Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  12.01K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Friendship

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter III Friendship

            ห้องสมุด ยามค่ำคืนเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักเรียนหญิง หากใครก็ตามได้เขียนชื่อลงหลังปกแดงของหนังสือต้องห้ามคู่กับคนที่รัก จะได้ครองรักกันตลอดไป แต่เมื่อตาย วิญญาณจะกลายเป็นของปีศาจ แม้จะเป็นความโรแมนติกที่  ขมขื่นแต่เหล้าเด็กสาวผู้เชื่อในความรัก? ก็ต่างปรารถนาจะได้เขียนชื่อตัวเองกับคนที่รักลงไปในสมุดเล่มนั้น ที่นี่เรามาดูความเชื่อฝั่งนักเรียนชายกันบ้าง

            ห้องสมุด ยามค่ำคืนเป็นที่เก็บซ่อนคัมภีร์ลับที่มีปกสีแดง หากใครได้อ่านข้างในจะได้รับสุดยอดพลังจากเซียนหกวิถีผู้เป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งจักรวาล แลกมากับวิญญาณจะถูกจองจำกับเซียนหกวิถีไปชั่วนิรันดร์ แม้จะเป็นเรื่องเล่าชวนฝันของเด็กไม่รู้จักโต แต่ด้วยความหนาหูของข่าวลือ และบรรยากาศชวนน่าค้นหาของห้องสมุดทำให้เหล่าเด็กหนุ่มผู้มีไฟหวังจะครอบครองคัมภีร์หกวิถีนั้น จึงทำให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่

ห้องสมุด 08,45 Pm

            “เห้ย พวกเธอมาทำอะไรกันเนี่ย” เจมส์แกนนำแห่งปี 1 ห้อง 8 เขาเป็นลูกชายของผู้สืบทอดภัตตาคารจีนชื่อดังในเมือง ฝึกวิชากังฟูมาตั้งแต่เด็ก รูปร่างสูงโปร่งผิวขาวเหลือง ผมตัดสั้นแต่ไว้เปียยาว หน้าตาดีแต่ตาตี่ดูดีแบบอาตี๋

            “ที่นี่ไม่ใช่ ที่สำหรับผู้หญิงนะ” แจ๊ค ผู้นำแห่งปี 1 ห้อง 7 มีดีกรีเป็นแชมป์ฟุตบอลระดับเขตสามสมัยตั้งแต่ ม.ต้น รูปร่างสูงล่ำ ใบหน้าคมหล่อ ผิวสีแทน ตัดรองทรงเบอร์ 2 หลังจากได้คัมภีร์เขาหวังเพียงพาทีมโรงเรียนโกอินเตอร์

            “ไม่ๆ พวกฉันต่างหากที่ต้องพูดน่ะ พวกผู้ชายที่มีแต่กล้ามมาทำอะไรที่นี่ พวกนายต้องรู้จักใช้สมองบ้างนะ เดี่ยว ซิสเตอร์ก็ดุเอาหรอก” ทราย ผู้นำสตรีห้อง 9 เจ้าของปรัชญา ‘ถ้าไม่ลงมือทำ ความฝันจะไม่สำเร็จ’ เธอเป็นลูกเจ้าของกิจการร้านขายส่งเครื่องครัว แสตนเลสที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย

            “ไม่เอาน่า พวกเธอคงมาเอาคัมภีร์ไปเขียนชื่อเล่นปาหี่ มีความรักล่ะสิ คิดว่าซิสเตอร์มาแล้วพวกเธอจะไม่โดนดุรึ      ไง” ก้อง หรือ ก้องภพ ยอดกุนซือผู้มีมันสมอง ปราดเปรื่องที่สุดในแกงค์นักเรียนชายไม่รู้จักโต

            “คิดว่าเอาก้องมาแล้วพวกฉันจะแพ้หรอ ไอพวกผู้ชายไม่รู้จักโต” เมื่อทรายพูดจบ กรรณรัตที่หลบอยู่หลังฉากก็เดินออกมา

            “โทษทีนะก้องแต่คัมภีร์อะไรนั้นขอพวกฉันล่ะกัน นายคงไม่อยากมีปัญหากับฉันใช่ไหม”กรรณรัต หรือ เนย จากห้อง 1 ผู้ที่ควบทั้งตำแหน่ง หัวหน้าสมาคมคอมมูนิตี้แห่งเซนต์ฟิโอเร่ และ ยังเป็น หัวหน้าแกงค์สตรีผู้ต่อสู้เพื่อความรัก

            “ไม่เอาน่า เราก็โตๆกันแล้วอย่ามามีเรื่องกันเลย”ก้องภพกล่าว

            “ไอคนหาเรื่องก็พวกเอ็งไม่ใช่หรอ!?” ทรายได้กล่าวไว้

            ทั้งสองฝ่ายต่างมาด้วยกำลังคนเท่าๆกัน หญิงสิบ ชายสิบ พวกเขามองหน้ากันนิ่ง เปรียบเสมือนหากใครขยับก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิว ทั้งสองกลุ่มนั่งนิ่งมองหน้ากันและกันไม่ขยับไปไหน

            “เป็นหนูน้อยหมวกแดงที่น่ากลัวชะมัด ไม่ใช่ของพี่น้องกริมแท้ๆ”*พี่น้องกริม หรือ Brother Grim ผู้แต่งนิทานเลือดสาดสุดสยองให้เด็กๆฟังก่อนนอน แต่เพราะเนื้อหารุนแรงไป เลยมีการปรับเปลี่ยนให้เรื่องมันเหมาะสำหรับเด็ก เช่น เจ้าหญิงนิทรา สโนว์ไวท์ และอื่นๆอีกมากมาย

            กานต์เดินออกมาจากมุมมืดพร้อมกับถือหนังสือหนูน้อยหมวกแดงเดินผ่านมา “สวัสดีทุกคนมาทำอะไรตรงนี้ล่ะเนี่ย”

            ทุกคนไม่พูดอะไรได้แต่หันหน้าหนี เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าถ้าคนไม่เกี่ยวข้องมารู้เรื่องที่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่มันคงน่าอายไม่น้อย

            “งั้นฉันไปก่อนนะ” กานต์หันหลังและโบกมือให้ทุกคนแต่ทันใดนั้นเอง “โอ๊ะ ดันทำหลุดซะได้” ปกของหนังสือหนูน้อยหมวกแดงค่อยๆตกลงกับพื้น “หวา ลมๆ” ลมค่อยๆผัดเอาปกหนังสือลอยไปทางที่แกงค์ชายหญิงยืนอยู่พร้อมๆกับที่กานต์หันตัวกลับไป

            “เห้ยๆ ไม่จริงมั่ง” เจมส์กระพริบตาหลายๆที

            “นั้นมัน”ทรายขยับแว่นถี่ๆ

            “ปกสีแดงไม่มีคำบรรยายหรือชื่อหนังสือ”ก้องภพพูด

            “ด้วยความเก่าแก่ กระดาษจึงเป็นสีเหลืองมีความหนาเท่าหนังสือ 300 หน้า”เนยกล่าว

            “เล่มนั้นเลย!!!!!!!!” แกงค์หญิงชายตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

            “หา?” กานต์ได้แต่ทำหน้างงกับท่าทางของทุกคน

            “พลังต้องเป็นของฉัน!!!!” แจ๊คไม้พูดเปล่าเขาออกตัวพุ่งทะยานไปแบบเดียวกับท่าของสไตรเกอร์ ที่พร้อมจะยิงลูกเข้าประตู

            การออกตัวของแจ๊คเป็นการส่งสัญญาณนัยน์ๆกับทุกคนว่าอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว กานต์เองก็รับรู้ได้เช่นกัน จึงเริ่มออกวิ่งอย่างไม้คิดชีวิต

            “หยุดนะเว้ยยยย!!!” เจมส์ตะโกนไล่หลังมา ระหว่างที่ทุกคนกำลังวิ่งไปมาบนทางเดินเชื่อมอาคารเรียน

            “ใครจะหยุดเล่า วิ่งมาอย่างกับจะฆ่ากันงี้” กานต์ตะโกนตอบ

            “ถ้าเธอหยุดฉันสัญญาจะปล่อยเธอไป” กรรณรัตพูดในขณะที่ถือกุยแจมือและแส้มาด้วย

            “เชื่อก็บ้าแล้วเพ่!!” กานต์ยังคงสับขาวิ่งอย่างต่อเนื่อง แม้ทางข้างหน้าจะมืดเพียงใดแต่หัวใจมันบอกให้วิ่งต่อไป

..................................................................................................................................

            “จะให้รอไปถึงเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย” เอลลี่นั่งใช้ไม้เขี่ยเนินทรายเล่นอยู่ที่สวนของโรงเรียน

หลังจากเอลลี่ เริ่มสงสัยเรื่องการหายตัวไปของนักเรียนทุนนี่ก็ผ่านมา 2 วันแล้ว วันนี้ตอนเลิกเรียน กานต์ขอคุยกับเอลล์ ที่สวนหลังอาคารตอนสองทุ่ม

สวนหลัวอาคาร 08.00 pm

            “ฉันมีเรื่องจะถามเธอ”เอลลี่จ้องไปที่ใบหน้าของกานต์

            “ฉันให้ 1 คำถาม ก่อนจะเข้าเรื่องที่เราจะคุยกัน” กานต์พูดยิ้มๆ

            “ทำไมเธอถึงใส่ชุดวอร์...เอ้ย! เธอมีฝาแฝดรึเปล่า?”

            “ไม่รู้สิฉันเป็นเด็กกรำพร่า” กานต์หรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำไมหรอ?”

            “ในวันประถมนิเทศฉันเห็นคนคล้ายๆกับเธอ เขามาช่วยฉันถือของจนถึงหอพัก ใส่ชุดนักเรียนของที่นี่ด้วย”

            “อืม อาจจะมีก็ไดมั่ง” กานต์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

            “อะ..อืม”

            “โรงเรียนนี้ถูกก่อจั้งมา 70 ปี”

            “เธอกำลังจะบอกอะไร?”

            “เมื่อ 30 ปี ก่อนโครงการนักเรียนทุนถูกตั้งขึ้น จากรายชื่อแล้ว จนถึงเมื่อ 15 ปีก่อน ก็ไม่มีนักเรียนทุนคนไหน หายตัวไปเลย ทุกคนเรียนจบออกมา เข้ามหาวิทยาลัยและทำงานได้ปกติแต่งงานมีครอบครัว”

            “หลังจาก 15 ปีนั้น นักเรียนทุนก็เริ่มหายตัวไปสินะ”

            “เธอคงหาจากรายชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในเว็บของโรงเรียนสินะ เว็บของโรงเรียนไม่มีรายชื่อของนักเรียนทุนย้อนหลังเมื่อ 30 ปีก่อน มันย้อนหลังแค่ 7 ปีก่อนเท่านั้น”

            “แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

            “เอกสารเก่าของโรงเรียนยังอยู่ในห้องสมุดรวมทั้งรายชื่อของนักเรียนทุนด้วย” กานต์หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา

“ช่วง15ปีหลังเริ่มมีการกระจายข่าวลือเรื่องการหายตัวไปของนักเรียนทุน”

            “คำถามก็คือ ทำไมถึงมาเกิดเรื่องเอาช่วงหลังสินะ แสดงว่าเมื่อ 15 ปี ก่อนต้องมีเรื่องเกิดขึ้น”เอลลี่ก้มหน้าครุ่นคิด “แล้วมันเรื่องอะไรกัน จะไปรู้ไหมเนี่ย เหมือนกำลังเล่นเป็นนักสืบเลย”

            “แต่ก็มีเบาะแสอย่างหนึ่งนะ” เอลลี่เงยหน้ามองกานต์ “สมุดปกแดง”

            “สมุดปกแดง? ที่มีข่าวลือเรื่องสมหวังในความรักสินะ?”

            “เป็นเจ้ายุทธภพต่างหาก” กานต์ล่วงมือไปในกระเป๋าสะพาย “และมันก็อยู่นี่แล้ว”

            “เธออ่านมันแล้วใช่ไหม” เอลลี่จ้อง

            “ใช่ แต่ว่าฉัน อ่านไม่ออก”

            “ห๊ะ อ่านไม่ออก เป็นภาษาอังกฤษหรอ?”

            “ญี่ปุ่นต่างหาก” กานต์ส่งสมุดให้เอลลี่ “ถ้าเป็นเธอน่าจะอ่านออกนะ”

            เอลลี่รับสมุดปกแดงไป “โท โม ดา จิ กะ ซุต โตะ อืมมม เพื่อน เพื่อนกันตลอดไป?”

            “รู้แบบนี้ใช้ Google แปลดีกว่า” กานต์ยิ้มแห้งๆ

            “ฉันก็อ่านออกหรอกน่า แปปนึงสิ”

            “เห้อ เอาเถอะ เดี่ยวฉันมานะ คงต้องเอาไปคืนก่อน”

            “เดี่ยวสิฉันยังแปลไม่ได้เลยนะ”

            “เล่มนั้นเธอเก็บไว้เถอะ” กานต์ หยิบหนังสือปกแดงอีกเล่มขึ้นมา “ถ้าหายไปนาน เดี่ยวมันจะน่าสงสัย” กานต์เอาปกหนูน้อยหมวกแดงห่อไว้แล้วเดินจากไป

ปัจจุบัน....

            “ไปไหนแล้วเนี่ยคิดจะให้รอไปถึงเมื่อไหร่กัน” เอลลี่ เปิดหนังสือปกแดงอีกครั้งเธอค่อยๆเปิดอ่านไปทีล่ะหน้า

            “เห้ย นักเรียนทุนเธอเห็นนักเรียนทุนอีกคนรึเปล่า” แจ๊ควิ่งหน้าตาตื่นมาหาเอลลี่

            “เอ่อ ไม่เห็น ไม่เห็นเลยล่ะ ทำไมหรอ?”เอลลี่รีบวางหนังสือปกแดงไว้ที่ตักแล้วเอามือบังไว้

            “ก็นักเรียนทุนนั้นมีน่ะสิ”

            “มี?”

            “หนังสือปกแดงไง ใครได้ครอบครองจะเป็นเจ้ายุทธภพเลยนะ!!” แจ๊คเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับหายใจอย่างรุนแรงแสดงความขึงขัง

            “แหะๆ หรอ แต่กานต์ไม่ได้มาทางนี้หรอก” เอลลี่พูดยิ้มๆพลางค่อยๆซุกหนังสือปกแดงไว้ใต้เสื้อ

            “โอ๊ะ งั้นหรอขอบใจมากนะ” แจ๊คพูดจบก็วิ่งกลับไปทางเดิมทันที

            “มีคนเชื่อเรื่องไอหนังสือนี่จริงดิ!!”  เอลลี่พลันนึกไปถึง เรื่องที่คุณยายเคยเล่าให้ฟังสมัยเด็กๆ

            ‘หลานรู้ไหมที่ประเทศไทยที่หลานจะไปน่ะ มีแต่ผู้คนยิ้มแย้มใจดี ทุกคนดูเป็นมิตรต่อกัน แถมยังมีความเชื่อสนุกๆด้วยนะ’

            “ก็ไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าที่คุณยายพูดว่าความเชื่อสนุกๆจะใช่แบบนี้หรือเปล่า” เอลลี่ยิ้มแห้งๆก่อนจะถอนหายใจยาวๆออกมา

....................................................................................................................

            กานต์ยังคงวิ่งต่อไป “เชื่อเขาเลยแหะ มีคนเชื่อจริงๆหรอเนี่ย” กานต์หันไปมองด้านหลังเมื่อไม่เห็นว่ามีคนจึงถอนหายใจออกมา หลังจากหยุดวิ่งไปสักพัก อาการหอบจากความเหนื่อยล้าก็เข้ามา กานต์พิงหลังเข้ากับกำแพง “อุ๊บ”

            จู่ๆก็มีมือที่มองไม่เห็นโผล่มาปิดปากกานต์ไว้ “ชู่ว....เงียบๆไว้” คนปริศนาหลังจากด้านหลังหันซ้ายหันขวาไม่เจอใคร “เข้ามาในนี้สิ”

            กานต์เดินตามเธอเข้ามาในห้องศิลปะที่อยู่ด้านหลัง “ขอบใจนะ กรรณตะนา

            “อะ..อืม” แจนแอบหลบหน้ากานต์เล็กน้อย “พวกนั้นกำลังไล่ตามหนังสือปกแดงที่เธอถืออยู่สินะ”

            “อืมใช่” กานต์ยกหนังสือในมือขึ้นมาดู “มันก็แค่นิทานหนูน้อยหมวกแดง”

            “นิทานงั้นหรอ”

            “ใช่ แค่นิทานเท่านั้นล่ะ” กานต์ส่งสมุดปกแดงให้แจน “เธอเอาไปสิ”

            แจนรับมาพร้อมกับเปิดดูช้าๆ “ไม่เห้นมีอะไรเขียนไว้เลย”

            “เป็นหนูน้อยหมวกแดงที่ คุณหมาป่าจะต้องเขียนลงไปเองว่าอยากให้เป็นแบบไหน ลองเขียนลงไปสิ สิ่งที่เธออยากให้เป็นน่ะ”กานต์ส่งยิ้มให้แจน ก่อนจะเดินออกจากห้องศิลปะไป

            “นั้นไงเจอแล้วนักเรียนทุนในชุดวอร์ม!!!” เจมส์วิ่งเข้าใส่กานต์ทันที แต่เหมือน กานต์จะเอียงตัวหลบได้ทัน

            “ฉันทำหายไปแล้วล่ะ ไม่เชื่อดูสิ” กานต์เปิดกระเป๋าให้ดู

            “เห้ย หายไปได้ไงอะ”

            “คุณหมาป่าน่าจะขโมยไปแล้วล่ะ” กานต์พูดจบก็เดินผ่านเจมส์ไป

            “คุณหมาป่า..หรอ?”

..........................................................................................................................................

สวนหลังอาคาร 09.30 pm

            เอลลี่ยังคงนั่งใช้ไม้เขี่ยพื้นเล่นอยู่จนกระทั้งสายตาเธอไปสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า “กว่าจะกลับมารู้ไหมฉันรอ..เอือก!!”

            ไม่ทันพูดจบขวดเกลือแร่ก็ลอยโดนหน้าผากเอลลี่อย่างจัง “โอ๊ะขอโทษที คิดว่าเธอจะรับได้”

            “โยนมาได้ ไม่ได้ดูเลยรึไง!!”เอลลี่ใช้มือถูๆไปที่หน้าผากของเธอ มันก็จะปวดๆหน่อย

            “แล้วได้ความบ้างไหม?” กานต์เปิดนมกาแฟขึ้นดื่มอยากรวดเร็ว

            “ก็...มันเป็นสมุดเฟรนชิป น่ะ”

            “สมุดเฟรมชิป ที่เอาไว้เขียนให้เพื่อนก่อนจากกันน่ะหรอ?”

            “ใช่ เป็นสมุดเฟรนชิปของนักเรียนเมื่อ 15 ปีก่อน” เอลลี่เปิดขวดเกลือแร่ “แต่รายชื่อ..ไม่คุ้นเลย”

            “ลองแปลให้ฉันฟังทีสิ” กานต์วางขวดนมลงข้างๆตัว

            ‘เนื่องในโอกาสนี้ฉันขอแสดงความยินดีกับพวกเธอทั้งสอง ที่จะได้แต่งงานกันหลังเรียนจบด้วย ไหนๆพวกเราก็จะเรียนจบแล้ว ถือเป็นการอวยพรให้พวกเธอเลยแล้วกัน นี่รู้อะไรไหม ฉันเชิญ มาสเตอร์ เจมส์กับลูกสาวสุดรักของเขามาด้วย กว่าสมุดเล่มนี้จะถึงมือพวกเธอเราคงจากกันแล้ว และนี่คือคำอวยพรของพวกเรา

            รออุ้มหลานอยู่นะ – เจต เจตรินทร์ สินสะพัฒน์

            มีความสุขมากๆนะเพื่อน – อริศา ของทุกคน

            พาหลานมาเยี่ยมบ้างนะ – มาสเตอร์ ผู้ใจดี James H. Smith

            อย่าลืมพวกเรานะ – ลูกสาวผู้ตาตี่ของมาสเตอร์ เจนส์

ถึง สุนิศา สมพงษ์ และ จีรวัฒน์ ศิริวิวัฒน์

7 มีนาคม 1996

            “อืม...ดูไม่แก่เท่าไหร่เลยนะ” กานต์หัวเราะเบาๆ

            “นั้นสิ อวยพรกัน เหมือนตอนฉันจบ เกรด 6 เลย” เอลลี่หัวเราะตาม

            “งั้นก็ไว้แค่นี้เถอะ เธอก็ไปพักผ่อนซะนะ”กานต์ลุกขึ้นยืน

            “แล้วเรื่อง คนหายตัวไปล่ะ” เอลลี่ดึงแขนเสื้อกานต์

            “ไว้ว่ากันต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ” กานต์ยิ้มหวานให้เอลลี่ก่อนจะดึงแขนเธอขึ้นมา “เอ้าฮึบ”

            “งั้น...ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” เอลลี่ส่งสมุดให้กานต์ก่อนจะเดินกลับไปทางหอพักของเธอ

            “โอ๊ะ อานะจังนี่น่า” คานะกระโดดกอดเอลลี่ระหว่างทาง

            “ไม่ใช่อานะ อนาสตาเซียต่างหาก!?” (อานะ ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า รู ก็ได้เหมือนกัน) เอลลี่ทำหน้าบึ่งตึง

            “โอ๋ๆ ไม่เอาน่า ไปไหนมากลับซะมืดเชียว” กรรณรัตกอดคอเอลลี่แน่นขึ้น

            “เรื่องของฉันไม่ใช่รึไง”เอลลี่หันหน้าหนี

            “ไปอาบน้ำห้องฉันไหมอานะจัง” กรรณรัตลูบหัวเอลลี่

            “ไม่เอาย่ะ”เอลลี่พยายามผลักคานะออกไป

ระหว่างที่ทั้งสองเดินกลับไปด้วยกัน กานต์ก็มองส่งพวกเธออยู่ หลังจากที่คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว กานต์ก็หันหลังกลับไป

            ในวินาทีนั้นสายตาของกรรณรัตก็ผสานเข้ากับกานต์ที่กำลังหันหลังกลับ ในแววตาเธอเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ กานต์เดินหายไปในเงาของแสงไฟจากโคมตามทางเดิน ในขณะที่ คานะก็หันหน้ากลับไปหาเอลลี่

.........................................................................................................................................................

 

 

เช้าวันต่อมา

            เอลลี่มาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกเหมือนเคยเธอ สำรวจกระเป๋านักเรียนอย่างดีดูว่าลืมอะไรไหม พอเห็นว่าไม่ เธอก็ แควนมันไว้ด้านข้างโต๊ะเรียน นักเรียนค่อยๆทยอยกันเข้ามาในห้อง ทุกคนทักทายกัน เหมือนความสัมพันธ์ของเอลลี่กับเพื่อนในห้องจะเป็นไปด้วยดี เธอพูดคุยและทักทายกับเพื่อนในห้องเหมือนปกติทุกๆวัน แม้ในใจของเธอจะคิดถึงแต่เรื่องเมื่อคืนก็ตามที

            “อรุณสวัสดิ์”การเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดวอร์มเหมือนทุกๆวัน และหนุ่มสาวภายในห้องก็ยังคง จับจ้องความสวยของกานต์เป็นปกติ

            “ยังสวยเหมือนเดิมเลยน่า” เด็กหนุ่มเด็กสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

            แม้เอลลี่อยากจะถามเรื่องคดีต่อแต่เธอก็ อดกลั้นความสงสัยเอาไว้รอให้โอกาสเหมาะก่อน

            “เอาล่ะทุกคนนั่งที่ วันนี้มาสเตอร์มีเรื่องจะบอก กรรณตะนาไม่สบายต้องพักรักษาตัวอยู่ รพ. เธอคงขาดเรียนหลายวันหน่อย อย่าลิมจดโน้ตไปให้เธอล่ะ” มาสเตอร์หนุ่มใหญ่พูดจบนักเรียนในห้องก็ส่งเสียงโห่ออกมา เพราะได้งานเพิ่มแล้ว

“ไม่ต้องโห่ เลยนะ เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? เอาล่ะวันนี้ทบทวนไปนะ มาสเตอร์ต้องไปจัดการเรื่องเอกสารระหว่างรอ ครูท่านอื่นก็อย่าส่งเสียงดังล่ะ” พูดจบเขาก็เดินออกไป

            “กานต์ กานต์ กานต์” เอลลี่สะกิดกานต์ที่กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่

            “หืม ว่าไง?”กานต์หันหน้ากลับมา

            “เรื่องเมื่อวานน่ะเป็นไงบ้าง...เกี่ยวข้องกับที่แจนหยุดไปรึเปล่า?”เอลลี่หรี่ตาลง

            “คือเรื่องนั้นน่ะเอลลี่...” การหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับไปทางหน้าต่าง “เธอไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้ต่อแล้วล่ะ”

            “เอ๋...ทำไมล่ะ”

            “ก็มันไม่มีอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ? ทั้งเรื่องที่หายตัวไป ก็เป็นแค่อุบัติเหตุกับโชคร้ายเท่านั้นเอง ส่วนสมุดเล่มนั้นก็เป็นแค่เฟรนชิบหลังจบการศึกษาเท่านั้น” กานต์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆและไม่หันกลับมามองเอลลี่ “ที่กรรณตะนาป่วย มันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ป่วยไม่ได้โดนทำร้ายหรือประสบอุบัติเหตุนะ มาสเตอร์ก็บอกว่าป่วย”

            “...งั้นหรอ...ฉันไม่เชื่อหรอกนะ...เธอปิดบังอะไรอยู่ใช่ไหม?”

            กานต์หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะปล่อยให้สายลมผัดเข้าปะทะใบหน้า เส้นผมปลิวสะบัด  

..................................................................................................ง

            “ฉันคงบอกอะไรเธอไม่ได้หรอก”รอง ผอ. ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้กำมะหยี่อย่างดี ที่จัดมาคู่กับโต๊ะทำงานของเธอ

            “คุณรู้อะไรจริงๆด้วยสินะ พัชรินทร์ เจนส์ สมิธ” หญิงสาวเจ้าของดวงตาคู่งาม ค่อยๆลืมตามองหน้าของกานต์ “ลูกสาวเพียงคนเดียวของ มาสเตอร์ เจมส์ สมิธ”

            “แสดงว่าสมุดปกแดงนั้นอยู่กับเธอสินะ รัติกาล?” เธอพูดก่อนจะหลับตาลงและผายมือตรงเก้าอี้ตรงข้ามเป็นการแสดงสัญญาณให้กานต์นั่งลง

            “การตายของ มาสเตอร์ เจมส์ เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า ซิสเตอร์เจนส์”กานต์นั่งลงตรงหน้าหญิงสาว

            “เธอรู้แค่ไหนล่ะ?”ซิสเตอร์ลุกขึ้นยืนหญิงสาวหันหลังให้กานต์ และเดินไปที่หน้าต่าง เธอถอดผ้าคลุมหัวออกเผยให้เห็นเส้นผมสีบรอนต์ทองเป็นประกาย

            “ฉันเป็นฝ่ายถามคุณนะซิสเตอร์” กานต์จ้องไปที่หญิงสาวเจ้าของผมสีทองตรงหน้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

            “เกรงว่า ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเธอซะด้วยสิ” เธอหันหน้ากลับมามองไปที่เจ้าของใบหน้าแสนสวย เมฆค่อยๆลอยผ่านไป แสงจันทร์สาดส่องลงมาผ่านหน้าต่าง สะท้อนสีทองบนเส้นผมของเธอจนสว่าง “คนฉลาดอย่างเธอคงรู้ใช่ไหมว่า ฉันไม่จำเป็นต้องตอบเธอ เพราะอะไร? เธอรู้ไหม ว่าเพราะอะไร?” หญิงสาวยิ้มให้กานต์

            “เพราะคุณจะฆ่าฉันเมื่อไหร่ก็ได้...งั้นหรอ?” กานต์ยังคงไม่ละสายตาจากหญิงสาว

            “ผิดแล้วเทพธิดาของฉัน” หญิงสาวใช้สองนิ้วเชิดหน้ากานต์ขึ้นมา ทั้งสองประสานสายตากัน  “เพราะฉันมีวิธีที่จะทำให้เธอเจ็บปวดได้มากกว่าความตายซะอีก”

            “ถึงคุณจะเล่นแง่กับฉันไป มันก็ไม่ได้ผลหรอก” กานต์หันหน้าหนี

            “เธอรู้ไหม จุดอ่อนของ มนุษย์คืออะไร”

            “อะไร?” ใบหน้าของกานต์เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา

            “ก็มนุษย์ไงล่ะ”หญิงสาวจ้องเข้าไปในตาสีฟ้าที่ตอนนี้มันดูมืดเสียจนไม่เห็นอะไร

            “คุณอยากให้ฉันหยุด...”

            “ฉันอยากจะบอกเธอว่า...ฉันไม่ใช่ตัวร้ายของละครฉากนี้” หญิงสาวเดินไปหลังฉากเปลี่ยนชุด(ใครนึกไม่ออก นึกถึงฉากกั้นที่เขาเอาไว้บังลำตัวช่วงล่างถึงคออะ)

            “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าคุณเป็นคนร้ายนิ” กานต์หันหน้าไปคนล่ะทางกับที่หญิงสาวเปลี่ยนชุด

            “เพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ความกล้าของเธอที่มาหาฉันถึงที่นี่..ฉันจะตอบคำถามเธอข้อนึง” หญิงสาวเดินออกมาจากฉากเปลี่ยนชุด “แค่ข้อเดียว” เธอเดินกลับมาพร้อมกับชุดราตรีสีดำ กระโปรงเป็นจีบสวยงาม “มันจะช่วยลูกแกะหลงทางได้ไหมนะ?”

            “แค่ข้อเดียวก็เกินพอ” กานต์เผยยิ้มบนใบหน้าออกมา “ใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องสมุดปกแดง”

..............................................................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา