Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ยิ้มค่อยๆ แค่เธอยิ้มค่อยๆ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

                  ในตอนเช้าที่แสนสดใส

                “พี่รุต” คนเรียกลากเสียงยาว

                เจ้าของชื่อเงยหน้าจากเอกสารในมือมองดูคนที่เรียกชื่อเขา มานะยิ้มร่าเข้ามานั่งโซฟาข้างๆ วางถุงขนมบนโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้า

                “ซื้อมาฝาก” มานะโกหก ความจริงเขาได้มันมาจากกิ๊กเก่าที่เจอตอนเข้าไปซื้อน้ำในมินิมาร์ท

                “ขอบใจไอ้น้อง” รุตได้แกงเทน้ำพริกทันที เขาทิ้งเอกสารในมือลงก่อนจะหันไปคุ้ยถุงหาขนมกิน มานะยื่นมือไปหยิบขนมห่อหนึ่งมาแกะพลางเอ่ยถาม

                “คนที่ชื่อเทวาเข้ามาพบท่านประธานทำไมน่ะพี่” เขาพูดน้ำเสียงเรียบๆ คล้ายไม่สนใจใคร่รู้นักทั้งที่ในใจกำลังจดจ่อรอฟังคำตอบ รุตหันมาขมวดคิ้วมอง

                “แกรู้ได้ยังไง”

                “พอดีตอนที่พี่โทรไปเรียก ผมยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยน่ะ”

                “ความจริงก็ไม่อยากเล่าหรอกนะ มันเหมือนเหตุการณ์อาชญากรรมเล็กๆ เลยล่ะ” ว่าโดยใช้น้ำเสียงปริศนาขณะหยิบขนมกรุบกรอบเข้าปาก

                “ขนาดนั้นเลย” มานะทำหน้าตื่นนิดๆ

                “สองคนนั้นทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงเชียวล่ะ ตอบโต้กันด้วยคำพูดสาดเสียเทเสียอย่างรุนแรง แล้วเจ้านายฉันก็เข้าไปตบหน้าไอ้คุณเทวา ตบซ้ายขวาสลับกันเป็นสิบรอบ เลือดกบปากเป็นกระบวยเลย ไอ้หมอนั่นก็ฮึดสู้ จับหัวเจ้านายฉันฟาดลงกับขอบโต๊ะทำงานปังๆ เลือดไหลลงเต็มหน้าเต็มตาเลยล่ะ” มานะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก ใบหน้าซีดเซียวลงใจคอไม่ดีเมื่อคิดภาพตามคำเล่าลือของรุต คนเล่ามองแมสเซ็นเจอร์แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อใบหน้าซื่อๆ นั้นมีแววตื่นตระหนก

                “หัวเราะทำไมพี่” มานะถามเสียงฉงน ผูกคิ้วขมวด

                “เชื่อหรือ แกเชื่อจริงๆ หรือไอ้โม่” ย้อนถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่อาจหยุด

                “เชื่อสิ”

                “หูเบาจริงๆ นะแก โอย สมองน่ะมีไหม” ขนมกระจุยกระจายออกจากปาก รุตใช้หลังมือเช็ดปาก “ถ้าเจ้านายฉันโดนขนาดนั้น ฉันคงไม่มานั่งเล่าให้แกฟังตรงนี้หรอก”

                “อ้าว แล้วพี่โกหกผมทำไม” เบ้ปากอย่างเซ็งๆ

                “ก็แกมันหน้าโง่ จะทดสอบดูว่าโง่จริงๆ รึเปล่า”

                “เอามาเลยไม่ให้กินแล้ว” คว้าหมับเข้าที่ถุงขนมแล้วดึงกลับมา รุตหน้าเหวอหยุดเสียงหัวเราะลง

                “โอเคๆ จะเล่าดีๆ แล้ว” ว่าพร้อมดึงถุงขนมกลับคืน “คือฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องมันเป็นยังไง รู้แค่เจ้านายมีแผลเลือดตกยางออกนิดหน่อย”

                “เอาดีๆ สิพี่” มานะร้องอย่าไม่เชื่อคำพูดนั้น

                “ก็ดีแล้วเนี่ย แกนี่ยังไง โกหกแล้วเชื่อพอพูดจริงกลับไม่เชื่อ”

                “เลือดตกยางออกเลยหรือ” มานะทำตาโต ถึงกับมีเลือดมียางคงจะมีเรื่องกันหนักหนาทีเดียว หากเขาก็โล่งใจได้เปลาะหนึ่งว่าเพชรงามคงมิได้คิดพิศวาสนายเทวาแน่

                “เออสิ” พยักหน้าตอบ “แล้วนี่ทำไมแกไม่ไปทำงานวะ?”

                “ตอนนี้ยังไม่มีงานน่ะพี่ เดี๋ยวถ้ามีเพื่อนมันก็โทรมาตามเอง” มานะบอก “ทำงานแบบพี่นี่สบายจัง ไม่เห็นต้องไปตากแดดตากลม วันหนึ่งก็นั่งๆ นอนๆ อยู่กับที่ ผมอิจฉาพี่จริงๆ”

                คนน่าอิจฉาถอนหายใจเฮือกใหญ่ยาวๆ

                “ไอ้สบายมันก็สบาย แต่ไอ้งานติดตามคนอื่นเนี่ยมันไม่แน่นอนว่ะ ก็เหมือนหมาตามเจ้าของนั่นแหละ ไปไหนไปกันตลอด”

                “พี่อยู่ใกล้ท่านประธานตลอดแบบนี้ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ” ถามอย่างใคร่รู้ น้ำตาลใกล้มดใครเลยจะอดใจไหว

                รุตทำหน้าขยาดเก้อๆ “หวั่นไหวไม่ลงว่ะ ฉันเห็นเจ้านายตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงเพชรงามอยู่เลย เหมือนพี่ชายที่ดูแลน้องสาวมากกว่า เอาจริงๆ ฉันว่าถ้าใครได้มาใกล้ชิดเธอแบบเห็นไส้เห็นพุงคงไม่มีใครคิดชอบเจ๊แกหรอก”

                “ทำไมล่ะพี่ ท่านประธานนิสัยไม่ดีเหรอ”

                “ไม่เชิง ด้านดีก็มีอยู่บ้าง ส่วนด้านไม่ดีก็มีอยู่เยอะ” รุตนินทาเสียงเบา

                “ด้านไม่ดีนี่อย่างเช่นอะไรบ้าง”

                “หน้านิ่งอย่างกับพระอิฐพระปูน ไม่พูดไม่จาใช้พร้าง้างปากแทบจะไม่ออก บางวันก็เงียบได้เป็นวันๆ โดยไม่คุยกับใครเลย เป็นคนติสท์ๆ น่ะ” วางถุงขนมที่เหลือแต่ซองเปล่าลงบนโต๊ะ “เรื่องแบบนี้แกต้องสัมผัสเองถึงจะรู้สึก”

                “แล้วทำยังไงผมถึงจะได้ใกล้ชิดท่านประธานล่ะพี่” มานะยังคงซักไซ้

                “ทางเดียวง่ายๆ แกต้องกลายร่างเป็นเศษฝุ่นแล้วเข้าไปเกาะตามเสื้อผ้าของเธอ” รุตตอบพลางยักคิ้ว เขาไม่ได้กวนนะแต่นี่คือทางเดียวที่จะได้ใกล้ชิดเพชรงามจริงๆ มานะทำสีหน้าอิดออด รุตจึงกล่าวตอบว่า “แกจะมาติดใจอะไรผู้หญิงคนนี้ เจ้านายฉันเกิดมาเพื่อเสวยสุขอยู่บนคานทอง แกอย่าเสียแรงเสียเวลาพยายามสอยเธอลงมาเลย”

                มานะมองเพื่อนรุ่นพี่อย่างมุ่งมั่น “ผมจะทำให้พี่ดู ครั้งนี้ยอมถวายหัวเลยเอ้า”

                “โอย แกนี่เป็นตลกหรือไงวะ ทำฉันหัวเราะได้ทุกที” การ์ดหนุ่มตั้งต้นหัวเราะอีกครั้ง “จะไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”

                “ผมเปล่าจะตำน้ำพริกนะพี่ ผมตำน้ำพริกไม่เป็น” มานะแย้งหน้าตาเลิ่กลั่ก

                รุตหยุดเสียงหัวเราะอย่างหมดอารมณ์ “สุภาษิตไทยเอาไว้เปรียบเทียบเว้ย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหมายถึงลงทุนไปโดยได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มทุน เข้าใจ๊?” กระชากเสียงถาม

                แมสเซ็นเจอร์คนซื่อพยักหน้าน้อยๆ

                “เรื่องแค่นี้แกยังต้องให้อธิบาย เรื่องเจ้านายฉันนี่โยนทิ้งออกทะเลไปได้เลย” รุตแนะนำน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

                มานะเบ้ปากเบือนหน้าไปอีกทาง คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างนี่ เรื่องนั้นทำไม่ได้ใช่ว่าเรื่องนี้จะทำไม่ได้เสียหน่อย

                มานะเอ่ยถามออกไปอีกครั้งอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ “ผู้ชายที่อยู่ในห้องประธานเมื่อเช้านั่นใครเหรอ?”

                รุตทำท่านึกคิดก่อนตอบไปว่า “คุณแจ็ค พี่ชายเธอ”

                “ท่านประธานมีพี่กี่คนนะพี่”

                “4 คน แต่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรหรอก จะมีก็แต่คุณแจ็คนี่แหละที่รักและเอ็นดูเจ้านายฉัน คงด้วยอายุที่ห่างกันไม่กี่ปีมั้งเลยทำให้เข้ากัน” รุตอดสงสารเจ้านายตัวเองไม่ได้ ที่ต้องเป็นแกะดำในหมู่พี่น้อง ตอนนี้เขายังสงสัยไม่คลายเลยว่าเจ้านายของเขานั้นเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงหรืออย่างไร ทำไมพวกพี่ๆ ถึงได้พากันรังเกียจนัก ทว่าก็คงไม่น่าใช่เพราะคุณสิงห์ภพทั้งรักทั้งเอ็นดูเจ้านายเขาออกขนาดนั้น

                แมสเซ็นเจอร์หนุ่มออกไปทำหน้าที่ส่งของ 3-4 ที่แล้วกลับมานั่งสนทนาถามไถ่รุตอยู่ที่เดิม บางครั้งการ์ดหนุ่มก็จะตวาดหรือเขกกบาลใส่หากเขาถามอะไรที่ไม่เข้าเรื่องหรือพูดจากวนประสาท

                นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงครึ่งแล้วตอนที่เพชรงามเดินออกจากห้องทำงาน เธอทำสีหน้าขรึมจัดเมื่อเห็นชายสองคนกุมท้องหัวเราะลั่นอยู่บนโซฟาหน้าห้อง ทั้งสองเหลือบมองเธอแล้วหันกลับไปจ้องหน้ากันก่อนจะหยุดเสียงหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง ผลุนผันลุกขึ้นยืน การ์ดหนุ่มถลันไปรับกระเป๋าและแฟ้มเอกสาร 2 เล่มที่หญิงสาวถืออยู่ เพชรงามชายตามองมานะเสี้ยววินาทีแล้วออกเดินนำไป โดยมีรุตเดินตามหลังต้อยๆ เขาหันมายิ้มลาให้เพื่อนรุ่นน้องที่คุยกันถูกปากถูกคอดี

                มานะยิ้มตอบ มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้น เขาวิ่งไปขวางหน้าเพชรงามเอาไว้ เธอมองมานิ่งๆ แววตาลุ่มลึกปราศจากอารมณ์ใดๆ ส่วนคนข้างหลังเธอมองเขาประหลับประเหลือก ขยับปากโดยไม่มีเสียงว่าให้ออกไป

                “เจ็บไหมครับท่านประธาน” ถามพลางชี้ไปที่แผลเธอ หญิงสาวปัดมือเขาออกทันใด

                “หลีกไป” เพชรงามบอกเสียงเรียบ มองชายหนุ่มราวกับเขาเป็นตัวประหลาด

                “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเดียวก็หาย”

                “ฉันบอกให้หลีกไป” ว่าเสียงเนิบนาบที่ชวนที่น่าขนพองสยองเกล้า

                มานะยังคงยืนนิ่ง ล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนดึงบางสิ่งออกมาพร้อมยื่นของในมือไปให้เพชรงาม

                หญิงสาวใบหน้าขุ่นมัว “เพื่อนเล่นเหรอ?”

                “ท่านประธานอยากเป็นเพื่อนกับผมหรือครับ” น้ำเสียงมีความกระตือรือร้นอย่างกวนประสาท

                “นาย...” เธอเงียบไป เหลือบมองดูบัตรพนักงานที่ห้อยคอคนตรงหน้า “นายมานะ อย่าลามปามกับฉัน”

                “ความจริงเรียกผมว่าโม่ก็ได้นะครับ ผมชอบให้คนเรียกชื่อเล่นมากกว่า ชื่อจริงมันดูขยันแปลกๆ ฟังแล้วอัดอึด” คนขี้เกียจเป็นชีวิตจิตใจบอกโดยไม่ได้คำนึงถึงสถานภาพของตัวเองเลย

                “ฉันไม่อยากทำให้นายตกงานนะ รีบหลีกไปซะ” เธอว่าเสียงเฉียบเด็ดขาด

                “งั้นรับนี่ไว้นะครับ” เขายื่นอมยิ้มอันเล็กน่ารักไปใกล้เธอมากขึ้น เพชรงามถอนหายใจออกช้าๆ อย่างเหลืออด

                “หลีกไป!” เธอกรีดกรายสายตาใส่จนคนถูกมองแทบทะลุ

                “รับไปสิครับแล้วผมจะหลีกให้” มานะไม่ละความพยายาม

                หญิงสาวคว้าหมับที่ก้านอมยิ้ม แมสเซ็นเจอร์หนุ่มผายมือเปิดทางให้หญิงสาวเดินไป รุตที่เดินตามหลังเจ้านายยกมือกดหัวมานะจนเขาซวนเซจะล้ม หากก็มิวายตะโกนตามหลังไป “อมแล้วยิ้มด้วยนะครับ”

 

                รุตลอบมองปฏิกิริยาของเจ้านายจากกระจกส่องหลัง เธอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอยและมีแวววิตก รถแล่นไปจนเกือบถึงครึ่งทางเข้าบ้าน หญิงสาวจึงยกอมยิ้มในมือขึ้นมา

                เพชรงามยอมรับว่าเธอกำลังขวัญเสียเพราะเทวา ไม่ใช่เรื่องที่เขาทำร้ายเธอ แต่เป็นเพราะคำพูดของเขา 'เธอคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหน! ก็แค่ลูกโอ๋ที่พ่อสปอยล์จนหลงคิดว่าตัวเองเก่งเหนือคนอื่น แล้วไอ้คำพูดขวานผ่าซากของเธอน่ะ คิดว่ามันดีแล้วหรือ โธ่เอ๊ย ก็ดีแต่ปากเหมือนกันนั่นแหละวะ ผู้หญิงบ้าอำนาจไร้ความรู้สึก อยู่กับเธอมันก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่กับผีตายซากหรอก นอกจากพ่อของเธอ ก็ไม่มีใครทนอยู่กับเธอได้หรอก ขนาดพวกพี่ชายก็พากันรุมรังเกียจ เรื่องเยอะมากความ เธอนี่ไม่น่าเกิดมาเลยนะ สงสารแม่เธอจริงๆ'

                ทำไมเธอต้องคิดมากกับแค่คำพูดของใครก็ไม่รู้ด้วย หญิงสาวหลับตาลงแล้วสะบัดศีรษะ ใครจะว่ายังไงก็ช่างเถอะ เรารู้ว่าตัวเองเป็นยังไงก็พอแล้ว อย่าให้ลมปากของใครมาสั่นคลอนความเชื่อมั่นในความเป็นตัวตนของเรา เพชรงามปลอบตัวเองแบบที่ทำมาทั้งชีวิต

                เธอเลื่อนประจกตรงฝั่งที่นั่งลง ลมพัดโกรกเข้ามาปะทะใบหน้า หญิงสาวง้างมือข้างที่ถืออมยิ้มขึ้นทำท่าจะขว้างมันทิ้งไปในโพรงหญ้าข้างทาง

                “ทิ้งขยะเรี่ยราดไม่ดีนะครับ” เสียงสารถีด้านหน้าเอ่ยขึ้น เพชรงามนิ่งไปชั่วครู่ก่อนปิดกระจกขึ้น แกะเปลือกที่หุ้มอมยิ้มออกแล้วอมมันไว้ในปาก รสเปรี้ยวอมหวานของมันช่วยให้จิตใจที่มัวหม่นของเธอชุ่มชื้นขึ้นมา อมแล้วยิ้มด้วยนะครับ เสียงชายหนุ่มดังมาก่อกวนจากที่ไหนสักแห่ง เธอขยับมุมปากทั้งสองข้างขึ้นนิดๆ

                รุตยิ้มให้กับตัวเอง ยามมองภาพหญิงสาวที่นั่งอมอมยิ้มท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยู่เบาะหลัง

 

                ทันทีที่รถจอดสนิทแล้ว เด็กชายฝาแฝดที่นั่งเล่นกันอยู่ที่สนามหญ้าก็กรูกันมาหาคุณอาสาว

                “อาไดมอนด์มาแล้ว อาไดมอนด์ครับ” ทิกเกอร์แฝดผู้น้องส่งเสียงดังอย่างดีอกดีใจ เพชรงามลงจากรถ คลี่ยิ้มออกมาอย่างแสนชื่นใจ เธอนั่งคุกเข้าลงก่อนจะกอดหลานทั้งสองคนด้วยแขนทั้งสองข้าง

                “คิดถึงพิกเล็ทกับทิกเกอร์จังเลย” โน้มลงไปหอมแก้มซาลาเปานุ่มๆ ของหลานทั้งสอง “ไปโรงเรียนเป็นยังไงบ้างเอ่ย ซนหรือเปล่า”

                “ไม่ซนครับ พิกเล็ททำการบ้านได้สามดาว” ว่าพร้อมชูสามนิ้ว “ทิกเกอร์ได้แค่สองดาวเองครับ”

                “คุณครูลำเอียง ทิกเกอร์ทำดีกว่าพิกเล็ทอีก”

                “ทิกเกอร์ขี้โม้”

                “ไม่ใช่ พิก...”

                “พอครับพอ ไม่เถียงกันนะ” เพชรงามห้ามทัพ “อาว่าเรามาหาอะไรเล่นดีกว่า”

                “วิ่งไล่จับ” พิกเล็ทเสนอความเห็น

                “โอเค อาไดมอนด์เป็นคนจับ ว้าย หนีเร็ว” เด็กชายทั้งสองวิ่งกระจายกันออกจากอ้อมแขนของคุณอา

                “มายอมให้จับซะดีๆ นะ” หญิงสาวตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งตามออกไป แม้จะรู้สึกเหนื่อยแต่เธอก็พร้อมที่จะเหนื่อยอีกเพื่อความสุขเล็กน้อยของตัวเอง เธอชอบเด็ก เวลาได้อยู่กับเด็กๆ แล้วเหมือนได้ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่แบกรับเอาไว้

                เด็กทั้งสองวิ่งไปคว้าหมับเข้าที่เอวคุณปู่ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวน จนสายยางในมือชายแก่กวัดแกว่งสะเปะสะปะเป็นผลให้น้ำพุ่งมาโดนตัวเอง เขาหันไปทำตาดุใส่เด็กซนทั้งสองคน หลานชายรีบวิ่งออกไปอีกทางทันที สิงห์ภพเดินไปปิดก๊อกน้ำ

                “เจ้าตัวแสบไปแอบที่ไหนแล้วคะพ่อ”

                สิงห์ภพชี้ไปที่พุ่มไม้ต้นสนแผ่น เพชรงามย่องเบาๆ เข้าไปใกล้ก่อนจะกระโจนจับเด็กที่สองที่ยืนนิ่งหัวเราะคิกคักอยู่หลังต้นสนแผ่น “จับได้แล้ว”

                พิกเล็ทและทิกเกอร์ดิ้นพรวดออกจากการเกาะกุมของคุณอาสาวลงไปนอนเกลือกกลิ้งหัวเราะสนุกสนานบนพื้นหญ้า เพชรงามมองดูปฏิกิริยาของหลานพลางหัวเราะน้อยๆ ไม่เข้าใจนักว่าการถูกจับมันน่าขบขันเพียงนั้นเชียวหรือ ครู่หนึ่งมารดาของเด็กทั้งสองก็ออกมาตามให้ลูกชายไปอาบน้ำ เด็กน้อยรีบลุกขึ้นแล้วพากันวิ่งหนีมารดาต่อไปทางด้านในบ้าน

                “ไดมอนด์” เสียงทุ้มแหบเรียกลูกสาวที่กำลังจะวิ่งตามหลานชายให้หยุดชะงักฝีเท้าไว้ “มานี่หน่อยสิ”

                หญิงสาวหันหลังกลับแล้วเดินไปหาบิดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าใต้ต้นลำไยใหญ่ เธอนั่งลงข้างๆ พลางถีบเท้าดันพื้นให้ชิงช้าแกว่งไปมาเล็กน้อย

                “หน้าผากเป็นอะไร” สิงห์ภพมองดูพลาสเตอร์ที่ติดบนหน้าผากลูกสาวอย่างประหลาดใจ หญิงสาวหันไปมองดวงตาสีนิลอ่อนที่คุ้นเคย แล้วเบนสายตาออกไปมองต้นราชินีไข่มุกในกระถางที่ออกดอกสีชมพูสะพรั่งเต็มช่อพลางเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ชิงช้า

                “สะดุดล้มนิดหน่อยค่ะ” ยามที่มองดวงตาคู่นั้นเธอก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใย ความรักใคร่ และความปลอดภัย แววตาที่ทำให้รู้ว่าเขาพร้อมจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องเธอทันทีหากรู้ว่าใครทำให้ลูกสาวต้องเจ็บ เพชรงามไม่ต้องการให้พ่อเป็นห่วงและไปมีเรื่องมีราวกับใครตอนแก่

                “เป็นไงบ้างลูก เจ็บไหม” เอื้อมมือไปลูบดูแผลอย่างทะนุถนอม ร้อยวันพันปีลูกสาวเขาไม่เคยต้องบาดเจ็บเสียเลือดเสียเนื้อเพราะเขาเลี้ยงดูมาอย่างดีราวไข่ในหินที่เคลือบด้วยทองคำชั้นดี “ไปหาหมอไหม”

                “แผลเล็กเท่าขี้เล็บเอง” เธอจับมือบิดาออก “อย่าจับค่ะ มันปวด”

                สิงห์ภพกุมมือลูกสาวไว้ “หาหยูกยามากินมาทาด้วยนะลูก”

                “ค่ะ” เพชรงามจ้องมองมือของเธอที่ถูกกุมไว้โดยมือหนาที่เหี่ยวย่นไปตามวัยของเจ้าของแล้วอมยิ้ม แค่มีมือของพ่อมาคอยจับมือเธอไว้ หญิงสาวก็ไม่ต้องการมือของใครที่ไหนแล้ว ไม่มีใครที่ทำให้เธอสุขใจได้เท่าผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

                “เรื่องเวนิสลูกจะให้เขาทำตำแหน่งอะไร” หญิงสาวเผลอชักสีหน้านิดกับคำถามของบิดา

                “ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่การตลาดค่ะ”

                “ก็ดีนะ เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนามาหัวคงดีใช้ได้”

                “เรียนที่ไหนถ้าใฝ่ดีมันก็ดีได้ คนที่เรียนจบจากที่แพงๆ หรูๆ ถ้าไม่สนใจมันก็ไร้ประโยชน์ค่ะ” ดูตัวอย่างในวันนี้สิ ระดับการศึกษาไม่ได้วัดค่าระดับจิตใจได้เลย “นายเทวาลาออกไปแล้วนะคะ”

                “อ้าว ทำไมออกเสียแล้วล่ะ อยู่ได้ไม่กี่อาทิตย์เอง” ชายชราทำคิ้วขมวด

                “ไม่ทราบสิคะ”

                “เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยมีความอดทนกันเลย สุขเอาเบาสบาย ทุกข์ไม่ใกล้กราย ตายดีกว่าจน เฮ้อ” ว่าอย่างปลงกับชีวิต

                “ใครๆ ก็ใฝ่หาความสุขสบายกันทั้งนั้น จนลืมนึกไปว่าความสบายนั้นเป็นผลมาจากความทุกข์ยาก เมื่อพยายามหลีกเลี่ยงความทุกข์แล้วจะหาความสุขเจอได้ยัง” บางทีสิ่งที่เราเห็นว่ามันคือความทุกข์แท้จริงแล้วอาจเป็นความสุขก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่เคยเรียนรู้และคุ้นเคยกับความทุกข์ดีพอ จึงมองข้ามความสุขนั้นไป

                “พูดเป็นคนแก่เชียว” บิดาแซวให้ด้วยรอยยิ้ม

                “สงสัยติดความแก่จากพ่อมา”

                “เดี๋ยวเถอะ” ทำตาดุเป็นแมวเหมียวใส่ “ไม่แก่หนังเหี่ยวหนังยานบ้างให้มันรู้ไปสิ”

                “เคยได้ยินแต่หัวล้านใจน้อย เพิ่งรู้ว่ามีแก่แล้วใจน้อยด้วย” กระแซะเข้าให้ก่อนจะลุกขึ้นยืน ออกแรงดึงมือบิดาให้ลุกตามมาด้วย “เข้าบ้านเถอะค่ะ คุณพ่อสุดหล่อ”

                “ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเลยเรา” คนใจน้อยยังกระเง้ากระงอนไม่หาย

                “หนูพูดจริงนะ ถึงพ่อจะแก่แล้วแต่ก็ยังมีเค้าโครงความหล่อให้เห็นอยู่เลย” เธอพูดในสิ่งที่เห็นและคิดจริงๆ “หนูจะนับหนึ่งถึงสามนะ ถ้าพ่อลุกขึ้นมา พรุ่งนี้จะซื้อเค้กมะพร้าวร้านโปรดมาฝาก”

                เพชรงามมองดูเชิงบิดา ดวงตาและใบหน้าของเขาเปล่งประกายขึ้น “เอาล่ะนะ หนึ่ง...”

                สิงห์ภพรีบลุกขึ้นมาตามแรงฉุดทันใด “อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะไดมอนด์”

                สองพ่อลูกยิ้มให้กัน รอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็นมันจากเพชรงาม เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และสุขล้น ยิ้มหวานที่มาจากหัวใจส่งมอบให้กับคนที่เรารักและเขารักเรา ทั้งคู่เดินจูงมือกันเข้าไปในบ้าน ไม่รู้ว่าใครจูงใครตามรู้เพียงแต่ว่าใช้หัวใจทั้งสองดวงที่ผูกติดกันด้วยสายใยแห่งความผูกพันนำไปเท่านั้น

                ตอนนั้นเองที่มีสายตาริษยาของใครบางคนมองไปที่สองพ่อลูกคู่นั้น เขาแสยะยิ้มมุมปาก แววตาแข็งกระด้าง นึกถึงปณิธานของตัวเองที่เคยตั้งเอาไว้ว่า สักวันเขาจะทำให้เธอยิ้มกันไม่ออก!

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา