่เขาเองก็ยอมรับว่า ไม่เคยเห็นพระราชวังที่ใดจะงดงามมากเท่าที่นี้มาก่อนเลย ปราสาทราชวังที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ดูสง่างามและงดงามราวกับวิมานบนสวรรค์

เรือแล่นต่อไปอีกไม่นาน รจนาก็พาเขาขึ้นจากเรือเพื่อเดินเท้าไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ที่อยู่ใกล้ๆ บรรยากาศภายในบริเวณนั้นดูเงียบเหงาวังเวง เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจจากคนไทยเท่าใดนัก จะมีก็แต่นักเรียนที่ถูกครูบังคับให้ต้องมาทำรายงานเท่านั้นที่มาเที่ยวชม ทำให้อองรีรู้สึกเสียดายแทนคนไทยที่ไม่รู้ถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติตน เขาเดินดูสิ่งของเครื่องใช้ ที่ประดิษฐ์ในยุคก่อน โดยมีรจนาคอยอธิบายให้ฟัง จนเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว เธอจึงพาเขาออกมานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ภายในบริเวณนั้น

“เสร็จจากที่นี่ เราคงต้องเดินทางกลับแล้ว ฉันจะไปส่งคุณที่หน้าหอพักของฉันนะคะ”

อองรีรู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงเวลาที่จะต้องจากกัน เขาขยับข้อมือดูนาฬิกา เวลานั้น บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว แต่เขายังไม่อยากจะจากเธอไป และไม่เคยคิดที่จะจากเธอไปเลย

“อยู่กับผมอีกสักครู่ได้ไหมครับ ผมยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องบินจะออก”เขาวิงวอน

“แต่ฉันมีงานดนตรีที่ต้องแสดงในคืนนี้ค่ะ”

“ผมยินดีชดเชยรายได้ให้คุณ ขอเพียงให้คุณอยู่เป็นเพื่อนกับผมจนถึงวินาทีสุดท้ายเท่านั้น”

“ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างที่คุณเข้าใจหรอกคะ คุณอองรี แต่มันเป็นเรื่องของหน้าที่และความรับผิดชอบต่างหาก”

“ได้โปรดเถิดครับ ผมไม่มีเจตนาให้คุณละทิ้งหน้าที่ เพียงแต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณมีความหมายต่อผมมากเพียงใด”

รจนานิ่งอึ้งไปนาน นานจนอองรีรู้สึกอึดอัดใจกลัวว่าเธอจะโกรธหรือไม่พอใจ เธอเปิดกระเป๋าของเธอหยิบสมุดบันทึกเบอร์โทรศัพท์เล่มเล็กๆขึ้นมา แล้วเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์จากเขา เธอโทรไปหาเพื่อนของเธอคนหนึ่ง เพื่อขอให้เธอไปแสดงดนตรีแทนในคืนนี้ เมื่อได้รับคำยืนยัน เธอจึงโทรไปที่ร้านอาหารเพื่อแจ้งขอลางานให้ทางร้านทราบ จากนั้น เธอก็หันหน้าไปอีกทาง แล้วก็หลับตาพนมมือเหมือนกับจะสวดมนต์อยู่นานพอสมควร จึงลืมตาแล้วหันกลับมานั่งในทิศทางเดิม

“คุณทำอะไรหรือครับ” อองรีถามด้วยควางสงสัย

“สวดมนต์ค่ะ สวดมนต์ขอโทษที่ต้องโกหก คุณทำให้ฉันต้องทำบาปรู้ไหมคะ”

อองรียกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วนั่งยันข้อศอกไว้กับโต๊ะ มือทั้งสองข้างประสานกันเบื้องหน้าพร้อมกับหลับตาลงทำท่าสวดมนต์บ้าง ก่อนจะลืมตาแล้วกล่าวว่า

“ผมสวดมนต์วิงวอนขอให้บาปทั้งมวลที่ทำให้คุณต้องโกหก จงมาตกอยู่กับผมแต่เพียงผู้เดียว”

รจนาอมยิ้มเหมือนพยายามจะกลั้นหัวเราะ ทำให้อองรีแลเห็นความงามอันเป็นธรรมชาติของเธออีกรูปแบบหนึ่ง และยิ่งกว่านั้น เขารู้สึกถึงความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้น จนราวกับว่าต่างรู้จักกันและกันมาเป็นเวลานานแล้ว

“รจนาครับ คุณเคยคิดอยากจะไปเที่ยวฝรั่งเศสบ้างไหมครับ”

“คนจนอย่างฉันคงไม่มีสิทธิที่จะคิดฝันเช่นนั้นหรอกค่ะ”เธอตอบตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม

“ถ้าสมมติว่าคุณมีโอกาสไปเล่าครับ”

“ไม่ค่ะ”

“ทำไมหรือครับ”

“อยากฟังคำตอบตรงๆหรือคะ”

“ครับ”

“ฉันเกลียดค่ะ ฉันเกลียดประเทศฝรั่งเศส”

อองรีรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของเธอ ทันทีที่พูดเรื่องนี้

“เพราะเหตุใดหรือครับ”

“คุณคงไม่ทราบว่าในอดีตนั้น ประเทศของคุณได้ทำสิ่งเลวร้ายอันใดไว้กับประเทศของฉันบ้าง”

“ผมไม่ค่อยจะสนใจเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ว่ามันร้ายแรงมากหรือครับ”

“คุณลองไปศึกษาดูเองดีกว่าค่ะ”

“ครับ”อองรีรับปากอย่างว่าง่าย “เมื่อผมกลับไป มีเรื่องที่ผมต้องค้นคว้าเพิ่มเติมสองเรื่อง หนึ่งคือประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศส สองคือสังข์ทอง”

“สังข์ทอง? คุณรู้จักด้วยหรือคะ”รจนาร้องอย่างแปลกใจและมีสีหน้าดีขึ้น จนอองรีรู้สึกสบายใจที่สามารถเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาออกมาจากเรื่องที่ดูเหมือนจะทำให้เธอขุ่นเคืองได้

“ครับ ผมเคยได้ยินมาบ้างแต่ตอนนั้นยังไม่รู้สึกสนใจ เพิ่งจะมาเริ่มรู้สึกสนใจเมื่อรู้ว่าตัวละครเอกในท้องเรื่องนั้น ชื่อว่ารจนา เหมือนคุณ”

รจนาหน้าแดงเรื่อๆขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วรีบก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของเขา เธอลุกขึ้นยืนแล้วชวนเขาให้ออกเดินทางต่อ ทั้งสองคนเดินกลับไปยังท่าเรือที่ได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ เมื่อลงเรือเรียบร้อยแล้ว รจนาก็ถามเขาว่า เขาอยากไปเที่ยวที่ไหนต่อ แต่ในจิตใจของอองรีแล้ว จะไปที่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา ขอเพียงแต่ให้มีเธออยู่ด้วยเท่านั้น เขาก็พอใจเป็นที่สุดแล้ว เขาเหลือบตามองเห็นป้ายโฆษณาย่านการค้าแห่งหนึ่งที่เพิ่งเปิดใหม่ ที่ติดอยู่บนเรือ จึงชี้ให้รจนาดูป้ายนั้นแล้วบอกว่าเขาอยากไปที่นั่น

“เอเชียทีคหรือคะ ได้ค่ะแต่ฉันต้องออกตัวก่อนนะคะว่าฉันก็ไม่ชำนาญทางที่นั่น เพราะเป็นสถานที่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน”

“ไม่เป็นไรครับ ไปช่วยกันสำรวจ น่าจะสนุกดี”

เรือลำนั้นพาทั้งสองคนและผู้โดยสารอีกเต็มลำแล่นย้อนมาตามทางที่มาในครั้งแรก ดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งสองคนขึ้นจากเรือที่ท่าสาทร เพื่อเปลี่ยนไปลงเรือของศูนย์การค้าที่มาให้บริการรับส่งที่ท่าเรือนั้น ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นมาก เพราะเป็นช่วงเย็นวันศุกร์และใกล้เทศกาลคริสต์มาสเต็มที บรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันคึกคัก น่าสนุกสนาน ร้านค้าต่างๆพากันตกแต่งหน้าร้านอย่างสวยงาม จากเดิมสถานที่แห่งนี้เป็นโกดังเก็บสินค้า แต่ก็ได้ถูกพัฒนาดัดแปลงให้ผสมผสานกับความคลาสิคของอาคารเก่าๆ ที่มีอยู่เดิม ทำให้กลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งท่องเที่ยวที่ทันสมัย แห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯที่กำลังได้รับความนิยม

ทั้งสองคนหยิบแผ่นพับที่เป็นแผนที่แนะนำทาง เพื่อช่วยกันศึกษาว่ามีสิ่งใดน่าชม แต่อย่างแรกเลยที่ทั้งสองมองหาคือร้านอาหาร เพราะบะหมี่จับกังจากมื้อกลางวันนั้น บัดนี้ได้ถูกย่อยสลายไปจนหมดแล้ว อองรีเป็นฝ่ายเลือกร้านอาหารเอง เพราะรจนาได้บอกแต่แรกแล้วว่า เธอไม่ชำนาญทางในย่านนี้ เขาพยายามเลือกร้านอาหารที่ขายอาหารหลากหลาย ไม่เจาะจงว่าเป็นร้านอาหารแบบใดหรืออาหารของชาติใด เป็นพิเศษ เขาเลือกได้ร้านหนึ่ง แล้วชวนกันเดินไปตามทางที่แผนที่บอกไว้ ไม่นานก็ไปถึง ผู้คนยังไม่ค่อยมากนัก ทั้งสองคนเลือกที่นั่งด้านนอก เพื่อรับลมเย็นๆจากแม่น้ำ ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะนำรายการอาหารมาเสนอ รจนาพลิกรายการอาหารไปมาอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้สั่งอันใด ทำให้อองรีต้องถามด้วยความห่วงใย

“ไม่ชอบอาหารประเภทนี้หรือครับ”

“เปล่าคะ”เธอกล่าวแล้วขยับตัวเข้ามาเพื่อลดความดังของเสียงลงก่อนจะกล่าวว่า “ฉันเห็นราคาอาหารแต่ละอย่างค่อนข้างจะแพง จึงไม่กล้าที่จะสั่ง”

ยิ่งเขารู้จักเธอมากขึ้นเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกรักเธอมากขึ้นเพียงนั้น หญิงสาวที่มีความงดงามทั้งเรือนร่างหน้าตา กิริยามารยาท มีจิตใจที่โอบอ้อมอารี มีความขยัน ประหยัด รู้คุณค่าของเงิน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เขาไม่คิดว่า จะมีผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมเช่นนี้ และรู้สึกยินดีเพียงใดที่ได้มีโอกาสรู้จักกับเธอ แต่ก็ไม่วายเศร้าใจเมื่อรู้ตัวว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาก็จะต้องจากเธอไปไกลแสนไกล

“สั่งตามสบายเถิดครับ ถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณก็แล้วกัน”

รจนารับคำอย่างไม่สู้สบายใจนัก เธอสั่งสลัดปลาทูน่าหนึ่งที่ อองรีเหลือบตามองดูราคาในรายการอาหาร พบว่าเป็นหนึ่งในรายการอาหารที่มีราคาถูกที่สุดของร้านนั้น จึงกล่าวกับเธอว่า

“จะอิ่มหรือครับ วันนี้ใช้พลังงานมาทั้งวันแล้ว สลัดควรทานกับซุปนะครับ คุณกลัวอ้วนไหมครับ ถ้าไม่กลัวผมว่า ซุปเห็ดข้น หรือซุปผักโขม น่าจะเหมาะ”

รจนาเลือกสั่งซุปผักโขมตามที่อองรีแนะนำ จากนั้นอองรีก็สั่งอาหารของเขาบ้าง ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟนั้น เขาก็ขอให้เธอถ่ายรูปให้เขาที่ร้านแห่งนี้เป็นที่ระลึก อองรีเดินไปที่หน้าร้านที่เจ้าของร้านได้นำปูนปั้นเป็นรูปตัวหมากรุกฝรั่งหลากหลายแบบมาตบแต่ง เมื่อรจนาถ่ายรูปให้เขาจนพอใจแล้ว เขาก็ขอถ่ายรูปของเธอบ้าง รจนามีท่าทางลังเลใจเล็กน้อย ก่อนที่จะยินยอมให้เขาถ่ายรูปเธอตามที่เขาขอ จากนั้นจึงพากันเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม

“คุณมีอีเมลไหมครับ ผมจะได้ส่งรูปมาให้”

รจนามีท่าทีลังเลอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์กับผู้ชายที่มีการแสดงออกว่าจะมาจีบเธอ เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกันเกินไปนัก

“ได้โปรดเถิดครับ ผมเพียงแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ แม้ว่าผมจะต้องกลับประเทศของผมในคืนนี้ แต่ผมก็ยังอยากที่จะติดต่อกับคุณต่อไป” อองรีวิงวอนด้วยความจริงใจ จนรจนาต้องก้มหน้ามองดูโต๊ะและครุ่นคิดอยู่นานพอสมควร ก่อนที่จะเอ่ยว่า

“แต่ฉันอาจจะไม่สามารถติดต่อกับคุณได้สะดวกนักนะคะ เพราะฉันต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีคนใช้ค่อนข้างมาก”

“ผมเข้าใจครับ ผมจะรอจนกว่าคุณจะมีเวลา”

รจนาเปิดกระเป๋าของเธอแล้วจดที่อยู่ตามอีเมลของเธอแล้วส่งให้แก่อองรี ซึ่งเขารีบพิมพ์ลงในโทรศัพท์มือถือของเขา แล้วส่งรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อสักครู่ไปตามที่อยู่ของเธอในทันที ขณะนั้น พนักงานบริการได้ยกจานสปาเก็ตตี้ ที่ส่งกลิ่นหอมชวนรับประทานเดินผ่านมา เพื่อนำไปเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่ง รจนามองดูอาหารจานนั้น ด้วยความสนใจแต่แล้วก็รีบเก็บอาการเป็นสงบเรียบร้อยลงตามเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รอดพ้นสายตาที่เฝ้าแอบดูของอองรีไปได้ เขาเข้าใจว่า รจนาคงอยากทานอาหารจานนั้น แต่เกรงใจที่ว่า มีราคาแพง จึงไม่กล้าที่จะสั่ง อองรีจึงแสร้งเอ่ยว่า

“เห็นสปาเก็ตตี้แล้วคิดถึงบะหมี่เมื่อกลางวันนะครับ”

“คุณชอบหรือคะ”

“ครับ ที่จริงผมอยากทานสปาเก็ตตี้ด้วย แต่เกรงว่าจะทานไม่หมด เราสั่งมาแล้วแบ่งกันทานนะครับ”

อองรีไม่รอฟังคำตอบจากรจนา แต่รีบชิงสั่งอาหารเพิ่มในทันที จากนั้นไม่นาน อาหารชุดแรกที่สั่งไว้ก็ถูกยกมา ขณะรับประทานอาหารนั้น อองรีก็ถามว่า

“เมื่อกลางวันผมเห็นคุณแบ่งอาหารไปให้ขอทานที่วัด คุณทราบได้อย่างไรครับว่าจะพบกับพวกเขาที่นั่น”

“วัดแทบทุกแห่งในประเทศไทยจะมีผู้ยากไร้รอรับความเมตตาอยู่ค่ะ ฉันแบ่งไว้ให้เพราะทราบดีว่าถึงยังไงก็ต้องได้พบพวกเขา”

“คุณเป็นคนที่จิตใจดีงามมากเลยนะครับ”อองรีชมเธอจากใจจริง

“ฉันเพียงแต่อยากจะช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าเท่าที่ฉันจะพอช่วยได้เท่านั้นค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่คนร่ำรวยอันใด แต่ก็ยังโชคดีที่มีร่างกายที่สมบูรณ์ มีสติปัญญาพอที่จะศึกษาหาความรู้มาประกอบอาชีพเลี้ยงตัวได้”

“และคุณก็ทำได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรีไทย หรือการเป็นมัคคุเทศก์”

“จริงหรือคะ”เธอถามด้วยความยินดีจนดวงตาเป็นประกาย “คุณคิดว่าฉันเป็นมัคคุเทศก์ได้ดีเพียงใดคะ ภาษาอังกฤษของฉันพอใช้ได้ไหมคะ” รจนาถามเร็วมากจนอองรีแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นเธอพูดเป็นประโยคยาวๆและเร็วๆเช่นนี้มาก่อน

“ยอดเยี่ยมครับ ถ้าครั้งหน้าผมมีโอกาสมาเมืองไทยอีก ผมจะติดต่อให้คุณเป็นผู้นำเที่ยวผมตลอดไปเลยนะครับ”

ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน ก่อนที่จะรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว อองรีขยับข้อมือดูนาฬิกา เกือบสองทุ่มแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าปัทม์นาฬิกาด้วยความซึมเศร้าและก็ได้พบกับสายตาที่เศร้าซึมของรจนา ที่กำลังมองดูเขาเช่นเดียวกัน

“ได้เวลาที่คุณต้องออกเดินทางแล้วสิคะ คุณควรเผื่อเวลาไว้สักหน่อยเพราะคืนวันศุกร์เช่นนี้ การจราจรคงติดขัดพอสมควร”

“ผมตั้งใจจะไปสนามบินโดยรถไฟฟ้าครับ คงไม่เจอปัญหาการจราจรเท่าใดนัก”

“ดีค่ะ ถ้าเช่นนั้ฉันจะไปส่งคุณที่สถานีรถไฟฟ้ามักกะสัน ก่อนที่ฉันจะกลับหอพัก”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ”อองรีกล่าวด้วยความจริงใจที่แฝงไว้ด้วยความอาลัย ก่อนที่จะนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่เขาไม่ได้ดำเนินการ

“แล้วคุณจะคิดค่าบริการนำเที่ยวในวันนี้เท่าไรครับ รวมทั้งค่าเสียโอกาสในการหารายได้จากการแสดงดนตรีของคุณด้วย”

รจนามีท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะกล่าวว่า

“ไม่คิดหรอกค่ะ”

“ทำไมอย่างนั้นเล่าครับ”อองรีร้องอย่างตกใจ “คิดมาเถิดครับ คุณจะได้มีเงินไว้ใช้จ่ายจุนเจือครอบครัว”

“ฉันก็อยากได้เงินค่ะ”เธอกล่าวเรียบๆ “แต่เมื่อนึกถึงโอกาสที่คุณหยิบยื่นให้ในการให้ฉันเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยว ได้ฝึกฝนการใช้ภาษากับคุณ รวมทั้งอาหารเย็นมื้อนี้ด้วยแล้ว ฉันคิดว่าฉันไม่ควรรับเงินจากคุณ”

อองรีรู้สึกชื่นชมในความคิดของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เห็นแก่เงิน ซึ่งแตกต่างกับผู้หญิงอื่นๆที่เขาเคยรู้จักมาทุกคนที่ล้วนหลงใหลในความร่ำรวยของเขาทั้งสิ้น

“คุณกำลังทำให้ผมลำบากใจและไม่สบายใจนะครับ”

ทั้งสองคนสบตากันอีก ก่อนที่รจนาจะเอ่ยว่า

“คุณรู้ไหมคะ ร้านอาหารร้านนี้ ฉันเคยมากับเพื่อนๆตอนที่เพิ่งเปิดใหม่ๆ แต่ฉันก็ต้องแยกตัวกลับไป เพราะเมื่อดูราคาอาหารในรายการแล้ว แพงเกินกว่าที่ฉันจะทานได้ พ่อและแม่ของฉันต้องขายข้าวกี่ถังกี่เกวียนกันคะ กว่าจะได้เป็นเงินค่าอาหารมื้อนี้ วันนั้น ฉันต้องกลับหอพักแล้วต้มบะหมี่ซองนั่งทานอยู่อย่างเดียวดาย และคิดว่าชีวิตนี้ ฉันคงไม่มีโอกาสมานั่งทานอาหารเช่นนี้ จนกระทั่งวันนี้....”

เสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อยจนอองรีฟังแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ รจนาตั้งสติได้จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด โดยกล่าวชวนเขากลับ เพื่อเตรียมตัวไปสนามบิน ทั้งสองคนเดินออกจากร้าน สวนทางกับนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินสวนเข้ามา จนเมื่อผ่านพ้นไปได้ 2-3 ก้าว ก็มีเสียงหญิงสาวผู้หนึ่งในกลุ่มนั้น ร้องเรียกชื่อของอองรี จนเขาต้องหันกลับไป และพบกับ อลิสาที่มากับเพื่อนของเธอกลุ่มใหญ่

“อองรี ฉันคิดว่าคุณบินกลับไปแล้วเสียอีก”

“กลับคืนนี้ครับ ผมกำลังจะไปสนามบินพอดี”อองรีตอบด้วยความสุภาพเช่นเคย ในขณะที่อลิสาเดินเข้ามาแล้วมองดูรจนา ด้วยสายตาที่เหยียดหยาม เธอมองรจนาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนอองรีรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรในสายตาของเขา แต่เมื่อเขาเหลียวไปดูรจนา ก็เห็นเธอยืนสงบนิ่งอยู่ ราวกับรูปปั้นที่ไม่รับรู้อันใดทั้งสิ้น อลิสาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นไปอีกแล้วกล่าวกับรจนาว่า

“เธอนั่นเอง ฉันจำได้แล้ว คนที่เล่นดนตรีไทยที่ร้านอาหาร ที่พยายามหลอกเอาเงินค่าทิปจากคุณในคืนก่อนไงคะ อองรี”

“ฉันไม่ได้หลอก...”รจนาพยายามแก้คำกล่าวหาของอลิสา เช่นเดียวกับอองรีที่ต้องช่วยพูดว่า

“เธอไม่ได้หลอกผมลิซ่า เป็นผมต่างหากที่ตั้งใจให้เธอเอง”

“แล้วคุณมาทำอะไรกับเธอที่นี่คะ”อลิสายังคงพูดต่อไป

“ผมให้เธอมาพาผมเที่ยว”

“พาเที่ยวหรือคะ”อลิสากล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งดูถูก แล้วหันมาทางรจนาก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “กลางวันเป็นสาวเอสคอร์ต กลางคืนแสดงดนตรี อองรีคุณต้องระวังตัวด้วยนะคะ ผู้หญิงบางคน พอเห็นผู้ชายรวยๆ ก็จะใช้เล่ห์มารยา หว่านเสน่ห์สารพัด เพื่อจะหลอกเอาเงิน”

“เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะลิซ่า คุณอย่าตัดสินคนจากสิ่งที่คุณเห็นสิ เธอเป็นมัคคุเทศก์นำผมเที่ยว ไม่ได้เป็นสาวเอสคอร์ตอย่างที่คุณกำลังกล่าวหาเธอ”

“มัคคุเทศก์หรือคะ แล้วไหนล่ะใบอนุญาต”

เสียงของอลิสาดังเสียจนดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ชายคนหนึ่งได้เดินเข้ามาแล้วกล่าวแก่รจนาว่า

“คุณอ้างว่าเป็นมัคคุเทศก์ ขอผมดูใบอนุญาตหน่อยครับ”

รจนามีท่าทางตกใจจนเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังตอบกลับไปว่า

“ฉันยังสอบไม่ได้ค่ะ”

“คุณยังไม่มีใบอนุญาต แต่คุณมาทำอาชีพอย่างนี้ได้อย่างไร นี่เท่ากับมาแย่งอาชีพพวกผมนะ” ชายคนนั้นกล่าวเสียงดัง อองรีมองเห็นรจนาตกใจกลัวจนตัวเธอสั่น

“พี่คะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะแย่งอาชีพพวกพี่เลยนะคะ” เธอพยายามอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร ชายคนนั้นชูป้ายใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ที่เขาห้อยอยู่ที่คอให้เธอดู

“เธอมีไหม ใบอนุญาตแบบนี้ ถ้าไม่มีแล้วมาทำอาชีพนี้ได้อย่างไร”

“หนูบอกพี่แล้วไงว่าหนูยังสอบไม่ได้”เธอกล่าววิงวอนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสะอึกสะอื้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นสงสารแต่อย่างใด เขาร้องเรียกตำรวจที่เดินตรวจตราความเรียบร้อยอยู่แถวนั้น แล้วกล่าวหารจนาในทันที

รจนาในยามนั้นตกอยู่ในอาการตกใจและไร้ทางสู้ราวกับลูกกวางที่ตกอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า อองรีเห็นเธอเริ่มร่ำไห้และตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวแล้ว ก็ตัดสินใจว่าเขาต้องทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอ ให้พ้นจากคนเหล่านี้ ในวินาทีนั้นเอง อองรีตัดสินใจยกแขนขวาขึ้นโอบกอดไหล่ของเธอไว้ แล้วตะคอกใส่ทุกคนในที่นั้นว่า

“อย่ามายุ่งกับคนรักของผม ผมกับแฟนจะเที่ยวด้วยกัน พวกคุณมายุ่งอะไรด้วย”

คนเหล่านั้นต่างพากันตกใจ ที่เห็นฝรั่งพูดไทยได้ โดยเฉพาะอลิสาที่ได้ยินสิ่งที่อองรีกล่าวออกมาอย่างชัดเจน

“อองรี คุณพูดอะไรผิดหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจ จะพูดภาษาฝรั่งเศสก็ได้นะคะ”

“ผมเข้าใจดีลิซ่า”อองรีกล่าวเป็นภาษาไทยอีก “ได้โปรดอย่ามายุ่งกับคนรักของผมอีก ถึงแม้ว่าผมจะเคารพนับถือคุณอาศักดา และคุณอานงนุช เพียงใด แต่ผมก็ไม่ยอมให้คุณมาทำการดูถูกคนรักของผมเช่นนี้เป็นอันขาด” อองรีลดน้ำเสียงลงก่อนที่จะหันไปกล่าวกับตำรวจคนนั้นว่า

“ผมจะพาแฟนผมไปเที่ยวต่อได้หรือยังครับ”

ตำรวจคนนั้นยกมือขวาขึ้นแตะขอบหมวกเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนที่อองรีจะประคองรจนาที่กลัวจนตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของเขาเดินจากออกมา เมื่อเดินออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว อองรีก็คลายวงแขนที่กอดเธอแล้วกล่าวคำขอโทษด้วยความสุภาพที่ต้องทำเช่นนี้ รจนาได้แต่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ และได้พาเขากลับมาที่คอนโดของเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย

อองรีให้เธอนั่งรอที่ล็อบบี้ชั้นล่าง ส่วนตัวเขาก็ขึ้นไปขนกระเป๋าเดินทางที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว เขาส่องกระจกสำรวจดูความเรียบร้อยของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และพบว่าที่อกเสื้อของเขามีเข็มกลัดที่เขาได้ถ่ายรูปคู่กับเธอที่วัดไตรมิตรติดอยู่จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องบิน เขาจึงถอดมันออกตั้งใจจะเก็บลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ แต่เมื่อพยายามจะปลดมันนั้น ปลายแหลมของเข็มกลัดก็ลื่นมาทิ่มแทงเข้าไปที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้มีเลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนรูปภาพบนเข็มกลัดนั้นไปทั่ว อองรีรีบหยิบกระดาษชำระมาเช็ดเข็มกลัดนั้นด้วยความหวงแหนและกลัวว่ามันจะได้รับความเสียหาย ก่อนที่จะเก็บมันลงไปในกระเป๋าเดินทาง แล้วลากมันมายังลิฟต์ที่อยู่หน้าห้อง

อองรีเดินออกมาจากลิฟต์ก็พบว่ารจนากำลังนั่งอ่านหนังสือรอเขาอยู่ที่โซฟาชั้นล่าง ขณะที่กำลังจะเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่นั้น เธอได้สังเกตเห็นว่า ที่ปลายนิ้วชี้ข้างขวาของเขา มีกระดาษทิชชู่พันไว้อยู่และมีหยดเลือดปรากฎซึมออกมาให้เห็น เธอถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อรู้ว่า เกิดจากสาเหตุใด ก็พาเขากลับไปนั่งลงที่โซฟา แล้วเธอก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อขอชุดปฐมพยาบาลมาทำแผลให้เขา ซึ่งไม่ใช่แผลที่ใหญ่โตหรือเป็นอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่เธอก็ตั้งใจทำโดยไม่ได้ถือสารังเกียจแต่อย่างใด ในขณะที่อองรี เฝ้าดูเธอทำแผลให้ด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบปลาบปลื้มเป็นที่สุด

ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ที่จะไปส่งอองรีที่สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์นั้น เขาได้มอบของขวัญชิ้นหนึ่งที่ห่อมาด้วยกระดาษห่อของขวัญลายกุหลาบสีชมพูให้แก่เธอ แล้วกล่าวว่า

“ผมตั้งใจมอบให้แก่คุณ เพื่อรำลึกถึงมิตรภาพของเราในวันนี้ กรุณารับไว้ด้วยนะครับ”

รจนามีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับมาเพราะสายตาที่อ้อนวอนของเขา

“อย่าเพิ่งแกะกล่องนะครับ จนกว่าจะหลังสี่ทุ่ม”

อองรีไม่คาดมาก่อนว่า คำพูดที่กึ่งตลกของเขาเช่นนี้ จะสามารถทำให้ใบหน้าที่เศร้าสร้อยของเธอกลับยิ้มออกมาได้ เธอกล่าวกับเขาว่า

“คุณเสกคาถาไว้เหมือนเรื่องจันทโครพ หรือคะ”

“จันทโครพ....”อองรีทวนคำด้วยความสงสัย จนรจนาต้องเล่าเรื่องคร่าวๆให้เขาฟัง ซึ่งอองรีก็รู้สึกยินดีที่รจนากลับมาคุยกับเขาดังเดิม จนดูเหมือนจะลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่จนหมดสิ้นแล้ว แต่แล้ว เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฟ้าที่มักกะสัน ทั้งสองคนก็กลับตกอยู่ในอาการซึมเศร้าโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้งหนึ่ง

อองรีและรจนาต่างยืนอยู่บนชานชะลารถไฟฟ้าด้วยความเงียบเหงาและเศร้าใจ นาฬิกาที่สถานี บอกเวลาว่า อีก 3 นาที รถไฟฟ้าจะมาถึง เป็น 3 นาทีสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับเธอ 3 นาทีสุดท้ายที่มีค่ากับเขายิ่งนัก ความหดหู่เกาะกุมหัวใจจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมา เขามองดูเธอและเห็นความซึมเศร้าปรากฏในแววตาของเธอด้วยเช่นกัน แต่เมื่อรจนารู้ตัวว่าอองรีมอง เธอก็เสแสร้งทำเป็นยิ้มออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจของเธอ

“รจนา..” อองรีเรียกชื่อเธอเบาๆ

“คะ” เธอขานรับเบาๆเช่นกันก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา

“เรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้านอาหารเมื่อตอนหัวค่ำนั้น....”

“อย่าพูดถึงมันอีกเลยค่ะ เราควรจะจดจำแต่สิ่งดีๆที่เราได้พบจะดีกว่านะคะ”

“ครับ”อองรีรับปากแล้วนิ่งไปสักครู่ก่อนที่จะกล่าวอีกว่า “แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ คือว่า คำพูดที่ผมกล่าวให้พวกนั้นฟัง เกี่ยวกับคุณนั้น...”

อองรีนิ่งเงียบไป รู้สึกขลาดกลัวที่จะกล่าวต่อไป แสงไฟจากไฟส่องทางของรถไฟฟ้าฉายมาให้เห็นแต่ไกลแล้ว ในวินาทีนั้น อองรีก็ตัดสินใจบอกเธอว่า

“คำพูดที่ผมกล่าวนั้น ผมไม่เพียงแต่กล่าวเพื่อปกป้องคุณ แต่ผมหมายความเช่นนั้นจริงๆ”

ทั้งสองคนต่างสบตากันโดยไม่กล่าวอันใด เสียงรถไฟแล่นใกล้เข้ามาทุกที เช่นเดียวกับความรักที่อองรีมีต่อเธอที่กำลังเอ่อล้นท่วมหัวใจของเขาออกมา เขาไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไปเขาคว้าตัวเธอมากอดด้วยแขนทั้งสองข้างของเขา เขากอดเธอราวกับว่ากลัวเธอจะหลุดลอยไป และกระซิบเบาๆกับเธอว่า

“ผมรักคุณ ผมรักคุณนะรจนา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกเช่นไรกับผมก็ตาม แต่ผมขอบอกว่าผมรักคุณ”

รจนาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้โอนอ่อนโดยสิ้นเชิง เธอทั้งตกใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

รถไฟจอดเรียบร้อยแล้ว อองรีคลายวงแขนของเขาแล้วเดินลากกระเป๋าขึ้นรถไปด้วยความอาลัย เขาเข้าไปอยู่ในรถ ยืนมองเธอซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น ประตูรถไฟค่อยๆปิดเข้าหากัน รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกวิ่ง อองรีไม่ได้ละสายตาจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว เขายกมือขึ้นและโบกมืออำลาเธอ เช่นเดียวกับรจนาที่ยกมือขึ้นแล้วโบกมือให้เขาอย่างช้าๆ จนกระทั่งต่างลับสายตาซึ่งกันและกัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา