Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ

8.1

เขียนโดย zusuran

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.

  28 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ทางกลับบ้านที่แสนห่างไกล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 5 ทางกลับบ้านที่แสนห่างไกล

 

                 การเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น โฮโนโอะต้องดูแลทุกคนที่ร่วมเดินทางโดยเฉพาะซาคุโระที่เป็นคนสำคัญสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เขาต้องดูแลเธออย่างไม่ให้คลาดสายตา ถึงแม้บางทีจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับพฤติกรรมของเธอก็เถอะ

“ดีจริงๆน้า~ เดินทางมาตั้งหลายวันแล้ว โชคดีที่ไม่มีปีศาจโผล่มา”

“นั่นสินะขอรับ”

                 สองพี่น้องวัยกระเตาะเปรยออกมาอย่างสบายใจในขณะที่เดินขนาบข้างกันอยู่ด้านหลังสุด แต่เพียงไม่นานความสบายใจของทั้งสองก็หยุดชะงักลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นเยือกจากคนที่เดินนำหน้า

“พูดบ้าๆ ถึงจะยังไม่มีอะไรโผล่มาก็อย่าเพิ่งวางใจเชียวล่ะ”

                 คำพูดจริงจังทำเอาชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ด้านหลังจ๋อยลงทันตาเห็น ตลอดการเดินทางมีแต่ซาคุโระซึ่งเดินอยู่ตรงกลางเท่านั้นที่ไม่ปริปากพูดสักคำ

 

“ท่านซาคุโระ เป็นอะไรรึเปล่าขอรับ ท่าทางไม่ค่อยดีเลย”

 

                 มิราอิเร่งฝีเท้าขึ้นมาเทียบข้างพร้อมทั้งเอียงคอเอ่ยถามอย่างสงสัยแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว ทั้งที่ปกติจะบ่นอุบอิบหรือไม่ก็หาเรื่องแขวะโฮโนโอะอยู่ตลอด แต่วันนี้เธอกลับเงียบจนผิดปกติและน่าสงสัยขึ้นเป็นสองเท่า

 

“ท่านซาคุโระขอรับ”

“หนวกหูน่ามิราอิ ยายนั่นจะพูดไม่พูดก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ดีซะอีกจะได้สงบซักวันหนึ่ง”

                 โฮโนโอะขัดขึ้นทันใด ท่าทางเย็นชาหมางเมินของชายหนุ่มคนนี้ไม่เคยเป็นรองใครจริงๆ นี่แหล่ะที่ทำให้ซาคุโระไม่ชอบเขา และความอดทนก็หมดสิ้น

“ก็ใช่น่ะสิ! ฉันน่ะเหนื่อยจนก้าวขาไม่ออกอยู่แล้ว!”

“พะ พูดแล้ว”

                  มิราอิชะงักและรีบลดฝีเท้าลงไปอยู่ข้างฟุยูกิดังเดิม เด็กหนุ่มเอ่ยถามเชิงกวนประสาทขึ้นมาติดๆ

“ท่านพี่เป็นตัวจุดชนวนรึเปล่าขอรับ”

“บ้าเหรอ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”

                  มิราอิปฏิเสธซึ่งฟุยูกิก็เชื่ออย่างง่ายดาย เพราะตัวต้นเหตุที่แท้จริงกำลังแผงฤทธิ์ใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“บ่นมากเดี๋ยวปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้ซะหรอก”

“ว่าไงนะยะ ตาบ้า!”

“แล้วไงล่ะ!”

“นายอยากตายนักใช่ไหม!”

                  การวิวาทประจำวันได้เริ่มขึ้น หลายวันที่ผ่านมาซาคุโระได้ปะทะคารมกับชายหน้าคมผิวสีแทนไร้หัวใจคนนี้จนชินชา ตลอดทางที่เดินมาหลายวันนี้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งที่เธอต้องหาเรื่องมาทะเลาะกับเขาเป็นกิจวัตรประจำวัน ความรู้สึกที่เธอมีต่อผู้ชายคนนี้ก็คือความเกลียด…เกลียด แล้วก็เกลียด!

 

                  คืนนี้ที่นอนใหม่ของซาคุโระกับเหล่าทายาทแห่งราชันย์คือใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่คนโอบรอบได้เป็นสิบ ดึกดื่นบอกเวลาไม่ถูก หญิงสาวสะดุ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักเหมือนคนเดินผ่านไป หันไปมองข้างๆก็เห็นมิราอิกับฟุยูกินอนนิ่ง ทั้งสองคนคงหลับไปแล้ว เหลือเพียงแต่โฮโนโอะที่ลุกเดินออกไปยังทุ่งหญ้าด้านนอก

...............

..................................

                   ทุ่งหญ้าสีเขียวที่เห็นเมื่อยามมีแสงอาทิตย์ บัดนี้กลับสะท้อนแสงจากดวงจันทร์จนกลายเป็นสีนิลระยิบระยับ โฮโนโอะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวพร่างพราวอยู่นับไม่ถ้วน คำพูดบางประโยคที่กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวจนถึงวันนี้ก็ยังทำให้เขานอนคิดไม่ตกและนอนไม่หลับแทบทุกคืน

 

“หากว่าต้องการสิ่งหนึ่ง ก็ต้องยอมสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปอย่างไม่มีวันกลับ… หมายความว่ายังไงกันนะ”

 

                    ชายหนุ่มเอนกายนอนราบบนพื้นหญ้าสีเขียวที่สะท้อนกับแสงจันทร์เสี้ยวเป็นประกาย พึมพำย้ำคำพูดที่จำได้ขึ้นใจ แต่ก่อนที่จะปิดเปลือกตาลงเสียงใสๆก็แทรกเข้ามา ทำให้เขาต้องดีดตัวลุกและหันไปมองต้นเสียง

 

“คิดอะไรอยู่เหรอ”

                    ซาคุโระยืนอยู่บนผืนหญ้าระดับสูงกว่าตรงที่เขานั่งอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวเดินเข้ามานั่งลงข้างๆอย่างไม่รอคำเชิญ ชายหนุ่มรีบหลบหน้าและขยับออกห่างเป็นเมตร

 

“ไม่ได้คิด” ชายหนุ่มตอบห้วนๆพลางหันหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า

 

                   ซาคุโระเอียงคอเล็กน้อย มองสีหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

“คิดถึงใครอยู่งั้นเหรอ”

“อือ”

                   โฮโนโอะคำรามในลำคอพลางเหยียดเอนร่างลงบนพื้นหญ้าอีกครั้งอย่างอ่อนแรง พร้อมทั้งเปลือกตาเริ่มปิดลงอย่างช้าๆ ซาคุโระมองใบหน้าที่เห็นเลือนรางของชายหนุ่มอย่างไม่วางตา ทั้งที่เกลียดแต่เธอกลับชอบมองเขาอย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย หากว่านี่เป็นความฝันเธอก็ออยากฝันแบบนี้ซ้ำๆ หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากไปจากที่นี่ตอนนี้ด้วย แต่พอคิดอย่างนั้นได้สักพักก็กลับคิดถึงครอบครัวและโลกที่ตัวเองเคยอยู่ขึ้นมาทันที เธอมาอยู่ที่นี่หลายวันเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะมีใครตามหาเธอรึเปล่า พอคิดแล้วก็ทำให้เธออยากกลับบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้

 

“เจ้าคงจะคิดถึงบ้านของเจ้า”

 

                   ซาคุโระหันมามองชายหนุ่มที่ยังหลับตานิ่ง เขาอ่านในเธอได้ขนาดนี้เชียวเหรอ พอคิดอย่างนั้นสักพักดวงตาทั้งสองก็หลุบลงเหมือนกำลังอ่อนล้า หญิงสาวละสายตาจากใบหน้าคมคายนั้นอย่างยากลำบาก พร้อมทั้งพูดเบี่ยงเบนไปทางอื่น

 

“ที่นี่สวยดีนะ…มองๆดูแล้วก็ไม่ต่างจากของจริงที่เคยเห็นในโลกของฉันเลย”

 

“คิดถึงบ้านจริงๆด้วยสินะ”

 

                   คำพูดของชายหนุ่มฟังดูอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ซาคุโระต้องหันกลับมามองอีกรอบ หากแต่คราวนี้เธอกลับได้จับจ้องกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตรงๆ จนต้องรีบแสร้งเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบใบหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาด โฮโนโอะเค้นกายลุกนั่งข้างๆ เหลือบมองเธอก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและเงยหน้าขึ้นไปมองดาวบนฟ้าอีกครั้งและพึมพำออกมาเสียงแผ่วราวกระซิบ

“ไม่แปลกหรอกที่จะคิดถึงที่ๆเคยอยู่”

 

“พวกนายเองก็อยากกลับบ้านเหมือนกันสินะ”

                  ซาคุโระเอ่ยถาม แต่กลับได้เห็นสีหน้าสลดของชายหนุ่มทันที

 

“พวกเราน่ะ…ไม่มีที่ให้กลับไปหรอก”

 

                  ซาคุโระรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก โฮโนโอะเหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะหลับตาลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจเล่าเรื่องคร่าวๆให้เธอฟัง

 

“ทั้งบ้านเมือง พ่อแม่ หรือแม้แต่คนรอบข้างพวกเราก็ไม่เหลืออีกแล้ว เพราะว่าพวกเราได้ทำลายมันไปแล้ว ด้วยมือของพวกเราเอง”

“ทะ ทำลายเหรอ”

“ใช่ ทำลายไม่มีเหลือ”

“ทำไมกันล่ะ”

                 ซาคุโระตกตะลึงเสียงสั่นแต่กลับไม่ยอมลดละที่จะเอ่ยถามต่อเพราะความสนใจ เพราะเรื่องที่ชายหนุ่มเล่าให้เธอฟังนี้คล้ายกับเรื่องราวในตอนแรกของหนังสือนิยายที่พี่ชายของเธอเขียนทิ้งไว้ก่อนตาย แต่แล้วความอยากรู้ของเธอก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อชายหนุ่มตรงหน้าปฏิเสธที่จะเล่าและเบือนหน้าหนี

“รู้แล้วจะทำอะไรได้ เจ้านี่ชอบจุ้นเรื่องของคนอื่นซะจริงเชียว”

                  ชายหนุ่มเบะปากพร้อมกับเชิดหน้าหนีอย่างไม่ไยดี นิสัยด้านนี้ของเขานี่แหล่ะที่ทำให้เธอไม่ชอบ

“อะไรกันเล่า! คนเขาอุตส่าห์ถามดีๆนะ เสียมารยาทสุดๆเลย”

“แล้วมันเรื่องอะไรของเจ้าล่ะ กลับไปนอนซะเด็กน้อยขี้บ่น”

                  โฮโนโอะพูดประชดพร้อมทั้งลุกเดินหนีห่าง ซาคุโระขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆเพราะจนด้วยคำพูดที่จะตอบโต้ สายตาทอดมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไป แต่สักพักก็ต้องลุกขึ้นสะบัดร่างกลับไปยังที่นอนของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ยังบูดอยู่นิดๆ เพราะนึกเคืองเจ้าคนปากเสียที่พูดกวนประสาทเมื่อครู่

“ชิ นี่เราไปห่วงอีตาบ้านั่นทำไมกันนะ”

                   หญิงสาวบ่นอุบอิบจนกระทั่งมาถึงที่นอนของตนและหลับไปในที่สุด โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงบ่นที่ดังออกมาเป็นประโยคยาวเหยียดนั้น มีใครเขาฟังอยู่และจับใจความได้ชัดเจน

                   มิราอิที่ยังนอนลืมตาอยู่ท่ามกลางความมืดถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางทอดสายตาออกไปยังเนินหญ้าข้างนอก เห็นเงาสูงโปร่งยืนตระหง่านสะท้อนกับแสงสลัวของพระจันทร์รางๆ อย่างอดทึ่งไม่ได้

 

‘ทะเลาะกันได้แม้กระทั่งเวลาหลับ…’

 

 

                   ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์และดาวดวงน้อยด้อยแสงช่วยกันสาดส่องให้แสงสว่างที่เลือนราง ดวงตาสีฟ้าส่องประกายในความมืดและจับจ้องอยู่ที่ผืนผ้าอันสวยงามและบางเบาที่ผูกไว้กับเอวไม่กะพริบ พักใหญ่เสียงถอนหายใจก็ดังตามมาเพราะความเหนื่อยล้าของเจ้าของดวงตาคู่นั้น

 

“อะไรคือสิ่งที่ทำให้ข้าต้องมีชีวิตอยู่……เพื่อจะตามหาและถามเหตุผลที่ท่านทิ้งข้าไปงั้นเหรอ ท่านแม่”

 

                   โฮโนโอะพึมพำออกมาอย่างท้อใจพร้อมทั้งกำผ้าผืนบางไว้แนบอก ตลอดสิบปีที่ผ่านมาเขาดั้นด้นออกตามหาเจ้าของอาภรณ์สวรรค์ผืนนี้ซึ่งเป็นแม่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาทั้งชีวิต เนื้อผ้าเบาบางไร้ซึ่งลวดลาย แต่อบอุ่นเหมือนได้อยู่ในอ้อมอกของคนที่รัก สำหรับโฮโนโอะนั้นมันมีค่ายิ่งกว่าชีวิตตัวเองหลายร้อยเท่า และหากเป็นไปได้เขาอยากพบกับคนที่ถักทอมันขึ้นมามากกว่า

..........

...........................

..........

                    รุ่งอรุณได้ขับไล่ราตรีอันหนาวเหน็บให้พ้นผ่าน หญิงสาวบิดเรือนกายอันบอบบางไปมาให้หายจากความเมื่อยล้า ในขณะที่เดินออกมาสูดอากาศยังเนินหญ้าที่เคยนั่งเล่นเมื่อคืน คิ้วเรียวยาวได้รูปเลิกสูงเมื่อสิ่งแรกที่มองเห็นคือทิวทัศน์ยามเช้าที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ

“ว้าว มีแม่น้ำด้วย ยอดไปเลย”

                    ซาคุโระกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบนเนินหญ้าที่ค่อนข้างลาดชันอยู่เล็กน้อย แต่พอลงมาได้เพียงครึ่งทางก็รู้สึกว่าเริ่มจะควบคุมฝีเท้าไม่อยู่

“อะ! อะไรเนี่ยเร็วเกินไปแล้ว เบรกไม่ได้! ว้ายยยยยยยยยย!!”

                    เท้าทั้งสองก้าวไปเองตามแรงโน้มถ่วงของเนินที่ลาดชัน พร้อมๆกับเสียงแหลมที่ร้องลั่นด้วยความตกใจ และเสียงกรีดร้องของเธอดังไปถึงชายหนุ่มทั้งสามที่อยู่ข้างลำธารด้านล่างให้รู้ตัวไวกว่าที่คิด

 

“ท่านซาคุโระตื่นแล้วสินะ”

“ตื่นมาก็โวยวายหนวกหูจริงๆ”

“รู้สึกจะใกล้ไปหน่อยแล้วมั้ง เหมือนกำลังมาทางนี้ด้วยนี่นา”

                    มิราอิเงี่ยหูฟังจนแน่ใจ โฮโนโอะไม่คิดจะหันไปมองและยังตั้งหน้าตั้งตากรอกน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม แต่ทั้งฟุยูกิและมิราอิกลับยังจับจ้องอยู่ที่ต้นตอของเสียงที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งปรากฏเงาร่างหนึ่งที่เหมือนกำลังจะกลิ้งมากกว่าวิ่งมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาทั้งสามยืนอยู่อย่างรวดเร็ว

“นั่นท่านซาคุโระไม่ใช่เหรอ”

“พูดบ้าๆ ยายนั่นจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่”

“แน่ใจเหรอขอรับ”

                     ฟุยูกิชี้เอ่ยถามพลางหันกลับไปมองบางสิ่งที่เปลี่ยนจากวิ่งเป็นกลิ้งลงมาอย่างรวดเร็ว มิราอิเบิกตากว้างแทบถลนเพราะจำได้ว่านั่นคือซาคุโระอย่างไม่ต้องสงสัย และที่สำคัญเธอกำลังมาทางนี้ ความเร็วระดับนั้นคงจะกันเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าไม่รีบหลบมีหวังต้องตกน้ำกันถ้วนหน้าแน่

“ท่านพี่ขอรับ”

“อะไร”

“ใกล้เข้ามาแล้วนะขอรับ”

“ก็แล้วมันอะไรเล่า!”

“หลบเร็วเข้าขอรับ!!”

                    มิราอิและฟุยูกิตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย โฮโนโอะชักมีน้ำโหนิดๆและหันกลับมาอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างตาแทบถลนเมื่อเห็นร่างของซาคุโระลอยละลิ่วพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“กรี๊ดดดดด!!! ช่วยด้วยยยยยยยยย!!!!”

 

“เฮ้ยยยยย!!!!”

 

พลั่ก!

 

ขลุกๆๆ~

 

ตูมมมม!! ซ่า!....

 

                   มิราอิกับฟุยูกิสามารถหลบพ้นจากวิถีทางที่หญิงสาวกลิ้งลงมาได้อย่างหวุดหวิด ส่วนโฮโนโอะต้องรับกรรมตกไปน้ำไปด้วย เพียงชั่วอึดใจฟองอากาศก็ผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ ตามมาด้วยใบหน้าของหญิงสาวที่ตะเกียกตะกายขึ้นมา

 

“ฮ้า!!! แค่กๆๆ~…”

“ทะ ท่านซาคุโระ เป็นยังไงบ้างขอรับ”

                 มิราอิเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มให้แหยๆ พลางยื่นมือเข้ามาคว้าข้อศอกของหญิงสาวและดึงขึ้นมาบนบก ซาคุโระคุกเข่ายันกายด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อพักหายใจเอาอากาศเข้าปอด

“แฮ่กๆๆ…นึกว่าจะไม่รอดแล้วสิ”

                 คำตอบของเธอทำเอาชายหนุ่มยิ้มรับเจื่อนๆ ยังไงเธอคนนี้ก็ประหลาดสำหรับพวกเขา ฟุยูกิละสายตาจากซาคุโระหันไปชะโงกหน้ามองลงไปในแม่น้ำที่เริ่มนิ่งด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

“แล้วท่านพี่ล่ะขอรับ ทำไมยังไม่เห็นขึ้นมาเลยล่ะ”

“ว่ายน้ำไม่เป็นล่ะมั้ง จมไปรึยังก็ไม่รู้”

“โฮโนโอะจมน้ำเหรอ!”

                  ซาคุโระเอ่ยถามหน้าตาตื่น มิราอิและฟุยูกิต่างก็ยิ้มแห้งๆเป็นการตอบรับเพราะจนปัญญาจะพูด คิดในใจว่าเธอคนนี้รู้ตัวกับเรื่องที่ตัวเองทำสักเรื่องรึเปล่านะ ฟุยูกิชะโงกหน้าลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง ไม่นานนักผิวน้ำที่เรียบสนิทก็เกิดฟองอากาศขึ้นมาราวกับน้ำร้อนในกระทะ ก่อนที่น้ำในแม่น้ำจะพุ่งตัวขึ้นสูงราวกับคลื่นปะทะกับใบหน้าเด็กหนุ่มจนล้มหงายไปทันที

 

ตูม!!

 

“เหวอ!”

 

“อ้าว ขึ้นมาได้แล้วเหรอ”

                   มิราอิเอ่ยทักอย่างไม่ทุกข์ร้อน โฮโนโอะเสยผมที่แนบใบหน้าออกอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะกระชากบางอย่างขึ้นมาจากน้ำ

 

ตุบ!

 

                    ปลาตัวใหญ่ถูกเหวี่ยงขึ้นมาบนบกอย่างแรง ดิ้นด๊อกแด๊กไปมาอยู่ตรงหน้าซาคุโระที่มองตาปริบๆ ชายหนุ่มก้าวเท้าขึ้นมาจากน้ำด้วยสีหน้าท่าทางที่โกรธเป็นฟืนไฟ

“มองอะไร!”

“ทำไมถึงไปนอนอยู่ในน้ำได้ล่ะ”

                    คำถามที่ฟังดูไร้เดียงสาของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มทั้งสามหน้าเหวอไปทันที โดยเฉพาะโฮโนโอะที่เหมือนจะมีน้ำโหมากกว่าใครเพื่อน

“เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนนายหลับแล้วเผลอกลิ้งตกน้ำน่ะ”

“ว่ายังไงนะ! อุ๊บ!!”

                  ไม่ทันที่จะระบายโทสะออกมา โฮโนโอะก็ถูกฝ่ามือของน้องชายทั้งสองที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ปิดปากล็อกแขนขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

“มีอะไรเหรอ”

“มะ ไม่มีอะไรหรอกขอรับ แหะๆ”

“ท่านพี่ครับ ใจเย็นๆสิขอรับ”

                 ฟุยูกิและมิราอิต่างก็พยายามกระซิบกระซาบและกลบเกลื่อนอาการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของพี่ชาย ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมความโกรธดั่งไฟบรรลัยกัลป์ของเขาเอาไว้ได้

“ท่านพี่ขอรับ ใจเย็นไว้ขอรับ”

“อื้อ!!!”

                 โฮโนโอะถูกน้องชายทั้งสองล็อกเอาไว้ทั้งตัวพยายามดิ้นพล่านจนหน้าดำหน้าแดง แต่หากคราวนี้ไม่ใช่เพราะความโกรธอย่างเดียว เพราะน้องชายตัวแสบดันมาปิดปาดปากปิดจมูกเขาจนหายใจไม่ออก และคนที่สังเกตมานานอย่างซาคุโระก็เพิ่งจะปริปากออกมา

“พวกเธอสองคนเล่นอุดปากอุดจมูกเขาขนาดนั้น ไม่แย่หรอกเหรอ เดี๋ยวก็ตายกันพอดีหรอก”

“อ้าวเหรอ”

“ซวยแล้ว”

                 ทันทีที่รู้ตัวชายหนุ่มทั้งสองก็รีบปล่อยร่างปวกเปียกนั้นทันที แทบจะเหวอรับประทานเมื่อเห็นพี่ชายร่อแร่หมอบกระแตอยู่แทบเท้า

 

 

                 และแล้วก็ผ่านไปด้วยดี ซาคุโระจำต้องใช้เสื้อคลุมของมิราอิเปลี่ยนก่อนที่จะเป็นหวัด ชายหนุ่มทั้งสามนั่งล้อมกองไฟที่เพิ่งก่อขึ้นอย่างเงียบเชียบ เสื้อผ้าของเธอกับโฮโนโอะถูกผึ่งเอาไว้ข้างกองไฟ หากแต่คราวนี้โฮโนโอะมีของฝากให้น้องชายตัวแสบทั้งสองพกติดตัวไปอีกหลายวัน นั่นก็คือกำปั้นอันหนักหน่วงที่เขกกะโหลกจนหัวโนเท่าไข่ห่าน

 

“ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” มิราอิพึมพำด้วยความเจ็บระบมไปทั้งหัว

 

“หนวกหู” โฮโนโอะตัดบทเสียดื้อๆพลางแทะปลาย่างไปอย่างไม่สนใจ

 

“ท่านพี่โกรธพวกเรามากขนาดนั้นเชียวเหรอขอรับ พวกเราก็ขอโทษแล้วนี่นา”

 

                  ฟุยูกิที่มีชะตากรรมเดียวกับมิราอิเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าโฮโนโอะจะยอมยกโทษให้แต่อย่างใด

“ยกโทษให้พวกเราเถอะนะ”

“หุบปากแล้วกินเข้าไปซะ! ถ้ายังพูดมากอีกล่ะก็ข้าจะทำให้พวกเจ้ากินข้าวไม่ได้ไปสามวันเจ็ดวันเลย คอยดูสิ”

                   คำพูดเด็ดขาดของโฮโนโอะทำให้น้องชายทั้งสองเงียบกริบไปทันทีและหันไปแทะปลาย่างที่อยู่ในมือแทน ซาคุโระยังมองดูด้วยความสงสัย เธอไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับโฮโนโอะ เพราะอะไรเขาถึงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดที่จะเขกกบาลน้องชายที่สุดรักสุดหวงสองคนนั้นจนหัวโนระบมไปทั้งคู่ แถมบางครั้งที่เธอเผลอเขาก็ยังจ้องมองมาที่เธอเหมือนจะเคืองเธอด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง นานเข้าจนเธอเริ่มทนไม่ไหว

“อะไรเล่า! มองหน้าฉันอย่างนั้นหมายความว่าไง”

                   หญิงสาวเอ่ยถามด้วยสีหน้าท่าทางที่เอาเรื่อง ชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนีแทน เขาหรี่ตามองเธอก่อนที่จะเมินหน้าหนีเมื่อเห็นสายตาที่เอาเรื่องของเธอ สักพักก็เอ่ยขึ้นทั้งที่ยังเมินหน้าไม่หันมามอง

“เสื้อผ้าเจ้าแห้งแล้ว รีบไปเปลี่ยนซะสิ”

“โอ๊ะ! จริงด้วยๆ ลืมซะสนิทเลย ขอบใจที่ช่วยดูให้นะ”

                  ซาคุโระเก็บเสื้อผ้าจากราวไม้และวิ่งเข้าไปในป่าที่อยู่ใกล้ๆเพื่อหาที่ลับตาสวมเสื้อผ้า โดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับสีหน้าท่าทางของโฮโนโอะที่ชะงักกับคำพูดที่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก

 

                  ความโกรธเคืองที่ยังเดือดปุดๆอยู่เมื่อครู่ได้หายไปเกือบหมดอย่างกับต้องมนตร์อะไรสักอย่าง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลยังคงจับจ้องมองตามร่างบางๆที่หายเข้าไปในป่า พร้อมทั้งรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาตรงมุมปากอย่างไม่รู้ตัวและท่าทางที่ล้นทะลักออกมาก็หนีไม่พ้นสายตาของคนที่อยู่ใกล้ๆไปได้ มิราอิและฟุยูกิอมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็เกิดเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่และหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข

“ดูท่าจะหายโกรธเร็วกว่าที่คิดอีกนะ”

“นั่นสินะขอรับ”

 

โป๊กกกกกกกกกก!!!

 

                    เสียงกำปั้นทุบกะโหลกดังขึ้นสั่นป่าราวกับไม้ไผ่กระทบกัน มิราอิและฟุยูกิต่างก็ได้ไข่ห่านขึ้นมาประดับไว้บนหัวเป็นลูกที่สองจากกำปั้นที่หนักหน่วงกว่าเดิม

“คราวหน้าคราวหลังจะนินทาใครก็ให้อยู่ในขอบเขตหน่อย ไอ้หนู”

 

                    ซาคุโระหอบเสื้อผ้าวิ่งเข้ามาในป่า ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เดิมที่เคยนอนเมื่อคืน หันซ้ายแลขวาจนแน่ใจจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองจนเสร็จ และในขณะที่กำลังจะก้าวขาออกไปหาเหล่าทายาทที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟด้านนอก ขาข้างหนึ่งก็มีอันต้องติดแหง็กอยู่กับรากไม้ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน

 

กึก!

 

“อะไรเนี่ย เมื่อกี้ยังไม่มีอะไรเลยนี่นา”

                    ซาคุโระยังไม่คิดเอะใจและชักเท้าตัวเองกลับอย่างราบรื่น แต่แล้วก็มีบางอย่างเข้ามารัดคอและพันรอบตัว

“อะ อะไรน่ะ ปะ ปล่อยนะ!”

                   หญิงสาวพยายามรื้อกระชากเถาวัลย์ที่มาพันรอบตัวออกอย่างยากลำบาก แต่มันก็ยังเข้ามารัดเธอใหม่และปิดปากปิดตาจนแน่น สิ่งเดียวที่คิดออกตอนนี้คือกรีดร้องให้สุดเสียง

 

“จะพิลี้พิไลไปถึงไหน”

                  โฮโนโอะบ่นอุบอิบพลางสวมเสื้อคลุมและตามด้วยอาภรณ์สวรรค์ที่เอามาผูกเอาไว้ที่เอวเป็นชิ้นสุดท้าย และในขณะนั้นเองเสียงกรีดร้องที่ดังก้องออกมาจากป่าก็ทำให้พวกเขาทั้งสามรับดีดตัวลุก

 

“กรี๊ดดดดดดดด!!!”

 

“เสียงท่านซาคุโระ!”

“ให้ตายเถอะน่า!”

                  ทั้งสามวิ่งเข้าไปในป่าที่เป็นต้นตอของเสียง โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้ว ป่าทั้งป่าก็บิดเบี้ยวกลายเป็นป่าสีดำที่ไร้ทางออก

 

                  ภายในป่า ใต้ต้นไม้ที่เคยนอน มิราอิและฟุยูกิต่างร้องตะโกนเรียกหาหญิงสาวที่ไม่เห็นแม้เศษเสี้ยวของเงา ยกเว้นเสียแต่โฮโนโอะที่เอาแต่เงียบและค้นหาด้วยตาแทนที่จะกู่ร้อง

“ไปอยู่ไหนของเขานะ ไม่น่าจะเข้ามาลึกขนาดนี้เลยนี่นา…หรือว่าจะถูกปีศาจลักพาตัว!” มิราอิให้ความเห็น

“พูดบ้าๆ ถ้าปีศาจโผล่มา พวกเราก็ต้องรู้สิ ยายบ้านั่นจงใจเล่นซ่อนหากับพวกเราล่ะสิไม่ว่า”

                   โฮโนโอะพูดออกมาอย่างไม่ไยดี แต่ในใจกลับเป็นห่วงทุรนทุรายยิ่งกว่าใคร ฟุยูกิหันซ้ายแลขวาไปเห็นเสื้อคลุมของมิราอิที่ให้ซาคุโระยืมสวมพาดอยู่บนรากไม้ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้และก้มลงเก็บขึ้นมา

“นี่มัน เสื้อคลุมของท่านพี่ไม่ใช่เหรอขอรับ”

“จริงด้วยสิ แล้วท่านซาคุโระล่ะ”

“ข้าไม่เห็นขอรับ”

                    เด็กหนุ่มตอบตรงๆพร้อมทั้งยื่นเสื้อคลุมให้พี่ชายที่ยื่นมือเข้ามารับ มิราอิสวมเสื้อคลุมเอาไว้ดังเดิม พร้อมกันนั้นสายตาก็เหลือบเห็นท่าทางที่แปลกไปของฟุยูกิ”

“เจ้าเป็นอะไรไปฟุยูกิ”

“ไม่มีอะไรขอรับ ข้าสบายดี แต่ว่า…”

                    เด็กหนุ่มพูดค้างไว้และเลื่อนมือขวาขึ้นมาทาบกับอกด้านซ้ายก่อนที่จะออกแรงกุมจนแน่น

“ฟุยูกิ”

“ข้ารู้สึก…อึดอัดยังไงไม่รู้สิ”

                     มิราอิเข้ามาประคองน้องชายที่ซวนเซ แต่ในระหว่างนั้นโฮโนโอะก็ขมวดคิ้วเป็นปม

“มีอะไรเหรอขอรับท่านพี่”

“มันแปลกน่ะสิ ทำไมป่านี้มันมืดลงทุกทีทั้งที่ยังเป็นกลางวัน”

“ข้าเองก็รู้สึกว่ามันอึดอัด”

                     มิราอิจำต้องช้อนร่างน้องชายไว้แนบกาย ในขณะที่โฮโนโอะเริ่มระวังตัวมากขึ้น แต่ในระหว่างนั้นเอง ร่างของพวกเขาทั้งสามก็ถูกพื้นดินที่ยืนอยู่ดูดกลืนลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

สวบ!

 

“อะไรอีกล่ะคราวนี้”

“แย่แล้ว!”

 

ว๊ากกกกก!!!!

 

                    เสียงแผดร้องของชายหนุ่มทั้งสามที่ดังกึกก้องค่อยๆจางหายไปและเหลือไว้เพียงความเงียบงันของป่าที่ถูกปิดตาย และไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่อาศัย

………………………………………………………………………………..

 

                     ท่ามกลางความมืดดำ ซาคุโระได้ลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่สติของเธอดับวูบลงเพราะความตกใจที่ถูกอะไรบางอย่างกระชาก หญิงสาวยันกายลุกนั่งห่อตัวเพราะหวาดกลัวกับความมืดที่รายล้อม

“ทะ ที่นี่มันที่ไหนกัน มองอะไรไม่เห็นเลย….ฮือ~”

                     หญิงสาวอยากร้องไห้ออกมาดังๆ เธอพยายามลุกขึ้นจากน้ำคลำที่เหนียวเหนอะ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องดังแว่วมาแต่ไกล จึงเงี่ยหูฟังและมองหาต้นตอของเสียง

“เสียงใคร เหมือนเคยได้ยินที่ไหน”

 

เหวอออ!

 

“ใกล้จังเลย เหมือนกับว่ามันจะ…”

 

ว๊ากกก!!!

 

ตูมมมม!!!

 

                    ทันใดนั้นเองร่างเรียวยาวของเจ้าของเสียงที่คุ้นหูก็หล่นลงมาคลุกกับบ่อโคลนสีดำตรงหน้าเธอ และพอเขาเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นเธอก็ถึงกับเบิกตากว้าง

“ฮะ โฮโนโอะ!!”

“นี่ข้า ยังไม่ตายเหรอเนี่ย”

                    ชายหนุ่มลุกขึ้นสำรวจตัวเอง ก่อนที่จะหันมามองหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะอยู่ในความมืดแต่เขาก็สามารถมองเห็นเธอได้ค่อนข้างชัดเจน และรู้ว่าเธอก็ไม่ได้มีสภาพต่างไปจากเขาเท่าไหร่นัก นั่นก็คือเปื้อนเปรอะไปทั้งตัว

“อยู่นี่เองเหรอ”

“ดะ~ดีจังที่นายมา รู้ไหมว่า…!”

“ว๊ากกกก!!!”

                  ไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยระบายความกดดันออกมาก็ต้องชะงัก และหันไปมองทางต้นเสียงร้องที่เหมือนจะมีชะตากรรมเดียวกันก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซาคุโระรีบถอยหลังก้าวหนึ่งแต่โฮโนโอะกลับไม่รู้ตัวและสนใจเพียงคำพูดประโยคสุดท้ายที่ขาดหายของเธอเท่านั้น

“เมื่อกี้จะพูดอะไร”

“เอ่อ คือว่า…”

“เหวอออ!!!!!!!~”

 

พลั่กกกกกกก!!!!!!..

 

แผละ!!

          !!!!!       

                    ใบหน้าคมคายของโฮโนโอะก็ถูกกดจ้ำลงไปในบ่อโคลนน้ำคลำนั้นอีกครั้ง และคนที่ทำกับเขาได้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากมิราอิที่หล่นลงมาทับเอาอย่างจัง ซาคุโระค่อยๆชะเง้อหน้ามองด้วยความเป็นห่วงคนโชคร้ายที่หน้าทิ่มลงไปในบ่อโคลนสีดำ

“ฮะ โฮโนโอะ! จะเป็นไรไหมเนี่ย”

“หล่นลงมาไม่เจ็บแฮะ”

“มิ…มิราอิ!”

“ท่านซาคุโระ โล่งอกไปทีที่เจอ บาดเจ็บตรงไหนตรงรึเปล่าขอรับ”

                   มิราอิรีบยิงคำถามใส่เป็นชุด ซาคุโระรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ในขณะที่สายตาของเธอจับจ้องแต่คนที่หน้าคว่ำอยู่เบื้องล่าง

“โล่งอกไปทีนะขอรับ ได้ยินเสียงร้องของท่านพวกเราตกใจแทบแย่ โชคดีที่ไม่เป็นอะไร”

“อะ…อืม ฉันไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”

                     ซาคุโระยิ้มเจื่อนๆ จะบอกยังไงให้มิราอิลุกขึ้นมาจากสิ่งที่รองรับฝ่าพระบาทของเขาอยู่เบื้องล่าง

“เอ่อ มิราอิ คือว่าเธอ…”

“มีอะไรเหรอขอรับ อ้อ! จริงสิ…ข้าลืมบอกท่านซาคุโระไปอย่าง ว่าคนปากแข็งคนนั้นเป็นห่วงท่านจนจะบ้าเลยล่ะขรับ”

“คนปากแข็งเหรอ”

“ก็จะใครซะอีกเล่า ท่านพี่ของข้าไงล่ะขอรับ”

“เอ๋!”

“ตกใจมากเลยเหรอ”

                    คำพูดของมิราอิทำเอาซาคุโระเบิกตาค้าง แต่เธอกลับไม่สนใจเท่ากับตอนนี้ เพราะคนที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้จมอยู่ใต้บาทาของเจ้าคนปากมากที่จ้อไม่หยุด และคำพูดแต่ละคำก็เหมือนจะไปบัลดาลโทสะให้เขาเดือดแทบระเบิด

“มิราอิ คือว่าโฮโนโอะน่ะ เขา…”

"หือ มีอะไรเหรอขอรับ”

“โฮโนโอะเขาอยู่ที่…”

“เอ๋ ท่านพี่อยู่แถวนี้เหรอขอรับ แย่แล้ว ดันนินทาเขาซะนี่ แต่ว่าเขาอยู่ไหนเหรอขอรับ”

                  มิราอิทำท่าร้อนรนหันซ้ายแลขวา ท่าทางเขาจะกลัวพี่ชายของเขามาก แต่ซาคุโระกลับคิดว่านี่เป็นการล้อเล่นมากกว่า เพราะชายหนุ่มคนนี้ไม่มีแววของคนขี้ขลาดเลยซักนิดเดียว

“แล้วท่านพี่อยู่ไหนเหรอขอรับ”

 

“อยู่นี่โว้ย!”

 

“เอ๋ อ้าว ทำไมไปนอนอยู่ใต้เท้าข้าล่ะ”

                   ชายหนุ่มเอ่ยถามหน้าตายพร้อมทั้งรีบกระโดดออกจากแผ่นหลังที่เหยียบย่ำอยู่นานแสนนาน โฮโนโอะลุกพรวดขึ้นอย่างไม่รั้งรอ ทั้งตัวมีแต่โคลนสีดำเปื้อนเปรอะ ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่ไม่เหลือเค้าโครงหล่อเหลาเหมือนเดิมแม้แต่น้อย

“มิราอิ! อย่าอยู่เล้ย!!!!”

“ว้ากกกกกกกก!!!!”

                  ชายหนุ่มมาดนิ่งหน้าตาหล่อเหลาที่เคยรู้จัก บัดนี้กลับกลายเป็นเด็กที่กำลังละเลงโคลนสีดำจนไม่เหลือเค้าเดิม ความโกรธไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งกับโฮโนโอะด้วยแล้วก็ยิ่งน่ากลัว

“เป็นอย่างที่ฟุยูกิพูดเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลย”

 

                 ณ เวลานี้มิราอิได้มีสภาพไม่ต่างจากโฮโนโอะเลยแม้แต่น้อย มือของทั้งคู่ต่างก็ยึดคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

“ท่านซาคุโระเป็นอะไรไปรึเปล่าขอรับ”

                    มิราอิเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวจ้องมาทางพวกเขาตาไม่กะพริบ ซาคุโระเลี่ยงที่จะตอบและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทน เพราะใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามทั้งสองตอนนี้ไม่ได้ต่างไปจากตัวตลกที่อยู่ในสวนสนุกเลยแม้แต่น้อย

“อุ๊บ! ฮะๆๆๆ”

“หัวเราะอะไร!”

“เปล่า เพียงแต่ว่า…ฮะๆๆๆ ทนไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆ!!!!”

“เลิกหัวเราะได้แล้ว!”

“ท่านพี่ หน้าของท่านตลกเป็นบ้า”

“เจ้าเองก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก! แล้วจะหัวเราะไปถึงเมื่อไหร่กันหา มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเซ่!”

                    ทันทีที่จบประโยคสุดท้ายของชายหนุ่ม ซาคุโระก็พลันนึกสิ่งที่อยากพูดออกแทบจะทันที เธอพยายามหยุดหัวเราะก่อนที่จะหันมาหาชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังเช็ดหน้ากันอยู่

 

“จริงสิ พวกนายมาที่นี่ได้ยังไง แล้วฟุยูกิล่ะ”

 

                   จบประโยคคำถามของหญิงสาว ทั้งโฮโนโอะและมิราอิก็ถึงกับชะงักไปทันตาเห็น เมื่อนึกถึงน้องชายคนเล็กที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

 

“จริงด้วย! ฟุยูกิ”

“พวกเราตกลงมาพร้อมกันสามคนเลยนะขอรับ ตอนที่ตกลงมาฟุยูกิก็ยังอยู่กับข้า แต่ว่า….”

“แต่ว่าอะไร!”

“พอซักพักมันก็มืดลง แล้วเหมือนฟุยูกิถูกกระชากออกไป”

“ถูกกระชากงั้นเหรอ”

“บางทีฟุยูกิอาจจะ…”

 

เพียะ!

 

                    ฝ่ามือหยาบกร้านตบฉาดเข้าที่กะโหลกของมิราอิพอเบาะๆ เพื่อเรียกสติที่กำลังคิดเตลิดออกไปไกล

“คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ออกตามหาเถอะ คงจะตกอยู่แถวๆนี้แหล่ะ”

“อะ ขอรับ”

“แล้วเจ้าจะไปรึเปล่า เจ้าลูกผู้หญิง หรือว่าจะอยู่ที่นี่ก็ไม่ว่ากันนะ”

“ฉันชื่อซาคุโระ! จะให้บอกกี่ครั้งถึงจะจำ”

                   ซาคุโระพ่นลมหายใจออกมาอย่างฉุนๆ แต่ก็ไม่รอช้าที่จะรีบตามหลังชายหนุ่มไปติดๆพลางคิดว่าเมื่อไหร่เขาจะยอมเรียกชื่อของเธอซะที

                    ท่ามกลางความมืดที่เริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆจนน่าวังเวง ซาคุโระเดินตัวสั่นกอดตัวเองเอาไว้แน่น พร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ถึงจะมีชายหนุ่มทั้งสองคอยคุ้มกันให้ แต่ความกลัวก็ไม่ได้ลดหย่อนลงมากมายนัก

“รู้สึกวังเวงชอบกล”

“กลัวอะไรนักหนา”

“นายก็ลองมาเป็นฉันดูสิตาบ้า!

“คำก็บ้าสองคำก็บ้า แล้วใครที่เป็นต้นเหตุให้เป็นอย่างนี้ล่ะ!”

                    โฮโนโอะสวนกลับอย่างเหลืออด แต่กลับทำให้ซาคุโระใจชื้นขึ้นมาและหาเรื่องทะเลาะต่อไปไม่หยุดหย่อน มิราอิเดินตามหลังอยู่ไม่ไกลถึงกับส่ายหน้าเพราะจนปัญญาที่จะทำให้ทั้งสองคนเลิกทะเลาะกัน และในระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าและหันไปมองทางต้นตอของเสียงกุกกักที่อยู่เหนือหัว ท่ามกลางเงามืดสลัวมีบางอย่างกำลังร่วงกราวลงมาอย่างผิดปกติ

“มีอะไรเหรอ มิราอิ”

“เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างบน”

                    ชายหนุ่มตอบเรียบๆพลางจับจ้องสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือหัว ทันใดนั้นก็ปรากฏของบางอย่างแหวกความมืดพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว แต่มิราอิเร็วกว่าเข้ามาผลักซาคุโระออกไปจากวิถีทางของสิ่งแปลกปลอมนั้นพร้อมทั้งใช้มืออีกข้างปัดออกไปได้ทันท่วงที

“ระวัง!”

“ว้าย!”

 

พลั่กกกกก!!!!!

 

                  ซาคุโระถูกผลักออกจากวิถีที่เงาปริศนาพุ่งเข้ามาหาได้ทันท่วงที สิ่งที่มิราอิปัดออกไปด้วยพละกำลังมหาศาลนั้นได้กระทบกับต้นไม้ก่อนที่จะตกลงบนพื้นและกลิ้งเข้ามาอยู่ใกล้ๆเธอที่นั่งลูบก้นอยู่ป้อยๆ

“เจ็บนะ”

“อะไร”

“ท่าทางจะไม่ใช่กิ่งไม้นะ”

                  ในระหว่างนั้นเองมือของซาคุโระก็ไปแตะเอาอะไรบางอย่างที่กลิ้งมาหยุดอยู่ข้างๆ และทันที่เหลือบไปเห็นเธอก็ถึงกับกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“นี่มัน…อะ กรี๊ดดดดดดด!!!!”

“อะไรน่ะ!”

                  ทั้งโฮโนโอะและมิราอิรีบหันมามองหญิงสาวที่กรีดร้องเสียงหลง และสายตาก็พลันเหลือบมาเห็นบางอย่างที่วางอยู่ข้างมือของเธอ พบว่าสิ่งที่เขาได้ใช้มือปัดออกไปให้พ้นทางนั้น คือหัวกะโหลกที่เน่าเปื่อยของปีศาจ สภาพของมันทำให้พวกเขารีบปิดปากเพราะความสะอิดสะเอียน และคนที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือซาคุโระที่ถึงกับอาเจียนออกมา

“อุ๊บ~อ๊วก!!”

“เป็นอะไรรึเปล่า!”

                     โฮโนโอะรีบฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้น เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัวแทบไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงจะทรงตัว

“ฮะ ฮือ~ไม่เอาแล้ว นี่มันอะไรกัน ไม่เอาแล้ว!”

“อย่ามองนะ”

                      ชายหนุ่มรั้งศีรษะเธอเข้ามาซบอกพร้อมกระซิบเสียงแผ่ว ทำให้ซาคุโระเริ่มนิ่งเกือบจะเป็นปกติได้ในเวลาไม่นาน

                      มิราอิมองไปรอบๆตัวก่อนที่สายตาจะมาหยุดที่หัวกะโหลกปีศาจที่ตกอยู่บนพื้นชื้นแฉะและรำพึงออกมาเบาๆ

“ป่านี้ท่าทางจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”

“ตามหาฟุยูกิให้พบก่อนดีกว่า เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

                     โฮโนโอะออกความเห็นพลางคลายวงแขนจากหญิงสาวที่หายสั่นและเอ่ยถามอย่างห่วงใย

“เจ้าไหวใช่ไหม”

“อะ อืม”

“ไปกันเถอะ”

                     โฮโนโอะและมิราอิรีบพาซาคุโระเดินไปข้างหน้าโดยไม่คิดหันกลับมามอง จากตรงนี้พวกเขาต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะพวกเขามีสิ่งสำคัญที่เหล่าอสูรปีศาจต่างหมายตาและจับจ้องคอยจังหวะที่จะช่วงชิงอยู่รอบทิศ ซาคุโระเป็นถึงผู้ที่มีดวงวิญญาณของเทพธิดาสีเงินและสำคัญกับพวกเขามาก แต่อีกคนที่สำคัญของพวกเขาไม่แพ้จากหญิงสาวคนนี้ก็คือน้องชายผู้พลัดหลงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

                     มือข้างนี้ที่เคยประคองร่างฟุยูกิเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ร่างของน้องชายที่เขารั้งเอาไว้อย่างเหนียวแน่นกลับถูกกระชากจนหลุดมือไปอย่างง่ายดาย แทบไม่อยากเชื่อว่านั่นเป็นเพียงแรงลมที่เข้ามาอัดกระแทกธรรมดา

“มีคนกระชากแน่ๆ ในความมืดนั่นต้องมีคนอยู่แน่…มันต้องมีอะไรแน่”

                     ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพลางแหงนมองขึ้นไปเหนือหัวที่เป็นยอดไม้หนาทึบและมืดสนิทราวกับไร้ชีวิต ในป่านี้ต้องมีอะไรบางอย่างที่มีชีวิตและพวกเขามองไม่เห็นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีหัวกะโหลกปีศาจพุ่งออกมาอย่างนั้นแน่

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา