Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ธาตุแท้ของนางฟ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

              

               แสงแดดที่ร้อนเจิดจ้าชนิดแผดเผาให้ผู้คนกลายเป็นตอตะโกได้ในพริบตาสาดส่องลงมาปกคลุมทั่วราชอาณาจักรไทย ร่างสูงของชายผิวเข้มจำเป็นต้องเผชิญกับเปลวแดดที่ร้อนระอุเช่นนี้ด้วยอาการหัวเสียเล็กน้อย หมวกแก็ปสีดำบนศีรษะพอป้องกันความร้อนได้บ้างนิดหน่อย เขาเดินไปตามฟุตบาทเรื่อยๆ ในมือถือโบชัวร์ประกาศรับสมัครพนักงานไว้ สำหรับมนุษย์ตกยากอย่างเขาไม่มีสิ่งไหนจะมาบั่นทอนความมุ่งมั่นในการหาหนทางขึ้นจากหุบเหวได้ เขาสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเพชรงามมาเรียบร้อย นี่แหละนางฟ้าที่จะฉุดดึงเขาขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบนอย่างคนอื่นเขาเสียที

               สองขายาวๆ เลี้ยวเข้าบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าตึกสูงราวยี่สิบชั้นว่า 'Frenzy Corporation' มานะเดินอย่างมาดมั่นเข้าไปด้านในตึก เขาพบโอเปอเรเตอร์สองสาวประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์จึงเข้าไปติดต่อธุระทันที

        “ผมมาสมัครงาน ไม่ทราบว่าต้องไปติดต่อที่ไหนครับ” เอ่ยถามเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มจับปีกหมวกกลับไปอยู่ด้านหลัง

               “สมัครงานตำแหน่งไหนคะ” หนึ่งในสองสาวออกอาการกระดี๊กระด๊าเพราะรูปร่างหน้าตาของชายตรงหน้านั้นงามเข้าที

               “พนักงานรับ-ส่งของครับ”

               “เชิญที่ชั้นสอง ห้องบริหารฝ่ายบุคคลค่ะ” เธอบอกพลางส่งสายตาระยิบระยับมาให้

               “ขอบคุณครับ”

               “ขอให้ได้ทำงานนะคะ”

               “ครับ” ยกมือตะเบะ ยิ้มหวานอย่างคนเจ้าสำราญแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ บนชั้นสองมีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้อง มานะเลื่อนประตูที่เป็นกระจกเข้าไปหน้าห้องมีป้ายติดว่าบริหารฝ่ายบุคคล ในห้องนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน และอีกสองหนุ่มนั่งอยู่ตรงเก้าอี้สำหรับแขก

               “มาสมัครงานครับ อ้าว ลุงชาติ” มานะรู้สึกอยากขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่เป็นอกเป็นใจให้เขาเสียเหลือเกิน ลืมนึกไปเลยว่าลุงข้างบ้านเขาก็ทำงานอยู่ที่นี่ แบบนี้ก็ใช้เส้นได้สิ

               “นายสองคนไปนั่งรอข้างนอกก่อนนะ” สุชาติบอกชายทั้งสองที่มาสมัครงาน เมื่อเก้าอี้ว่างมานะก็ถลันเข้าไปนั่งแทนทันที

               “นี่เอ็งมาทำอะไรวะ ไอ้โม่” ถามเสียงเข้มอย่างไม่เป็นมิตรนัก

               “มาซื้อน้ำปลามั้งลุง ถามมาได้ก็มาสมัครงานน่ะสิ” ลุงสุชาติค้อนให้เด็กแสบที่เขารู้จักมันตั้งแต่ยังเล็ก เห็นมันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย คนอย่างมานะแม้จะไม่ใช่คนเลวร้ายแต่มันก็ไม่ใช่คนดี อย่างน้อยก็ดีไม่พอให้เขาไว้ใจ “ถึงวุฒิจะแค่มอหก แต่ความตั้งอกตั้งใจทำงานของฉันน่ะระดับด็อกเตอร์เลยนา”

               “แล้วงานที่แกทำอยู่ล่ะ หรือโดนไล่ออก”

               “เปล่าสักหน่อย เจ้าของเจอพิษเศรษฐกิจก็เลยปิดตัวธุรกิจไป” งานเดิมของเขาคือการเป็นพนักงานในร้านฟาสต์ฟูดขนาดใหญ่ พองานที่ทำปิดตัวลงเขาก็เลยต้องรับจ๊อบเป็นบริกรแบบเมื่อคืนไง

               “แกนี่มันตัวซวยจริงๆ ทำงานที่ไหนที่นั่นก็วอดวายล่มจมไปซะทุกครั้ง” เด็กข้างบ้านของเขาเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่นทีเดียว ล่าสุดเห็นทำได้สองเดือนกว่าเอง

               “โธ่ ลุงชาติ ตอนนี้ฉันกลับตัวกลับใจแล้วนะ ฉันน่ะตั้งใจจะหางานทำเป็นชิ้นเป็นอัน อยากทำให้พ่อภูมิใจบ้าง อีกอย่างเดี๋ยวนี้พ่อฉันก็สุขภาพไม่ค่อยดี ลุงก็เห็นนี่กินแต่เหล้าทุกวัน สงสารเด็กตาดำๆ อย่างฉันเถอะนะ ฉันแค่อยากมีชีวิตดีๆ อย่างใครเขาบ้าง แค่นั้นเอง”

               งานตอแหลต้องยกให้ไอ้โม่ เขาถนัดนักล่ะ

               “ข้าก็เห็นใจ แต่ตำแหน่งนี้มันรับแค่สองคน แล้วไอ้หนุ่มสองคนนั้นก็มาสมัครก่อนเอ็งแล้วด้วย” คนที่คล้อยตามลมปากของชายเจ้ามารยาว่าอย่างสงสารระคนเห็นใจ ทว่ายังคงยืนกรานทำในสิ่งที่ถูกต้อง มาก่อนก็ต้องได้ไป ส่วนคนมาทีหลังก็ต้องทำใจ

               มานะเอี้ยวตัวไปดูคู่แข่งทั้งสองคนด้วยความรู้สึกเหนือกว่า เขารู้ดีว่าการแทรกแซงคือสิ่งที่ไม่ดีและไม่พึงกระทำ แต่เขาก็เลวมาทั้งชีวิตแล้ว ขอเลวอีกสักนิดคงไม่เป็นไร

               “ลุงชาติ...” น้ำเสียงออดอ้อนออเซาะ “ถ้าลุงไม่รับฉันเข้าทำงาน ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองกับพ่อระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ไหน เงินค่าเช่าบ้านเดือนนี้ยังหาไม่ได้เลย พูดแล้วน้ำตาจะไหล ฉันอดสงสารตัวเองไม่ได้จริงๆ...” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะขอบตาที่เริ่มแดงเหมือนจะรื้นน้ำใสๆ

               “...ฉันก็เคยคิดนะ ว่าการที่มีเพื่อนบ้านดีๆ แบบลุงชาติ คงเป็นเพราะความดีที่ฉันกับพ่อสะสมมาแต่ชาติปางก่อน ถ้าฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ฉันจะต้องคิดถึงลุงชาติ ป้ามาลัย น้องภัค น้องภู แล้วก็เจ้าตูบมากแน่ๆ” เลื่อนมือมาแตะหน้าอกราวกำลังอัดอั้นตันใจ

               ลุงสุชาติเริ่มอ่อนไหวกับคำพูดเคล้าน้ำตานั่นแล้ว ก็เล่นพูดถึงทั้งเมีย ทั้งลูก ทั้งหมาของเขาขนาดนี้ คนรักครอบครัวเยี่ยงชีพเช่นเขาจะไม่สั่นไหวได้อย่างไร ลุงสุชาติยื่นใบกรอกประวัติส่วนตัวไปให้เด็กหนุ่มข้างบ้านด้วยความเอ็นดู จะว่าไปชีวิตไอ้นี่มันก็น่าสงสารจริงๆ โดนแม่ทิ้งตั้งแต่ยังไม่รู้ประสีประสา แถมพ่อยังมาติดเหล้างอมแงมอีก เรียนหนังสือก็ไม่จบ นับว่าเป็นบุญยิ่งที่มันโตขึ้นมาโดยไม่ไปเป็นอาชญากร นักค้ายาเสพติด หรือทำอะไรที่อยู่ในทางเสื่อม อนาคตมันยังอีกไกลให้โอกาสมันสักครั้งแล้วกัน แม้จะเป็นการทำความดีที่เคียงข้างมากับความชั่วก็ตาม

               “ขอบคุณนะลุง” มานะยกมือไหว้ละล้าว ก่อนจะหยิบใบสมัครมากรอกข้อมูลพร้อมรอยยิ้มแสนกล

               “ห้ามเรียกฉันว่าลุง อยู่ที่ทำงานให้เรียกว่าหัวหน้า เข้าใจไหม”

               “เข้าใจครับ หัวหน้า” ว่าเสียงเข้มและมั่นคง

 

               “ไอ้โม่ เอ็งไปรับเอกสารที่ฝ่ายการออกแบบบนชั้นสามเอาไปส่งให้ท่านประธานหน่อยที” หัวหน้าเอ่ยสั่งพนักงานใหม่ป้ายแดงที่กำลังจับจ้องบอร์ดรายชื่อผู้บริหารอยู่

               “รับทราบครับ” ท่านประธาน...

               

               มานะเบรกฝีเท้าหยุดอยู่ ณ หน้าห้องที่มีป้ายสีเงินตัวอักษรสีทองติดไว้ว่า 'ประธานบริษัทเฟรนซี จำกัด เพชรงาม มงคลสกุล’ ถ้าหนูอย่างเขาได้ตกถังข้าวสารถังใหญ่ใบนี้คงจะสุขสบายไปทั้งชาติแน่เชียว คนเราต้องพึงขวนขวายในเป้าหมายของตน ชายหนุ่มเคาะประตูเป็นจังหวะเพลงอย่างอารมณ์ดีโดยไม่รู้เลยว่าคนข้างในกำลังอารมณ์ร้อนรุ่นครุ่นเครียดเพียงไร จากนั้นจึงเปิดประตูเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต

               เขาเดินมาหยุดที่โต๊ะทำงานใหญ่กลางห้อง ด้านหลังคือผนังกระจกสีชาที่มองเห็นวิวข้างล่างได้อย่างชัดเจน คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวนั้นตวัดสายตาเขียวเข้มมามองเขา ฉับพลันชายหนุ่มก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันใด สำเหนียกได้ว่าตนมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาเสียแล้วกระมัง สายตาของเธอสามารถฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นได้เลยเชียว อากาศหนาวเหน็บราวกับอยู่ขั้วโลกที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเย็นได้เลย สตรีผู้ละมุนสวยหวานที่พบในครั้งแรกแปรเปลี่ยนเป็นสาวแกร่งที่แลดูห้าวหาญมาก

               “ออกไป” เธอว่าอย่างสุขุม แม้จะไม่ได้ดังมากนักแต่มานะก็รู้สึกว่ามันกระแทกเข้ารูหูจนแก้วหูร้าวไปประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็อยากจะทำตามหรอกนะแต่ขามันก้าวไม่ออก

               “ฉันบอกให้ออกไป!” เธอย้ำบอก น้ำเสียงและสายตายังคงเดิม

               “คะ คือผมเอา ฟะ แฟ้มเอกสารมาให้น่ะครับ” พูดตะกักตะกุกด้วยไม่คิดว่าภาพลักษณ์นางฟ้าหน้าสวยที่เขาเคยเห็นจะกลายเป็นแม่มดหน้าตายแบบนี้ สีหน้าที่ยากจะคาดเดาแผ่รังสีอำมหิตบางอย่างออกมา

               “ออกไปเดี๋ยวนี้...” เธอเน้นทีละพยางค์ช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน

               มานะรีบหอบเอกสารพุ่งออกไปทันทีโดยไม่คิดชีวิต เขายืนหอบหายใจแฮ่กๆ เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ได้อย่างปลอดภัย

               แม่คุณทูนหัวเอ๊ย เล่นเอาพ่อบุญคุณโม่หัวใจจะวาย ออก! งานนี้ต้องลาออกสถานเดียว ถ้าเจอเป้าหมายแบบนี้ขอถอยหลบดีกว่าเว้ย

 

               เพชรงามหลับตาลงอย่างครุ่นเครียด ยกมือขึ้นกุมขมับที่เต้นตุบๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งแบบที่ผู้เคาะคงเป็นผู้ดีมีมารยาทไม่เหมือนไอ้ผู้ชายคนก่อนหน้า

               “เจ้านายครับ” รุตเดินเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ หญิงสาวตั้งข้อศอกลงยังที่วางแขนของเก้าอี้ ประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน

               “รถขนของรอบแรกตอนนี้น่าจะถึงไหนแล้ว”

               คนถูกถามทำหน้านึกคิด “รอบแรกส่งที่เชียงใหม่ ตอนนี้น่าจะถึงนครสวรรค์แล้วครับ”

               “บอกให้เขากลับมาแล้วเอาของไปส่งที่ชลบุรีแทน”

               “ทำไมครับ” ถามพลางทำหน้าฉงน

               “นายเทวาสั่งการผิด รถส่งของก็เลยสลับกัน แล้วก็บอกให้คันที่กำลังไปชลบุรีเปลี่ยนไปเชียงใหม่แทน” เธอเองก็เพิ่งทราบเรื่องจากแฟ้มงานที่เทวานำมารายงานให้เมื่อสักครู่ พอนำมาเทียบดูกับออเดอร์ของจริงจึงเห็นว่าเขาเขียนใบสั่งสลับที่กัน

               “โธ่ อย่างนี้ก็เสียเวลาแย่สิครับ” ถอนหายใจอย่างละเหี่ย “ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าเสียเวลาอีก ถ้าของไปส่งช้าลูกค้าจะไม่ว่าเอาเหรอครับ”

               “นายไปจัดการตามที่ฉันบอกให้เรียบร้อย เรื่องลูกค้าฉันจัดการเอง”

               “ครับ” รุตโน้มศีรษะให้ผู้เป็นนายเล็กน้อย เขาเคารพเพชรงามจริงๆ ไม่ใช่เพราะเธอมีศักดิ์เป็นเจ้านายจ่ายเงินเดือนให้เขา แต่เพราะหญิงสาวเป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน ตั้งใจจริงและลงมือทำจริง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ที่สำคัญเธอสะกดกั้นอารมณ์ตัวเองให้เรียบเฉยได้ทุกสถานการณ์อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่แปลกใจเลยที่คุณสิงห์ภพจะยอมรามือแต่งตั้งให้ลูกคนสุดท้องที่เป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาลูกทั้งห้าคนขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่แทนที่

               แต่เขาก็แอบหวั่นใจกลัวอยู่ลึกๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าวันไหนเวลาใดหีบอารมณ์ที่เธอเก็บกดเอาไว้จะระเบิดออกมา มันคงเป็นระเบิดที่มีพลังอำนาจการทำลายล้างสูงมากแน่นอน เพราะเพชรงามเก็บซ่อนอารมณ์มากมายภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมมาตลอด ไว้ใจไม่ได้ดังที่เขาว่าน้ำนิ่งไหลลึก

 

               เฟรนซี คือชื่อแบรนด์นาฬิกาอันดับหนึ่งของเมืองไทย และเมื่อสองปีก่อนยังได้เข้าไปบุกตลาดเอเชียหลายประเทศ ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างการสร้างความเรียบหรูที่แฝงด้วยลูกเล่นที่แสดงความบ้าคลั่งออกมาตามชื่อแบรนด์ก็ทำให้สามารถแทรกเข้าไปในใจคนที่รักความสงบและใฝ่หาความสนุกไปด้วย หากก่อนจะกลายมาเป็นบริษัทใหญ่โตสร้างชื่อเสียงและความนิยมแบบนี้ สิงห์ภพก็เหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น จากเด็กลูกชาวประมง เข้ามาทำงานโรงงานผลิตนาฬิกา ฝึกจนชำนาญและสร้างแนวคิดเป็นของตัวเอง ก่อนตัดสินใจทำนาฬิกาไอเดียตัวเองขาย จากแผงตลาดนัดขยายเข้าสู่ตลาดกลาง ทำมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่วงการธุรกิจในที่สุด

               ด้วยเหตุนี้เพชรงามจึงรักและเคารพในตัวเฟรนซีมาก เพราะมันคือทุกอย่างของพ่อ ชีวิตและจิตใจของเขารวมอยู่ที่นาฬิกาทุกเรือน เธอจะตั้งใจทำงานให้สมกับที่พ่อรักและไว้ใจเธอ เพชรงามต่อสายหาผู้จัดการฝ่ายการออกแบบทันที

               “สวัสดีค่ะ”

               “ฉันบอกให้คุณหาดีไซน์ของนาฬิกาตั้งแต่เรือนแรกๆ จนถึงตอนนี้มาให้นี่ค่ะ” ทำเสียงเรียบแลดูน่าเกรงขาม สั่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไม่ได้อีกหรือนี่

               “ตายจริง ท่านประธานยังไม่ได้รับหรือคะ ฉันให้พนักงานเอาขึ้นไปให้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วนะคะ”

               “ฉันอยู่ในห้องตั้งแต่เช้า ยังไม่เห็น... เอ่อ” เอ... หรือจะเป็นนายคนนั้น “งั้นรบกวนคุณช่วยบอกให้เขาเอาขึ้นมาให้ฉันใหม่อีกรอบนะคะ”

               “ค่ะๆ จะไปให้เร็วที่สุดเลยค่ะท่านประธาน”

               “ขอบคุณค่ะ” เมื่อกี้เธอไม่น่าโมโหเลย เสียเวลาทำงานจริงๆ

 

               “หัวหน้าครับ ผมขอลาออกครับ” มานะวางกล่องเอกสารลงบนโต๊ะหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้วสะบัดแขนไล่ความเมื่อยขบ รีบพุ่งคำพูดออกจากปากอย่างรวดเร็ว

               “อะไรของเอ็งอีกวะ ตอนเช้าล่ะไหว้ข้าอย่างกับศาลเจ้าขอเข้าทำงาน ยังไม่ทันจบวันจะมาขอลาออก” ลุงสุชาติหมุนมือปิดวิทยุ ก่อนจะว่าเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้คนหนุ่ม

               “ผมไม่เหมาะกับงานนี้หรอกครับหัวหน้า มันไม่เวิร์ก”

               “ไม่เวิร์กไม่แวกอะไรของเอ็ง ตอนนี้บริษัทกำลังขาดเด็กส่งของถ้าเอ็งไปแล้วใครจะมาแทน ยังไงก็ต้องทำต่อ เซ็นสัญญารับปากข้าไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องมาทำหน้าปวดขี้ การศึกษาน้อยด้อยความรู้อย่างเอ็งจะไปทำอะไร อยากได้เงินอย่าเลือกงาน ที่นี่เงินดีจะตาย” หัวหน้าปฏิเสธชี้แจงไม่ยอมให้ออก เห็นว่าเป็นเด็กข้างบ้านหรอกนะถึงยอมเลือกให้เข้ามาน่ะ รู้อย่างนี้เลือกไอ้เด็กอีกคนที่มาสมัครดีกว่า เป็นวัยรุ่นนี่มันพลุ่งพล่านซะจริง คิดเร็วทำเร็ว วัยรุ่นบั้นปลายอย่างเขาล่ะเพลียจิต

               “ผมไม่อยากฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ทำ” แย้งต่อต้านเสียงแข็ง จะให้เขาทำงานเป็นเด็กส่งของไปตลอดชีวิตงั้นหรือ แล้วจะไปขุดเอาความเจริญจากที่ไหนได้ สู้ทะเยอทะยานตามล่าหาขุมทรัพย์ขุมทองที่ช่วยเลี้ยงชีวิตเขาให้อยู่บนกองเงินกองทองได้ไม่ดีกว่าหรือ แล้วถ้าทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปความฝันของเขาคงไม่สำเร็จง่ายๆ เพชรงามดูน่ากลัวเกินไป

               มือหนาฟาดลงบนกระบาลเด็กข้างบ้านด้วยความเอ็นดู ทำเอาคนถูกกระทำตื่นขึ้นจากความเพ้อฝันทันที นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นลุงข้างบ้านนะเขาสวนไปแล้ว เจ็บป๊อกเลยเชียว

               “ตบหัวผมทำไมหัวหน้า เกิดกระทบกระเทือนความหล่อของผมทำไง”

               “ข้าสะกิดให้เอ็งรู้ตัวเว้ย รับปากแล้วก็ต้องทำต่อไป ทำตัวให้สมกับที่ข้าให้โอกาสหน่อย น้ำขึ้นให้รีบตักน่ะ เข้าใจไหม เว้ย เลิกจับเลิกคลำสักทีหน้าตาเอ็งน่ะ หนังหน้ายังกะหนังไก่”

               “อุ๊ย แรงอ่ะ” มานะทำตาโต “หัวหน้านี่ตาไม่ถึงเลยนะ ปกติผมเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือนซีวอน Super junior อย่าทำหน้างงสิ โอเค งั้นเหมือนศรราม เทพพิทักษ์ก็ได้”

               “ไม่ตลก” เขกบาลคนที่ทำตัวมากหมอมากความไปอีกทีหนึ่ง

               “หัวหน้าเขกหัวผมแล้วก็แปลว่าไล่ผมออกแล้ว อ้ะๆ นี่ผมฟ้องศาลได้เลยนะ โทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยความรุนแรง”

               “แหม่ ไอ้นี่ เดี๋ยวก็จัดให้อีกสักฉาดหรอก” ง้างมืออย่างหมั่นไส้ไอ้คนที่นั่งเล่นหน้าเล่นตา

               “แต่ผมมีปัญหานะหัวหน้า”

               “แกนี่ปัญหาเยอะจริงๆ นะ”

               “ผมไม่มีรถของตัวเองงั้นก็ไปส่งของไกลๆ ไม่ได้สิ ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนยังเดินบ้างขึ้นรถเมล์บ้างเลย” มานะเค้นหาเหตุผลมาลาออก

               “บริษัทมีให้ยืม จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์”

               “แต่...”

               ทันใดนั้นเองเสียงประตูก็เปิดผ่างออก พร้อมร่างของหญิงวัยกลางคนตัดผมสั้นคลอบ่า เธอส่งเสียงวี้ดว้าย

               “นายเด็กใหม่! หน็อย มานั่งอู้งานอยู่นี่เอง ฉันบอกให้เธอเอาเอกสารไปให้ท่านประธาน ทำไมไม่ไปห้ะ” ผู้จัดการฝ่ายการออกแบบชี้หน้าโวยวายใส่ชายหนุ่ม

               “ผมไปแล้ว แต่...”

               “หยุด! ชัทอัพ แล้วโก ไปเลยนะ รีบไปเดี๋ยวนี้” ตะคอกใส่ไม่พอ เธอยังจับต้นแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้นอย่างรีบเร่งรนราน มานะสบตาหัวหน้าก่อนจะพยักหน้าให้เป็นเชิงยอมแพ้ คว้ากล่องเอกสารหอบไว้แล้วรีบเดินไปตามทางที่ถูกเจ๊ผมสั้นดันหลังไว้ จนเข้ามาในลิฟต์นั่นแหละที่เขาเป็นอิสระ โธ่ เจ๊นี่ใช้มุกเก่าชะมัด หลอกแต๊ะอั๋งจับตัวเขาหน้าซื่อตาใสเชียว ชายหนุ่มแสยะปากยิ้ม ส่ายหน้าน้อยๆ สไตล์คนช่างหลงตัวเอง

               มานะเดินไปหยุดที่หน้าห้องเดิม หากก็ไม่ได้ใจหวิวมากเหมือนที่คิดไว้เพราะมีผู้ชายชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเล็กๆ หน้าห้อง

               “มาทำไม” รุตถามเสียงเรียบ

               “อะ เอ่อ เอาเอกสารมาส่งครับ” มาเฟียเฝ้าหน้าห้องขนาดนี้ เขาคงต้องลบเพชรงามออกจากเลิฟลิสต์จริงๆ แล้ว

               “เด็กเอาเอกสารมาให้ครับ” การ์ดกดปุ่มบนเครื่องอินเทอร์คอมที่วางอยู่บนโต๊ะ

               “อือ” คนข้างในตอบกลับสั้นๆ

               “เข้ามา” เด็กส่งของผู้หวังสูงเดินตามชายชุดดำเข้าไปในห้อง ถ้าจะโดนอะไรก็คงมีเพื่อนโดนไปด้วยแหละ แต่... ผิดคาดอีกแล้ว ห้องที่แทบลุกเป็นไฟเมื่อสักครู่กลายเป็นห้องที่อบอุ่นด้วยไอเย็น ครานี้เขาได้สังเกตเห็นว่าการประดับตกแต่งของทุกชิ้นดูเรียบหรูไฮโซน่าเข้ามานอนเล่นมาก

               เจ้าของห้องกำลังนั่งก้มหน้าเขียนอะไรสักอย่างอยู่ เห็นแค่เสี้ยวหน้าก็ชวนมองตราตรึงสายตาแล้ว แล้วในยามที่เธอเงยหน้าขึ้นมา หมุนดินสอในมือเล่นแบบเท่ๆ สายตาที่มองดูเขานั้นกรีดกรายทรงอิทธิพลหากก็ดูมีเสน่ห์น่าค้นหาแม้จะมีแววหยิ่งยโสดุดันร่วมด้วยก็ตาม

               “วางสิ” เสียงนุ่มลึกของเธอก็เพราะพริ้งเพียงแค่เอ่ยบอกสั้นๆ

               “เฮ้ย เอาไปวาง” การ์ดหนุ่มสะกิดบอก เด็กส่งของวางกล่องเอกสารไว้บนโต๊ะทำงาน เปลี่ยนใจแล้วว่าจะเติมชื่อเพชรงามลงไปในเลิฟลิสต์อีกครั้งในบรรทัดบนสุด พร้อมใช้ปากกาไฮไลท์ย้ำเน้นไว้ซ้ำๆ

               ผู้หญิงอะไรเท่เป็นบ้า

               “ออกไปได้แล้ว” เพชรงามเอ่ยสั่งเรียบๆ รู้สึกครั่นคร้ามกับสายตาที่ไอ้หมอนั่นส่งมาเต็มทน

               “พี่เป็นยามเฝ้าหน้าห้องเหรอ” มานะเอ่ยถามเมื่อออกมาห้องท่านประธานมาแล้ว เขาทรุดลงนั่งบนโซฟายาวสีฟ้าข้างโต๊ะทำงานของรุตโดยไม่ต้องได้รับคำเชื้อเชิญ

               “เป็นการ์ดเว้ย ไม่ใช้ยาม เป็นเลขาด้วย แล้วไม่ได้เฝ้าแค่หน้าห้องนะ ฉันตามติดเจ้านายไปทุกทีเลยแหละ” ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ควรโอ้อวดหรือภูมิใจไหม แต่ก็บอกไปตามหน้าที่จริง “ว่าแต่แกเป็นใคร คนส่งของคนใหม่เหรอ”

               “ผมชื่อโม่ เป็นแมสเซ็นเจอร์” แนะนำตัวเองเสร็จสรรพทั้งชื่อและตำแหน่ง

               “แล้วเด็กส่งของกับเเมสเซ็นเจอร์มันต่างกันตรงไหน” ไอ้เด็กนี่ชักส่อแววกวน... แล้วนะ

               “ก็เหมือนกันแหละพี่ แต่ผมชอบอะไรที่มันดูอินเตอร์มากกว่า” ยิ้มรับอาการเบ้ปากที่ส่งมาให้ “แล้วพี่ชื่ออะไร”

               “รุต”

               “อ๋อ พี่รุต เรามาเป็นเพื่อนกันดีกว่าเนอะ” ยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับอย่างมัดมือชก “น่าพี่ ผมเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่รู้จักใครสักคน ยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวทำงานบริษัทเดียวกันแล้ว รับผมเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

               “เออๆ ก็ได้” ยื่นมือไปจับกับมือของแมสเซ็นเจอร์

               “งั้นถ้าว่างๆ ผมขอมาหาพี่ที่นี่นะ”

               “แล้วแต่ ถ้าเจ้านายฉันไม่มีงานที่ไหนฉันก็นั่งเหี่ยวตายอยู่ที่นี่ตลอด”

               “โอเค งั้นผมไปทำงานก่อนนะ” ลุกขึ้นยืนทำท่าจะก้าวออกไป หากก็ตัดสินใจกลับมาเอ่ยถามว่า “ท่านประธานเป็นคนหรือหุ่นยนต์เหรอ ทำไมนิ่งแบบนั้นละพี่”

               รุตเหลือบมองประตูราวกับกลัวว่าคนข้างในจะยอมเสียเวลามาแอบฟัง “มันเป็นสไตล์ ตั้งแต่รู้จักเธอมาฉันยังไม่เห็นใครที่เข้าถึงเธอได้จริงๆ เลยสักคน”

               มานะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม จะว่าไปแบบนี้ก็น่าเสี่ยงดีแฮะ

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา