Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) หลังเมฆหม่นท้องฟ้าจะสว่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

               หญิงสาวกลับถึงบ้านในชุดเสื้อแขนยาวเนื้อผ้าหนาอุ่นและกางเกงยีนส์ขาเดฟ เมื่อก้าวเข้าไปในตัวบ้านแล้วเธอก็มองซ้ายแลขวา ก่อนจะย่องขึ้นไปข้างบน หากเพียงก้าวขึ้นบันไดไปได้แค่ขั้นเดียว เสียงแจ้วจ้าวก็ดังขึ้น

                “คุณหนูคะ” เพชรงามหันไปมองคนเรียกด้วยสีหน้านิ่งขรึมกลบเกลื่อนความกระวนกระวายที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ในใจ “คุณท่านบอกว่าถ้าคุณหนูกลับมาแล้วให้ไปพบท่านที่สวนหลังบ้านค่ะ”

                หญิงสาวถอนหายใจแล้วพยักหน้า ยื่นถุงกระดาษที่ตัวเองถือให้สาวใช้ “เอาไปเก็บที่ห้องให้ด้วยนะ”

 

                บริเวณสวนไม้ที่ร่มรื่น จากตัวบ้านมีทางสายเล็กที่ปูด้วยหินอ่อนสีไข่นวล ข้างทางเรียงรายไปด้วยพุ่มมะลิใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ใกล้กันนั้นมีสระน้ำซึ่งมีปลาคราฟว่ายวนอยู่นับสามสิตัว ถัดจากขอบสระมีโต๊ะนั่งขนาดยาวที่ทำจากไม้สักเก่าเข้ากับบรรยากาศสวนป่าขนาดย่อมเป็นอย่างดี

                “พ่อคะ” เพชรงามเดินมาทรุดตัวนั่งเก้าอี้ยาวตรงข้ามบิดา สิงห์ภพเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มที่เขาอ่านเป็นรอบที่ห้ามามองแก้วตาดวงใจของตน เขาหยิบที่คั่นหนังสือมาสอดไว้ตรงหน้าสุดท้ายที่อ่านถึงแล้ววางหนังสือเล่มเก่าลง ดันจานใส่คุกกี้ที่วางอยู่ตรงหน้าไปทางลูกสาว “พ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “หลังเมฆหม่นท้องฟ้าจะสว่าง” เขาเปรยด้วยรอยยิ้มอ่อน สายตาเหม่อมองไปทางสระน้ำ

                “คะ?” เอียงหน้ามองด้วยแววตาฉงน หากก็มิได้สนใจใคร่รู้อะไรมากมายเพราะในใจเธอตอนนี้มันวิ่งไปล้มตัวนอนอยู่บนเตียงข้างบนแล้ว เหนื่อยเสียจนไม่อยากจะคิด จะพูดหรือจะทำอะไรแล้ว

                “บางสิ่งบางอย่างที่จากไปกำลังกลับมา” คำพูดนั้นยังคงเป็นปริศนา เพชรงามถอนสายตาจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากความโรยราของวันเวลา เหลือบมองหนังสือที่เขาวางลง ‘เวลาแห่งวันวาน’ ธรรมชาติของผู้สูงวัยมักมีอารมณ์เหงา ชอบย้อนคิดถึงความหลังและอาลัยอาวรณ์กับอดีตที่ล่วงไป การพูดจาชวนงุนงงคงเป็นอาการหนึ่งของคนแก่วัยสินะ เพราะแบบนี้เธอถึงอยากใช้เวลากับบิดาให้มากที่สุด ครอบครัวเพียงคนเดียวที่รักเธอ คนเราแก่ลงทุกวันไม่รู้ว่าต้องจากกันวันไหน เธอจะรักและดูแลพ่อให้ดีที่สุด

                ชายชราหันมามองลูกสาว แทนที่จะบอกคำตอบของสิ่งที่เขาเอ่ยกลับถามคำถามไปว่า “ตอนบ่ายพ่อโทรไปทำไมไม่รับ”

                คนเป็นลูกอึกอักเล็กน้อยแล้วหยัดตัวหลังตรงก่อนตอบ “หนูเผลอวางมือถือไว้ในห้องน้ำ เพิ่งจะนึกได้ตอนเลิกงานเองค่ะ”

                “เสียดายไม่ได้ไปด้วยกันเลย”

                “ไปไหนคะ”

                “ไปช่วยพี่ชายลูกเจรจาขอเจ้าแฝดน่ะสิ” เขาเว้นวรรคสร้างความใคร่รู้ให้บุตรสาว “ไดมอนด์ เจ้าแฝดจะกลับมาอยู่กับเราแล้วนะ”

                “จริงหรือคะพ่อ” ดวงตาเบิกกว้างอย่างทั้งตกใจและดีใจ “พี่ฐากับพี่รีกลับมาคืนดีกันแล้วหรือคะ” อย่างน้อยวันร้ายๆ ของเธอก็ยังมีเรื่องแสนดีเข้ามา

                “เปล่า” สิงห์ภพส่ายหน้า “ฐากับรีจะสลับกันเลี้ยงลูกคนละเดือน เดือนนี้อยู่กับแม่ อีกเดือนอยู่กับพ่อ”

                ความดีใจของหญิงสาวแผ่วลงนิดหนึ่ง “พี่ฐากับพี่รีน่าจะคืนดีกันนะคะ ครอบครัวจะได้สมบูรณ์”

                “คนไม่รักกันแล้ว จะฝืนใจตัวเองทำไมล่ะ อึดอัดรำคาญใจเสียเปล่า” คำย้อนของบิดาทำให้เพชรงามนิ่งเงียบอย่างครวญใคร่ไตร่ตรอง ก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ

                “เพื่อลูกไงคะ”

                “ลูกอยากเห็นพ่อแม่อยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะกันทุกวันไหมล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าพลัน ถ้าต้องทนเห็นทั้งสองทะเลาะมีปากมีเสียงกันทุกวันปล่อยให้แยกกันอยู่ดีกว่า เพชรงามอดตำหนิพี่ชายตัวเองในใจไม่ได้ เกลียดนักเชียวคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตน

                “ความรักนี่เข้าใจยากจังนะคะ” เธอเอ่ยลอยๆ สายตาทอดมองปลาคราฟสองตัวที่วิ่งไล่กัน

                “ลูกเองก็โตแล้วนะ” ชายชราว่าน้ำเสียงอ่อนโยน พินิจสำรวจดูบุตรสาวอย่างรักใคร่ เพชรงามหันมามองแล้วพยักหน้า สายตาพราวของบิดาบอกให้เธอรู้ได้ถึงคำถามที่จะตามมา จึงหยิบคุกกี้ใส่ปากแล้วหลุบตาต่ำมองหัวเข่าตัวเอง ตอนเปลี่ยนชุดเธอเห็นว่ามันมีเลือดซึมอยู่ด้วย

                “มีใครมาจับจองหัวใจลูกพ่อหรือยังเอ่ย” ว่าเสียงกรุ้มกริ่ม เพชรงามนึกอยากตบเข่าตัวเองสักฉาด สมัยเด็กตอนเดาข้อสอบทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้าง

                “ไม่มีหรอกค่ะ” ตอบเสียงห้วนขึ้น แปลกที่เธอรู้สึกว่าอกข้างซ้ายมันสั่นระรัวตอนที่นึกถึงใครบางคนขึ้นมา

                “ไม่คิดจะมองใครบ้างหรือ เหลือแค่ส่งแจ็คกับไดมอนด์เป็นฝั่งเป็นฝาพ่อก็เข้าโลงสบายแล้ว”

                “อย่างพูดแบบนั้นสิคะ คนแก่หนังเหนียวจะตาย”

                สิงห์ภพยกมะเหงกใส่ลูกสาว “พ่ออยากเป็นคุณตาบ้างนะ เป็นปู่มานานแล้ว”

                “ความจริงหนูมีลูกแบบไม่ต้องมีสามีก็ได้นะ” สาวสมัยใหม่ว่าเสียงมั่น สบตาบิดาด้วยแววตาประกาย ผู้หญิงยุคนี้ไม่จำเป็นต้องหาสามีเป็นตัวเป็นตนหรอก ทางเลือกมีให้เดินเยอะแยะ ทั้งยังสะดวกสบายไม่ต้องหาห่วงมามัดตัวเองด้วย

                “หือ” ชายชราขมวดคิ้วย่นหน้าผาก ลูกสาวจึงอธิบายขยายความให้ฟัง

                “ก็ใช้อสุจิจากธนาคารอสุจิไงคะ อสุจิที่รับมาหมอก็พิสูจน์แล้วว่าแข็งแรงและไม่มีโรค บางที่แพงมากหน่อยก็เลือกดูโปรไฟล์เจ้าของอสุจิได้ว่าเป็นยังไง ถ้าไปทำต่างประเทศลูกออกมาเป็นลูกครึ่งด้วย เห็นไหมคะ ง่ายจะตาย”

                “ทำแบบนั้นได้หรือ” บิดาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “มันดูผิดธรรมชาติ ผิดศีลธรรมจริยธรรมไปนะ อาจจะเกิดปัญหาสังคมตามมาอีกสารพัด”

                “ไอ้ผิดมันก็ผิดค่ะ กว่าจะทำได้ก็ต้องผ่านการประเมินหลายขั้นตอน แต่ก็มีคนทำหลายคนแล้วนะคะ” ถึงเด็กจะไม่มีพ่อแต่ก็ยังมีแม่อยู่ทั้งคน เธอนี่แหละจะเป็นโลกทั้งใบให้ลูกเอง

                “ไม่นะลูก ห้ามทำแบบนั้นนะ” ผู้เป็นบิดาปรามลูกสาวหัวสมัยนิยมเป็นพัลวัน “หลานพ่อเกิดมาไม่มีพ่อไม่ได้นะ แล้วเกิดวันหนึ่งเจ้าของอสุจิตามมาเอาลูกคืนจะทำยังไง ไม่ได้ๆ”

                “เขามาเอาไม่ได้หรอกค่ะ พ่อไม่ต้องห่วง แล้วชีวิตจริงมันคงไม่บังเอิญโลกกลมพรหมลิขิตขนาดให้พ่อลูกที่ไม่รู้จักกันมาเจอกันหรอกค่ะ” ถ้าเป็นแบบนั้นก็น้ำเน่าเกินบรรยายแล้ว

                “ยังไงพ่อก็ไม่ยอมให้ลูกทำแบบนั้นหรอก ถ้าไม่มีใครจริงๆ ทำไมไม่มองคนใกล้ตัวดูล่ะ” ว่าซ่อนเงื่อนวางชั้นเชิงแนะทางให้ลูกสาวขบคิด เธอเม้มปาก กลอกตา แล้วส่ายหน้า “รุตไง”

                เพชรงามแทบเซตกเก้าอี้ “จะบ้าหรือคะพ่อ หยุดความคิดนั้นเลยนะ” เธอโวยวายอย่างไม่ชอบใจ

                “อ้าว พ่ออุตส่าห์ช่วยหาบันไดให้ลูกไต่ลงจากคานนะ” ว่าติดตลกอย่างขบขำอยู่ฝ่ายเดียว “พ่อไม่ล้อละ เอาเป็นว่าใครที่ลูกอยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีตอนอยู่ใกล้ๆ คว้าคนนั้นไว้นะ”

                “หนูไม่คุยกับพ่อแล้ว” ว่าแง่งอนแล้วผุดตัวลุกขึ้น หันหลังเดินกลับไปทางเดิม ทำไมอยู่ๆ หัวใจถึงสูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้นแบบนี้ ทันใดนั้นใบหน้าที่มีรอยยิ้มกวนๆ ก็ฉายสว่างขึ้นมาในความคิดของเธอ ออกไป!  

ร่างบางซุกตัวลงไปใต้ผ้าห่มนวมบนเตียงหนานุ่มอย่างได้ที่ เอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียงให้ห้องทั้งห้องดับมืดลง ก่อนจะหลับตาพริ้ม แล้วดิ่งลงสู่ห้วงนิทราลึกโดยไม่ต้องพยายามใดๆ

                บางวันเรื่องราวมากมายก็โหมกระหน่ำพัดเข้ามา แต่บางวันก็เงียบจ้อยไม่มีอะไรสักอย่าง

 

                แม่บ้านร่างท้วมตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานให้เจ้านาย หญิงสาวที่นั่งเป็นคนสุดท้ายรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้คนอาวุโสกว่าต้องรอ ถึงตอนนี้เธอก็ยังง่วงไม่สร่างอยู่เลย ร่างกายปวดเมื่อยระบมไปทั้งตัวซึ่งคงเป็นผลมาจากการวิ่งเป็นตายเมื่อวาน เพชรงามยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม ก่อนรวบช้อนขึ้นมา

                “ฐาจะไปรับลูกมาเมื่อไหร่นะ” ประมุขของบ้านเอ่ยถามลูกชาย

                “สัปดาห์หน้าครับ” ฐานิชตอบบิดา เหลือบตามองน้องสาวที่ถือช้อนคาปากด้วยสายตาไม่ชอบใจเท่าไร เพชรงามมองกลับแล้วเสมองวิเชียรที่นั่งถัดจากฐานิช เขายกยิ้มให้เธอนิดๆ หญิงสาวก้มหน้าทานข้าวต่อ เธอชินเสียแล้วกับความอึดอัดเมื่ออยู่กับพี่ชาย ยิ่งตอนที่พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้านี่เธอสลายร่างกลายเป็นอากาศได้เลย

                “ไดมอนด์ไปรับหลานกับพี่เขาสิ”

                เจ้าของชื่อกลืนข้าวอย่างขืนคอ พี่เขาไม่ชอบเธอก็ไม่อยากเข้าใกล้ให้เขารำคาญใจ จึงบอกปฏิเสธไป “หนูไม่ว่างค่ะ ไว้รอเจอที่บ้านดีกว่า”

                “อืม งานเยอะหรือ”

                “ค่ะ” เธอตอบปัดๆ ไป

                “พักบ้างนะลูก” บอกลูกสาวก่อนหันไปโวยใส่ลูกชาย “พวกแกก็ช่วยน้องทำงานด้วย พี่น้องกันมีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน”

                ฐานิชรวบช้อนวางลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “พวกผมไม่ใช่ท่านประธานนี่ครับ ใหญ่สุดก็ต้องทำเยอะสุด ถูกแล้วนี่” เขาลุกขึ้นยืนคว้าสูทหลังเก้าอี้แล้วเดินออกไป

                วิเชียรลุกขึ้นตามไป “ผมไปก่อนนะครับพ่อ พี่ไปนะไดมอนด์” แล้วเขาก็ออกไปอีกคน

                ชายชราโคลงศีรษะ “ให้มันได้แบบนี้สิ” 

                สำรับอาหารบนโต๊ะถูกเก็บไปแล้ว เพชรงามนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่กับบิดาเช่นทุกวัน เธอกะเวลาเอาไว้เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าพี่ชายที่บริษัท

 

                มานะและเพชรงามบังเอิญเจอกันก่อนขึ้นลิฟต์ ชายหนุ่มขยิบตาให้เธอด้วยท่วงท่าที่เรียกว่าอ่อยอย่างชัดเจน ส่วนหญิงสาวก็ไปเพียงแต่ปั้นหน้านิ่งทั้งที่ในใจกำลังเต้นโครมคราม มีพนักงานคนอื่นเข้ามาร่วมใช้ลิฟต์อีกห้าหกคน มานะเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เขาเดินไปยืนแทรกข้างประธานสาว เมื่อลิฟต์เริ่มกลไกการทำงานมานะก็แกล้งเซเข้าหาหญิงสาวทีละน้อยๆ เขาขยุกขยิกตัวอยู่นานจนคนอื่นหันมามองจึงเลิกเล่นแล้วยืนนิ่งด้วยใบหน้าอมยิ้ม หากกระนั้นก็ยังเอี้ยวตัวไปสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมที่คลอเคลียอยู่ใต้จมูก เช้านี้ช่างเป็นการเริ่มต้นที่มีความสุขดีจริง

                “อรุณสวัสดิ์ครับท่านประธาน” มานะเอ่ยทักทายเมื่อภายในลิฟต์เหลือเพียงแค่เขา เพชรงาม และรุต หญิงสาวยืนนิ่ง มิได้ทักทายกลับ “อะไรติดหน้าครับ”

                เพชรงามขมวดหัวคิ้วลูบคลำใบหน้าตัวเองโดยพลัน

                “ความสวยน่ะ” คำเฉลยของชายหนุ่มทำเอาเธอเกือบหลุดยิ้มออกมา หากก็ได้แต่กลบซ่อนความเขินอายเอาไว้เบื้องใต้ใบหน้านิ่งไร้ความรู้สึก พยายามบอกใจตัวเองเอาไว้ว่าห้ามหวั่นไหวกับลมปากและสายตาของผู้ชายพายเรือคนนี้เด็ดขาด เมื่อประตูลิฟต์เปิดเธอก็รีบเดินออกไปทันที

                “ไอ้โม่ ระวังปากไว้บ้างเหอะแก” รุตชี้หน้าเตือนคนชอบกวน แล้วเดินตามเจ้านายไป

                มานะยื่นนิ้วไปกดเลขชั้นที่ตนต้องลงไป แล้วฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

 

                ก่อนเวลาเที่ยงวันเมสเซ็นเจอร์หนุ่มยกกล่องไปรษณีย์ขึ้นมาให้ผู้จัดการแผนกการตลาด และตอนนั้นนั่นเองที่เขาเห็นดอกฟ้าที่หมายตาหมายใจเอาไว้เดินผ่านไปพร้อมด้วยการ์ดส่วนตัวเดินตามหลัง มานะหันตัวจะเดินตามไปทว่าก็หยุดคว้าปากกาและกระดาษโพสท์อิทที่เจ้าของโต๊ะไม่อยู่ เขาเขียนข้อความลงไปในกระดาษก่อนจะดึงด้านที่ติดกาวออกมา วางของที่ฉวยหยิบคืนไว้ที่เดิมแล้วเดินตามหญิงสาวไป หากก็สายไปเสียแล้วเมื่อคนทั้งสองเดินเข้าลิฟต์ไปก่อนเขาจะออกมาเพียงเสี้ยวนาที มานะมองกระดาษในมือ ตัดสินใจวิ่งลงบันไดหนีไฟไปยืนหอบอยู่ข้างเคาน์เตอร์ชั้นล่าง

                เมื่อเห็นเป้าหมายเดินใกล้เข้ามาชายหนุ่มก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ รอเวลาให้ทั้งสองเดินมาตรงหน้าจึงเข้าไปกระแทกตัวใส่รุตจนเขากระเด็นไปข้างหน้า แล้วรีบแปะกระดาษโพสต์อิทติดหลังเพชรงามทันทีอย่างเบามือ

                “โอ๊ะๆ ซอร์รี่พี่ โทษทีนะ” มานะเข้าไปช่วยพยุงการ์ดหนุ่ม

                “ไอ้โม่ แกอีกแล้วนะ ไม่เห็นคนเหรอชนมาได้” รุตชักสีหน้าไม่พอใจแล้วเอ่ยว่าเพื่อนรุ่นน้องเสียงห้วนห้าว

                “ขอโทษครับ ช่วงนี้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้อ่ะพี่” เขาหันไปมองหน้าท่านประธานก่อนเอ่ยต่อว่า “หัวใจไม่ค่อยสูบฉีดเลือดเลย มัวแต่ลอยไปอยู่กับใครก็ไม่รู้”

                เพชรงามหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ หันไปออกคำสั่งกับการ์ดแก้เขิน “รุตรีบไปเอารถออกเร็ว” เธอพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

                คนถูกสั่งพยักหน้ารับคำแล้วเดินออกไปก่อน เพชรงามมองหน้ามานะด้วยสายตานิ่งเฉยแล้วเดินออกไปรอการ์ดหนุ่มเอารถออก แต่ละย่างก้าวช่างยากเย็นนักยามรู้ว่ามีสายตาหนึ่งคอยจ้องมองอยู่ เธอเป็นอะไรไปนะ อยู่ๆ หน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาชอบกล

                มานะยืนกอดอกชื่นชมผลงานตัวเองบนแผ่นหลังร่างระหงด้วยรอยยิ้มกริ่มปริ่มปลาบใจ

 

                หลังกลับจากทานอาหารกลางวันและไปคุยงานกับลูกค้าเสร็จ เพชรงามก็กลับมาประชุมกับหุ้นส่วนธุรกิจต่อถึงรายละเอียดต่างๆ ของสินค้าตัวใหม่ จากนั้นจึงมานั่งเคลียร์งานต่อที่ห้องจนถึงเวลาเลิกงาน และเมื่อเธอก้าวออกจากประตูมานั้นเอง เวนิสก็พุ่งพรวดเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า

                “น้องไดมอนด์” เขาเรียกชื่อเธอเสียงหวาน

                “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เรียกฉันว่าอะไร” เธอว่าเสียงเรียบแกมดุ

                “แต่นี่มันหมดเวลางานแล้วนะคะ” เวนิสบอก

                “ฉันไม่ให้เรียกก็อย่าเรียก”

                “แค่ชื่อเองนะคะ” เขาแย้ง คนอะไรแค่ชื่อก็หวง แต่เมื่อเห็นใบหน้าหญิงสาวชักอาการหงุดหงิดจึงเข้าจุดประสงค์ของตัวเองทันที “ไปทานดินเนอร์กับพี่นะ”

                “ไม่ไปค่ะ” เธอตอบไปอย่างเร็วหรี่

                “ให้เกียรติไปกับพี่สักครั้งนะคะ เรารู้จักกันมาก็นานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปทานข้าวด้วยกันเลยนะ” เวนิสอ้อน

                “ฉันต้องไปทานข้าวกับทุกคนที่ฉันรู้จักหรือคะ” เธอถามหน้าตาย สายตากดดันชายหนุ่มทำเอาเขาหน้าเจื่อนลงไปทันที ก่อนจะหันไปบอกการ์ดหนุ่มที่นั่งอมยิ้มอยู่ “กลับ”

                รุตลุกขึ้นทันทีตามคำสั่ง เพชรงามเดินผ่านเวนิสไปอย่างไม่ไยดีสายตาอ้อนวอนหงอยเหงาของเขา

                “เดี๋ยว” เวนิสร้องเสียงดังให้หญิงสาวชะลอฝีเท้านิดหนึ่งแล้วก้าวต่อไป เขาเดินไปจับไหล่เธอไว้ให้หยุดเดินแล้วดึงกระดาษด้านหลังเธอออก โดยมีชายอีกคนเข้ามาทำมือห้ามไว้ทว่าก็ไม่ทัน

                เพชรงามปัดมือที่จับไหล่เธอออกด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธอย่างคนที่ไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัว หันกลับมามองเวนิสอย่างเอาเรื่องทว่าก็ต้องเปลี่ยนสายตางุนงงทันทีเมื่อเขายื่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กมาให้เธอ

                “มันติดหลังน้องไดมอนด์อยู่ค่ะ” เขาบอกแววตางุนงงไม่แพ้เธอ หญิงสาวรับกระดาษแผ่นนั้นไปดู ตัวหนังสือที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิกมีเนื้อความว่า ‘คนนี้พี่จอง’ เพชรงามหันไปมองโทษคนที่เดินตามหลังเธอตลอดเวลาทันที

                รุตสีหน้าเจื่อนลง แล้วยกยิ้มแหยเมื่อเธอก้าวเข้ามาใกล้เขา

                “นายเห็นใช่ไหม” เดินตามหลังเธอตลอดไม่เห็นก็คงตาบอดแล้วล่ะ

                “ไม่เห็นครับ” เขาปฏิเสธกระเส่า

                “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “ตะ ตอนไปทานข้าว” รุตตอบ หลุบตาต่ำไม่กล้าสบตาเจ้านาย แต่หากเพียงแค่เงยหน้ากลับมามองตาคู่นั้นเขาก็ตอบทันทีอย่างกลัวความผิด “ไอ้โม่”

                “ไปลากตัวมันมา” เธอสั่งเสียงเหี้ยมด้วยสีหน้าราบเรียบ การ์ดหนุ่มวิ่งหางจุกตูดออกไปตามคำสั่งทันที

 

                 โน้ตแผ่นเล็กที่ถูกขยำจนยับยู่ยี่ถูกกลางขึ้นมาใหม่ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่พินิจมันอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา เลือกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี ไม่นานนักตัวการก็มานั่งอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้ายิ้มร่าน่าหมั่นไส้

                “คิดถึงเหรอครับ” เขาทำปากจู๋พร้อมขยิบตาให้ หญิงสาวขมึงตาใส่

                “หยุดลามปามกับฉันสักที”น้ำเสียงเหี้ยมลุ่มลึก

                “ผมเปล่าลามปามสักหน่อย” ...เขาเรียกอ่อยต่างหาก มานะต่อประโยคเองในใจ เพชรงามวางกระดาษโน้ตในมือลงบนโต๊ะ

                “ต้องการอะไร”

                “ลายมือสวยดีนะครับ” ถามกลับหน้าตาย

                “ฉันไล่นายออก” บอกเสียงเรียบหน้านิ่งขรึม

                “หิวจัง ขอกินหน่อยนะครับ” และโดยไม่รอให้เจ้าของอนุญาตเขาก็ฉวยคว้ากล่องช็อกโกแลตบนโต๊ะไป

                “ไอ้โม่!” รุตดุเสียงแข็ง แทบจะวิ่งไปคว้าคอมานะไว้ ทว่าคนหน้ากวนก็แกะกล่องดึงตัวช็อกโกแลตออกมาแกะฟรอยด์แล้วบิเข้าปากเสียแล้ว ก่อนทำหน้ายี้สุดขีด

                “ขมอ่ะ” แลบลิ้นแผล็บๆ ออกมาน่าเกลียดน่าชัง เพชรงามมองช็อกโกแลตเพรียวๆ สีดำสนิทที่ตนชอบกินเล่น รสชาติขมหอมปราศจากการปรุงแต่งจากน้ำตาลและนมของช็อกโกแลตอร่อยดีออก

                มานะนั่งจ้องหน้าเพชรงามราวจะเล่นสงครามประสาทกับเธอ “เอ่อ เรื่องเมื่อวาน...”

                หญิงสาวส่งสายตาที่บอกให้หยุดพูดก่อนเสมองไปทางการ์ด

                “ออกไปก่อน” รุตยืนนิ่ง หากเมื่อได้สัมผัสทิศทางของดวงตานั้นอีกเขาก็ต้องจำยอมจากไป “ห้ามพูดเรื่องเมื่อวานอีก”

                “ผมก็แค่จะขอโทษเองนะ” แววตาระยิบระยับ “ถ้าไม่อยากให้พูดก็ห้ามไล่ผมออกอีก ตกลงไหมครับ”

                “นายไม่มีสิทธิ์ต่อรอ...”

                “แล้วแผลท่านประธานเป็นยังไงบ้างครับ” เขาว่าอย่างนึกขึ้นได้ ลุกเดินไปหมุนเก้าอี้หญิงสาวแล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ จับบริเวณข้อศอกของเธอพลิกดูเบาๆ

                เพชรงามมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวและพลาสเตอร์ปิดแผล อยากถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างหากก็ได้เพียงข่มมันเอาไว้เพราะกลัวเสียฟอร์ม

                “ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองเจ็บหรอกน่า” เธอแกะมือเขาออกอย่างไม่ชอบใจ อยากขอร้องจริงๆ ว่าอย่ามาถูกเนื้อต้องตัวเธอให้มันมากนัก ใจฉันหวั่นไหวไม่รู้หรือไง

                “ไหน ดูแผลหน่อยสิครับ” ว่าเสียงนุ่ม มองดูบริเวณที่เป็นแผลถลอกยาวปิดไว้ด้วยพลาสเตอร์สีเนื้อ “เจ็บไหม”

                “หยุด” หญิงสาวชักแขนหนี “อย่ายุ่ง”

                “โอมเพี้ยง จงหายเร็วๆ” เขาเป่าลมเป่าใส่แผลเธอราวกับว่าตัวเองมีเวทมนต์คาถา

                เพชรงามลอบมองท่าทางนั้นแล้วแอบยิ้มในใจ

                มานะลุกขึ้นคร่อมมือลงบนที่วางแขนทั้งสองข้าง ดวงตาคมพราวที่มองมานั่นส่งผลให้หัวใจคนถูกมองสั่นไหวได้โดยง่าย เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมาใกล้ จนใบหน้าหญิงสาวร้อนผ่าว เกร็งไปทั้งตัวพร้อมจับมือตัวเองไว้แน่น ชายหนุ่มเผยยิ้มกระจ่างชนิดเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย ก่อนจะละมือข้างหนึ่งมาคว้าข้อมือหญิงสาวไว้พลางก้มดูเวลา “ได้เวลาทำงานต่อแล้ว ผมไปนะ”

                เขาวางมือสวยไว้อย่างอ่อนโยนแล้วเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่งโล่งใจ

                “ช็อกโกแลตมันขม แต่ความรักของผมมันหวานนะครับ” มานะโผล่หน้าเข้ามา ยกมือชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อยขึ้นโบกลา แล้วก้มหัวให้น้อยๆ ก่อนเดินจากไปอีกครั้ง

                เพชรงามยกมือขึ้นกุมอก

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา