ลมหวาน ป่าหนาว

9.2

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.

  42 ตอน
  8 วิจารณ์
  64.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) ไม่ใส่ร้าย....แต่ป้ายสี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ทุ่ง  ทุ่ง   ตื่นได้แล้ว  วันนี้ต้องไปออกค่ายไม่ใช่เหรอ?”

“อืม....ขอนอนต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือไงวะ”

“เอ้า  ไหนบอกให้ปลุกแต่เช้าไง  ตื่น  ตื่นได้แล้วเดี๋ยวไม่ทันเวลานัด”

“อืม  กูรู้แล้วแต่ขอนอนต่ออีกสักสิบนาทีนะมึง”

“ได้...ถ้ามึงไม่ตื่น เดี๋ยวกูปลุกด้วยปากนะเว้ย”

“เอ้ยยยย ตื่นแล้วโว้ยยยย มึงนี้แมร่งม่อตลอดวะป่าสัก  กูขอนอนต่ออีกเดี๋ยวก็ไม่ได้”

“อย่าบ่น ไปอาบน้ำได้แล้ว   เดี๋ยวไม่ทันไอ้เชี่ยโอมหรอก”

“เอ่อๆรู้แล้วววววว”

หลังจากนั้นผมก็ต้องจำใจลากสังขารไปอาบน้ำเตรียมตัวออกค่าย ซึ่งจุดนัดรวมพลก็เป็นที่ภาควิชาศิลปะนั้นเอง ซึ่งปีนี้พวกเราชาวศิลป์ไปออกค่ายที่โรงเรียนแถวๆเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งกำหนดการคือสองวันกับหนึ่งคืน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ต้องรีบอย่างมากเพราะสายมากแล้วกลัวไม่ทันรถที่ทางพี่ๆสตาฟจัดไว้รอ

“ปะ...เสร็จแล้วมึง”

ผมชวนป่าสักทันที ที่แต่งตัวเสร็จ หลังจากนั้นผมก็มองหากระเป๋าเป้ที่ใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ไปออกค่ายแต่ปรากฏว่าไม่เห็นกระเป๋าเป้เสียแล้ว

“อ้าวป่าสัก  เห็นกระเป๋าเป้กูเปล่า??”

“กูเอาไปไว้ในรถแล้ว  ไปเถอะ  ช้ามากนะมึง”

พูดเสร็จป่าสักก็เปิดประตูห้องแล้วเดินนำออกไปทันที  ผมต้องรีบปิดห้องแล้ววิ่งตามหลังไปให้ทันคนตัวโต

“เอ้า  เอาไปตอนไหนวะ??”

“ก็ตอนมึงอาบน้ำไง  ส่วนเต้นท์ไม่ต้องนะไอ้โอมมันจะเอาไปเอง”

“อืม  ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไร  ขออย่างเดียวมึงอย่าไปอ่อยใครก็พอ  อยู่ใกล้ๆไอ้โอมไว้ก็แล้วกัน”

“ทำไมกูต้องอยู่ใกล้ไอ้โอมวะ ???”

“ก็กูสั่งให้ไอ้โอมจับตาดูมึงไง”

“ไอ้ห่า  กูไม่ใช่นักโทษนะเว้ยยยยยย”

“5555ไม่รู้แหละ  กูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น กันไว้ดีกว่าแก้”

“โอ้ยยยยพูดอย่างกะกูเป็นนางงามมีมง  มึงช่วยแหกตาดูสาระรูปกูก่อนเถอะ  ใครเขาจะมามอง”

“อย่างน้อยๆก็ไอ้หน้าวอกนั้นแหละ  มันค่อยจะจ้องมึงอยู่”

“ไร้สาระวะป่าสัก  นั้นน่ะพี่รหัสกูนะมึง   เขาก็ดูแลกันตามปะสาพี่น้อง”

“เอ่อ ดูแลตามปะสาพี่น้อง  อย่างมึงจะไปทันอะไรใครวะทุ่ง  เอออีกอย่างมือถือเอาติดตัวไว้ตลอดเลยนะ”

“อืม รู้แล้วววไปกันเถอะสายมากแล้ว  เดี๋ยวกูถูกทำโทษ”

พูดเสร็จผมก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทันที  เพราะไม่อยากให้ป่าสักบ่นอีกรอบ

“ทีอย่างนี้ทำเป็นรีบเลยนะมึง”

จากนั้นป่าสักก็ขับรถมาส่งผมถึงภาควิชาศิลปะ ทันเวลานัดหมายพอดี เสียงพี่ๆสตาฟกำลังเช็คน้องๆปีหนึ่งให้ขึ้นรถสองแถวที่สตาร์ทเครื่องรออยู่แล้ว

“อ้าวไอ้คุณหมอหมา  วันนี้มาส่งคุณเมียถึงที่เลยเหรอว่ะ??”

เสียงไอ้เชี่ยโอมทักขึ้นมาหลังจากที่ผมกับป่าสักลงจากรถได้ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ

“เอ่อว่ะ  ไอ้โอมกูฝากมึงดูแลทุ่งแทนกูด้วยนะเว้ย”

อ้าวไอ้ป่าสักมันก็ไม่แก้ต่างอะไรสักคำ หนำซ้ำก็เออออห่อหมกไปกับไอ้โอมเสียด้วย

“โอ้ยยพวกมึงนี้พูดอย่างกะกูเป็นเด็กห้าหกขวบเลยนะเว้ย”

“มึงโตแต่ตัว ส่วนสมองเท่ากับเด็กเล็กๆเลยวะไอ้ทุ่ง”

โอมรีบตอบผมกลับมาทันทีหลังจากที่ผมแสดงน้ำเสียงไม่พอใจออกไป

“ไอ้โอมไอ้ปากหมา  มึงหยุดเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่หยุดกูจะบอกให้ไอ้ปูนิ่มมาหามึงเดี๋ยวนี้เลย”

“เอ่อๆๆขอร้องละว่ะมึง  กูขอสักวัน  ถ้าคุณช้างน้ำมากูกลัวว่าจะไม่ได้ไปออกค่ายนะสิ”

พูดยังไม่ทันได้ขาดคำ  ก็ได้ยินเสียงสาวนามว่าปูดังมาแต่ไกลพร้อมกับกระเป๋าลากสีแดงเพลิงซึ่งขนาดเท่ากับตัวของเธอเลยทีเดียว

“โอมขา  โอม   ปูนิ่มมาแล้วคร้า  ตัวเองรอเค้านานมั้ยอ่ะ??”

“โอ้ยยยพวกมึงกูไปรอที่รถนะ  ไม่ไหววะ  เล่นมาแดงทั้งชุดทั้งกระเป๋าแบบนี้”

จากนั้นไอ้โอมก็รีบสะพายกระเป๋าเป้วิ่งไปที่รถสองแถวสีน้ำเงินทันที

“โอม  โอมขา  รอปูนิ่มด้วยสิค่ะ  อะไรกัน  ทำไมทำกับปูนิ่มอย่างนี้ อ้ายยยยยยยกรี๊ดดดดดดดดโอมขามาช่วยปูนิ่มถือกระเป๋าด้วยสิค่ะ”

“กูไปก่อนนะป่าสัก”

“เอากระเป๋ามานี้เดี๋ยวกูเดินไปส่งที่รถ”

“เอ้ยยยยไม่ต้อง ส่งแค่นี้แหละ เดินแค่นี้เองไม่หนักอะไรเลย”

“อ้าวทำไมวะ  มึงกลัวใครเห็นว่ากูมาส่งเหรอ??”

“เปล่า.....แค่กูเกรงใจมึงอะ”

“จะมาเกรงใจอะไรตอนนี้วะ  มาๆเอากระเป๋ามาเดี๋ยวกูถือเอง”

จากนั้นป่าสักก็คว้ากระเป๋าเป้ของผมไปถือแล้วก็เดินนำไปที่รถสองแถวสีน้ำเงินที่จอดไว้ข้างๆบริเวณลานเอกนประสงค์ทันที

“อ้าวป่าสัก  มาส่งทุ่งหรือจ๊ะ”

เสียงไอซ์ทักขึ้นมาทันที ที่ผมกับป่าสักเดินมาถึงรถ

“อืม  ไอซ์มาถึงนานแล้วเหรอ?”

“ก็สักพักแล้ว  อิจฉาทุ่งจัง มีคนมาส่งด้วย”

“โอ้ยยยไอซ์ แกอย่าปากมากรีบๆขึ้นรถได้แล้ว ทุกคนเขารออยู่ไปๆ”

ผมรีบผลักหลังไอซ์ให้ก้าวขึ้นรถทันที กลัวว่านางจะแซวผมมากไปกว่านี้

“ป่าสักขอบคุณนะ”

“เดินทางปลอดภัยนะทุ่ง บายๆเดี๋ยวโทรหา”

“อืม  บาย”

จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆเพราะเป็นรถสองแถวที่ต้องบรรทุกนักศึกษาเกือบๆสามสิบชีวิตในการไปออกค่ายครั้งนี้ ทางพี่ๆสตาฟได้เหมารถสองแถวทั้งหมดสามคันรถ ซึ่งต้องใช้ในการบรรทุกสำภาระทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการอยู่ค่ายนั้นเอง  บรรยากาศในรถก็สนุกสนานครื้นเครงเป็นอย่างมากมีทั้งกลองที่ค่อยให้จังหวะและเสียงเพลงจากเพื่อนๆพี่ๆสลับกันไปตลอดทางงานนี้ไอ้โอมก็ถูกสาวปูรวนรามไปตลอดเส้นทางเลยทีเดียวทำให้บรรยากาศในรถสองแถวคันที่เรานั่งไปนั้นสนุกสนานมากจริงๆ  ในระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันผมสังเกตเห็นสายตาของไอซ์แอบมองมายังไอ้โอมแบบแปลกๆมองแบบคนที่หลงปลื้มหลงรักแต่สายตานั้นต้องหยุดลงเพราะแพ้ความร้อนแรงของสาวร่างบิ๊กไซส์อย่างปู  เราใช้เวลาในการเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางก็ประมาณชั่วโมงเศษๆได้

“เอาละทุกคนพี่จะให้เวลาเอาสิ่งของต่างๆไปเก็บที่อาคารฝั่งโน้น สิบนาที เสร็จแล้วให้น้องๆปีหนึ่งมารวมตัวกันที่ใต้ร่มไม้หน้าลานพระพุทธรูปตรงนี้นะครับเพื่อพวกเราจะได้แบ่งหน้าที่กัน”

เสียงพี่ชนแดนบอกทุกๆคนตามกำหนดการในการมาออกค่ายครั้งนี้

พวกเรานักศึกษาปีหนึ่งต่างรีบไปเปลี่ยนชุดและเก็บสัมภาระของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันที่จุดนัดหมายอีกครั้งในเวลาที่จำกัด

“ทุกคนครับ อย่างที่เรารู้กันว่าวันนี้เราจะมาพัฒนาโรงเรียนกัน ทางพี่ๆเลยแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกจะไปทาสีรั้วโรงเรียน กลุ่มที่สองซ่อมแซมหลังคาอาคารเรียน และกลุ่มสุดท้ายจัดหนังสือพร้อมตกแต่งห้องสมุดครับ  เอ้าใครจะอยู่กลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สามก็เข้าแถวตามกลุ่มเลย ส่วนกลุ่มที่สองพี่จะรับเฉพาะพี่ๆปีสองและพี่ปีสามเท่านั้นนะครับ”

เสียงพี่ชนแดนแจ้งรายละเอียดให้กับพวกเราทุกๆคนให้ทราบ

“ไอ้ทุ่งมึงมาอยู่ทาสีรั้วกับกูเลย”

“อ้าวกูกะว่าจะเข้าร่มไปอยู่ในห้องสมุดสักหน่อยไม่ได้เหรอวะเชี่ยโอม??”

“ไม่ได้ ถ้ามึงไปอยู่ห้องสมุดกูก็ต้องตามมึงไปสิ  ไม่เอาวะกูกลัวเจอไอ้ปู”

“55555พูดอย่างกับว่ามึงไปทาสีรั้วไอ้ปูนิ่มจะไม่ตามมึงไปงั้นแหละ?”

“โอ้ยยยนางสำอางขนาดนั้นคงไม่กล้าสู้แดดหรอกมึง”

พูดยังไม่ทันได้ขาดคำสาวร่างบิ๊กไซส์ก็รีบวิ่งเข้ามาเกาะแขนของโอมทันที

“โอมขา  โอมจะไปอยู่กลุ่มไหนหรือค่ะ  ให้ปูนิ่มไปด้วยนะค่ะ??”

“เอ่อ คือว่าเราจะไปทาสีรั้วนะปูนิ่ม  เราว่างานแบบนี้คงไม่เหมาะกับปูนิ่มสุดสวยหรอกจ๊ะ”

“โอมบ้า  มาชมเค้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เค้าก็เขินแย่สิ”

“เอ่อเราไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ๆทำโทษถ้าไปเข้ากลุ่มช้า”

“เอาไว้เจอกันตอนค่ำนะค่ะโอมขา”

จากนั้นผมกับไอ้โอมก็ต้องรีบวิ่งไปเข้ากลุ่มทาสีรั้วโรงเรียนทันที ซึ่งกลุ่มทาสีรั้วโรงเรียนมีพี่ชนแดน เป็นหัวหน้ากลุ่มในการทำกิจกรรม

“เอาละครับน้องๆทุกคนกลุ่มเราจะไปทาสีรั้วโรงเรียน  ซึ่งพี่ได้ประสานกับท่านผอ.โรงเรียนไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องทาสีน้ำตาลอ่อน ตอนนี้ให้พวกเราไปขนสีและอุปกรณ์ทุกอย่างที่รถได้เลยนะครับ แล้วไปเจอกันที่รั้วของโรงเรียนทางด้านประตูทางเข้านะครับ”

จากนั้นนั้นพวกเรากลุ่มที่หนึ่งก็ไปขนเอาถังสีและอุปกรณ์ต่างๆตามที่พี่ชนแดนแจ้งไว้มายังรั้วโรงเรียน

“ทุ่งมึงเอาแปรงทาสีไปแล้วกัน  ส่วนกูจะถือถังสีเอง”

“เอ้ยยยไม่เป็นไรมึง  กูว่าช่วยๆกันขนเถอะโอม มันจะได้เสร็จไวๆ”

“อืมตามใจมึงแล้วกัน”

จากนั้นผมกับไอ้โอมก็ช่วยกันถือถังสีมายังรั้วโรงเรียน แต่เดินมาได้แค่ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงักเสียก่อน

“มาน้องทุ่ง  เดี๋ยวพี่ช่วยถือเองครับ”

เสียงพี่ชนแดนสุดโอปป้านั้นเอง

“อ่อไม่เป็นไรครับพี่ ทุ่งถือได้ สบายมาก ช่วยๆกันจะได้เสร็จไวๆ”

“เอามาเถอะน่า  น้องทุ่งถือแปรงทาสีดีกว่านะ”

จากนั้นพี่รหัสสุดหล่อก็มาแย่งถังสีไปจากผมทันที  ทำให้ผมต้องจำใจถือแปรงจากพี่ชนแดนแทนถังสี

“แหม่ๆมึง  ทีกูบอกไม่ให้ถือถังสี  เสือกจะถือให้ได้  พอพี่รหัสสั่งรีบทำตามเลยนะมึง”

“ไอ้เชี่ยโอม  พี่เขาแย่งถังจากมือกูไปเว้ยยย กูไม่ได้เต็มใจสักหน่อย  ไอ้ปากหมา”

“เอ่อๆๆ มึงอย่าอยู่ห่างกูก็พอ  เดี๋ยวกูโดนไอ้ป่าสักฆ่าตายพอดี ที่ไม่ดูแลมึงปล่อยให้มดแมงแถวนี้มาไต่มาตอม”

“ไอ้เชี่ยโอมมึงก็คิดได้เนาะ  ไอ้ห่า  คิดอกุศลจริงๆเลย นั้นพี่รหัสกู”

จากนั้นกิจกรรมจิตอาสาออกค่าย ไม่ใส่ร้าย  แต่ป้ายสี  ของพวกเราชาวศิลปะก็ดำเนินไปจนถึงเวลาห้าโมงเย็นทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยดี แต่กว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็เล่นเอาพวกเราเหนื่อยไปตามๆกันเลยทีเดียว

"วันนี้ทางโรงเรียนของเราก็ต้องขอขอบใจน้องๆนักศึกษาทุกคนนะครับที่ได้มาออกค่ายพัฒนาโรงเรียนของเราให้มีสีสันสวยงามและซ่อมแซมอาคารเรียนพร้อมตกแต่งให้จนน่าอยู่น่าเรียน ทางโรงเรียนก็ไม่มีอะไรตอบแทนมากนอกจากเย็นนี้ได้จัดอาหารไว้เลี้ยงตอนรับและขอบคุณที่ทางน้องๆได้มาออกค่าย ไม่ใส่ร้าย  แต่ป้ายสี  ให้โรงเรียนของเรา  เอาไว้เจอกันตอนอาหารเย็นนะครับทุกๆคน”

สิ้นเสียงท่านผอ.โรงเรียนแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งบางคนก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้หายเหนื่อย

“ทุ่ง  มึงได้ยินเครื่องเสียงเปล่าวะ”

“เครื่องเสียงเชี่ยไรของมึงวะโอม??”

“อ้าวก็เครื่องขยายเสียงนั้นไง  มึงลองฟังดูสิ  นั้นไงแว่วๆมาทางหมู่บ้านวะ  เราไปดูกันไหม  กูว่าน่าจะเป็นตลาดนัดวะ”

“เอ่อจริงด้วยวะ  น่าจะเป็นตลาดนัดแบบคลองถมแน่ๆ”

“ไปมั้ยมึง  กูว่าทาทางจะสนุกนะ”

“ไปจริงเหรอวะ  งั้นกูชวนไอซ์ก่อนนะ”

“อืม  ได้สิ”

จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอซ์ทันที

“ไอซ์  แกทำไรอยู่วะ  สนใจไปตลาดนัดกะพวกฉันเปล่า....เอ่อ  เอ่อ ได้ๆงั้นจะรอแถวประตูโรงเรียนนะ”

“ไอซ์ว่าไงบ้างละ สนใจไปกะเราไหม?”

“อืม  ไอซ์บอกให้รอแปป  เดี๋ยวตามมา”

ในระหว่างที่ยืนรอไอซ์อยู่นั้นไอ้โอมก็หลบไปโทรศัพท์ทันที

“อ้าวไอซ์ ทางนี้”

“รอนานเปล่าวะแก  พอดีไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ เหงื่อออกเต็มเลยกลัวว่าแกจะเหม็นนะ”

“กลัวว่าฉันจะเหม็น  หรือว่าใครจะเหม็นกันแน่วะ”

“บ้าแล้วแก  พูดอะไรย่ะ  ฉันเป็นผู้หญิงก็ต้องมีบ้างสิ  แบบอารมณ์รักสวยรักงาม”

“จร้า  เอาที่เธอสบายใจเถอะ”

“ไปกันหรือยังละทุ่ง”

“เดี๋ยวรอเชี่ยโอมก่อน  อ้าวไอ้โอม ทำไรอยู่นานเกินไปแล้วนะเว้ย  สับรางรถไฟอยู่หรือไงวะไอซ์มาแล้ว”

“เอ่อๆไปเดี๋ยวนี้แหละ”

จานนั้นเราทั้งสามคนก็เดินออกจากโรงเรียนแล้วมุ่งหน้าไปที่ตลาดนัดในหมู่บ้านทันที  พอมาถึงตลาดนัดเคลื่อนทีพวกเราก็เข้าไปดูสินค้าทั้งเป็นสินค้าพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นของสดของแห้งหรือพืชผักต่างๆที่คนในชุมชนนำมาขายและสินค้าที่พ่อค้าในเมืองนำมาให้คนในหมู่บ้านได้จับจ่ายซื้อไว้ใช้สอยในครัวเรือนมีตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยทีเดียว แต่แล้วจู่ๆโอมก็หยุดตรงร้านเหล้าดองยาของลุงแก่ๆคนหนึ่ง

“สนใจสักกั๊กไหมละพ่อหนุ่ม”

เสียงลุงคนขายร้องทักโอมทันที ที่เห็นท่าทางสนใจของโอม

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ พอดีผมมาออกค่าย”

“ชิมสักหน่อยไหม  รับรองดีต่อร่างกายนะ”

“ไม่ดีกว่าครับลุง  ขอบคุณนะครับ”

“ถ้าไม่สนใจเหล้าดองยา  ลุงมีอีกอย่างนำเสนอนะพ่อหนุ่ม  นี้เลยเหล้าโท  ของดีประจำบ้านลุงเลย”

พอลุงขายยาดองยกไหเหล้าโทมาให้โอมดู  โอมถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที  ผมนี้งงกับมันจริงๆเลยว่ากะไอ้แค่ไหเหล้าโท มันจะอายทำไมวะ

“เป็นไรวะมึง  แค่เห็นไหเหล้าแค่นี้หน้าแดง ทำเป็นอาย  ทำยังกะไม่เคยแดรกเลยนะไอ้ห่า”

ผมแซวไอ้โอมไปอย่างขำๆกับท่าทางของมันตอนนี้

“เปล่าๆแค่กูนึกถึงใครบางคนขึ้นมาน่ะ”

“สาวที่ไหนแดรกเหล้าโทวะไอ้เชี่ยโอม”

“เอ่อน่า มึงไม่ต้องเสือกรู้หรอก”

“ว่าไงพ่อหนุ่มสนใจสักไหสองไหไหมละ  เดี๋ยวลุงลดให้ถูกๆไปเลย”

“เอ่อ  ไม่ดีกว่าครับลุง”

“ตามใจนะพ่อหนุ่ม  เหล้าโทมีแค่นี้นะหมดแล้วหมดเลย”

“เอ้าไอ้โอม ถ้ามึงอยากแดรกก็ซื้อเลยสิ  จะมามัวทำเป็นอายอยู่ได้  มาๆกูซื้อให้แดรกก็ได้ ...  เอาไหเดียวก็พอครับลุง”

ผมหันไปพูดกับลุงคนขายทันที  จากนั้นก็รับไหเหล้าโทมาถือไว้พร้อมจ่ายเงินให้ลุงไป

“เพิ่งรู้ว่าโอมกับทุ่งชอบดื่มเหล้าหมักแบบนี้ด้วย”

เสียงไอซ์ถามขึ้นมาทันที ที่พวกเราเดินออกมาจากร้านเหล้ายาดอง

“พอดีตอนไปเที่ยวบ้านเรา  ลุงแหลมเอามาให้พวกไอ้โอมมันลองดื่มนะ  พอได้ลองแมร่งเสือกติดใจในรสชาติเหล้าโทวะ55555”

“มึงหุบปากเลยไอ้ทุ่ง  หยุดพูดได้แล้ววะ ไปเดินดูของอย่างอื่นต่อเถอะมึง”

“อะไรกันสองคนนี้ มีลับลมคมในอะไรกัน”

“อ่อไม่มีไรหรอกไอซ์  อย่าไปฟังไอ้เชี่ยทุ่งให้มันมากเกิน”

“เราว่าผู้หญิงเข้าใจยากแล้ว  มาเจอพวกนายสองคนยิ่งเข้าใจยากกว่าน่ะ”

“5555555 บางทีเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันเลย”

เสียงไอ้เชี่ยโอมตอบไอซ์กลับไปด้วยอารมณ์ดูเหมือนจะมีแผนร้ายอะไรสักอย่าง จากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาไม่นานในการเดินเที่ยวชมตลาดนัดในหมู่บ้านก็ได้ทั้งของกินไปฝากเพื่อนๆเต็มไม้เต็มมือไปหมด  พอกลับมาถึงโรงเรียนก็ต้องรีบไปกางเต้นท์ไว้สำหรับพักค้างคืน ส่วนนักศึกษาผู้หญิงโชคดีได้พักในอาคารเรียน ส่วนผู้ชายก็ไปกางเต้นท์นอนที่กลางสนามฟุตบอลของโรงเรียน ผมกับไอ้โอมนอนด้วยกันตามคำสั่งของไอ้คุณหนูหน้าหล่อนั้นเอง

“เอ่อโอม  ทำไมมึงเอาเต้นท์หลังใหญ่มาวะ  นอนกันแค่สองคนเอง”

“เปล่าไม่ใช่เต้นท์กู  ลุงสมานคนขับรถผัวมึงเอามาให้วะ สงสัยกลัวว่ามึงจะหายใจไม่ออกมั้ง??”

“อ้าวไหนป่าสักบอกว่ามึงเป็นคนเอาเต้นท์มาไงวะ”

“55555มึงโดนไอ้ป่าสักหลอกแล้วเพื่อนเอ่ยยย  รีบๆกางเถอะมึงจะได้ไปอาบน้ำ นี้ก็จะได้เวลาทานอาหารเย็นแล้ว”

“อ้าวนี้สรุปกูโดนป่าสักอำเหรอว่ะ???”

หลังจากพวกเราชาวค่ายได้อาบน้ำชำระร่างกายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็มานั่งรวมตัวกันที่โรงอาหารเล็กๆของโรงเรียนซึ่งค่ำนี้ทางโรงเรียนและผู้นำชุมชนได้จัดข้าวปลาอาหารไว้ต้อนรับเป็นอย่างดีแถมมีรำวงชาวบ้านให้พวกเราได้สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ในช่วงเวลานี้เองพี่ๆสตาฟได้อนุญาตให้น้องปีหนึ่งดื่มแฮลกอฮอล์ได้ซึ่งผมก็เอาเหล้าโทมาให้ไอ้โอมแรกๆมันก็จะไม่ดื่มแต่พอนานไปบรรยากาศของความสนุกทำให้มันอดใจไม่ไหวจัดการดื่มคนเดียวจนหมดไห

“ไอ้ทุ่งเสียดายวะมึง  ที่ซื้อมาแค่ไหเดียว”

“ตอนนี้ทำมาเป็นเสียดายไอ้ห่า  ตอนกูบอกให้ซื้อเสือกหน้าบาง”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเว้ย  ที่กูไม่อยากดื่มไอ้เจ้าเหล้าโทนี้เพราะกูกลัวว่ากูจะอดคิดถึงไอ้ตรีไม่ได้”

“อะไรน่ะ  เมื่อกี้มึงว่าไร  กูฟังไม่ถนัด  ไหน ไหนมึงพูดอีกทีสิวะ?”

“เปล่า กูแค่บอกว่า กูกลัวจะคุมสติไม่อยู่เว้ยยย มึงหูไม่ดีต่างหาก”

ขณะที่นั่งสนทนากับไอ้เชี่ยโอมอยู่นั้น จู่ๆก็มีแก้วเบียร์เย็นๆยื่นมาตรงหน้าผมทันที

“เอ้าดื่มสักหน่อยไหมทุ่ง  อากาศเย็นๆจะได้อุ่นขึ้น”

“อ้าวพี่แดน  ขอบคุณครับ แต่ทุ่งขอบายนะครับ กลัวจะลุกไม่ไหวครับ”

“นิดเดียวเองทุ่ง  จะได้สนุกๆไง”

พี่ชนแดนยังไม่ยอมแพ้ จะให้ผมดื่มให้ได้

“เอามานี้เลยครับพี่แดน  เหล้าโทผมหมดพอดีเลย”

จากนั้นไอ้โอมก็คว้าเอาแก้วเบียร์จากมือพี่ชนแดนไปดื่มทีเดียวหมดเลยผมได้แต่ขำไอ้โอม  มันรั่วจริงๆเวลาเมา

“ไอ้โอมไอ้น้องเลว  เบียร์มีเยอะแยะ ยังเสือกมาแย่งแก้วจากมือกูอีก”

“เอาน่าพี่จะเป็นผมดื่มหรือไอ้ทุ่งดื่ม  มันก็เหมือนกันนั้นแหละ ผมก็น้องพี่อิอิอิ”

“เออกูรู้  แต่มึงช่วยไปไกลๆกูสักวันจะได้ไหมวะ”

“ไม่ได้หรอกพี่  ผมต้องอยู่กับไอ้ทุ่ง  เดี๋ยวมันไม่มีเพื่อน”

“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนน้องทุ่งเอง  มึงไปรำวงกับเพื่อนๆสิ ท่าทางน่าจะสนุก”

“ไม่อะพี่ผมถนัดร้องกับเล่นดนตรีมากกว่า เรื่องเต้นไม่ถนัดเลย”

“เอ่อทุ่ง  ชอบรำวงไหมครับ”

พี่ชนแดนหันมาชวนผมคุยต่อทันที  หลังจากที่คุยกับไอ้โอมไม่รู้เรื่องแล้ว

“ก็ไม่เท่าไรนะครับ  แต่ขอเป็นคนนั่งดูจะดีกว่าครับ”

“เสียดายจัง พี่ว่าจะชวนทุ่งออกไปรำวงสักเพลงสองเพลงอยู่พอดี”

“โอมขา  โอมขา  ตัวเองเค้าอยากจะไปรำวง  ตัวเองพาเค้าไปหน่อยสินะโอม”

จู่ๆก็มีเสียงอันแหลมเล็กผ่านอากาศมาพร้อมกับร่างอันบิ๊กไซส์ของปู จิรภัทร มาถึงก็คว้าแขนของโอมไปเกาะไว้ทันที

“นี้ไงพี่แดน  เมื่อกี้ผมได้ยินว่าพี่อยากจะไปรำวงอยู่พอดี  มาแล้วคู่รำของพี่ ปูนิ่มสุดสวย”

“อะไรอะ  อุ้ยพี่ชนแดน ถ้าจะชวนปูนิ่มไปรำวงต้องรอคิวนะค่ะ  เพราะคิวแรกของปูนิ่มยกให้โอมแล้วค่ะ”

“ปูนิ่ม เราว่าปูนิ่มไปรำกับพี่ชนแดนนั้นแหละเหมาะสมแล้ว  พอดีเราไม่ถนัด  ถ้าไม่ไปตอนนี้เดี๋ยวพี่ชนแดนเปลี่ยนใจน่ะ”

“อ้าวจริงเหรอค่ะ  งั้นก็ได้ค่ะ  ไปค่ะพี่ชนแดนสุดหล่อ  คืนนี้ปูนิ่มขอควงหน่อยนะค่ะ”

“เอ่อ เอ่อ น้องปูนิ่มครับ  พอดีพี่เปลี่ยนใจแล้วครับ  คือว่าพี่ปวดท้องกระทัน ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”

“ไม่ได้นะค่ะ  ถ้าพี่ชนแดนไม่ออกไปรำวงกับปูนิ่ม  ปูนิ่มจะถือว่าพี่รังเกียจน้องปูนิ่ม”

“เล่นอย่างนี้เลยหรือน้องปูนิ่ม”

เวลาดำเนินต่อไปจนถึงสี่ทุ่มก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปพักผ่อนซึ่งทางพี่ๆสตาฟได้กำชับไม่ให้มีการดื่มสุราและเล่นการพนันแล้วเพราะต้องพักผ่อนเก็บแรงไว้ทำกิจกรรมรับน้องในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง จากนั้นทุกๆคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามที่พัก ผมกับไอ้โอมก็เดินมาที่เต้นท์หลังจากแยกตัวออกมาจากเพื่อน

“เอ้ยยยโอม  มึงเห็นเงาอะไรอยู่ในเต้นท์เปล่าวะ”

“ไหน  ไม่เห็นมีเลย”

“เมื่อกี้กูเห็นเงาดำๆสองเงา  เหมือนคนนั่งคุยกันอยู่ในเต้นท์เลยนะเว้ย”

“โอ้ยยมึงตาฟาดแล้วไอ้เชี่ยทุ่ง  ไปๆเข้าไปนอนได้แล้วมึง”

จากนั้นผมก็เปิดเต้นท์เข้าไปแต่ปรากฏว่ามีร่างสองร่างนอนห่มผ้าอยู่ในเต้นท์ก่อนเสียแล้ว

“เอ้ยยยไอ้โอม  มึงมาดูนี้สิ”

พอสิ้นเสียงของผมไอ้โอมก็มุดเต้นท์เข้ามาทันที

“เอ่อวะ  แล้วนี้ใครเมาแล้วมานอนเต้นท์เราวะเชี่ยทุ่ง??”

“เอาไงดีวะมึง  เปิดผ้าคลุมเลยไหม??”

“อืม  เอาแบบนั้นก็ได้จะได้รู้ว่าเป็นใครหลงเต้นท์มา”

ผมกับไอ้โอมดึงผ้าห่มออกจากตัวคนที่นอนคลุมโปงทันที  แต่ผลปรากฏว่าผมต้องตกตะลึงเพราะไอ้สองคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกลับกายเป็นป่าสักและตรีภพ

“เอ้ยยยมาได้ไงวะเนี้ยยยย???”

ผมอุทานออกมาอย่างตกใจไม่คิดว่าจู่ๆป่าสักกับตรีภพจะเล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้

“เซอร์ไพรส์มั้ยมึง”

“เซอร์ไพรส์บ้านป้ามึงสิ  เขามีกฎห้ามคนนอกเข้ามา”

“รู้แล้ว  แต่กูอยากมานี้”

“มึงนี้ติดนิสัยเอาแต่ใจตัวเองตลอดเลยนะป่าสัก  แล้วคิดไงไปลากเอาไอ้เชี่ยตรีมาด้วย”

“ก็ไม่มีเพื่อน  เลยไปชวนไอ้ตรีมาด้วยกัน”

“เอ่อไอ้ตรีมึงนี้ก็ใจง่ายเนาะ  ใครชวนไปไหนก็ไป”

ผมหันไปถามตรีภพทันทีหลังจากที่ได้คุยกับไอ้คุณหนูจอมดื้อด้านอย่างป่าสัก  แต่ตรีภพยังไม่ทันได้ตอบคำถามผมไอ้เชี่ยโอมก็ส่งซิกว่ามีรุ่นพี่เดินมาตรวจความเรียบร้อย

“เอ้ยยมีคนมา ชู่ว์”

ทันใดนั้นป่าสักก็ดึงตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วรีบนอนลงกับพื้นทันทีหน้าของผมก็ไปซบกับคอยาวๆของไอ้คุณหนูสุดหล่อเข้าอย่างจัง กลิ่นกายหอมแบบนี้ เป็นกลิ่นเฉพาะตัวจริง มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที จากนั้นป่าสักก็ใช้ฝ่ามือมาลูกศีรษะผมเบาๆ ส่วนไอ้โอมกับไอ้ตรีนั้นก็รีบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวพวกมันทั้งสองแบบชนิดที่ผมมองไม่ทันเลย

“น้องๆคนไหนยังไม่นอน  อย่าให้พี่จับได้นะครับ  ถ้าจับได้ว่ามีการเล่นการพนันหรือดื่มของมึนเมา เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะซ้อมให้หนักเลย  ตอนนี้ก็ดึงมากแล้วให้รีบนอนได้แล้วครับ”

เสียงของพี่อัฐ พี่ว้ากประจำเอกศิลป์นั้นเองเป็นคนเดินตรวจตราความเรียบร้อยของค่ายในคืนนี้

“แล้วจะทำไงต่อทีนี้??”

ผมถามป่าสักออกไปด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้

“ก็คงต้องค้างด้วยกันที่นี้แหละ”

“เอ้ยได้เหรอ  เดี๋ยวพี่สตาฟจับได้กูซวยแน่ๆ”

“ไม่มีใครจับได้หรอกน่า  ถ้าเราไม่ทำอะไรกันเสียงดัง”

“ไอ้บ้า  ม่อตลอดเลยนะมึง”

“อ้าวก็จริง  แค่นอนกอดกันเฉยๆไม่มีใครรู้หรอก”

“ไม่มีคนรู้ได้ไงไอ้โอมกับไอ้ตรีก็นอนอยู่ด้วยกัน”

“ทุ่งมึงดูสิ สองคนนั้นมันเอาผ้าห่มคลุมโปงซะขนาดนั้น มันจะไปรู้เหรอว่าเราทำอะไรกัน”

“ไอ้บ้า  ใครจะทำอะไรกับมึงป่าสัก  ปล่อยกูได้แล้ว  กูนอนไม่ถนัด”

“ไม่อะ  นอนแบบนี้แหละกูชอบ”

“เดี๋ยวมึงก็เป็นเหน็บกันพอดี  จะให้กูนอนทับไปทั้งคืนหรือไง??”

“กูสบายอยู่แล้ว  มึงไม่ได้ตัวหนักอะไรเลย”

“มึงนี้แปลกคนเนาะป่าสัก  อยู่ในเมืองสบายๆดีๆไม่ชอบ ชอบความลำบาก”

“กูคิดถึงมึง  ถ้าไม่มีมึงกูนอนไม่หลับวะทุ่ง”

ผมลุกขึ้นนั่งมองคนที่นอนพูดกับผมเมื่อสักครู่ด้วยความรู้สึกที่ตื่นตันใจจนบอกไม่ถูก สายตาของป่าสักยังคงจ้องมาที่ใบหน้าผมจนมันทำให้ผมวางตัวไม่ถูกเลยจริงๆ

“จริงๆนะทุ่ง  กูชินกับการที่ต้องมีมึงมานอนด้วยทุกคืน”

ป่าสักค่อยๆดึงตัวผมกลับลงไปนอนด้วยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมตั้งใจและเต็มใจที่จะนอนหนุนหน้าอกแน่นๆของป่าสัก ได้นอนฟังเสียงหัวใจของป่าสักเต้นมันช่างมีความสุขจริงๆในค่ำคืนที่แสนหนาวแต่เราสองคนไม่หนาวเลยสักนิด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา