Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ผู้ชายขายสร้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

               มานะที่อาบน้ำอาบท่าจนเย็นฉ่ำ ปะแป้งเย็นจนหอมฟุ้งเรียบร้อยแล้ว นั่งลงบนเสื่อพิงผนังบ้านร้อยลูกปัดใส่สายเอ็น ยามที่ไม่มีหมวกอยู่บนศีรษะเช่นนี้แล้วรู้สึกหนาวหัวพิกล เขายกมือไปถูผมตัวเองสองสามที อ้อ เพิ่งสระผมมันยังไม่แห้งนี่หว่า ไม่ว่าจะมีคนมาทักว่าบ้าหรือขี้เก๊กกับการใส่หมวกตลอดเวลาของเขาหากเจ้าตัวก็หาได้ใส่ใจไม่ คนมันเท่ซะอย่าง ที่สำคัญไม่ได้เอาหัวใครมาใส่เสียหน่อย ช่วงนี้เขากลับบ้านแต่เย็นแทบทุกวันเพราะไม่มีจ๊อบรับเป็นคู่ควงให้ไฮโซสาวที่ไหน ไม่มีโทรทัศน์แล้วมันก็เหงาและเงียบเหมือนกันนะ แบบนี้ใช่ไหมที่ใครเขาบอกว่า คนเราจะรู้ค่าก็ต่อเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว

                เสียงกุกกักพร้อมเสียงครางแหบๆ แว่วดังผ่านสายลมที่พัดเข้ามาเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าบุพการีของเขากำลังมา ชีวิตนี้เขาก็มีเพียงบิดาคนเดียวเท่าแหละ ปู่ย่าตายายหรือเครือญาติคนอื่นๆ เขาไม่มีโอกาสได้รู้จักหรอก ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมีตัวตนกันอยู่ไหมด้วยซ้ำ เขาเคยได้ยินป้ามาลัยภรรยาลุงชาติซึ่งอยู่บ้านติดกันเล่าให้ฟังก็รู้เพียงแต่ว่าพ่อและผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขามาตั้งฐานอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่มีญาติมาหาสักคน ทว่าตอนที่พวกเขาย้ายมาอยู่แรกๆ ป้ามาลัยเห็นผู้ชายหลายคนมาลากผู้หญิงคนนั้นออกไปหลายครั้งหลายครา ก่อนจะหายเงียบไป...

                มานะรีบผุดลุกขึ้นไปช่วยพยุงบิดาที่เดินโซเซเข้ามาในบ้าน “เหม็นหึ่งเลย เอาขวดเหล้ามานี่” เขาดึงขวดที่บิดาหนีบไว้ใต้รักแร้

                “มึงอย่ายุ่ง ของกู!” บุญมีตวาดเสียงแหบพร่าใส่ลูกชาย ยื้อยุดขวดน้ำทิพย์ของตนเอาไว้

                “พ่อพอได้แล้ว ปล่อย” มานะทำเสียงเข้มจริงจัง

                “ไม่ ออกไป” ผลักคนที่มาเกาะแกะให้ล้มลงไปนอนผึงอยู่บนพื้น แล้วตัวเองก็ล้มเซลงไปนอนด้วย มานะถลันตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิมองดูบิดาด้วยสายตาที่ทั้งแข็งกร้าวและอ่อนโยน

                “ไปอาบน้ำก่อนไป”

                “กล้าสั่งกูเหรอไอ้ลูกเวร” ตวาดเสียงลั่นพลางลุกขึ้นนั่ง กลอกน้ำเมาขึ้นปากอีกสองอึก กลิ่นเหล้าเหม็นคละคลุ้งชวนเวียนหัว

                “ผมไม่ได้สั่งแค่บอก”

                “ไม่ไป” ตะโกนเสียงดังลั่นจนแทบจะได้ยินไปสองบ้านสามบ้าน

                “พ่อพูดเบาๆ สิ อายเขาบ้าง” มานะทำหน้าเซ็ง เขาเกรงใจเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน เกรงว่าเสียงตะโกนโวกเวกจะไปรบกวนชาวบ้านชาวช่อง

                “อ้อ ไอ้ลูกเลว มึงอายงั้นสิที่มีกูเป็นพ่อ ไอ้ลูกทรพี ไปอยู่กับแม่มึงไป มันจะบำเรอให้มึงได้ทุกอย่างด้วยเงินเน่าๆ ของมัน” ด่าด้วยการตะคอกใส่ ก่อนจะลดเสียงเบาลงเมื่อพูดถึงแม่มานะ ผู้หญิงหน้าเงิน เห็นแก่เงิน กล้าทิ้งแม้กระทั่งลูกน้อยที่เคยอยู่ในท้องตัวเอง บุญมีนิ่งเงียบ แววตาเหม่อลอย หอบหายใจเป็นห้วงลึกหนักๆ

                มานะเห็นอาการของพ่อที่มักจะเป็นเสมอยามเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นจึงเมินหน้าหนี ทั้งที่พ่อเจ็บขนาดนี้ทำไมยังลืมไม่ลงอีก ถ้ามีใครมาทำกับเขาแบบที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับพ่อเขาคงเกลียดจนขยะแขยงที่จะนึกถึงเลย หมดรักก็ลืมได้แล้วจะเก็บไว้ทำไมให้เปลื้องพื้นที่หัวใจ ความรักน่ากลัวเหลือเกิน มันทำลายชีวิตของพ่อจนไม่เหลือสิ้นดี

                มานะเดินไปในครัวหลังบ้านตักข้าวก้นหม้อใส่จาน มองมันแล้วก็กลืนน้ำลายอึก เอาไปวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่ข้างบุญมี ก่อนจะเดินไปหยิบจานไข่เจียวแผ่นสวยที่มีรอยไหม้เกรียมเกือบทั่วแผ่นและถ้วยใส่ไข่ต้มสองฟองเอาไปวางไปที่เดียวกับจานข้าว มองไปแล้วน้ำลายสอพลางท้องก็ร้องโกรกขึ้นมา มานะกระแอมทีหนึ่งแล้วดันสำรับอาหารที่ตั้งใจทำฉลองรายได้ใหม่ให้พ่อกิน

                “พ่อกินข้าวก่อนสิ” บุญมียังคงมีท่าทางเหม่อลอยดังเดิม จนลูกชายต้องเข้าไปจับแขนเขย่า “พ่อกินข้าว”

                คนเป็นพ่อหันมามองหน้าลูก สะบัดมือที่จับออกจากตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนใช้เท้าถีบโต๊ะญี่ปุ่นจนล้มโครมอย่างไม่ไยดี เสียงจานใส่อาหารตกพื้นดังเคว้งคว้าง ข้าวและเมนูไข่ของมานะกระจายเกลื่อนทั่วพื้น มิหนำซ้ำยังเดินเข้าไปแตะลูกปัดที่วางอยู่ใกล้ๆ ให้กระเด็นกลิ้งกลาดไปทั่วบ้าน แล้วคำรามเสียงก้อง “กูเกลียดแม่มึง ไอ้โม่ มึงเกิดมาทำไม!”

                บุญมีขอบตาแดงกล่ำ เดินโซเซเข้าไปทางหลังบ้าน

                มานะอ้าปากเหวอนิดๆ ความผิดหวังและน้อยใจประดังเข้ามาในความรู้สึก เขาไม่รู้ว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่แต่ทำไมต้องมาทำลายสิ่งที่เขาตั้งใจทำให้ด้วย ทำไมต้องเอาเขามาเป็นที่รองรับอารมณ์ด้วย มานะรีบยกมือปิดตาแล้วถูมันไปมาเมื่อรู้สึกว่าอยู่ๆ ดวงตามันก็แฉะขึ้นมา เฮ้อ...

                ชายหนุ่มเอามือออกแล้วลุกไปกอบเศษอาหารใส่จาน หยิบไข่ต้มฟองหนึ่งขึ้นมาปัดเป่าเอาฝุ่นออกก่อนยัดมันเข้าปากไปทั้งฟอง เก็บจานไปล้าง แล้วมาไล่เก็บเม็ดลูกปัดนั่งร้อยอยู่ตรงนั้นจนถึงครึ่งค่อนคืน

 

                “ฮัลโหลสาวๆ สวยไหมๆ ฮ้าว” มานะเอ่ยทักทายก่อนจะนำสายสร้อยในเป้สะพายหลังออกมาให้โอเปอเรเตอร์สองสาวดู

                สองสาวเลือกหยิบไปมาอย่างสนใจ ยุคนี้เทรนด์เครื่องประดับกำลังมาแรง

                “กิ๊บเก๋มากพี่โม่” หนึ่งสาวบอกอย่างชื่นชอบ ก่อนจะหันไปถามเพื่อน “แกเส้นนี้เป็นไง เหมาะกับฉันไหม”

                “ก็โอเคนะ แล้วของฉันละ เส้นนี้หรือเส้นนั้น”

                “เส้นนั้นสิแก เจิดประกายมาก”

                เมื่อเลือกอันที่ถูกตาต้องใจเรียบร้อยสองโอเปอเรเตอร์ก็หันมามองชายหนุ่มที่ยืนหาวหวอดตาหวาน แล้วกล่าวออกมาพร้อมเพรียงกัน

                “ขอบคุณนะคะพี่โม่”

                “ไม่เป็นไรครับ เส้นละห้าสิบ”

                สองสาวจ้องหากันแล้วพร้อมใจทำคอตก ล้วงกระเป๋าไปหยิบเงินมาจ่ายโดยดี “พี่โม่อ่ะ นึกว่าจะแจกฟรีซะอีก อุตส่าห์จะให้ที่อยู่เป็นการตอบแทนซะหน่อย”

                “แหม ก็ของซื้อของขายนี่ครับคนสวย ที่อยู่พี่ไม่อยากได้หรอกแต่ถ้าอยากบอกก็เชิญได้เลย ฮ้าว”

                “โธ่ พี่โม่หาวซะเป็นการเป็นงานเลย ไปอดหลับอดนอนทำอะไรทั้งคืนเนี่ย” หนึ่งในสองสาวเอ่ยแซว

                “ทำงานทั้งคืนเลยครับ” มานะรับเงินจากลูกค้ามาเก็บใส่ถุงเก็บเงินสีทองไว้ “นี่ยังปวดตูดไม่หายเลย”

                เสียงหัวเราะคิกคักของสองสาวดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่แดงเรื่ออย่างเก้อเขินกับคำพูดชวนให้คิดลึกของชายหนุ่ม มานะจัดหมวกบนหัวให้เข้าที่แล้วอธิบายให้โอเปอเรเตอร์สองสาวเข้าใจใหม่

                “คิดลึกไปถึงไหนกัน เมื่อคืนนั่งร้อยลูกปัดทั้งคืน นั่งนานก็เลยปวดตูดไง”

                “อ๋อ แล้วพี่จะพูดส่อชวนให้คิดเรื่องแบบนั้นทำไมล่ะ”

                “เรื่องอะไรเหรอ” มานะแกล้งทำหน้าตาอินโนเซนต์ใสซื่อ “พี่ไปทำงานก่อนนะ แต๊งกิ้วมากๆ ครับ”

 

                “พี่ครับ พี่คนสวยสนใจสร้อยลูกปัดของผมไหมครับ” มานะเดินถือถุงสร้อยไปขายให้พนักงานในแผนกต่างๆ อาศัยความอัธยาศัยดีและหน้าด้านในการเป็นพ่อค้าเจรจาธุรกิจ ซึ่งก็มีพนักงานหลายคนที่สนใจและช่วยจับจ่ายซื้อสร้อยของเขากันคนละเส้นสองเส้น บางรายมีรีเควสต์ขอสีและรูปร่างของลูกปัดไว้ด้วย จะรวยไม่รวยก็ดูจะยอดสั่งจองที่ยาวเป็นห่างว่าวนี่แหละ โม่ปลื้ม

                “พี่รุต สนใจป่ะ” ชายหนุ่มเดินไปตบโต๊ะทำงานการ์ดหน้าห้องประธานบริษัท ก่อนจะชูสร้อยข้อมือให้ดู

                “อะไร” รุตเงยหน้ามองไอ้เด็กรุ่นน้องอย่างไม่ชอบใจนักก่อนเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อเห็นของในมือมัน

                “สร้อยข้อมือ ไม่รู้จักเหรอพี่ ว้ายตาย เช๊ยเชย” มานะหยอกเย้ากระเซ้ากระแซะ

                “รู้จักน่ะรู้ แต่แกเอามาให้ฉันทำไม”

                “ไม่ได้ให้พี่ เอามาขาย ซื้อไหมครับคุณพี่การ์ดสุดหล่อ”

                การ์ดสุดหน้าขยับเนคไทให้เข้าที่คลี่ยิ้มออกมานิดหนึ่ง “ไม่ซื้อเว้ย ปัญญาอ่อน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อยที่ต้องใส่สร้อยข้อมือ”

                “เส้นนี้ผมเลือกมาให้พี่โดยเฉพาะเลยนะ มันเหมาะกับพี่สุดๆ มือพี่นี่ดูไม่มีเสน่ห์ให้ชวนมองเอาซะเลย แต่ถ้าพี่ใส่สร้อยของผมเข้าไป มันจะทำให้ออร่าที่มือพี่กระจายมากเลยนะ เคยได้ยินไหมฮะสิ่งที่ยิ่งใหญ่มันมักจะมาจากส่วนเล็กๆ เสมอ ถ้ามือซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกายมีความดูดีมันก็จะช่วยสร้างเสน่ห์และแรงดึงดูดให้พี่ได้นะ พี่จะได้เป็นผู้ชายที่มีสีสันและน่าเข้าหาไง” มานะโฆษณาเสียเต็มแม็กซ์

                รุตค่อยๆ ยื่นมือไปจับสร้อยข้อมือนั่นมาสวมดู อุปาทานเองว่ามันดูดีเสริมสง่าราศีให้เขาอยู่เหมือนกัน

                “คนกันเองนะ ผมให้พี่ 30”

                “แล้วคนอื่นแกขายเท่าไรว่ะ”

                “30 นั่นแหละ”

                “จะพูดเพื่อ?” รุตมองด้วยแววตาเอาเรื่อง หากก็ยอมหยิบเงินมาจ่ายให้มานะไป “ไม่ต้องทอนนะ”

                “30 เป๊ะ จะทอนเพื่อ?” มานะกลอกตาส่ายหน้า สายตามองไปที่ประตูห้องบานใหญ่ หรือจะเอาไปขายให้ท่านประธานดีวะ?

                “ไอ้โม่ฝากเฝ้าหน้าห้องแป๊บหนึ่งนะ ห้ามให้ใครเข้าเด็ดขาด ปวดฉี่ว่ะ” รุตผุดตัวลุกจากเก้าอี้ แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่สุดปลายชั้นพอดี

                แมสเซ็นเจอร์หนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่อง การ์ดหนุ่มบอกว่าห้ามให้ ‘ใคร’ เข้าเด็ดขาด เขาชื่อ ‘โม่’ ไม่ได้ชื่อ ‘ใคร’ คงเข้าได้ใช่ไหม ยังไม่ทันคิดตอบตัวเองร่างกายก็พุ่งพรวดเข้าไปอยู่ในห้องประธานบริษัทเรียบร้อยแล้ว

                มานะมองคนที่ยังคงก้มหน้าแก้อะไรสักอย่างในเอกสารอยู่ไม่วางตา เผลอแป๊บเดียวก็โผล่ไปยืนอยู่หน้าโต๊ะเธอเสียแล้ว เพชรงามชะงักมือที่ขีดฆ่าเอกสารรายงานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้าเนื่องจากรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง มานะก้มหัวคารวะให้อย่างอ่อนน้อม

                “มาทำไม” เจ้าของห้องถามเสียงเรียบปั้นหน้านิ่ง

                “มาตามหาหัวใจครับ” ว่าพลางยิ้มแฉ่ง

                “เพื่อนเล่นเหรอ” เธอว่าเสียงเย็น

                “เป็นเพื่อนอาจจะแค่เล่นๆ แต่ถ้าเป็นแฟนผมจริงจังนะ” มานะขยิบตาให้

                เพชรงามวางกำปั้นทุบโต๊ะดังปึ้ก แล้วมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าไล่ มานะถือโอกาสนั่งลงตรงเก้าอี้รับแขก

                “นายนี่ชักจะกำเริบเสิบสานขึ้นมาทุกวันแล้วนะ ออกไปเดี๋ยวนี้!” เพชรงามมองราวชายหนุ่มเป็นตัวประหลาดที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ ตะคอกเสียงออกคำสั่ง

                “ขอเวลาผมห้านาทีนะ”

                “อย่ามาลองดีกับฉันนะ” ทำหน้าโหดเสมือนเจ้าป่าที่กำลังจ้องขย้ำหนูตัวน้อย

                “แต่ลองใจได้ใช่ไหมครับ” ยิ้มกรุ้มกริ้มอย่างลองดี

                “นาย...” เพชรงามที่โดนเสยมุขจากมานะ แทบจะไปไม่เป็นเลยทีเดียว

                “โอเค เข้าเรื่องจริงๆ ละครับ” มานะฉีกยิ้มตาหวานให้ หยิบสร้อยข้อมือสีชมพูพาสเทลสลับกับสีขาวชูขึ้นมาตรงหน้าเธอ “สีนี้เหมาะกับท่านประธานมากเลยนะครับ ภายนอกท่านประธานดูนิ่งๆ เหมือนสีขาว แต่ภายในก็แฝงเร้นด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวานเหมือนสีชมพู ผมขอเสนอให้ในราคาพิเศษ 30 บาท หากรีบคว้าไปใส่ภายใน 2 วินาทีผมลดให้เหลือ 20 โอเคป่ะ”

                เวลาผ่านไปสองนาทีสร้อยก็ยังอยู่ที่เดิม มานะมองคนที่นั่งกอดอกส่งสายตาอาฆาตมาให้เขาแล้วกระพริบตาปริบๆ “ไม่สนใจหรือครับท่านประธาน นี่พนักงานก็ซื้อใส่กันทั้งบริษัทแล้วนะครับ”

                “ที่นายเอาของมาขายให้พนักงานในบริษัทงั้นเหรอ”

                “ครับ คนสนใจเต็มเลย”

                “นายเอาคำว่าเกรงใจและมารยาทไปซ่อนไว้ที่ไหนห้ะ ดึงมันออกมาใช้บ้างสิ ฉันขอห้ามไม่ให้นายเอาของมาขายในเวลาทำงานอีก นอกจากนายที่ละเลยในหน้าที่ของตัวเองแล้วยังจะทำให้คนอื่นเสียเวลาในการทำงานอีก”

                “ก็แค่แป๊บเดียวเองนี่ครับ แล้วผมก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่ของตัวเองด้วย ถ้ามีของต้องส่งผมก็เอาไปส่ง ถ้ามีของต้องรับผมก็ไปรับมา ผมไม่ทำให้เสียงานหรอกครับ” ชายหนุ่มเถียงหน้าเป็น

                “นายควรจะทุ่มเทกับงานหลักที่ทำ”

                “ผมเก่งจับปลาสองมือครับ”

                “ฉันไม่รู้จะหาคำอะไรมาด่าว่าให้มันแทรกซึมผ่านความด้านหนาของนายแล้วนะ” ผู้ชายอะไรเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ต่อปากต่อคำเก่งจริง “ออกไปสักที”

                ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนค้อมหัวให้อย่างนอบน้อมแบบเดิม วางสร้อยข้อมือตรงหน้าหญิงสาว “ให้ฟรีไม่คิดตังค์ ถือเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธิ์อันดีของสองเราครับ”

                ชายหนุ่มเดินออกไปแล้วเพชรงามจึงหยิบสิ่งที่เขาให้ขึ้นมาดู ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ

                ไอ้คนบ้า!

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา