Stony รักไม่ยาก

9.0

เขียนโดย WAFFLE_W

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.05 น.

  34 ตอน
  1 วิจารณ์
  28.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 23.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) เงินทองเป็นของหายาก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

               เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้วที่มานะเดินลากเท้ามาทิ้งตัวลงบนโซฟายาวสีฟ้า เขานิ่งเงียบราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ถอนหายใจออกมาแทบทุก 1 นาที สร้างความรำคาญใจให้กับคนที่นั่งทำงานอยู่จนชายหนุ่มต้องละจากงานหันมาถาม

                “ว่างมากเหรอ มานั่งถอนหายใจอยู่ได้”

                “ว่าง”

                “กวนหรือไอ้นี่ เดี๋ยวเถอะ...”

                “พี่รุต พี่ว่าเราสนิทกันหรือยัง” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาขบคิด

                “ก็นิดหนึ่ง ถ้าจะสนิทจริงต้องรู้ชื่อพ่อชื่อแม่กันก่อน”

                “พ่อผมชื่อบุญมี ส่วนแม่ผมไม่รู้จัก” บอกอย่างไม่มีกั๊ก “คราวนี้เราสนิทกันแล้วใช่ไหม”

                รุตพยักหน้าอมยิ้มระรื่น ก่อนจะต้องหุบยิ้มลงฉับเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

                “มีเงินให้ยืมป่ะพี่”

                “คุณเป็นใครครับ” รีบถามทันที ก้มหน้าลงทำงานดังเดิม

                “โธ่ พี่...” มานะอิดออดครวญคราง ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เขาต้องนอนก่ายหน้าผากคิดไม่ตกเรื่องเงินค่าเช่าบ้าน แถมยังมีค่าเหล้าที่พ่อค้างร้านค้าแถวบ้านไว้อีก ตอนนี้แค่ข้าวจะกินยังไม่มีเลย

                การ์ดรุตหันกลับมามองอย่างเห็นใจคนที่นั่งทำหน้าวิตกอยู่

                “พูดเรื่องเงินเรื่องทองแล้วฉันหม่นหมองสยองใจจริงๆ ว่ะ” ลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ มานะ “ว่าแต่แกจะเอาเงินไปทำอะไร”

                “พี่ไม่ต้องรู้หรอก” บอกเสียงเรียบก่อนจะยิ้มให้กับสายตาค้อนของรุ่นพี่ “พี่มีงานอะไรให้ผมทำบ้างไหม”

                “งานน่ะมีแต่แกจะทำได้หรือเปล่า”

                “ทำอะไรพี่”

                “มีคอมฯ หรือโน้ตบุ๊คไหม” รุตถาม มานะกัดปาก อย่าว่าแต่คอมฯ เลยโทรทัศน์ยังยกไปขายให้ซาเล้งมาเมื่อเช้านี่เอง เขาส่ายหน้า “งั้นงานนี้ก็อด”

                “งานอะไรน่ะพี่ ทำไมต้องใช้คอมฯ ด้วย”

                “พิมพ์เอกสาร แค่นั่งรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์เฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไรสักนิด” มานะยู่ปาก งานไม่ต้องใช้สมองนี่ของถนัดเขาเลย

                “โอเค ผมทำ เดี๋ยวไปใช้คอมฯ ร้านเกมก็ได้”

                รุตตบไหล่มานะเบาๆ แบบนี้ก็สบายมือไปเปลาะหนึ่งแล้ว ไม่ต้องนั่งปวดมือปวดคอ เขาลุกกลับไปที่โต๊ะทำงานหยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนาพร้อมแฟลชไดร์มาส่งให้แมสเซ็นเจอร์

                “เสร็จแล้วเซฟใส่แฟลชไดร์นะ ทำเป็นใช่ไหม” ถ้างานเละหรือส่งไม่ทันไอ้รุตคนนี้ตายแหงแก๋

                “ถึงผมจะเรียนมาน้อย แต่ผมก็มีการศึกษานะพี่” มานะทำเสียงขึ้นจมูก รับงานมาวางไว้บนตัก แค่เห็นก็ง่วงแล้ว “ช่วงนี้มีงานอะไรก็เรียกใช้ผมได้ตลอดนะ แต่ต้องเป็นงานที่มีค่าจ้างเท่านั้นด้วย”

                “เออ ไอ้หน้าเงิน” การ์ดหนุ่มค่อนขอดใส่ ก่อนจะเสนอให้ว่า “ถ้ามันจำเป็นขนาดนั้น ลองไปประกวดพวกเกมโชว์ดูสิวะ เดี๋ยวนี้เห็นเยอะแยะพวกรายการที่มันเอาเงินมาแจก ได้เงินเป็นล้าน ได้รถขับฟรีอีก”

                “ผมไม่ชอบออกทีวี ความจริงมีแมวมองมาติดต่อเยอะแยะนะ” เขาผายมืออย่างโอ้อวด ภาพคนกำลังวิตกหายวับไป “ก็คนมันหล่อนี่เนอะ ถ้าผมสนนะป่านนี้ดังไปไกลถึงเกาหลีโน่นแหละ”

                “ไอ้โม่ โม้ มั่ว” เน้นใส่หน้ามานะชัดๆ ทีละคำ

                “จริงนะพี่ รอผมเจอโดเรม่อนก่อนเถอะผมจะขอประตูวิเศษพาพี่ย้อนเวลาไปดูเอง ชีวิตผมไม่ใช่เล่นๆ นะ ชีวิตจริงจัง” ยักคิ้วหลิ่วตาจนน่าหมั่นไส้ เป็นผลให้โดนโบกหัวไปทีหนึ่ง เขาจัดหมวกบนหัวให้เข้าที่ “หิวน้ำจัง พี่มีน้ำให้กินไหม”

                “ใต้โต๊ะทำงาน ไปหยิบเอง” ชี้ไปที่ใต้โต๊ะทำงานของตัวเอง ก่อนจะเหยียดขาไปบนโต๊ะกระจกเตี้ยๆ พิงหัวไว้บนพนักโซฟา

 

                ประธานบริษัทเฟรนซีนั่งตัวตรงไหล่ผึ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เบื้องหน้าคือกระดาษสีขาวที่เกลื่อนกลาดไปทั่วโต๊ะทำงาน หญิงสาวเม้มปากจนบางเฉียบ สายตานิ่งเรียบฉายแววขบคิด เธอค่อยๆ จรดปลายปากกาลงไปในกระดาษอย่างมาดมั่นปั้นหมาย แล้วลงท้ายด้วยการขยำทิ้งโยนใส่ถังขยะใบเล็กอย่างมาดแม่น

                เพชรงามเสยผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนของเธอขึ้นแล้วขยี้มันเบาๆ อย่างหงุดหงิดใจ ถอนหายใจลึกยาวกับงานชิ้นเอกที่ยังไม่ปรากฏเค้าโครงออกมาให้เห็นเพียงสักนิด ตอนนี้เธอกำลังคิดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจเพื่อดึงยอดขายให้ขยับขึ้น

                ความคิดที่เธอเขียนลงในกระดาษเหล่านั้นมันยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ เธอนึกถึงคำพูดของบิดาที่เขาเคยบอกไว้ว่า 'อะไรก็ตามที่เราไม่แน่ใจว่ามันดีที่สุดก็อย่าเพิ่งทำมัน สิ่งที่เราจะทำต้องแน่ใจก่อนว่ามันดีที่สุดสำหรับเราแล้ว เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คนอื่นก็เช่นเดียวกัน' เพชรงามละตัวออกมาจากห้วงความคิด บางทีการที่ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาในหัวของเราอาจเป็นเพราะเรามัวแต่หมกมุ่นกับมันมากเกินไปก็ได้

                เพชรงามเก็บกระดาษที่เหลือรวมกันไว้แล้วเก็บเข้าลิ้นชักไว้ก่อน มือเรียวกดเปิดโน้ตบุ๊คสีขาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เข้าไปเช็กงานในอีเมล หัวคิ้วขมวดฉับ เมื่อไม่มีผลการประเมินการทำงานของพนักงานเมื่อเดือนก่อนซึ่งเธอบอกให้เลขาส่งมาให้วันนี้ก่อนเที่ยงวัน นี่มันปาเข้าไปบ่ายสองโมงกว่าแล้วนะ นายรุต...

                เธอกดปุ่มบนเครื่องอินเตอร์คอมแต่แล้วก็ปล่อยออก เดินสักหน่อยดีกว่า นั่งจนปวดก้นหนึบไปหมดแล้ว เพชรงามลุกขึ้นเดินออกไปทวงงานจากการ์ดข้างนอก

               

                มานะวางเอกสารงานเสริมไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา เดินไปนั่งลงคุกเข่าคว้าขวดน้ำในแพ็คที่อยู่ใต้โต๊ะ หยิบออกมาขวดหนึ่งแล้วมานั่งลงตรงที่เดิม เปิดฝาแล้วดื่มน้ำเข้าไปเกือบครึ่งขวดด้วยความกระหาย

                “มันไม่เย็นเลยพี่” ว่าก่อนจะเอียงหัวไปพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลงแบบรุ่นพี่

                “มันจะเย็นได้ไงล่ะไม่ได้แช่ตู้เย็นนี่” รุตว่าโดยไม่ลืมตา

                เพชรงามเดินออกมา เธอเม้มปากอย่างไม่ชอบใจนักกับลูกน้องทั้งสองที่มาแอบหลับในเวลางานเช่นนี้ หญิงสาวอ้าปากจะพูดหากก็โดนชายหนุ่มชิงส่งเสียงขึ้นมาก่อน

                “น้ำไม่เย็นนี่รสชาติมันแปลกๆ เนอะ พี่ว่าไหม”

                “อือ” รับคำสั้นๆ อย่างง่วงเต็มแก่

                “ผมอยากให้น้ำเปล่ามีกลิ่นด้วย จะได้สดชื่น”

                “น้ำเปล่าบ้านแกมีกลิ่นเหรอ” ตอกกลับคนที่ไม่ค่อยคิดก่อนพูด “น้ำที่มีกลิ่นมันก็เลือกชื่อตามกลิ่นนั้นๆ ของมันสิ มันไม่เรียกว่าน้ำเปล่าหรอก”

                “ก็ทำของธรรมดาให้มีกลิ่นด้วยไง ผมชอบดมกลิ่นหอมๆ”

                “ไอ้บ้า” ว่าอย่างอ่อนใจ

                คนบ้ายังไม่ทันได้ว่าโต้ตอบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับโดยไม่ลืมตา

                “ไอ้โม่ กลับมาเอาของไปส่งเลย” เสียงงึมงำของเพื่อนร่วมตำแหน่งดังออกมา

                “แกไปส่งบ้างสิวะ”

                “เปลี่ยนกัน รอบนี้แกไปก่อน”

                “เออ ก็ได้” ตอบรับไปอย่างจำใจ ลืมตาขึ้นขณะยัดโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม เขาผงะไปทันทีเมื่อผงกหัวขึ้นมาเห็นเจ้านายยืนกอดอกนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของการ์ดรุต เธอมองมาด้วยแววตาอ่านยากเช่นเคย มานะยิ้มแฉ่งให้พลางใช้ศอกกระทุ้งเรียกคนข้างๆ

                “อยู่ดีๆ สิวะ คนจะงีบสักหน่อย”

                “นอนเวลางานมันไม่ดีนะพี่” เตือนด้วยความหวังดี หากอีกคนก็มองไม่เห็นถึงความหวังดีเลย มานะลุกขึ้นยืนค้อมหัวให้เพชรงามอย่างเอาใจ “สวัสดียามบ่ายครับท่านประธาน มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ”

                “กลับไปทำงาน” เธอบอกเสียงเรียบด้วยสีหน้าขรึมจัด

                “ครับ รับทราบครับ” เขาคว้าแฟ้มเอกสารและแฟลชไดร์มาถือไว้ก่อนจะเดินกลับไป ทว่าจังหวะที่เดินผ่านเพชรงามมานะก็ชะงักฝีเท้าหยุด เดินเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านประธานเหงื่อเยอะนะครับ อย่าลืมเอากระดาษซับมันซับนะ เดี๋ยวสิวขึ้น”

                เพชรงามอ้าปากน้อยๆ ด้วยไม่คิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา พลันก็หุบมันลงส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้แทน

                มานะก้มหัวให้อีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม แล้วจึงเดินจากไป

                เพชรงามเผลอหันกลับไปมองแผ่นหลังคนทะลึ่งทะเล้นจนเขาหายลับเขาไปในลิฟต์ ไอ้หมอนี่... เธอใช้หลังมือปาดเหงื่อที่เกาะพราวบนใบหน้าออกไปพลางๆ ก่อนจะหันไปมองคนที่งีบหลับอยู่ หญิงสาวรวบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเขา แล้วหอบมันมาโยนใส่ตัวเจ้าของ

                “โอ๊ย! ไอ้โม่ทำอะไรวะ!...” รุตสบถเสียงฉุน ลืมตาขึ้นมามองอย่างหมายเอาเรื่อง ทว่าเมื่อรู้ว่าผู้กระทำคือใคร ก็ถลันลุกขึ้นยืนทันที

                “กลับไปนอนที่บ้านไหม?” เธอถามประชด

                “ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบละล่ำละลัก

                “ทีหลังอย่าให้เจอแบบนี้อีกนะ” น้ำเสียงเฉียบขาด บอกให้รู้ในทีว่าคงต้องมีการลงโทษ

                “ครับ” ...จะไม่ให้เจอเด็ดขาดครับ

                “งานประเมินพนักงานประจำเดือนยังไม่ส่งให้ฉันเลย” รุตทำตาโตอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

                “ขอโทษครับ จะส่งให้เดี๋ยวนี้แหละ”

                เพชรงามทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง

 

                มานะเข้ามาในร้านเบเกอร์รี่ที่ตกแต่งร้านด้วยดีไซน์น่ารักๆ ตรงด้านหนึ่งของร้านมีเด็กสาวในชุดนักเรียนหญิงมัธยมปลายกวักมือเรียกเขาอยู่

                “ทำไมมาช้าจังคะพี่โม่” สาวผมเปียถามเสียงหวาน เธอรู้ชื่อเขาเพราะซักไซ้มาจากมารดาเมื่อวาน มานะนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเธอ วางแฟ้มเอกสารบนเก้าอี้ว่างตัวข้างๆ

                “เพิ่งเลิกงานน่ะ” เขาตอบ “รีบกินรีบกลับเถอะ”

                “อะไร อิงอุตส่าห์โดดเรียนพิเศษมาหาพี่เลยนะ” ทำท่ากระเง้ากระงอด

                “พี่มีงานต้องทำต่อ”

                “แต่เมื่อวานอิงช่วยพี่ไว้นะ”

                “ก็รู้”

                “รู้ก็กินก่อนสิ” เธอชี้ไปที่ขนมที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เลื่อนแก้วชาเขียวไปให้

                “พี่ไม่ชอบกินชาเขียว”

                “อิงเป็นคนจ่าย อิงสั่งอะไรมาพี่ก็ต้องกิน” พูดอย่างเด็กเอาแต่ใจ มานะส่ายหน้ากับคำพูดของเด็กน้อย ก่อนจะตักเค้กช็อกโกแลตราดด้วยซอสสตรอว์เบอร์รี่งับเข้าปาก “พี่มีแฟนยัง?”

                “ยัง”

                “พี่ชอบคนแบบไหน เด็กกว่า แก่กว่า หรือเท่ากัน”

                “ยังไงก็ได้” ตอบโดยที่ยังคงตักชิมเค้กทุกชิ้นตรงหน้า ไม่ได้ใส่ใจมากนักกับคำถามของเด็กที่เพิ่งเจอกันเมื่อวาน

                “แบบอิงนี่โอเคป่ะ” เธอเสนอตัวเองพลางจับปลายผมเปียเล่น

                “ก็น่ารักดี”

                “เขินจุง” ยิ้มหวาน นั่งม้วนไปมา “เป็นแฟนกันป่ะ?”

                “พี่ไม่ชอบผูกมัด” ตอบก่อนจะเงยหน้าไปมองเด็กไวไฟที่แก่แดดจนน่ากลัว “เรายังเด็กอยู่ เอาเวลาไปตั้งใจเรียนดีกว่าไหม”

                “พี่อย่าพูดเรื่องเรียนสิ อิงปวดหัว”

                “มีปัญญาเรียนก็เรียนไปเถอะน้อง ดูอย่างพี่เป็นตัวอย่างสิ เรียนจบแค่ม.6 ต้องทนทำงานเงินเดือนน้อยๆ ทุกวันนี้เงินจะกินยังไม่มีเลย”

                “น่าสงสาร” เธอทำตาปริบๆ “แต่งกับอิงสิ เดี๋ยวอิงเลี้ยงพี่เอง”

                “พี่ไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์” มานะทำตาโต เด็กสมัยนี้มันน่ากลัวจริงๆ “เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานเองนะน้อง จะแก่แดดแก่ลมไปไหน”

                “พี่ว่าอิงเหรอ” มานะยังไม่ทันตอบว่าใช่เธอก็พูดขึ้นอีก “เรื่องค่าเช่าบ้านให้อิงคุยกับแม่ให้ไหม แม่เชื่อฟังอิงจะตาย”

                “ก็ดีนะ บอกให้ป้าภาเลื่อนกำหนดจ่ายออกไปให้มากที่สุดแล้วกัน” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธความหวังดี

                “ได้ค่ะ เมื่อกี้พี่บอกว่ามีงานต้องทำ งานอะไรคะอิงช่วยได้ไหม” มานะยิ้มตาพราว โชคเข้าข้างคนดีแบบเขาเสมอแหละ

                “ได้สิครับ” เขาดันแฟ้มเอกสารไปให้เด็กสาวดู “ช่วยพี่พิมพ์หน่อยดิ”

                “โหย เยอะจัง” เธอเปิดดูเอกสารในแฟ้มเล่มหนา

                “ช่วยกันทำเดี๋ยวก็เสร็จ” มานะยื่นมือไปลูบหัวเด็กสาวอย่างเอ็นดู “ช่วยหน่อยนะ”

                “ก็ได้ ช่วยก็ได้ค่ะ” เธอตอบตกลง หากไม่วายมีข้อต่อลอง “แต่อิงขออะไรพี่อย่างหนึ่งนะ”

                “อะไรล่ะ ขอได้ทุกอย่างเลย ยกเว้นเงิน” มานะบอกให้รู้ไว้ก่อน

                “ตักเค้กป้อนอิงหน่อย” มานะตักเค้กก้อนโตจ่อปากให้เด็กสาวอย่างเต็มใจ

                ทั้งสองพากันเดินออกจากร้านเบเกอร์รี่ไปยังร้านเกมที่อยู่ข้างๆ โดยมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองตามอยู่...

 

                เพชรงามมองกล่องเค้กมะพร้าวที่วางอยู่บนตักขณะที่ยานพาหนะคันหรูกำลังขับเคลื่อนไปบนท้องถนน มันก็คงไม่มีอะไรมากถ้าเธอไม่บังเอิญเข้าไปได้ยินบทสนทนาของลูกน้องที่บริษัทกับเด็กสาวมอปลาย

                “พี่มีแฟนยัง?”

                “ยัง”

                “พี่ชอบคนแบบไหน เด็กกว่า แก่กว่า หรือเท่ากัน”

                “ยังไงก็ได้”

                “แบบอิงนี่โอเคป่ะ”

                “ก็น่ารักดี”

                ได้ยินเพียงเท่านั้นก่อนจะที่จะเดินไปสั่งเค้กที่เคาน์เตอร์ พอเดินกลับออกมาก็ผ่านโต๊ะนั้นอีกครั้ง เธอไม่สนใจฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่มากนัก เห็นแต่เพียงว่าชายหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวเด็กสาวอย่างแสนรักแสนหวานเชียว อีกทั้งยังป้อนเค้กให้กันอย่างกระหนุงกระหนิง

                ทำไมต้องคบผู้หญิงที่เด็กขนาดนั้น?

                เพชรงามพ่นลมหายใจออกทางปาก แล้วทำไมเธอต้องอยากรู้ด้วย ไม่ใช่เรื่องของเธอเสียหน่อย

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา