Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ

8.1

เขียนโดย zusuran

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.

  28 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) ดอกไม้สีเทา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ดอกไม้สีเทา

หมอกสีเทาลอยอ้อยอิ่งเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดลงพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาจากม่านหมอกจนสมบูรณ์ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านี้แทบทำให้ซาคุโระพูดไม่ออก

“ฟุ…ยูกิ”

ซาคุโระจำได้ไม่มีวันลืมถึงเด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินสว่าง ใบหน้าอ่อนหวานดุจสาวน้อยแรกรุ่น ผิวขาวราวหิมะ หากนัยน์ตาที่เคยจดจำได้นั้นกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาที่เคยเป็นสีเงินสุกสกาวบัดนี้มันหม่นหมอง เยือกเย็นดุจค่ำคืนไร้ดาวในฤดูหนาว

“ฟุยูกิ ทำไม….”

“ทำไมข้าถึงทรยศ…จะพูดอย่างนั้นใช่ไหม”

“…!”

สายตาหมางเมินไร้ความรู้สึกนึกคิด ซาคุโระปล่อยให้ความเงียบลอยอ้อยอิ่งไปรอบๆตัวขณะที่สายตายังคงจดจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า นี่คือฟุยูกิและเขาก็ยังไม่ตาย หากมิราอิรู้เขาจะยินดีกับเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ว่ากลิ่นอายประหลาดที่รายล้อมเด็กหนุ่มอยู่ในตอนนี้คืออะไร

“จะบอกให้ก็ได้…เพราะข้าแข็งแกร่งไงล่ะ”

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้

“ข้าแข็งแกร่ง และจะเก่งขึ้นไปอีก เก่งกว่าท่านพี่ และอีกไม่นานข้าจะเหนือกว่าเขา เหนือกว่ามิราอิ และเหนือกว่าโฮโนโอะ”

ตึก!

หัวใจกระตุกวูบใหญ่จนรู้สึกเจ็บซี่โครง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ก็คนๆนี้คือฟุยูกิหรือไม่ใช่ เด็กหนุ่มอ่อนต่อโลกคนนั้น ทำไมถึงได้กลายเป็นวายร้ายทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่ชายตัวเอง

“แล้วที่เธอจับตัวฉันมา เธอตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม”

“ใช่”

คำตอบที่มาพร้อมกับใบหน้าหวานตายด้านนั้นทำเอาซาคุโระแทบหยุดหายใจ คำถามมากมายก่อตัวขึ้นในใจราวพายุจนปั่นป่วนและเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงออกมาได้แม้สักคำเดียว อยากหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ใช่จากความยินดีหากแต่เป็นความรู้สึกสังเวชในตัวเองที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานเหลือเกิน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกแบบนี้ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรอบข้างก็จะทำเหมือนว่ามันเป็นสิ่งไร้สาระไปทั้งหมด หรือไม่ก็จัดการให้มันพ้นหูพ้นตาไปเสีย ทว่า ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนเลือดในกายกำลังเดือด อยากกระชากโซ่ให้ขาด จากนั้นก็เข้าไปขย้ำคอพร้อมๆกับประทานฝ่ามือให้ใบหน้าหวานๆติดเย็นชานั่นสักหลายฉาดให้หายแค้น

กาลเวลาแสนสั้นสามารถเปลี่ยนจิตใจคนเราได้ราวพลิกฝ่ามือขนาดนี้เชียวหรืออย่างไรถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็อยากสลับร่างกลายเป็นเทพธิดาสีเงินเสียตั้งแต่ตอนนี้ จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดของเจ้าหล่อนกวาดล้างโลกโสมมนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง จะได้ไม่เหลือใครหน้าไหนมาเกะกะลูกตาและร่ายคำพูดให้ระคายหูระคายใจ

แกร๊ก!

เสียงลั่นของกุญแจดังขึ้นพร้อมกับความหนักและเจ็บหน่วงๆตรงข้อมือสองข้างได้ทุเลาลง เมื่อมองดูอีกครั้งก็พบว่ากุญแจที่พันธนาการเอาไว้เสียงแน่นหนาราวกับล่ามช้างๆได้คลายออกพอให้ซาคุโระได้หายใจทั่วท้องและไม่ต้องทนเจ็บเพราะถูกบาดจนเนื้อปริเลือดออก และคนที่ทำอย่างนี้ได้ก็มีเพียงคนเดียงซึ่งก็ยืนอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้

“เท่านี้ก็ไม่ต้องทรมานมากมาย อยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงเถอะ”

พูดเพียงเท่านั้นฟุยูกิก็ตั้งใจจะหมุนตัวเดินจากไป และเขาก็เลือกเดินจากไปทีละก้าวแทนการหายตัวไปกับเมฆหมอกอัปมงคล

“ดะ…เดี๋ยวสิ! จะไปง่ายๆอย่างนี้น่ะเหรอ ฟุยูกิหยุดเดี๋ยวนี้นะกลับมาคุยกันให้รู้เรื่องนะตาบ้าใจน้ำแข็งงี่เง่า! คนใจดำ! หลอกลวง! โหดเหี้ยมอำมหิตไร้สามัญสำนึกฆ่าได้แม้กระทั่งพี่ชายตัวเอง อุ๊บ!...”

คำดุด่าแสนเมามันถูกหยุดไว้ด้วยริมฝีปากเรียวสวยของคนที่เพิ่งได้ก้าวเดินจากไป ซึ่งบัดนี้ได้ย้อนกลับมามาประกบปิดริมฝีปากร้ายกาจของซาคุโระเอาไว้อย่างแนบชิดสนิทสนม ไม่ว่าจะสะบัดยังไงก็ไม่มีทางหลีกหนีพ้นจากการจู่โจมอันแสนอ่อนโยนนี้ไปได้ เดี๋ยวนะ…อ่อนโยนเหรอ? จากคนๆนี้เนี่ยนะ

อ่อนโยนลึกล้ำกินเวลายาวนาน แต่ซาคุโระกลับไม่อาจคล้อยตามได้ เธอทำทุกวิถีทางที่จะหลุดพ้น จนกระทั่งเหลือวิธีสุดท้ายที่นึกออกก่อนอากาศจะหมดปอด

“อึก!...”

เธอกัดลิ้นเด็กหนุ่ม และทันทีที่เด็กหนุ่มผละออกเธอก็ใช้ลูกถีบแสนงามทาบบนหน้าอกส่งร่างโปร่งบางที่ยืนไม่มั่นคงนั้นจนกระเด็นออกไปนอนแผ่เป็นปลาแห้งห่างจากเธอเป็นเมตร

“แฮ่กๆๆ อย่าบังอาจมาล่วงเกินฉันเป็นครั้งที่สอง คนน่ารังเกียจ”

ทั้งที่กร่นด่าออกไปอย่างเกรี้ยวกราดเพียงนั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนข้างในอกมันจะเย็นเฉียบ หัวตาเริ่มหนักและร้อนไม่นานก็มีหยดน้ำอุ่นๆร่วงเผาะลงมาจากตาคู่สวย ภาพเด็กหนุ่มที่นั่งใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปากเริ่มโย้เย้ พล่าเลือน จนไม่เหลือให้เห็นเป็นรูปร่างได้อีก ซาคุโระได้เพียงก้มหน้าปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว

แปะ…

มือเย็นเฉียบแตะบนแก้มข้างที่มีปานปะทับอยู่ ถึงจะแผ่วเบารราวสัมผัสของลมแต่ซาคุโระก็ยังเงยหน้าขึ้นสบตาของเจ้าของมือนั้นแต่โดยดี ดวงหน้าอ่อนหวานแต่แอบเย็นชาอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ดวงตาสีทมิฬดุจรัตติกาลที่ไร้ดาวนั้นช่างดูเหน็บหนาว ทว่ามันกำลังสั่นระริกไหวและถูกหล่อเลี้ยงด้วยหยาดน้ำใสๆ ริมฝีปากได้รูปนั้นกำลังเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ราวกับสาวแรกรุ่นที่เก็บกดความปวดร้าวเอาไว้สุดกำลัง มือข้างนั้นลูบบนปานสองสามทีก่อนผละจากไปพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มที่สลายกลายเป็นหมอกสีเทาอ้อยอิ่งจากไปอย่างเงียบเชียบและเดียวดาย

หมายความว่าอย่างไรหรือ….

“ฟุยูกิ…”

สีหน้าอมทุกข์นั้นคืออะไรกัน เรากำลังเจ็บปวกกันทั้งคู่ใช่ไหม แล้วมันคือสิ่งใดเล่า ปานบนใบหน้าตอนนี้มันเป็นสีอะไรแล้ว ยิ่งคิดถึงหัวใจก็ยิ่งบีบรัดและหนักอึ้ง หนักหนาเสียจนน้ำตาต้องไหลพร่างพรูออกมาอีกหน กุญแจและโซ่ที่ถูกคลายให้หลวมพอที่จะให้เธอนั่งคุกเข่าและขยับร่างกายได้ถนัดถนี่ ถึงจะเป็นอย่างนั้นซาคุโระก็เลือกจะคุกเข่าอยู่ที่เดิมและยกมือสองข้างปิดหน้าปล่อยเสียงสะอื้นออกมาพร้อมน้ำตาเท่านั้น นี่สินะ…ความอ้างว้าง มันโหดร้ายเหลือเกิน เหน็บหนาวทั้งที่อากาศมืดครึ้มชวนอึดอัด คนเดียวที่จะทำให้มันหายไปได้ คนๆเดียวๆที่ซาคุโระอุ่นใจทุกครั้งเมื่อเห็นหน้าและใกล้ชิด คนๆนั้นที่ไม่ว่าเมื่อใดก็มอบคำว่าชีวิตมาให้ผ่านการกระทำของตน อยากพบ อยากเจอกับเขาอีกครั้งเหลือเกิน

หากตอนนี้เขาแห่งหนใดเล่า…

โฮโนโอะอยู่ที่หนใด…

เส้นทางรกร้างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบอัปมงคล ยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นมาราวจะตอบรับเสียงบางอย่างที่กำลังเชือดเฉือนผ่านม่านอากาศอันแสบแก้วหู ร่างของบุรุษผิวสีแทนยังคงยืนอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากของร่างหลายร่างที่ไร้ลมหายใจ เหล่าอสูรปีศาจต่างหวาดผวาชายผู้มีดวงตาสีฟ้าผู้นี้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน เฉียดเช่นอาภรณ์สีขาวขุ่นที่เริ่มขาดวิ่นมีสีเลือดคล้ำอาบแต้มไปเป็นหย่อม ในมือเขาคือดาบไร้กั่นสีทองเกลี้ยงเกลาไร้ลวดลายที่เพิ่งดึงออกมาจากร่างของอสูรตาเดียวซึ่งตายทั้งยืน

พลั่ก!

ครั้นเมื่อร่างมหึมาล้มกองอย่างสิ้นท่า พวกที่เหลือก็หนีตายกันอลหม่านทั้งๆที่ตอนแรกต่างมุ่งหมายจะเอาชีวิตชายหนุ่ม

‘ไม่ตามไปหรือ’

เสียงของอิสตรีเย่อหยิ่งและเย็นชาดังออกมาจากดาบสีทอง ถามชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ไม่ เสียเวลาเดินทางมามากแล้ว”

ชายหนุ่มตอบอย่างขอไปที ก่อนสะบัดข้อมือเสียแรงๆหนึ่งทีเพื่อให้สิ่งไม่พึงประสงค์หลุดลอกจากดาบและเก็บเข้าฝักเดินตรงไปยังแม่น้ำเพื่อจัดการกับคราบสกปรกบนร่ายกาย เมื่อถูกวางบนโขดหินดาบสีทองก็เรืองแสงสีทองอาบไล้ไปทั่ว เพียงวูบเดียวก็ปรากฏร่างของอิสตรีเจ้าของเรือนผมสีแดงดุจโลหิตรวบเป็นทรงสูงไว้ด้านหลัง รอยสักสีดำบนแก้มนั้นขลับให้ใบหน้าเรียวสวยน่าเกรงขาม นัยน์ตาสีทองเจิดจรัสจับจ้องแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังเดินลงลำธารอย่างไร้อารมณ์ ขณะที่อาภรณ์โปร่งบางวาบหวิวที่ห่อหุ้มร่างกายของเธอพัดไหวตามแรงลมที่เข้ามาหยอกล้อเผยให้เห็นเรียวขาและเรือนร่างสะโอดสะองชัดเจนและทรงเสน่ห์ นั่งห้อยขาชันเข่าข้างหนึ่งบนโขดหินด้วยท่วงท่าอันเย้ายวน หากเวลานี้มิได้มีชายใดที่จะกล้ามอง จะมีก็แต่เจ้าเด็กน้อยที่กลายเป็นหนุ่มอยู่ตรงนี้ และด้วยนิสัยของมันนั้นเล่าก็ช่างเหมือนบิดาของมันยิ่ง มันไม่แม้จะสนใจมองร่างกายมนุษย์ของเธอนอกจากรูปร่างของศาตราที่มันต้องฝึกฝนใช้ให้คุ้นมือเท่านั้น

“เจ้าเดินทางมากี่วันแล้ว โฮโนโอะ”

“ข้าไม่ได้นับ”

คำตอบจากชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่กลางน้ำสูงเท่าเอวทำให้อิสตรีนักรบนามโซยะถึงกับถอนหายใจ ตั้งแต่นายเหนือหัวสั่งให้เธอติดตามเจ้าเด็กปากหนักนี่มาจากนรกก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ทุกวันบนเส้นทางอัปมงคลที่เข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นทุกทีๆนี้ เจ้าเด็กนี่ก็แทบไม่หยุดพักนับวันนับคืนเลยด้วยซ้ำ จุดมุ่งหมายของมันนั้นช่างมั่นคงและหนักแน่นตั้งแต่อยู่ในนรก โซยะแทบคิดไปแล้วว่ามันอาจจะกลายเป็นหุ่นกระบอกที่ไร้หัวใจความรู้สึกไปตั้งแต่ที่รู้เรื่องของมารดาแล้วก็ได้

โฮโนโอะวักน้ำล้างหน้าต่อไปเรื่อยๆก่อนหยุดชะงักเมื่อมองสีหน้าของตัวเองซึ่งสะท้อนอยู่ในน้ำ ดวงตาสีฟ้าดุจน้ำทะเลตัดกับความดุดันทางสีหน้าของเขาเสียเหลือเกิน และคนที่มอบมันให้กับเขาก็หาใช่บิดา หากเป็นมารดาที่ทอดทิ้งเขาไปและบัดนี้ก็คือศัตรูตัวร้ายที่เขาจะต้องจัดการให้ได้ เป้าหมายของนางคือเทพธิดาสีเงิน เป็นเช่นนั้นแล้วเด็กสาวต่างโลกคนนั้นเล่าป่านนี้จะเป็นเช่นไร หากถึงคืนที่พระจันทร์สีเงินปรากฏแล้วเธอจะยังอยู่รอดปลอดภัยหรือเปล่า

“อยู่นี่เองหรือ”

เสียงเรียบเย็นคุ้นหูแม้ไม่ได้ยินบ่อยครั้ง โฮโนโอะเงยหน้ามองไล่สายตาจากปลายผ้าคลุมสีรัตติกาลที่ลอยเหนือผิวน้ำขึ้นไปจนสบเข้ากับดวงตาสีแดงฉานดุจโลหิตของชายหนุ่มผู้ลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงหน้า

“เร็นกะ”

ไม่ต้องระลึกความหลังให้เสียเวลาโฮโนโอะก็โพล่งนามของชายตรงหน้าออกมาได้อย่างถูกต้อง เขาไม่มีทางลืมยมทูตผู้ส่งเขาไปหาบิดาในนรกแน่ แล้วตอนนี้ยมทูตมาหาเขาทำไมหรือ แล้วซาคุโระเล่าเขานำเธอไปเก็บไว้ที่ใด

“มีธุระอะไร”

“เทพธิดาสีเงินของเจ้า อยู่ที่หุบเขาหลับใหลแล้ว”

คำบอกเล่าดุจสายลมพัดเอื่อยๆของยมทูตเร็นกะ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบภายในห้วงคำนึงของชายหนุ่มซึ่งกำลังพุ่งตัวมุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้างคลั่งบนเส้นทางอัปมงคล ดวงตาสีฟ้าแข็งกร้าวปะปนความร้าวรานกับเรื่องเล่าจากปากยมทูตที่ว่า…. ฟุยูกิแปรภักต์เข้ากับพลังมืด และชิงตัวซาคุโระไปอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำมิราอิที่ว่าเก่งกาจจนสามารถโค่นเนรีวได้นั้นก็ยังเพรี่ยงพร้ำจนสาหัสบอบช้ำทั้งกายและใจ เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันก่อนจะถึงคืนพระจันทร์สีเงินปรากฏ

…ข้าเป็นเพียงยมทูต หน้าที่ของยมทูตหาใช่การต่อสู้หากเป็นการเก็บกวาดวิญญาณและพิพากษาดวงวิญญาณ เป็นเพียงผู้เฝ้ามองอยู่ภายนอกเท่านั้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โฮโนโอะนึกอยากจับเจ้ายมทูตนั่นมาฉีกออกเป็นร้อยส่วน แต่ก็ติดอยู่ที่ว่ามีเรื่องสำคัญกว่า นั่นคือมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่จองจำเทพธิดาสีเงินของเขาอยู่ก่อนที่พระจันทร์สีเงินจะปรากฏ ปลายสุดของเส้นทางนี้คืออาณาจักรที่ถูกลืม ดินแดนที่หลับใหลมายาวนาน ปราสาทของจอมปีศาจ หรือเรียกกันติดปากว่าหุบเขาหลับใหล!

“รอข้าก่อนะ ซาคุโระ”

โฮโนโอะกระโจนไปข้างหน้าซึ่งเป็นหุบเหวกว้างและลึกสุดหยั่ง ร่างชายหนุ่มพุงฝ่าชั้นบรรยากาศไปสู่อีกฟากฝั่งของหุบเขาอย่างง่ายดายและไม่มีท่าทีว่าขาทั้งสองจะหยุดวิ่งและหอบพาร่างของเขาหายวับเข้าไปในดงเมฆหมอกอัปมงคลเหล่านั้น ดุจสายฟ้าที่แล่นปราดด้วยความเร็วแสง

‘ตื่นเถิด….ได้เวลาแล้ว ลืมตาขึ้นมาเสียที’

เสียงหวานนุ่มละมุนหูกระซิบกระซาบปลุกสติที่ดำดิ่งในความมืดให้หาทางออก เปลือกตาขาวซีดกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะคลี่ออกเปิดเผยดวงตาสีเงินอันอ่อนล้า สิ่งแรกที่ได้เห็นทันทีที่ลืมตาขึ้นมาได้นั้นคือดวงหน้าเรียวมนของหญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีดำขลับ ดวงตาสีทองกลมโตงดงามดั่งห้วงมหาสมุทร ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อราวกลีบดอกไม้หอมหวานกำลังเผยอเรียกชื่อของเขาราวกับกำลังร้องเพลงขับกล่อม ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนี้มิราอิกำลังนอนหนุนตักสาวงามคนนี้อยู่

“เจ้า….เป็นใคร”

มิราอิพยายามเปล่งเสียงแหบพล่าให้เต็มประโยค ถึงจะตกใจมากมาย ทว่า ตอนนี้กลับไม่เหลือแรงที่จะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“อย่าเพิ่งขยับไปมากกว่านี้เลย ประเดี๋ยวบาดแผลจะแย่ลงอีกนะ”

หญิงงามแปลกหน้าน้ำเสียงนุ่มละมุนกล่าววาจาด้วยท่าทางอ่อนช้อย พร้อมกันนั้นฝ่ามือเรียวงามที่โผล่พ้นออกมาจากชายแขนเสื้อกว้างสีเขียวของเธอก็วางประคองใบหน้ามิราอิซึ่งพยายามเบือนหนีแต่ก็ไม่เป็นผล

“ข้าถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นใคร ที่นี่คือที่ไหน แล้วลีอาหายไปไหน”

“คามินาริ โนะ มิซาโตะ”

สาวเจ้าไม่ได้ตอบคำถามซ้ำยังถามกลับมาพร้อมด้วยสายที่ดูจะตัดพ้ออาวรณ์ ทำเอามิราอิถึงกับชะงักงันจ้องเข้าไปในนัยน์ตามหาสมุทรคู่นั้นราวกับต้องมนตร์สะกด และแล้วความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจก็ได้รับการปลดปล่อยให้ล่องลอยขึ้นมาราวกับฟองสบู่ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆในตอนนั้นเมื่อนานมาแล้วก็มีหญิงสาวอยู่ในนั้นด้วยเสมอ แม้กระทั่งวันเวลาที่เขาได้จากมา ในความทรงจำนั้นที่มีทั้งความเศร้าและความสุขถูกปลุกขึ้นมาจนถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เพิ่งผ่านมา

“คามินาริ โนะ มิซาโตะ เทพธิดาสายฟ้าอย่างเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ข้าอยู่กับท่านเสมอ มิราอิ และจะอยู่กับท่านตลอดไป จิตวิญญาณของซันโจ้นำพาให้เราได้มาพบกัน”

“ซันโจ้?...”

“พ่อบังเกิดเกล้าของท่านอย่างไรเล่า”

คนที่จัดการเนรีวจนเหลือแต่กองเลือดนั่นคือเขาเองหรอกหรือ

เทพกษัตริย์ผู้ครอบครองสายฟ้าองค์นั้น….มิราอิพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด หากก็ขาดหายตอนที่สติของเขาดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด ในตอนนั้นคนที่จัดการเนรีวโดยผ่านร่างกายของเขาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดวงจิตของอดีตเทพกษัตริย์สายฟ้าที่ถูกรบกวนการพักผ่อนแน่ๆ จากนั้นก็ให้มิซาโตะมาอยู่ข้างกายเขาเหมือนเป็นหูตา ส่วนตัวเองก็ลอยลำไปภพหน้าอย่างนั้นสินะ ช่างเป็นพ่อที่นิสัยเอาแต่ใจตัวจริงๆ กระทั่งเหลือแค่ดวงจิตก็ยังอาศัยร่างของคนอื่นมาเคลื่อนไหวตามใจชอบแบบนี้

“คามินาริ โนะ มิซาโตะ”

“โปรดเรียกข้าว่า มิสะ”

“มิสะ…ลีอาหายไปไหน”

“นางไปตามเส้นทางของนางแล้ว”

เทพธิดาแห่งสายฟ้าตอบคำถามชายหนุ่มอย่างไร้การปกปิด ถึงกระนั้นมิราอิก็ยังไม่เข้าใจ

“หมายความว่ายังไง”

“อีกไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผย ความอ้างว้างจะถูกเติมเต็มไปพร้อมกับโลกที่บิดเบี้ยวใบนี้”

“จะจบแล้วสินะ”

มิราอิพึมพำเบาๆอย่างรู้ความหมาย ในเมื่อจอมปีศาจได้ตัวซาคุโระที่มีดวงจิตของเทพธิดาสีเงินสิงสถิตอยู่ไปไว้ในกำมือแล้ว จะมีอะไรดำเนินต่อไปได้อีกนอกจากจุดจบของแสงสว่างอันริบหรี่ การที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางที่ตนเลือกก็ดูเหมือนจะสมควรทำที่สุดแล้ว สุดท้ายมันจะเหลืออะไรนอกจากความอ้างว้าง และความหายนะที่จะตามหลังกันมาติดๆกันเล่า

“ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะจบสิ้นแล้วสินะ สิ่งที่เฝ้าพยายามต่อสู้มามันสูญเปล่า ทั้งที่คนสำคัญของข้าก็ต้องมาตายจากข้าไปทีละคน สุดท้ายก็เหลือแค่ความว่างเปล่า”

“จบรึ?....ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก”

เสียงใสๆสอดแทรกเข้ามาเรียกสติที่กำลังเหม่อลอยให้กลับมาสนใจ มิสะยิ้มให้อย่างละมุนละไมก่อนจะย้ำคำพูดของตัวเองต่อหน้ามิราอิอีกครั้ง

“ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น เพราะฉะนั้นจงลุกขึ้นยืน แล้วข้าจะยืนอยู่เคียงข้างท่าน ตลอดไป”

รอยยิ้มอ่อนหวานนั้นทำให้มิราอิรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมากลางหัวใจอย่างน่าประหลาด ร่างบอบบางถูกฉาบด้วยแสงสีเขียวจางๆก่อนจะหายไปทั้งที่ยังมีรอยยิ้ม กลับกลายมาเป็นสร้อยคอจี้สีเขียวมรกตห้อยคอมิราอิดังเดิม

“นั่นสินะ…ทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

ปลายนิ้วลูบไล้ไปบนจี้สีเขียวมรกตแผ่วเบาราวกำลังเกลี่ยดวงหน้าอ่อนหวานของหญิงสาว ใบหน้าคมคายติดหวานปนเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยความอ้างว้างสิ้นหวังมาบัดนี้ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแต่งแต้มอีกครั้ง ท่ามกลางความอ้างว้างที่ลอยอ้อยอิ่ง ยังคงรอเวลาที่จะมีสิ่งมาเติมเต็มอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใช่…มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

บนเส้นทางรกร้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอัปมงคล ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นสีดำ ไร้สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ทว่า บัดนี้การย่ำเท้ากล้ำกรายเข้ามาของเด็กหญิงเจ้าของดวงตาสีทองคนหนึ่งได้ทำให้ชีวิตชีวาเหล่านั้นฟื้นคืนมาอีกครั้งทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำไปบนพื้นดินแตกระแหง ชีวิตน้อยใหญ่จากผืนป่าหลากสีสันก็ถือกำเนิดกลายเป็นต้นกล้าและเติบโตอย่างรวดเร็วราวกับตอบรับคำอำนวยพร ดวงตาสีทองเจิดจรัสจดจ้องไปเบื้องหน้าอย่างไร้ความรู้สึก ครั้นแล้วก็เบิกกว้างก่อนจะหรี่เล็กแทบจะกลายเป็นเส้นตรง พร้อมขาทั้งสองที่หยุดก้าวเดิน เพราะเบื้องหน้าของเส้นทางที่กำลังจะเดินไปนั้น มีร่างของใครบางคนยืนขวางทางอยู่ และยังดูเหมือนว่าเขาคนนั้นตั้งใจรอเธออยู่ก่อนแล้ว

สายลมแห้งแล้งที่พัดมาจากป่าไร้ชีวิตเบื้องหน้า เมื่อปะทะเข้ากับร่างเล็กๆก็กลายเป็นสายลมบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยชีวิตสู่ป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่อ้าแขนรอรับอยู่เบื้องหลัง ทว่า ความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวก็ยังคงดำเนินต่อไป หากจะมีก็คงเพียงเสียงหัวใจที่ต่างคนต่างได้ยินของตัวเอง

ลีอาไม่ได้หวาดกลัวกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า หากก็ไร้ซึ่งความสนิทชิดเชื้อเช่นกัน เพราะตอนนี้สิ่งที่สั่งการให้ร่างกายเด็กหญิงเคลื่อนไหวไม่ใช่สมอง ไม่ใช่หัวใจ หากเป็นบางอย่างที่รู้แต่เพียงว่าต้องไปหา เท้าเล็กๆเริ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง เสียงกุญแจสีทองที่สวมข้อเท้าดังกังวานใสตามจังหวะของการก้าวเดินไปพร้อมๆกับชีวิตของผืนป่าที่เกิดใหม่เพราะพลังอำนวยพร ใกล้แล้ว เธอกำลังเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นทุกที แต่เธอก็หาได้หยุดอยู่ตรงหน้าเขา

ร่างเล็กๆของเด็กหญิงที่เขารู้จักกำลังเดินผ่านเขาไปทีละก้าวโดยไม่แม้จะชายตาแล ทุกย่างก้าวที่เธอเดินไปก่อเกิดชีวิตใหม่ให้รายล้อมรอบกายเขาอย่างรวดเร็วและอ่อนโยน หัวใจที่แห้งผากกลับรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่ทว่า มือของเขาในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์จะรั้งแม้ชายเสื้อของเธอไว้ ไม่มีแม้สิทธิ์จะเอ่ยนามของเธออย่างที่เคยทำเมื่อก่อน แต่เธอจะรับรู้และเข้าใจไหมหนอว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้

“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร…ไม่ว่าท่านจะเป็นอะไร….ท่านฟุยูกิ”

เสียงเล็กๆดังมาจากด้านหลัง สะกดให้ดวงตาสีทมิฬเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง แต่ทว่า ร่างกายกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้จะหันไปมองที่มาของเสียงใสๆนั้นก็ตามที หากเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอสำหรับสิ่งที่เข้าใจกันเพียงสองคน

“ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร ไม่ว่าข้าจะเป็นอะไร….”

…ใจข้าอยู่กับเจ้าเสมอ

ประโยคสุดท้ายเป็นคำสารภาพจากใจที่ไม่ได้เปิดเผยออกมาข้างนอก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังออกไปไกลเรื่อยๆจนกระทั่งเงียบกริบและแทนที่ด้วยเสียงนกตัวน้อยๆที่บินล้อลมอยู่ท่ามกลางชีวิตใหม่ของผืนป่าอย่างเบิกบาน และช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนจงใจที่จู่ๆเจ้านกน้อยก็โฉบลงมาเกาะที่ไหล่ของเขา แถมยังทำท่าเหมือนต้องการจะมองหน้าและถามว่า ‘ไม่เป็นไรใช่ไหม’ อย่างนั้นล่ะ เรียกรอยยิ้มที่หายไปนานให้กลับมาปรากฏบนใบหน้าเย็นชานี้อีกครั้ง

ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร… ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร เขาก็คือฟุยูกิคนนั้นและจะจบเรื่องทุกอย่างนี้ด้วยมือของเขาเอง

แบบนี้แหล่ะดีแล้ว…

เสียงความคิดเล็กๆที่ก้องอยู่ในหัวกล่าวตักเตือนออกมา บังคับและเหนี่ยวรั้งไม่ให้ถอยหลังและหันกลับไป จากความว่างเปล่ากลับรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอก เจ็บมากเสียจนน้ำตามันไหล ริมฝีปากเล็กๆเบะจนน่าเกลียดแต่ลีอาก็ยังพยายามเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ข้างในอย่างแนบเนียน ถึงจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแต่ขาทั้งสองข้างก็ยังก้าวไปข้างหน้า และก้าวยาวขึ้นพร้อมๆกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ละอองสีทองฉาบไล้ไปทั่วร่างของเด็กหญิง จากร่างเล็กๆของเด็กหญิงตาโตน่ารักได้กลายมาเป็นหญิงสาวผมยาวสีดำสวมชุดแดงพลิ้วไหว เรือนผมสีดำขลับทิ้งตัวสยายลงไปปรกถึงต้นขา ดวงตาสีทองนั้นเล่าก็เจิดจรัสยิ่งกว่าเดิม เรือนร่างที่สวมใส่แพรพรรณเนื้อดีสีแดงดั่งโลหิตนี้ช่างงดงามราวเทพธิดา หากสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นก็คือกุญแจสีทองลวดลายละเอียดที่สวมข้อเท้าข้างหนึ่ง ปรากฏให้เห็นในยามที่สาวเจ้าร่างเพรียวลมย่างเท้าเกียกกายโผล่พ้นชายกระโปรงสีแดงยาวเฟื้อย ในเมื่อรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องปกปิดนามที่แท้จริงของตนอีกต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา