ลมหวาน ป่าหนาว

9.2

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.

  42 ตอน
  8 วิจารณ์
  64.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) ต้องเลือก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันนี้เป็นวันเสาร์ผมไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานต้องรีบทำส่งอาจารย์หลายชิ้น  หลังจากที่ว่างเว้นจากการซ้อมกีฬาแล้วผมก็คลุกอยู่แต่ในห้องเพื่อเร่งปั่นงานให้ทันส่งนั้นเอง  ส่วนป่าสักรายนั้นออกไปทำงานงานที่คณะตั้งแต่กลับมาจากซ้อมกีฬาแล้วเพราะช่วงนี้ใกล้สอบเทอมสองเต็มทีแล้วต่างฝ่ายต่างต้องเร่งทำงานส่ง  เร่งอ่านหนังสือสอบ

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

เสียงเคาะประตูห้องดังรัวๆด้วยความรีบร้อน  ผมต้องวางมือจากงานที่ทำแล้วรีบเดินไปประตูห้องทันที

“อ้าว!....  พี่หมอแสน?    หวัดดีครับ   มาได้ไงเนี้ย”

ผมทักทายพี่ชายต่างมารดาออกไปด้วยความตกใจปนความดีใจไปในตัว  เพราะไม่รู้ว่าทำไมพี่หมอแสนถึงได้มาหาผมถึงห้องพักได้เพราะปกติแล้วกฎของหอพักในมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามายังภายในบริเวณหอพักได้

“ปะ  ทุ่งไปกับพี่เดี๋ยวนี้เลย”

แสนชัย  พูดพร้อมกับรีบคว้าข้อมือของน้องชายต่างมารดาให้เดินตามตัวเองออกจากห้องทันที

“ดะ   เดี๋ยวพี่หมอ   นี้จะลากทุ่งไปไหนครับ?”

“ไปกับพี่ก่อนเถอะน่า”

“เอ้าพี่หมอ  จะลากทุ่งไปแบบนี้ได้ไงครับ  บอกทุ่งก่อนสิพี่จะพาทุ่งไปไหน”

ทุ่งธร รีบขืนตัวเองต้านแรงของพี่ชายไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองเคลื่อนไปตามแรงลากของพี่ชาย

“มากับพี่ก่อนเถอะทุ่ง  เราต้องรีบไป  ไม่มีเวลาแล้ว”

“ไปไหนพี่?  ทุ่งจะไม่ไปไหนทั้งนั้น  ถ้าพี่หมอไม่บอกเหตุผลกับทุ่งก่อน”

ทุ่งธรพูดพร้อมรีบแกะมือของอีกฝ่ายออกจากข้อมือตัวเองทันที  แต่มืออีกฝ่ายนั้นแข็งแรงอย่างมากจนยากที่ทุ่งธรจะแกะฝ่ามือพี่ชายต่างมารดาออกได้

“ไปสุรินทร์”

“อะ  ...  อะไรน่ะพี่    ! สุรินทร์   ไปทำไมที่สุรินทร์พี่?”

“ตอนนี้พ่อไม่สบายมาก  อยู่ที่ห้องผ่าตัด”

“หะ  อะไรน่ะพี่   พ่อไม่สบายเหรอ?”

“ก็ใช่นะสิ   พี่ถึงต้องรีบพาทุ่งไปเดี๋ยวนี้ไง”

“อ้าว  ! ! แล้วทำไมพี่ไม่บอกทุ่งละว่าพ่อไม่สบาย”

“ก็กำลังจะบอกอยู่นี้ไง”

“เอ่อๆงั้นก็รีบไปกันเถอะพี่”

ทุ่งธรและแสนชัยรีบเดินลงมายังลาดจอดรถของหอพักทันที  พร้อมที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์ซึ่งเป็นบ้านของบิดาของพวกเขานั้นเอง

“เอ่อพี่หมอ  แล้วพี่รู้ไม๊ว่าพ่อเป็นอะไรครับ”

ทุ่งธรถามแสนชัยทันทีที่ทั้งคู่ขับรถออกมาจากหอพักแล้ว  มุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทางด้วยความร้อนใจเป็นที่สุด

“เห็นแม่บอกว่าพ่อลื่นล้มในห้องน้ำ”

“อ่อครับ”

“แม่พี่เลยรีบพาไปส่งโรงพยาบาล     พอพี่รู้ข่าวก็รีบมาชวนทุ่งไปเยี่ยมพ่อด้วยกันนี้แหละ”

“ครับ  หวังว่าคุณพ่อ  คงไม่เป็นไรมากนะพี่”

“อืม   พี่ก็ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น     เอ่อทุ่ง   พี่ว่าเราโทรบอกน้าทิพย์สักหน่อยดีไหม?”

พี่ชายต่างมารดาออกความคิดเห็นเรื่องที่จะส่งข่าวให้แม่ของทุ่งธรทราบ

“เอ่อ  คือว่า    เอาไว้ก่อนดีกว่านะพี่  ให้เราไปถึงก่อนค่อยบอกแม่ก็น่าจะได้  เพราะตอนนี้ทุ่งไม่อยากให้แม่กังวลใจไปด้วยครับ”

“เอาแบบนั้นก็ได้  ตามใจทุ่งแล้วกัน   อ้าวแล้วนี้บอกป่าสักหรือยังเดี๋ยวมันมาด่าพี่อีกว่า  ที่เอาทุ่งมาไม่ยอมบอก ไม่ยอมขออนุญาตมัน”

“เอ่อจริงด้วยสิพี่  มัวแต่ตกใจลืมบอกป่าสักไปเลย  งั้นเดี๋ยวทุ่งโทรบอกป่าสักก่อนนะครับ”

“อืม”

จากนั้นทุ่งธรก็หยิบมือถือที่ป่าสักซื้อให้ขึ้นมาโทรหาอีกฝ่ายทันที กดไปไม่นานป่าสักก็รับสาย

“ว่าไงทุ่ง”

“ฮัลโล  ป่าสักมึงทำไรอยู่?”

“กูทำงานส่งอาจารย์อยู่คณะ  แล้วมึงล่ะงานเสร็จแล้วเหรอ?”

“ปะเปล่าหรอก  พอดีมีเรื่องจะบอก”

“อืม  มีไร   ?”

“คะคือว่า ....เออ”

“หิวข้าวเหรอ   เดี๋ยวงานใกล้เสร็จแล้ว   มึงรอแป๋บเดี๋ยวกูไปรับที่ห้อง”

“ป่าสัก  คือมันไม่ใช่อย่างนั้น  คือตอนนี้กูไม่ได้อยู่ห้อง”

“อ้าวมึงแอบไปแดกข้าวก่อนกูเหรอว่ะ?”

“ปะปล่าว  กู   เอ่อ   กำลังไปสุรินทร์”

“อะไรน่ะ?   มึงว่าไรนะทุ่งเมื่อกี้?”

“คือกูกำลังเดินทางไปสุรินทร์  กับพี่หมอแสน”

“ไปสุรินทร์   มีใครเป็นอะไรว่ะ?”

“คือพ่อไม่สบาย  ตอนนี้อยู่ห้องผ่าตัด  กูเลยต้องรีบไป”

“อ้าวเหรอ  เอ่อ  เดี๋ยวกูตามไป”

“ไม่เป็นไร  คือกูโทรมาบอกมึง  กลัวมึงเป็นห่วงน่ะ”

“เอาน่า  เดี๋ยวกูตามไป  มีอะไรจะได้ช่วยมึงอีกแรง”

“เอาแบบนั้นเหรอว่ะ   แล้วงานมึงล่ะ”

“เอาไว้ก่อน  อีกอย่างมึงก็รู้ว่ากูเทพแค่ไหน  งานส่งอาจารย์แค่นี้ไม่มีปัญหา”

“ขอบคุณน่ะ”

“ไม่เป็นไร  ทำใจดีๆนะ   พ่อมึงถึงมือหมอแล้วคงไม่เป็นอะไรแล้ว   เดี๋ยวเจอกัน กูจะรีบตามไป”

หลังจากที่วางสายจากป่าสักแล้ว ทุ่งธรก็ได้แต่นั่งไปเงียบๆตลอดทางพร้อมกับพี่ชายต่างมารดาที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถ  หลังจากที่แสนชัยขับรถอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงจุดหมายปลายทาง  นั้นคือโรงพยาบาลประจำจังหวัด ทั้งคู่ก็ตรงไปยังห้องพิเศษของโรงพยาบาลทันทีเพราะพ่อของพวกเขาออกจากห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แม่  พ่อเป็นไงบ้างครับ?”

แสนชัยรีบถามมารดาทันที ที่เข้าไปถึงห้องพักฟื้นผู้ป่วย  ซึ่งตอนนี้พ่อของเขายังไม่ฟื้นจากการผ่าตัดเลย

“ยังไม่ฟื้นเลยแสน”

มารดาของแสนชัยตอบลูกชายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าปนกังวลในอาการป่วยของสามี

“แล้วคุณหมอว่ายังไงบ้างครับแม่”

“คุณหมอบอกว่าพ่อเราพ้นขีดอันตรายแล้ว  ตอนนี้ก็เหลือแค่ฟื้นได้สติเท่านั้นแหละจ๊ะ”

คุณรสรินทร์ผู้เป็นภรรยาของคุณอุเทน ตอบลูกชายพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือสามีมากุมไว้

“แม่ครับ  ทำไมพ่อถึงลื่นล้มได้ละครับ”

“เห็นบอกว่ารีบลุกเลยทำให้หน้ามืด  จากนั้นก็ล้มศีรษะกระแทกพื้น  โชคดีนะที่ยายแนนน้องเราเข้าไปเจอเสียก่อน”

แนน  คือน้องสาวของแสนชัย  ซึ่งอายุก็น่าจะเท่ากับทุ่งธร  เพราะตอนนี้แนน หรือเอวิตา  ก็กำลังศึกษาอยู่ที่คณะบัญชีที่มหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำของภาคอีสาน

“อ้าวแล้วนี้ใครกันละแสน”

คุณรสรินทร์แม่ของแสนชัยหันมามองหน้าทุ่งธรแล้วเอ่ยถามลูกชาย  ด้วยความสงสัยแต่สายตานั้นก็เริ่มส่งประกายของความแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

“อ่อนี้คือทุ่งธร  ลูกชายของคุณพ่ออีกคนครับแม่”

“อ้าวเหรอจ๊ะ   มิน่าละหน้าตาเหมือนแสนมากๆเลยนะลูก”

คุณรสรินทร์พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินอ้อมเตียงคนไข้หันมามองหน้าทุ่งธรอย่างตั้งใจ

“สวัสดีครับคุณป้า”

ทุ่งธรกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ห่างจากตัวเองไปไม่กี่ก้าว ที่ยืนชิดติดเตียงคนป่วย

“ไหว้พระเถอะจ๊ะ   เห็นคุณพ่อพูดถึงบ่อยๆ วันนี้ได้เจอตัวจริงแล้ว น่าตาน่ารักจริงๆเลย”

น้ำเสียงที่คุณรสรินทร์พูดออกมานั้นช่างอ่อนโยน  แต่เสียงนั้นก็ไม่สามารถกลบสายตาที่มองมายังทุ่งธรแบบแปลกๆเสียไม่ได้

“ขอบคุณครับคุณป้า  แต่ผมก็หน้าตาธรรมดาเองครับ เป็นเด็กบ้านๆ”

“บ้านๆอะไรกันจ๊ะ  หนูน่ะเป็นถึงลูกชายของเจ้าของหมูบ้านช้างที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียวน่ะ”

คุณรสรินทร์แม่ของแสนชัยเดินมาหาทุ่งธรพร้อมกับโน้มไปกอดทุ่งธรไว้หลวมๆพร้อมกับยิ้มให้อย่างละมุน  แต่กอดนั้นทุ่งธรกลับรู้สึกแปลกๆหรือจะเป็นเพราะว่าเขาคิดมากไปเอง

“ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรานะจ๊ะหนูทุ่ง      เออนี้แสนพอดีว่าแม่อยากได้นมอุ่นๆสักหน่อย ลูกช่วยไปซื้อมาให้แม่หน่อยสิ”

แม่ของแสนชัยหลังจากที่สวมกอดทุ่งธรแล้วก็หันไปพูดกับลูกชายถึงความต้องการของตัวเอง

“แม่อยากได้นมหรือครับ  ได้ครับ เดี๋ยวผมกับทุ่งจะไปซื้อมาให้นะครับ”

“เอ่อแสนจ๊ะ  แม่ว่าให้แสนไปคนเดียวดีกว่านะ  เดี๋ยวทุ่งก็อยู่กับแม่ที่นี้แหละเพื่อว่าพ่อเราฟื้นขึ้นมาจะได้เห็นหน้าหนูทุ่ง  พ่อเราจะได้มีกำลังใจหายป่วยไวๆ”

“เอาแบบนั้นก็ดีเหมือนกันครับ  งั้นผมไปซื้อของเดี๋ยวเดียวนะครับ    ทุ่งพี่ไปไม่นานหรอก  จะเอาอะไรหน่อยไม๊?”

แสนชัยหันไปถามน้องชายต่างมารดาทันที  เพราะเขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหิวหรือต้องการอะไรเพิ่มหลังจากที่แวะทานข้าวเที่ยงข้างทางก่อนเดินทางมาถึงโรงพยาบาล

“ไม่เป็นไรครับพี่หมอแสน  ทุ่งยังไม่อยากได้อะไร”

“งั้นพี่ไปน่ะ”

“ครับ”

หลังจากที่แสนชัยเดินออกไปซื้อนมให้คุณรสรินทร์แม่ของเขาแล้ว ทุ่งธรก็เริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดขึ้นมาทันที  สายตาที่คุณรสรินทร์แม่ของแสนชัยมองมานั้นช่างเลือดเย็นจริงๆ คุณรสรินทร์รีบเดินกลับไปยังฝั่งตรงข้ามของเตียงคุณอุเทนทันทีพร้อมกับนั่งลงแล้วเอ่ยด้วยวาจาที่แสนจะเยือกเย็น

“เธอคงเห็นสภาพของคุณอุเทนแล้วน่ะ”

“ครับคุณป้า”

“อย่าเรียกฉันว่าป้าเลย  เพราะเราไม่ได้เป็นญาติกัน  เรียกคุณรสรินทร์จะเหมาะกว่า”

น้ำเสียงนั้นช่างเยือกเย็นและน่ากลัวเป็นอย่างมาก  ทำให้ทุ่งธรต้องหันไปมองหน้าคนพูดอย่างช่วยไม่ได้

“เออ.. ครับคุณรสรินทร์”

“ฉันจะไม่อ้อมค้อมละน่ะ  ขอพูดตรงๆเลยแล้วกัน”

“เออ  ...!ครับ”

“ที่เธอมาที่นี้ต้องการอะไรจากคุณอุเทน?”

“อะไรน่ะครับ”

“ไม่ต้องตกใจมากขนาดนั้นก็ได้หรอกน่ะ   พูดความต้องการของเธอออกมาเถอะ ฉันเข้าใจ พวกชาวป่าชาวดงคนยากจนข้นแค้นอย่างเธอกับแม่เธอดี”

ทุ่งธรได้ยินคำพูดของคุณรสรินทร์แบบนั้นต้องอดกลั้นไว้เป็นอย่างมาก  เหตุเพราะว่าคนตรงหน้านั้นเป็นแม่ของพี่ชายตัวเอง ซึ่งแสนชัยก็ช่างต่างจากผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก

“คุณรสรินทร์พูดอะไรแบบนั้นครับ  ที่ผมมานี้ก็มาในฐานะของลูกพ่อคนหนึ่ง”

“ต๊าย!  ช่างกล้าพูดออกมาได้นะยะ อิอิ.... ลูกพ่อคนหนึ่ง  เธอจำใส่ใจเอาไว้ได้เลยว่าคุณอุเทนมีลูกแค่สองคนเท่านั้น   คือตาแสน และยายแนน  ส่วนคนอื่นไม่ใช่”

ทุ่งธรไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากผู้หญิงที่ดูท่าทางภายนอกเป็นคนอ่อนโยนมีเมตตาอย่างคุณรสรินทร์

“ครับ  ข้อนั้นผมทราบดี  แต่ที่มานี้ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากพ่อเลยสักนิด  แค่รู้ข่าวก็อยากมาดูท่านก็เท่านั้นเอง  คุณรสรินทร์ว่างใจได้เลยครับ”

“เธอจะให้ฉันเชื่ออย่างที่เธอพูดอย่างนั้นเหรอ   ขนาดแม่ของเธอบอกกับฉันเองว่าจะไม่ยุ่งกับคุณอุเทน  แม่เธอยังแอบแรดมาให้ท่าคุณอุเทนได้เลย”

“หยุดนะครับ   คุณไม่มีสิทธิที่จะมาพูดอย่างนี้กับแม่ของผม”

“เชอะ  ทำไมฉันจะพูดถึงอีนางทิพย์แบบนั้นไม่ได้   ฉันรู้จักสันดานมันดีกว่าใครๆ”

“คุณรสรินทร์  ผมบอกให้คุณหยุดพูดเดี๋ยวนี้”

ทุ่งธรสุดจะอดกลั้นได้อีกต่อไป  เผลอร้องตะโกนห้ามคุณรสรินทร์ด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด

“ทำไม  ?? ฉันพูดแทงใจดำเหรอ  ถึงต้องโกรธขนาดนั้น  เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆเลยน่ะ  น่าสงสารคุณอุเทนจริงๆ ที่เอาคนชั้นต่ำแบบนี้มาแปดเปื้อนสกุล”

“คุณรสรินทร์มันจะมากไปแล้ว  ถึงผมกับแม่จะเป็นคนจน  แต่พวกเราก็มีศักดิ์ศรี  และพวกเราก็ไม่เคยไปขอใครกิน  หรือทำให้ใครเดือดร้อน”

“ไม่เคยขอใครกิน  มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าพวกฉันอย่างนั้นเหรอ   อิอิ ได้งั้นเธอก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นมันเป็นความจริง”

“พิสูจน์    ?”

“ใช่  โดยที่เธอรีบไสหัวไปจากครอบครัวของฉันซะเถอะ  อย่าได้คิดเข้ามาวุ่นวายอะไรกับ

คุณอุเทนและตาแสนอีกเป็นอันเด็ดขาด    ถ้าเธอทำได้แบบนั้นฉันถึงจะเชื่อว่าคนจนอย่างพวกเธอมีศักดิ์ศรีจริง”

ทุ่งธรได้ยินมาแบบนั้นตัวเขาชาไปทันที  ขาที่แข็งแรงเหมือนมันจะยืนไม่ไหวเอาเสียให้ได้  ทุ่งธรหันไปมองพ่อผู้ซึ่งตอนนี้ยังคงนอนนิ่งบนเตียงคนป่วยอย่างไม่รู้สึกรับรู้อะไรเลย  เขาต้องเลือกแล้วสิน่ะ  ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี  จะทนฝืนไม่ฟังคำพูดของคนใจแคบอย่างคุณรสรินทร์เพื่อจะอยู่ดูอาการของพ่อจนฟื้นหรือว่าจะเดินออกจากครอบครัวของพ่อผู้ให้กำเนิดในตอนนี้โดยไม่ทำให้ครอบครัวของท่านต้องลำบากใจเพราะการมาของตัวเขาเอง

“ได้ครับ   ถ้าการมาของผมมันทำให้คุณไม่สบายใจผมก็จะไป  แต่ที่ไปไม่ใช่เพราะใครอื่น  แต่เพราะผมเป็นห่วงในสุขภาพของพ่อก็เท่านั้น”

“ดี  งั้นก็รีบไสหัวออกจากห้องไปเดี๋ยวนี้”

“ได้  คุณไม่ต้องไล่ผมหรอก  ผมก็ไม่คิดจะอยู่ตรงนี้ให้มันเปื้อนตัวหรอก”

“ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าทั้งแกและแม่แกมันจะเก่งจริงอย่างที่ปากได้พูดไว้ไม๊”

“คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะเอาสมบัติของคุณ  เชิญเฝ้าสมบัติไปเถอะ”

ทุ่งธรพูดจบก็ต้องรีบหันหลังให้เตียงคนป่วยอย่างคุณอุเทนที่นอนนิ่งเพราะพิษยาสลบ  ทุ่งธรก้าวขาออกมาจากห้องพักคนป่วยด้วยกำลังที่อ่อนแรงเต็มทน  เขาไม่สามารถที่จะทนให้ใครมาดูถูกแม่ได้  ถึงจะเป็นห่วงพ่อผู้ให้กำเนิดมากมายเพียงใดก็ตาม  จากนี้เป็นต้นไปเขาตัดสินใจแล้วจะไม่หันหลังกลับมาให้ครอบครัวของพ่อต้องเดือดร้อนเป็นอันขาด

“ทุ่ง   ....   ทุ่ง     ....ทุ่ง”

เสียงร้องดังๆตามหลังทุ่งธรมามันช่างคุ้นเคยจริงๆ  แต่ตอนนี้จิตใจของเขามันล่องลอยไปหาแต่แม่ของเขา  เขารู้แล้วว่าแม่ต้องโดนอะไรมาบ้าง  ยิ่งคิดยิ่งสงสารแม่ขึ้นมาจับใจ  อยู่ๆก็มีมือมาคว้าแขนของทุ่งธรเอาไว้

“ป่าสัก”

ทุ่งธรหันกลับมาตามแรงคว้าของอีกฝ่ายทำให้เขาได้มองเห็นเจ้าของเสียงนั้นทันที  พอรู้ว่าเป็นป่าสักทุ่งธรก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปสวดกอดอีกฝ่ายทันที  เขาปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครเลย

“เป็นอะไรทุ่ง   มึงร้องไห้ทำไม?”

“ฮื้อ หื้อ    ป่าสัก”

ยิ่งได้ยินเสียงที่อบอุ่นของป่าสักมันยิ่งทำให้น้ำตาของทุ่งธรไหลออกมายังกับเขื่อนแตกเลยทีเดียว

“ใจเย็นๆมึง  แล้วนี้มึงจะเดินไปไหนกูเรียกตั้งนาน    ก็ไม่ได้ยิน”

“ป่าสัก   กูอยากกลับบ้าน”

เสียงของทุ่งธรต้องกดอารมณ์ไม่ให้ความเสียใจไว้เป็นอย่างมาก  แต่น้ำเสียงนั้นก็ปนไปด้วยอาการของความเสียใจ

“ไม่ต้องกลัวนะ  กูอยู่นี้แล้ว   จะไม่มีใครทำอะไรมึงได้  เชื่อใจกู”

ป่าสักพูดจบก็รีบเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายทันทีพร้อมกับโอบกอดร่างที่สั่นเทาเข้าไว้ในอกอย่างอ่อนโยน

“มึง  กูไม่ไหวแล้ว  กูไม่อยากอยู่ที่นี้แล้ว”

“ได้สิ  มึงอยากไปไหนกูจะพาไป  กูขอโทษนะที่ต้องปล่อยมึงไว้เพียงลำพังแบบนี้”

“ป่าสัก”

เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคที่ได้ยินจากป่าสักมันก็ทำให้ทุ่งธรนั้นอบอุ่นขึ้นมาทันที 

**อาจจะมีพร้อม แต่ชีวิตก็ยังวุ่นวาย     ยังไม่พอดี ยังไม่พอใจ

ถึงไม่หนาวกายแต่หนาวใจอยู่ดี     อาจจะมีน้อย แต่ไม่ขอให้มีมากมาย

มีแค่พอดี มีแค่พอใจ       ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี

อุ่น ใจ แล้ว แค่มีเธอกับฉัน   รักกันตลอดไปด้วยใจ ใจที่หวังดี

อุ่น ใจ แล้ว หนาวเย็นสักแค่ไหน  เมื่อมีรักห่มใจ จะมีอะไรอุ่นกว่านี้

อยู่ในความรัก อาจจะเหมือนว่าไม่มีใคร  รู้ว่ามีเธอ เธอที่เข้าใจ ถึงต้องหนาวกายแต่หัวใจอุ่นดี*

**เพลงแค่มี  พลพล**

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา