Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

8.0

เขียนโดย Raji

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Login 3 : มนุษย์ต่างดาวและการหลบหนี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Login 3 : มนุษย์ต่างดาวและการหลบหนี

 

     โลกล่มสลายลงเพราะน้ำมือของมนุษย์ต่างดาว พวกมันเปลี่ยนโลกทั้งใบด้วยเทคโนโลยีที่เกินกว่าจะจินตนาการให้กลายเป็นสนามรบของเกม

     ต่อมาอุกกาบาตที่มีไวรัสจากนอกโลกก็ตกลงมามนุษย์ส่วนใหญ่ตายเพราะไวรัส แต่พวกสัตว์ที่ได้รับไวรัสกลับเกิดการกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า 'สัตว์เทวะ' และออกเข่นฆ่ามนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่  ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

     เพื่อให้มีชีวิตรอดในโลกที่ล่มสลายและเต็มไปด้วยสัตว์เทวะ จึงต้องศึกษาวิธีการเล่นเกมของพวกมนุษย์ต่างดาว ต้องต่อสู้และล่าสัตว์เทวะเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับเกม MMORPG

 

     อิงศรทำเช่นนั้นมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว โดยร่วมมือกับน้องชายตัวแสบหรือ มิ่งขวัญเจ้าเด็กที่โดนพ่อแม่สปอย(ตามใจ)จนเสียคน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นหนึ่งปีเต็มแห่งความยากลำบากกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องผ่านอะไรมามากมายจนแทบจดจำได้ไม่หมดหลายต่อหลายครั้งที่คิดว่าทิ้งเจ้าเด็กนิสัยเสียนี่ไปก็คงไม่ถือว่าเป็นบาปหรอก แต่ทุกครั้งก็ได้แค่คิดอยู่ในใจ

 

       อิงศรครุ่นคิดขณะเหม่อมองท้องฟ้า จากชั้นลอยที่เชื่อมต่อห้างสรรพสินค้าชั้นที่สามไปยังสถานีรถไฟฟ้า

     "เฮ้ย! ฟู มันไปทางนายแล้วนะ!"

       เสียงของมิ่งขวัญดึงเขากลับมาจากห้วงคะนึงแห่งความคิด

       อิงศรทอดสายตามองความเป็นจริงในปัจจุบัน หลังจากใช้ชีวิตในโลกที่ล่มสลายและเป็นพี่ชายที่เอาแต่ตีหน้าซังกะตายเพราะต้องคอยดูแลน้องชายตัวแสบมาได้หนึ่งปี จนกระทั่งถึงเมื่อสามเดือนก่อนตอนนี้สถานะของเขาได้กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นที่ต้องดูแลเด็กจากสถานสงเคราะห์อีกห้าชีวิตด้วยกัน

 

       "คอยดูเถอะพ่อจะซัดให้เดี้ยงเลยไอ้แมงมุมยักษ์ ! "

       เด็กชายที่ชื่อฟูพูดขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงขวานเล่มเขื่องใส่สัตว์เทวะรูปร่างแมงมุมสีดำที่มีขนาดตัวเท่ากับรถยนต์ทั้งคัน สายโลหิตสีเขียวพุ่งกระฉูดจากส่วนหัวที่ถูกขวานจามลงไป

       จะอยู่เฉยรอให้มันกระเด็นมาโดนไม่ได้เพราะเลือดพวกนั้นมีพิษหากสัมผัสถูกก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก... อิงศรเคลื่อนไหวด้วยความคิดเช่นนั้นจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวคนอื่น ๆที่อยู่รอบตัวก็ทำเหมือนกันคอยหลบหยดเลือดที่กระเด็นมา

     แม้จะถูกสับหัวแบะไปแล้วแต่ร่างของแมงมุมยักษ์ก็ยังไม่ได้นอนแน่นิ่ง เพียงแต่ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก ตอนนั้นเองฟูก็ส่งเสียงเรียกเพื่อนจากสถานสงเคราะห์

 

       "มันขยับไม่ได้แล้วลุยเลยมิกซ์!! "

       "อื้ม" 

     เสียงเล็ก ๆ ขานรับเด็กชายลูกครึ่งผมสีทองดวงตาสีฟ้า ยกปืนลูกโม่ขึ้นประทับแล้วเล็งไปยังสัตว์เทวะ

     หลังจากลั่นไกและมีเสียงปืนดังขึ้นก็ตะโกนไล่หลังกระสุนไปว่า

       "เอ็กซีคิวท์ช็อต ! (Execute Shot) "

       กระสุนปืนที่ยิงออกไปมีสามนัดทั้งหมดพุ่งเข้าเป้าเจาะทะลุลำตัวกลมป่องของแมงมุมยักษ์จากนั้นแต่ละนัดก็ระเบิดออก เลือดพิษพุ่งกระจายไปทุกทิศทาง ขณะที่แถบพลังชีวิตของมันทยอยลดลงจนในที่สุดก็หมดเกลี้ยง

 

Abaddon Prayer LV. 8

[.......0:550.....]

 

       ซากร่างของแมงมุมยักษ์สลายตัวหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงกล่องและขวดบรรจุของเหลวสีแดงม่วง

        อิงศรยื่นมือ ออกไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนไม่มีใครอื่นได้ยิน

       "เข้ามา"

       เด็กชายกระซิบเช่นนั้น แล้วกองสิ่งของก็ลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศก่อนจะเคลื่อนเข้ามาหาเหมือนกับถูกดูดด้วยพลังบางอย่าง สิ่งของทั้งหมดนั้นเรียกรวม ๆ ว่า 'ไอเทม' เป็นศัพท์เฉพาะของเกมที่เคยเล่นสมัยก่อนที่โลกจะล่มสลาย

       ไอเทมทั้งหมดที่ลอยเข้ามาหาพลันหายวับไปทันทีที่เข้าใกล้มือ สิ่งของทั้งหมดนั้นจะถูกเก็บไปยังคลังติดตัวซึ่งเป็นระบบของเกมที่อำนวยความสะดวก ทำให้ไม่ต้องพกข้าวของมากมายติดมือไปด้วยระหว่างเดินทางส่วนการนำออกมาใช้งานก็เพียงแค่เรียกหน้าจอคลังหรือ 'Inventory' ขึ้นมาแล้วเลือกสิ่งของที่ต้องการได้ทันที

       ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น ไอเทมที่เกิดขึ้นหลังจากโลกกลายเป็นเกมแล้วพวกสิ่งของธรรมดาที่เคยมีอยู่บนโลกก่อนการล่มสลายก็สามารถใส่เข้าไปใน 'Inventory' ได้เช่นกัน

         โดยปกติแล้วการเก็บไอเทมจากสัตว์เทวะที่ผู้อื่นเป็นคนสังหารนั้นจะไม่สามารถกระทำได้ยกเว้นจะเป็นกลุ่มหรือทำข้อตกลงกันไว้แล้วโดยระบบเกมเรียกมันว่าปาร์ตี้(Party)

       เมื่อก่อนปาร์ตี้นี้ก็มีแค่ตัวเขาเอง อิงศร และมิ่งขวัญที่เป็นน้องชายปัจจุบันเมื่อเพิ่มฟูกับมิกซ์และเหล่าเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์เข้าไปทำให้ปาร์ตี้สมเป็นกลุ่มมากยิ่งขึ้น

     ก่อนจะออกมาล่าพวกเขาได้ทำการตกลงกันว่าจะให้อิงศรเป็นคนเก็บไอเทมทั้งหมดแล้วค่อยจัดสรรแบ่งกันให้ลงตัวทีหลัง แต่ถึงจะเคยพูดเอาไว้แบบนั้นก็ตามไอเทมส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของมีค่าถึงขั้นแย่งชิงกันอยู่แล้ว 

     ถ้าเป็นอาหารก็จะเอามาแบ่งกันกิน

     ถ้าเป็นไอเทมเสริมความแข็งแกร่งก็จะหาคนที่สามารถใช้ได้หรือเหมาะสมกับมันแล้วให้ไป

     ถ้าเป็นพวกยารักษาก็จะแบ่งกันเก็บไว้เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้หยิบใช้ได้ทันที

     หลังจากโค่นแมงมุมยักษ์เป็นที่เรียบร้อยเด็กชายทั้งสี่ก็พากันสำรวจบริเวณโดยรอบจนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์เทวะตัวอื่นเหลืออยู่อีก อิงศรจึงหันไปด้านหลังแค่เฉพาะหน้าแล้วส่งเสียงเรียกไปยังเสาคอนกรีตต้นใหญ่ที่ค้ำจุนเพดานสถานีรถไฟกับชั้นลอยแห่งนี้

 

"เฮ้ จัดการพวกสัตว์เทวะหมดแล้ว พลอยมารักษาพิษให้ฟูที"

"จ้า"

       มีเสียงขานตอบกลับน้ำเสียงใสแจ๋วดังข้ามเสาคอนกรีตมา แล้วเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดขวบหรืออ่อนกว่ามิ่งขวัญอยู่หนึ่งปีก็ กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกมาจากด้านหลังซากคอนกรีต

       เธอมีเรือนผมสีดำยาวประบ่า ดวงตากลมโตสดใสเข้ากับใบหน้าที่กลมมนน่ารักราวกับตุ๊กตา เด็กหญิงเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ ฟูเด็กหนุ่มผมสั้นสีดำจากสถานสงเคราะห์ผู้กวัดแกว่งขวานต่อสู้กับแมงมุมยักษ์เมื่อครู่จากการที่เขาอยู่ใกล้กับมันมากที่สุดทำให้เลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดพิษไม่ได้ อาการของฟูแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ซีดขาวขึ้นเหมือนกับเลือดที่ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายมีน้อยลงเพราะหัวใจถูกกระตุ้นให้สูบฉีดน้อยกว่าปกติ นั่นคือคุณสมบัติพิษของสัตว์เทวะแมงมุมยักษ์ และตอนนี้พวกเขาก็ไม่มียาแก้พิษ...

       ก่อนหน้านี้หากถูกพิษของแมงมุมยักษ์เล่นงานก็มีแต่ต้องปล่อยให้มันหายไปเอง ผลของพิษไม่ได้ทำให้ถึงตายแต่จะทำให้หมดสติ หากว่าแถบพลังชีวิตยังคงเหลืออยู่พิษจะเสื่อมไปเองตามเวลา

       ดังนั้นการมาล่าในถิ่นที่มีพวกแมงมุมยักษ์อาศัยอยู่จึงไม่เคยเกิดขึ้น เว้นแต่ตอนนี้พวกเขามี พลอยเพิ่มเข้ามาในกลุ่ม เด็กสาวสังกัดคลาสอาชีพสายรักษาที่เรียกว่า 'Hospitaller' ซึ่งมีสกิลรักษาพิษชนิดนี้ได้

       อิงศรมอง เด็กหญิงทำการรักษาไปพลางเปิดหน้าจอ'Inventory' ขึ้นมาตรวจสอบไอเทมไปพลาง ระหว่างนั้นเองจากเสาคอนกรีตที่อยู่ด้านหลัง เด็กสาวอายุสิบหกซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มในตอนนี้เธอเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับจูงมือเด็กจากสถานสงเคราะห์อีกสองคนออกมาด้วยเป็นคู่เด็กชายและเด็กหญิง ที่อายุเท่ากันทั้งสองอ่อนวัยที่สุดในกลุ่มพวกเขาทั้งหมด

       “เอ้าเน็กซ์ กับ นิว ก็ไปช่วยพลอยด้วยสิจะได้ฝึกให้คุ้นเคยกับการใช้สกิลด้วย”

       อิงศรแนะนำออกไปอย่างนั้น

       “ฮะพี่ศร”

       “ค่ะพี่ศร”

       แล้วเด็กชายและเด็กหญิงก็ขานรับ ก่อนจะตามไปสมทบกับพลอยด้วยกันทั้งคู่

       เน็กซ์เป็นเด็กผู้ชายที่เด็กที่สุดในกลุ่มก็จริงแต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่มีความกล้าไม่แพ้ มิ่งขวัญ หรือ ฟู เลยในขณะที่ เด็กหญิงนิวนั้นเป็นคนเรียบร้อยและค่อนข้างขี้อายเลยมักจะเห็นเธอไปไหนมาไหนกับ เน็กซ์อยู่เป็นประจำ

       ด้านกลุ่มของพวกเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ฟู กับ มิกซ์ ที่อายุเท่ากับมิ่งขวัญ ก่อนหน้านี้ระหว่างฟูกับมิ่งขวัญมีบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ค่อยกินเส้นกันนักก็จะมีมิกซ์คอยเข้ามาห้ามปรามฟูให้ ส่วนมิ่งขวัญก็เป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างเขาที่จะต้องจัดการกันเป็นปกติอยู่แล้ว ถึงช่วงหลังมานี้ทั้งคู่จะเริ่มสนิทกันเพราะออกรบแนวหน้าด้วยกันบ่อย ๆ แต่ก็ยังมีกระทบกระทั่งกันบ้างโดยเฉพาะหัวข้อปัจจุบันที่ทั้งคู่กำลังแข่งกันนั้น…

 

       “พี่ศรคราวนี้ผมทำได้แจ่มที่สุดใช่ป่าว”

       น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจแบบไม่มีกั๊กของฟู ดังขึ้นและในทันที….

       “เฮ้ย ๆ ๆ ผลงานคราวนี้น่ะเป็นของชั้นนะเฟ่ย ถ้าไม่ได้ สกิลไพโรเบลด(Pyro Blade) ของชั้นทำดาเมจมันไปครึ่งหนึ่งก่อนล่ะก็…”

       เสียงแหลมปรี้ดของขวัญก็แย้งเข้ามา

       “หา?! แต่คนที่หยุดมันไว้ได้คือชั้นต่างหากนายก็เอาแต่แกว่งดาบมั่วอยู่ไม่ใช่รึไง”

       “ว่าไงนะ ชั้นแกว่งดาบมั่วตอนไหนกัน”

       แล้วจากนั้น มิกซ์ก็เข้ามาห้ามปรามทั้งคู่

       “น่า ๆ จะใครก็ไม่สำคัญหรอก”

       แต่ทว่า….

       “เพราะคนที่จัดการมันในตอนสุดท้ายคือผมนี่นา เนอะพี่ศร”

       มิกซ์ที่ควรจะเข้าไปไกล่เกลี่ย กลับส่งยิ้มมาทางเขา หลังจากลงมือกวนน้ำที่ขุ่นอยู่แล้วให้ขุ่นยิ่งกว่าเก่า

       “ว่าไงนะ เพราะพวกชั้นหยุดมันไว้ข้างหน้าให้หรอกน่ะ!!”

       เป็นครั้งแรกที่มิ่งขวัญกับฟู จะใจตรงกันทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันและประโยคเดียวกันราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด

     ส่วนมิกซ์ก็เอาแต่ยิ้มพลางหัวเราะกระซิกกระซี้เหย้าหยอกไปมา แล้วตอนนั้นเองที่พลอยก็ เข้ามาร่วมกวนน้ำให้ขุ่นกับเขาอีกคน

       “ไม่หรอก ๆ ไม่ใช่ทั้งฟู ทั้งมิกซ์ ทั้งขวัญ เลยน่ะแหละ เพราะว่าพี่ศรจะต้องปลื้มในตัวฉันกับเน็กซ์กับนิวมากกว่าอยู่แล้ว จำไม่ได้เหรอตอนออกมาล่ากันน่ะพี่ศรบอกว่าเพราะมี พลอย เน็กซ์ แล้วก็นิว ที่มีสกิลรักษาเลยทำให้มาล่าที่นี่ได้ เน้อ~~”

       พลอยทำเสียงลากยาว พร้อมกันนั้นพวกน้อง ๆ ทั้งสองก็ทำตามด้วย

       “เน้อ~~”

       เรียกได้ว่าตอนนี้เกิดความสามัคคีขึ้นในกลุ่มสามพระหน่อขึ้นมาแบบปุบปับทันที ทั้งหมดนั่นยกให้เป็นความดีความชอบของ ‘ทีมพลอยแอนด์เดอะแก๊งค์’ เลย แล้วทั้งสองทีมก็เริ่มปะทะฝีปากกันอย่างออกรส

       อิงศรถอนหายใจยาว เรื่องน่าปวดหัวในปัจจุบันคือพวกเด็ก ๆ แข่งกันทำให้เขารู้สึกประทับใจ ทั้งที่ผลมันออกมาตรงกันข้าม

       “ทำหน้าเซ็งมาเลยนะอิงศร เป็นอะไรไปเหรอ”

       อิงศรหันไปทางต้นเสียง เด็กสาวที่เดินออกมาจากด้านหลังซากคอนกรีตพร้อม เน็กซ์ กับ นิว กำลังส่งยิ้มให้ เธอมีผมสีบลอนยาวถึงหลังและตาสีน้ำข้าวแบบชาวต่างชาติ  เมื่อสามเดือนก่อนช่วงเวลาเดียวกับที่มิ่งขวัญ ได้รู้จักเหล่าเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์ อิงศรก็ได้ช่วยเด็กสาว… ไม่สิพี่สาวคนนี้จากพวกสัตว์เทวะ โดยบังเอิญ

       “พี่สีดาเห็นหน้าผมก็น่าจะรู้แล้วนะ”

       แล้วอิงศรก็เบี่ยงสายตาไปทางกลุ่มของมิ่งขวัญที่ยังโต้เถียงกันไม่หยุด พลางถอนหายใจอีกครั้ง

       “เจ้าพวกนั้นเข้าใจบ้างไหมเนี่ยว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ”

       จู่ ๆ พี่สาวก็หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า

       “เพราะทุกคนรักอิงศรเหมือนพี่ชายคนนึงไง”

       แล้วก็มองเขาอย่างเอ็นดูด้วยสายตาเหมือนกับที่เขาเคยใช้มองมิ่งขวัญเวลาทำตัวดี  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ใบหน้าของเขากลับแดงระเรื่อขึ้นมา อิงศรพยายามซ่อนใบหน้านั้น แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ทันเห็นเพราะสายตาของหล่อนได้หันเหไปยังกลุ่มของมิ่งขวัญแทน

       “ตอนแรกที่มาเจออิงศรกับทุกคนพี่ก็ยังหวั่น ๆ ใจอยู่เลยว่ามีแต่เด็กเต็มไปหมดแบบนี้จะไปกันไหวเหรอ แต่ทุกคนก็เข้มแข็งเกินตัวกันหมด คอยช่วยเหลือร่วมมือกันเหมือนกับเป็นครอบครัว ถ้าได้อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ถึงโลกจะล่มสลายไปแล้วก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”

       คำพูดที่มองแต่โลกในแง่ดีแบบนั้น…

     เขาไม่ได้เกลียดมันเลยซักนิดเพียงแต่ รู้สึกข้องใจที่คนอายุมากกว่าซึ่งก็น่าจะมีประสบการณ์มากกว่า ถ้าอย่างนั้นน่าจะรู้ว่าโลกที่พูดมานั่นมันไม่มีทางเป็นไปได้

 

       “สนิทสนมกันไว้มันก็ดีแต่แบบนั้นยังใช้ไม่ได้หรอกครับ”

       อิงศรใช้คำพูดนั้นส่งผ่านความรู้สึกขัดใจออกไป

       “เอ๋?”

       “มันยังเปราะบางเกินไป…โลกน่ะเดิมทีก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดที่แค่สายสัมพันธ์ครอบครัวเพียงอย่างเดียวจะฝ่าฟันไปได้ทุกอย่างยิ่งโลกที่ล่มสลายลงไปแล้วด้วยแบบนี้”

       “…”

       “จะมีใครตายเข้าซักวันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่ยังมีชีวิตรอดกันมาได้ถึงวันนี้ต่างหากที่น่าแปลกกว่า”

       อิงศรชำเลืองสายตาหลังจากพูดออกไปแบบนั้น ที่ปลายของสายตานั้นเองความคาดหวังที่ว่าเด็กสาวจะมีปฏิกิริยาเป็นลบกับเขาเกิดขึ้น  แต่ทว่า…

       “คิดมากไปแล้วน่าอิงศรนี่ล่ะก็”

       สีดาพูดกลั้วเสียงหัวเราะแล้วตบเข้ามาที่แผ่นหลังของเขาดังป้าบ ตอนนั้นเองพวกมิ่งขวัญที่ถถเถียงกันอยู่ก็หยุดการกระทำแล้วเฮโลกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง

       “ศรคุยไรกันอ่ะ”

       มิ่งขวัญถามมาเป็นคนแรก

       “ไม่เห็นต้องถามเลยนี่ก็ต้องเป็นไอ้นั่นอยู่แล้วใช่ไหมล่ะไอ้นั่นไง”

       มิกซ์ชี้แจงขึ้นมาอย่างรู้ดีดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย แล้วตอนนั้นฟูก็ถามคำถามขึ้นมา

       “พูดซะขนาดนั้น แล้วนายรู้เหรอมิกซ์”

       ดวงตาสีฟ้าเชิดขึ้นอย่างอวดดี ไม่สิ…มันเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่เหมือนอมพะนำความลับอะไรไว้ซักอย่าง

     มิกซ์แสดงสีหน้าแบบนั้นก่อนจะเอ่ยปากพูดสิ่งที่จะสั่นคลอนสายสัมพันธ์ของครอบครัวด้วยน้ำเสียงที่สนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง

 

       “แหงอยู่แล้วก็พี่ศรกับพี่สีดา คิดจะเปลี่ยนสถานะจากคุณพี่ชายกับคุณพี่สาวมาเป็นคุณป๊ะป๋ากับคุณหม่าม๊าให้พวกเราแล้วยังไงล่ะคร้าบ”

       “ห๊า?!”

       มิ่งขวัญหันมาสีหน้าตื่นตระหนก ฟูก็ทำเช่นเดียวกัน

        “จริงเหรอพี่ศร?!”

 

       จริงซะที่ไหนกันเล่า... อิงศรสบถในใจแล้วเดินฝ่าออกไปจากกลุ่มน้อง ๆ ที่เอาแต่ทำหน้าตาแตกตื่นกัน

 

       “นี่นายโกหกอีกแล้วใช่ไหมเนี่ยมิกซ์”

       ฟูตะหวาดใส่รอยยิ้มระรื่นของเพื่อน

       “แหม ๆ หยอกเล่นนิดหน่อยเอง”

       “แล้วตกลงคุยกันเรื่องไรอ่ะ สีดาบอกหน่อยสิ”

       มิ่งขวัญถาม

       สีดามีสีหน้าลำบากใจบางทีคงเพราะไม่รู้จะถ่ายทอดสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่ออกไปยังไงให้เด็กเข้าใจ

     เอาล่ะขอดูวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่หน่อยเถอะนะพี่สาว...

     อิงศรคิดอยู่ในใจเขาอยากจะประเมินว่าสีดาจะมีความสามารถอะไรบ้างรึเปล่า เพราะในบรรดาพวกเขาแล้วเธอเป็นคนเดียวที่แตกต่างทั้งอายุและความผิดปกติที่ไม่มีหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตกับชื่อปรากฏให้เห็นหนำซ้ำยังไม่สามารถใช้ระบบของเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นคลังติดตัว อาวุธ หรือคลาสอาชีพก็ไม่มีซักอย่าง เป็นได้แค่เพียงคนธรรมดาที่ไม่อาจอยู่รอดในโลกที่ล่มสลายไปแล้วได้อย่างแน่นอน 

     แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่...หนีรอดจนมาเจอเขาช่วยเอาไว้

       ถึงจะเคยถามไปแล้วก็ตามว่าเธอมีอดีตอะไรมาจากไหน แต่เธอจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากชื่อของตัวเอง

     ความจำเสื่อม...คงจะอธิบายได้ดีที่สุด แต่นั่นก็อาจจะเป็นแค่การโกหกก็ได้ การประเมินนี้จะได้ดูว่าเธอมีพื้นฐานนิสัยเป็นแบบไหน จะเป็นคนที่บอกเล่าความเป็นสีดำของโลกใบนี้ให้เด็ก ๆ ฟังอย่างน่ารังเกียจหรือว่าจะปกป้องด้วยถ้อยคำที่สวยหรูอย่างโลกสีขาว จะเป็นอย่างไหนกันแน่ อิงศรลุ้นจนเผลอกำมือแน่น

 

       “คือว่าอิงศรเค้ากลัวว่าตัวเองจะตายเอาน่ะกลุ้มใจจนร้องไห้น้ำตาคลอเลยล่ะ”

       ดูเหมือนฝ่ายที่ถูกเล่นงานจะกลายเป็นเขาซะเอง

       "อ..เฮ้ย..."

       อิงศรพูดแทรกแต่ดูเหมือนจะไม่ทันหยุดปากของหล่อนแล้ว สายตาของบรรดาน้อง ๆ จ้องเขม็งมาที่เขาด้วยความรู้สึกหลากหลายแบบ แล้วฟูก็พูดขึ้นว่า

       "ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ศร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ศรเดี๋ยวฟูจะปกป้องเอง"

       ทันทีที่ฟูเสนอตัวมิ่งขวัญก็แสดงสายตามุ่งมั่นเหมือนกับจะบอกว่า ไม่ยอมแพ้หรอก...

       "ขวัญก็จะปกป้องศรเหมือนกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเดี๋ยวขวัญตายแทนให้เอง"

       "จะบ้าเรอะ จะปกป้องแล้วจะไปตายแทนทำไม"

       หนนี้ฟูเป็นฝ่ายหันไปเปิดศึกกับมิ่งขวัญก่อนบ้าง

       "อ้าวก็ถ้าไม่ตายก็ไม่เท่อ่ะดี้"

       "หา? ถ้าตายแล้วจะเท่ได้ไงห๊ะ มันต้องปกป้องคนที่รักแล้วก็อยู่รอดไปด้วยกันตะหากเด้"

       "งั้น ๆ ไม่ตายแล้วก็ได้แต่ขวัญจะเป็นคนปกป้องศรเองฟูน่ะไม่ต้องทำอะไรหรอก"

       "อย่าดีแต่ปากหน่อยเลยทางนี้ต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้น"

       "พูดงี้จะเอาใช่ป่ะ"

       "ว่าไงนะ แบบนี้ก็สวยเด้ ซัดกันซักตั้ง..."

 

       ก่อนที่ทั้งสองจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทบานปลายอิงศรก็จับทั้งคู่แยกออกจากกันแล้วเขกขนมมะเหงกใส่หัว ให้ไปกินเล่นกันคนละที

       "ดูการ์ตูนกันมากเกินไปแล้วเจ้าพวกบ้า"

       "ไม่ได้บ้านะ!"

       ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันระหว่างนั้นก็เอามือกุมจุดที่โดนเขกใส่ไปด้วย

       อิงศรถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ก็ยังคงเป็นสีฟ้าสดใสแสงแดดแรงจนแสบตา พลางให้คิดไปว่าโลกใบนี้ล่มสลายลงแล้วจริง ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ

       เด็กชายหันเหสายตาจากท้องฟ้าไปยังสถานีรถไฟ แล้วนึกถึงความตั้งใจแรกที่เลือกจะมาสำรวจที่แห่งนี้

 

       ประมาณหนึ่งเดือนก่อนจะเจอกับสีดาหรือก็คือสี่เดือนที่แล้ว เป็นช่วงก่อนที่พวกเด็กจากสถานสงเคราะห์จะมาย้ายมาอาศัยอยู่แถวนี้ ในช่วงเวลาที่ว่าสถานีแห่งนี้มีรถไฟวิ่งกลับเข้ามา ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

       ตอนแรกอิงศรประเมินเอาไว้ว่าอาจจะมีพวกผู้ใหญ่คนอื่นที่รอดชีวิตจากการล่มสลายนั่งรถไฟขบวนนั้นกลับมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครโผล่ออกมา จึงต้องมาสำรวจเพื่อคลายความสงสัย

 

       "เอ้าไปกันได้แล้ว"

       อิงศรพูดแล้วเดินนำกลุ่มไปยังทางเข้า ที่อยู่ห่างไปเพียงสิบก้าวขา

 

       ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่สถานีกลิ่นเหม็นฉุนก็ลอยเข้ามาทิ่มจมูก ภายในเต็มไปด้วยกองกระดูกมนุษย์และปฏิกูลที่พวกสัตว์เทวะขับถ่ายออกมา ทั้งสองอย่างอยู่ปะปนกัน น่าจะเป็นซากศพมนุษย์ที่ถูกกินแล้วขับถ่ายสิ่งที่ไม่สามารถย่อยได้ออกมา

       นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นเลย สิ่งที่มีอยู่คือความเงียบและบรรยากาศวังเวงแสนเย็นเยียบทั้งที่พึ่งจะเป็นเวลาเที่ยงตรงที่แสงแดดแรงจ้าแต่ภายในสถานีกลับมืดสนิทราวกับอยู่คนละโลกคนละเวลา สาเหตุก็มาจากม่านใยแมงมุมหนาเตอะที่คลุมบังสถานีไว้จากแสงแดดข้างนอก

 

       ถึงจะน่ากลัวแค่ไหนแต่พวกอิงศรก็ไม่ยอมหยุดการสำรวจ

       พวกเขาลอดใต้ประตูเก็บตั๋วผ่านเข้าไปยังด้านใน แล้วเดินตรงไปตามทางเดิน ระหว่างทางพวกเขาพบกับร้านรวงที่เคยเปิดขายของอยู่ในสภาพถูกทำลาย บ้างก็โต๊ะหน้าร้านล้มระเนระนาดจนสินค้าที่วางขายหล่นกระจัดกรจาย และคราบเลือดเกรอะกรังติดอยู่ตามที่ต่าง ๆ บรรยากาศแทบไม่ต่างจากบ้านผีสิง

        พวกเด็ก ๆ เริ่มเดินชิดแถวกันมากขึ้น และอิงศรรู้สึกได้ว่ารอบตัวนั้นแคบลงจนรู้สึกอึดอัด เพราะมีทั้งสีดาที่เข้ามาเกาะที่ไหล่ซ้ายส่วนไหล่ขวาก็มีมิ่งขวัญไหนยังจะพวกเด็กจากสถานสงเคราะห์ที่เบียดกันเข้ามาอีก

       “มันอึดอัดนะเดินห่าง ๆ กันหน่อยสิ”

       อิงศรพูดขึ้น 

       “ก็มันน่ากลัวนี่”

       ทกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินติดกันเป็นก้อนเนื้อไปทั้งแบบนี้

พวกเขาเดินมาถึงบันไดที่เชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้นบนที่เป็นชานชาลารถไฟ ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปนั้น ก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้น จากนั้นเสียงก็ดังก้องกังวานมาจากทุกทิศทาง

 

       “พวกมันมากันแล้ว ทุกคนเตรียมตัว”

       อิงศรสั่งไว ๆ แล้วชักคันธนูที่สะพายไว้ขึ้นมาถือ ขณะเดียวกันทุกคนก็เริ่มตั้งวงล้อมตามแผนที่ฝึกกันมา

       ตัวเขา มิ่งขวัญ ฟู และ มิกซ์ สี่คนที่ต่อสู้ได้ยืนจับกลุ่มกันเป็นวงกลมโอบล้อม สีดา พลอย เน็กซ์ และ นิว เอาไว้ตรงกลาง

     ภายหลังจากที่เสียงร้องเงียบลงไป แมงมุมยักษ์สีดำชนิดเดียวกับที่พวกเขาฆ่าไปตอนอยู่ข้างนอกสถานี ก็พากันคลานกันออกมาจากทุกซอกหลืบซอกมุมที่จะซ่อนตัวได้ จนกระทั่งพวกเขาถูกล้อมเอาไว้ทุกทิศทาง การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น

 

       “ไพโรเบลด!!”

       มิ่งขวัญไถลมือไปบนตัวดาบจากนั้นก็เกิดเปลวไฟวนพันรอบ

       เด็กชายกวัดแกว่งดาบเพลิงฟาดฟันกับแมงมุมที่เข้ามาจู่โจมพวกพ้องด้วยท่าทางองอาจพยายามตีฝ่าเปิดเส้นทางให้พวกพ้องและในทันทีที่เส้นทางเปิดออก ฟูที่ยืนรอจังหวะอยู่ก็พุ่งตัวออกไปถึงกลางวงของศัตรู

 

       “เซอร์เคิลสวิง(Circle Swing)!!”

       แล้วเหวี่ยงขวานไปรอบ ๆ แรงปะทะจากขวานอัดพวกมันปลิวกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง จากนั้น มิกซ์ก็มองหาตัวที่พลังชีวิตลดลงจนเหลือน้อยที่สุดแล้วทยอยไล่ฆ่าไปทีละตัว อิงศรก็ทำแบบเดียวกัน

       รูปแบบการต่อสู้ที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในการมาเหยียบที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก แต่อิงศรกับมิ่งขวัญ เคยมาที่นี่ก่อนแล้วครั้งหนึ่งและหนีกลับกันไปแบบทุลักทุเลในตอนนั้น

     เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ว่าอีก อิงศรจึงฝึกทุกคนให้ต่อสู้เป็นทีมกันได้เสียก่อน ใช้เวลาฝึกกันเป็นเดือนกว่าจะเข้าขากันได้ดีเหมือนตอนนี้

 

       "พวกมันมากันไม่หยุดเลย"

       มิกซ์พูดขึ้น หลังจากเริ่มฆ่าแมงมุมยักษ์กันมาได้สิบกว่านาทีแล้วแต่พวกมันก็ยังแห่กันออกมาไม่มีหยุด

       “ขืนเป็นแบบนี้ได้ใส่เกียร์หมาโกยแบบคราวก่อนแหงเลย”

       มิ่งขวัญพูดเหมือนจะสบถแล้วจึงหันมาถาม

       “เฮ้ยศรเอายังไงต่อขืนเป็นแบบนี้ไม่จบแหง”

       “รอเดี๋ยวนะกำลังหาอยู่”

       อิงศรตอบกลับโดยที่ไม่ได้หันไปดู และยังคงใช้สายตากวาดมองทุกอย่างรอบตัว

       “อยู่ไหนฟระ อยู่ที่ไหนกันแน่”

       แล้วสบถออกมา

       “ที่นี่ไม่มี ย้ายขึ้นชั้นต่อไปเลย!!”

       อิงศรสั่งแล้ววิ่งนำทุกคนขึ้นบันไดไปก่อน รอจนพวกผู้หญิงกับเน็กซ์ตามขึ้นมาแล้ว มิ่งขวัญฟู และมิกซ์ ถึงตามขึ้นมาด้วยโดยที่เขาคอยยิงคุ้มกันไว้ให้

       พวกเขาย้ายขึ้นมาที่ชั้นสองของสถานีซึ่งเป็นชั้นชานชาลาที่หนึ่ง พวกแมงมุมที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย แต่นั่นก็คงเป็นเพราะชั้นชานชาลาแห่งนี้มีพวกของมันเฝ้าอยู่เช่นกัน

       อิงศรให้ทุกคนตั้งขบวนเหมือนที่ทำกันตอนอยู่ชั้นล่างแล้วกวาดสายตามองชั้นทั้งชั้นตั้งแต่ในรางรถไฟไปจนถึงเพดาน แต่ก็หาสิ่งที่ต้องการไม่พบจึงออกคำสั่งย้ายไปยังชั้นที่สามที่เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งถูกเรียกว่า ชานชาลาที่สอง

 

       ทันทีที่ขึ้นมาถึงชานชาลาที่สอง อิงศรก็พบกับสิ่งที่ตามหา

       "ตรงนั้น!"

       เขากล่าว แล้วชี้ไปที่เสาหินอ่อนที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของชานชาลา เสาหินอ่อนรูปทรงลูกบาศก์เปล่งแสงสีเขียวได้เองและยังมีหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตด้วย 

Habitat Point

[/////100:100/////]

       เสาหินอ่อนต้นนี้คือจุดพลังงานที่ทำให้สัตว์เทวะกลับมาเกิดใหม่โดยพื้นฐานแล้วจุดพลังแบบนี้จะมีอยู่แค่บางสถานที่เท่านั้นเมื่อทำลายมันลงสัตว์เทวะในรัศมีจะไม่กลับมาเกิดใหม่อีก

ทันทีที่เข้าถึงระยะยิงสุดแสนจะใกล้ที่ห่างกันเพียงสามเมตร อิงศรถึงได้เล็งธนูไปยังเสาหิน 

       "มิกซ์เสาต้นนั้นสอยมันเลย"

       แล้วส่วเสียงสั่งการมิกซ์ จากนั้นจึงแผลงศรนำออกไปเพื่อให้มิกซ์ยิงตามเป้าที่ถูกลูกศรปัก ช่วงระหว่างที่ระดมยิงเสาอยู่นี้มิ่งขวัญกับฟู จะช่วยคุ้มกันไม่ให้พวกแมงมุมยักษ์เข้ามาขัดขวาง

       การระดมยิงต้องใช้เวลาเนื่องจากเสาหินมีพลังป้องกันที่สูง การโจมตีในแต่ละครังนั้นลดแถบพลังได้ไม่มากนัก แต่พวกเขาก็ยื้อเวลาจนทำสำเร็จ ทันทีที่แถบพลังชีวิตของเสาหินลดลงหมด ตัวเสาหินก็เกิดการระเบิดและสลายไปในที่สุด

       "ทำลายฮาบิแททพอยท์แล้วพวกมันจะไม่เกิดใหม่แล้ว จัดการให้หมดเลย"

       อิงศรส่งเสียงตะโกนให้ทุกคนได้ยิน  จากนั้นก็เริ่มจับกลุ่มกันเป็นวงล้อมอีกครั้ง หนนี้เมื่อฆ่าแมงมุมยักษ์แล้วพวกมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาใหม่อีก ไม่นานนักจำนวนของพวกมันก็ทยอยลดลงจนหมดไป

       ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณข้อมูลจากสีดาถึงเธอจะความจำเสื่อมแต่กลับรู้วิธีหยุดการเกิดใหม่ของสัตว์เทวะรวมไปถึงรู้วิธีที่จะค้นหาจุดพลังงานอีกด้วย

     อย่างไรก็ตามการทำลายจุดพลังงานไม่ได้ทำให้สัตว์เทวะหายไปตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์จุดพลังงานจะกลับคืนมาสัตว์เทวะในบริเวณนั้นก็จะเกิดใหม่อีกครั้ง

       ภายหลังจากที่สถานการณ์กลับเป็นปกติทุกคนพากันหอบหายใจจนตัวโยน ต่างหันหลังชนกันแล้วทรุดลงไปนั่งพื้นกันทั้งอย่างนั้น ยกเว้นอิงศรที่ยังเดินสำรวจชานชาลาอยู่ตามลำพัง

     ชั้นชานชาลาที่สองนี้เป็นชั้นบนสุดของสถานี พื้นที่สองฝั่งประกบด้วยรางรถไฟฟ้านอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ขบวนรถไฟที่เป็นเป้าหมายของการสำรวจก็จอดสนิทอยู่บนรางฝั่งขวาของบันไดที่พวกเขาขึ้นมามาจากชั้นชานชาลาที่หนึ่ง

       ประตูรถไฟเปิดทิ้งไว้ทุกขบวนโดยสาร รวมไปถึงห้องคนขับ ไฟภายในรถดับสนิทอิงศรจึงเลือกไปดูที่ห้องคนขับ ภายในหัวขบวนรถไฟเป็นห้องคับแคบที่มีพื้นที่แค่พอนั่งได้คนเดียวกับแผงควบคุมรถที่เต็มไปด้วยสวิตช์มากมายและคันบังคับรถถูกติดตั้งเครื่องอะไรซักอย่างที่เหมือนกับสายหนังมัดเข้ากับแท๊บเล็ท

       อิงศรลองขยับคันบังคับดูแต่มันแข็งจนโยกไม่ได้เพราะถูกเครื่องที่ว่าล็อกเอาไว้ จึงเปลี่ยนความคิดมาลองเล่นกับจอเครื่องที่เหมือนกับแท็บเล็ทแทน เด็กชายแตะนิ้วลงบนจอแล้วมันก็สว่างขึ้น จากนั้นก็มีมีหน้าปัดนาฬิกาจับเวลาที่แสดงเวลาเป็นศูนย์กับปุ่มสีแดงปรากฏขึ้นบนจอ และยังมีข้อความอธิบายเขียนเอาไว้ด้วยว่า

 

     'กดปุ่มสีแดงรอห้านาทีรถไฟจะออกวิ่งไปยังสถานีปลายทาง'

 

       "เจ้านี่เป็นเครื่องคนขับอัตโนมัติงั้นสิ"

       อิงศรพึมพำ ทฤษฎีสองสามอย่างถูกยกขึ้นมาแล้วตัดความเป็นไปได้ออกจนเหลือแต่สิ่งที่น่าจะเป็นจริงเท่านั้นก็ได้ข้อสรุปออกมาว่ามีใครบางคนจงใจส่งรถไฟขบวนนี้มารับใครหรืออะไรซักอย่าง เด็กชายชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจกดปุ่มสีแดง

       หน้าจอเปลี่ยนไปอีกครั้ง หน้าปัดนาฬิกาเริ่มนับถอยหลัง ข้อความบนจอเปลี่ยนเป็น

 

       'หลังจากนับถอยหลังเสร็จสิ้นรถไฟจะออกเดินทางหากต้องการยกเลิกกดปุ่มสีแดงอีกครั้ง'

 

       ตอนนั้นเองไฟในรถก็สว่างขึ้น เสียงเครื่องยนต์ดังกังวานไปทั้งสถานี ระบบต้อนรับอัตโนมัติเริ่มทำงานมีเสียงตามสายดังแว่วมา

       "รถไฟขบวนนี้จะวิ่งไปถึงสถานีปลายทางหมอชิต ขอให้ผู้โดยสารระมัดระวังเท้าก่อนก้าวเข้าสู่รถไฟด้วยค่ะ"

       ด้วยความตกใจอิงศรกดปุ่มสีแดงอีกครั้ง หน้าจอเปลี่ยนกลับไปเหมือนตอนแรก พร้อมกันนั้นรถไฟก็หยุดการทำงานไปด้วย

 

       "ศร ! "

       "พี่ศร ! "

       "อิงศร ! "

       ทุกคนที่นั่งพักกันอยู่วิ่งมาออกันอยู่หน้าประตูห้องคนขับ หน้าตาแตกตื่น... ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะอยู่ ๆ รถไฟก็ทำงานขึ้นมาเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น

       "เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

       สีดาถามขึ้นเป็นคนแรก

       "แค่ลองตรวจสอบนิดหน่อยน่ะดูเหมือนมันยังใช้ได้นะ"

       "พี่ศรขับรถไฟเป็นด้วยเหรอ ! "

       น้ำเสียงของฟูดูสดใสขึ้นมาทันใด เด็กชายจ้องเขาตาเป็นประกาย

       "ขี้โกงอ่ะ ศรเคยไปขับตอนไหนทำไมขวัญไม่เห็นรู้เลย"

       มิ่งขวัญแทรกเข้ามา แล้วทุกคนก็ยิงคำถามใส่กันมาสารพัดจนตอบไม่หวาดไม่ไหว

       กว่าจะอธิบายทั้งหมดให้เข้าใจได้ก็กินเวลาไปหลายสิบนาที

 

       หลังการตรวจสอบรถไฟเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ก็ตกลงกันว่าจะปล่อยมันเอาไว้อย่างนี้ไปก่อนแล้วอิงศรก็แยกตัวออกมาสำรวจภายในสถานีคนเดียวอีกครั้ง โดยปล่อยพวกเด็ก ๆ ให้สีดาคอยดูแล

       "มิกซ์วิ่งแข่งจากตรงนี้ไปโน่นกันเถอะ"

       "ยังไงก็ไม่ชนะฟูอยู่แล้วนี่"

       "เฮ้ย ขวัญไม่เอาด้วยเหรอ"

       "อ๋อเล่นกันไปก่อนเลยเด๋วชั้นมา"

       เสียงของพวกเด็ก ๆ ดังก้องไปทั่วทั้งชานชาลา แต่อิงศรก็ไม่ได้สนใจมันเขายังคงสมาธิไว้กับการตรวจสอบเสาค้ำสถานี แล้วตอนนั้นเองเสียงของมิ่งขวัญก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

       "ทำไรอยู่น่ะ"

       "ดูเอาก็รู้นี่ตรวจสอบเสาอยู่ไง"

       อิงศรตอบกลับแบบไม่เต็มใจน้ำเสียงแสดงความรำคาญอย่างตรงไปตรงมา

       "แล้วจะดูไปทำไมน่ะไอ้เจ้าเสาต้นนี้มีอะไรน่าสนุกหรือไง"

       "นี่ไม่ได้มาเล่นนะจะได้สนุกน่ะ"

       "งั้นทำอะไรอยู่กันแน่ล่ะ"

       มิ่งขวัญตีหน้ามุ่ยพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอว

       "ก็แค่เผื่อเอาไว้ จะดูว่าถ้าติดตั้งระเบิดเอาไว้ตรงนี้แล้วสถานีมันจะถล่มลงไปหมดเลยรึเปล่า"

       "ทำไมต้องทำอะไรน่ากลัวขนาดนั้นด้วย?"

       มิ่งขวัญถามพลางมองเขาด้วยสายตาขยาด

       "ก็เผื่อถ้าใครนั่งรถไฟมาที่นี่แล้วมันประสงค์ร้ายกับพวกเราล่ะก็จะได้จัดการพวกมันก่อนไง"

       “แบบนั้นก็เท่ากับว่าเราเป็นฆาตกรน่ะสิ”

       "..." พอโดนมิ่งขวัญพูดใส่แบบนั้นตัวเขากลับรู้สึกหวั่นไหวจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

       “พูดแบบนั้นก็เกินไปไม่ได้กะจะเอาไว้ฆ่าคนจริงจังซะหน่อย นี่ก็แค่เอาไว้แค่ขัดขวาง ถ้าพลังชีวิตเหลือเต็มล่ะก็โดนสถานีถล่มใส่คงไม่ตายหรอก”

       อิงศรตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนแปลงเพราะอายุกับวุฒิภาวะที่เริ่มเปลี่ยนไป หรือ จะเป็นเพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกที่ล่มสลายกลืนกินไปแล้วกันแน่...

     พอรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องอ่อนหัดอยู่เขาก็สะบัดหัวเร็ว ๆ เพื่อไล่ความคิดพรรค์นั้นออกไป

 

     การสำรวจสถานีรถไฟผ่านมาแล้วสี่วัน อีกแค่สามวันก็จะที่ต้องกลับไปที่สถานีเพื่อรอทำลายจุดพลังงานที่จะเกิดขึ้นใหม่

       ส่วนวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนทุกวัน...มิ่งขวัญกับฟูแข่งว่าใครจะเก่งกว่ากัน

       "วันนี้ไก่ยักษ์ร้อยตัวคนที่กลับมาที่นี่ก่อนเป็นผู้ชนะ"

       มิกซ์ประกาศกติกาท่ามกลางเสียงจอแจ

       พวกเขาออกห่างจากห้างสรรพสินค้าที่เป็นบ้านมาไกลพอสมควร ยืนออกันอยู่บนถนนหน้าลานวัดจีนแห่งหนึ่ง

       "วันนี้ชั้นชนะแน่"

       มิ่งขวัญพูดข่ม

       "นั่นมันคำพูดของชั้นต่างหาก"

       ฟูสวนกลับไปพูดข่มส่วกันไปมาอยู่อย่างนั้นแล้วก็แยกย้ายกันออกไปล่าสัตว์เทวะตามลำพัง

     ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะห้ามอย่างเด็ดขาด แต่บริเวณโดยรอบที่สำรวจกันมาทั้งหมดก็มีแต่สัตว์เทวะที่ระดับต่ำกว่าถ้าไม่ทำเรื่องเสี่ยงตายออกนอกเขตหรือไปยุ่งกับตัวที่ไม่ควรยุ่ง ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้งเนื้อหาการแข่งคือการล่าไก่ยักษ์ที่มีเลเวลแค่สาม สำหรับพวกเขาในตอนนี้ไม่ว่าใครก็ล่ามันได้ต่อให้เป็นเน็กซ์กับนิวที่เด็กที่สุดในกลุ่มก็ตาม

       นอกจากมิ่งขวัญกับฟูแล้ว มิกซ์ และ พลอยเองก็เหมือนจะแยกกันไปล่าด้วย

       "มาทำให้สองคนนั่นตะลึงกันดีกว่า"

       "เห็นด้วย แต่ผมกลับมาก่อนพลอยแหง ๆ "

       พูดกันแบบนั้นแล้วก็หัวเราะคิกคักก่อนจะแยกย้ายกันไป โดยมิกซ์แยกไปเพียงลำพัง ส่วนพลอยพาเน็กซ์กับนิวไปด้วยกันแล้วยังออกปากชวน สีดาด้วยอีกคน

       "พี่สีดาไปด้วยกันไหม๊"

       "..."

       เด็กสาวมองมาที่อิงศร ส่งสายตาเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่าง

       "เดี๋ยวชั้นมีเรื่องจะคุยกับพี่สีดาพวกพลอยไปกันเองเถอะ"

       "งั้นเองเหรอ"

       พลอยพูดด้วยใบหน้าเสียดายแต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียว

       "ถ้างั้นพวกหนูไม่อยู่เป็น กอ ขอ คอ แล้วล่ะเชิญจู๋จี๋กันตามสบายเลยค่า"

       เธอพูดน้ำเสียงระรื่น ก่อนจะพากันชิ่งไปพร้อมเน็กซ์และนิว โดยมีอิงศรตะหวาดไล่หลัง

       "ยัยพลอย! เดี๋ยวเหอะอย่ามาล้อเล่นกับพี่แบบนี้นะ"

       อิงศรถอนหายใจ เมื่อพวกพลอยไปกันไกลจนลับจากสายตาในเวลาแค่ไม่กี่วินาที

       หลังจากนั้นสีดาก็จะส่งเสียงหัวเราะคิกคักแล้วพอเขาหันกลับไปเธอคงจะกำลังอมยิ้มกลั้นขำอยู่เป็นแน่

       "..."

       ไม่มีปฏิกิริยาจากทาวด้านหลังที่สีดายืนอยู่ เขาหันกลับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า

       สีดาหายไปแล้ว 

       "เฮ้ ไปไหนแล้วน่ะพี่สีดา ถ้าเล่นซ่อนแอบกันล่ะก็แบบนี้ไม่ขำนา"

       อิงศรตะโกน แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ ตอนนั้นเองก็รู้สีกได้ถึงจิตสังหาร...

       "ใครนะ!?"

       อิงศรชักธนูออกมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจิตสังหารมันเป็นยังไง เพราะเคยเห็นแต่ในการ์ตูนไม่ก็หนัง พวกตัวละครนักรบหรือนักฆ่าที่มีฝีมือเก่งกาจมักจะสัมผัสถึงความมุ่งร้ายที่มองไม่เห็นได้ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ก็คล้ายคลึงกัน เป็นความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลังเหมือนกับถูกใครเอาน้ำแข็งมาถูอย่างไรอย่างนั้น

       อิงศรหันไปยังทิศที่ความมุ่งร้ายเข้ามาปะทะ สิ่งนั้นแผ่ออกมาจากกลุ่มคนชายหญิงที่มีกันอยู่สิบกว่าคนกำลังเดินจากลานวัดจีนมาทางนี้

 

       ทุกคนมีผิวกายที่ขาวกว่าคนปกติเรียกได้ว่าขาวจนซีดราวกับศพ และมีเส้นผมสีเงินแบบธรรมชาติอย่างที่ไม่น่าจะมีได้

     ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างสวมชุดเหมือน ๆ กันเป็นเครื่องแบบสีดำสนิทประกอบด้วยแจ๊กเก็ตสีดำติดขนมินท์สีขาว กางเกงและรองเท้าทำจากผ้าใบสีดำ

       ชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตนั้นเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า และเกือบทุกคนมีระดับเลเวลมากกว่าสี่สิบไปจนถึงหกสิบ

 

     "พบเป้าหมายแล้ว"

     "ห้ามทำร้ายเป้าหมาย"

     "ได้รับอนุญาตให้แสดงพลังเพื่อข่มขู่ได้"

      กลุ่มคนเริ่มพูดกันเอง แต่ไม่มีใครมองหน้าสบตากันระหว่างที่คุย

     ทุกสายตานั้นจับจ้องมาที่อิงศร

     "พวกที่มาตอนวันสิ้นโลก.."

     อิงศรนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยเจอกลุ่มคนที่แต่งตัวแบบนี้มาแล้วในวันที่อุกกาบาตตกลงมาทำให้โลกล่มสลาย

     ในกลุ่มคนเหล่านั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งชักดาบแล้วเดินออกมาข้างหน้า

 

       "ด...เดี๋ยว! ผมไม่ใช่สัตว์เทวะ… "

     เป็นมนุษย์เหมือนกันเป็นพวกเดียวกัน.... อิงศรตั้งใจจะอธิบายออกไปอย่างนั้น แต่ดาบในมือของหล่อนก็หาได้ฟังคำเขาไม่

     “เร้ดโซล (Red Soul)”

     หล่อนพูดเบา ๆ เหมือนกระซิบ แล้ว จู่ ๆ รังสีฆ่าฟันก็แผ่ออกมาอย่างรุนแรง เส้นผมสีเงินลอยขึ้นเหมือนถูกลมพัดขึ้นมาจากด้านล่าง ใบดาบเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือด หญิงสาวเงื้อดาบขึ้นแล้วตวัดลงอย่างรวดเร็ว

     อิงศรสัมผัสได้ถึงสายลมอันรุนแรงที่พุ่งเข้ามาหา สายลมวิ่งตัดหน้าเขาไป

     พริบตานั้นอาคารสูงสี่ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังก็ถล่มครืนลงมากองเป็นซากเกลื่อนพื้นถนนราวกับโดนระเบิดถัดมาจากนั้นคือภาพที่หญิงสาวเก็บดาบเข้าฝักไป นั่นคือชั่วขณะหนึ่งนั้นที่รู้สึกเหมือนกับเวลาได้หยุดลง

     “อะ…”     อิงศรส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจกลัวทั้งที่เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว แต่สมองพึ่งจะสั่งการให้แสดงความรู้สึก ไม่ใช่เพราะสมอง    ของเขาช้าลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการโจมตีของอีกฝ่ายรวดเร็วเกินกว่าจะตอบสนองทัน กลุ่มคนชุดดำมีฝีมือถึงขนาดนั้น

       แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะสู้หรือจะหนี อิงศรหันหลังให้โดยไม่เสียดายศักดิ์ศรีขาทั้งสองข้างขยับก้าวอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งโกยสุดชีวิตเข้าไปในตรอกซอยของอาคารบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง

       “ต้องรีบบอกให้ทุกคนหนี”

       อิงศรคิดพลางเรียกหน้าจอสำหรับติดต่อสื่อสารขึ้นมา แล้วไล่รายชื่อโทรบอกทุกคนในกลุ่มด้วยคำพูดแบบเดียวกัน

       “มีพวกแปลก ๆ มาโจมตีพวกมันใส่ชุดสีดำชื่อบนหัวเป็นสีฟ้า ถ้าเจอห้ามไปต่อสู้ด้วยเด็ดขาด ให้รีบหนีไปที่สถานีเข้าใจนะ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา