รสิตายั่วรัก

-

เขียนโดย Annakan

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.19 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,901 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 09.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอน 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

      ผ่านมาครึ่งปีแล้วที่โปรเจคสวนดอกไม้ของพอร์ชยังคาราคาซังอยู่เพราะงานมันรัดตัวเหลือเกินและที่สำคัญไอ้กรโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานเข้าไปชุดใหญ่มันเลยยังไม่อยากเริ่มต้นอะไรใหม่ในช่วงนี้เขาก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดเพราะอยากให้เพื่อนร่วมหุ้นจริงๆ

        “ว่าไงมึง” กำลังคิดถึงมันก็โทรมาพอดี

        “ได้ๆ” ชยางกูรตกลงเวลานัดหมายกับเพื่อนแล้ววางสายไป มันคงนัดมาให้คำตอบสุดท้ายนั่นแหละว่าจะทำหรือไม่ทำ

        ทุ่มครึ่งพอร์ชก็ขับรถไปที่ร้านอาหารริมน้ำที่ไอ้กรเป็นคนเลือกมันคงจะเครียดมากจริงๆ ถึงนัดมาที่ร้านนี้เพราะเวลามันไม่สบายใจมันบอกว่าชอบมาที่นี่

        “โทษทีมึงรถติดมาก” ภาสกรมาถึงสายไปสิบนาที

        “ไม่เป็นไร นั่งเลยมึง” สองหนุ่มใช้เวลาไม่นานในการสั่งอาหารและเครื่องดื่มเมื่อบริกรเดินออกไปแล้วบรรยากาศของความกดดันก็เข้ามาแทนที่

        “กูขอโทษนะพอร์ช กูคงต้องถอนตัวเรื่องสวนดอกไม้ตอนนี้กูแย่มากเงินทุกบาทมันจำเป็นกับกูและครอบครัวจริงๆ ไม่ใช่ว่ากูไม่เชื่อมือมึงนะแต่กูต้องสำรองเงินไว้ก่อน”

        “เออ กูเข้าใจไม่ต้องขอโทษหรอกเป็นกูก็ต้องทำแบบมึง”

        “ขอโทษที่ทำให้มึงเสียเวลารอมานานขนาดนี้”

        “เออ ช่างมันเถอะแต่มึงยังเป็นหุ้นส่วนกับกูได้นะไม่ต้องลงเงินมึงเป็นเซลล์ก็ได้ ออกขายตามมึงสะดวกขายได้เท่าไหร่มึงก็เอาเปอร์เซ็นต์ไปให้ส้มมาช่วยอีกแรงก็ได้เขาเคยทำงานโรงแรมมาก่อนน่าจะรู้จักคนเยอะ”

        “ขอบใจมึงมากพอร์ช ตอนนี้อะไรที่ใช้การลงแรงกูเอาหมดเพราะกูเสี่ยงเอาเงินไปจมไม่ได้จริงๆ เรื่องเซลล์ส้มน่าจะช่วยได้เยอะ”

        “แล้วตกลงมึงเลือกจังหวัดไหน”

        “วันศุกร์กูว่าจะไปลำพูนมีงานสัมมนาของชมรมไม้เมืองหนาวพอดี ไปดูๆ งานไว้ก่อนเผื่อจะได้ข้อมูลเชิงลึก เชียงใหม่กูสู้ค่าที่ไม่ไหวอีกอย่างไอ้พ่อเลี้ยงคำอ้ายก็กันท่าน่าดู” พ่อเลี้ยงคำอ้ายคือคนใหญ่คนโตของที่นั่นแถมมีคนนับหน้าถือตาแทบจะทั้งจังหวัด พอมันรู้ข่าวว่าเขาจะไปทำสวนดอกไม้มันก็ไม่พอใจ

        ที่ดินกี่ผืนต่อกี่ผืนที่เขาให้เลขาติดต่อไปสอบถามราคาต่างบอกปัดไม่ขายให้สักราย จนเขาหมดความอดทนโทรไปสอบถามด้วยตัวเอง

        “คือ คือขายไม่ได้นะเจ้า” เสียงปลายสายตอบกลับมาติดภาษาถิ่นหน่อยๆ

        “ทำไมขายไม่ได้ครับก็ที่คุณติดประกาศขายไว้ผมยินดีจ่ายให้มากกว่าที่คุณบอกขายด้วย” ชยางกูรถามกึ่งๆ โมโห

        “ถ้าขายเราจะเดือดร้อนนะเจ้า คุณท่านก็ด้วย”

        “ทำไมถึงจะเดือดร้อนผมไม่เข้าใจ”

        “คือ คือ มีพ่อเลี้ยงเปิ้นไม่พอใจ” เมื่อได้ยินคำตอบชยางกูรก็ตัดสายทิ้งทันทีในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ถึงหายากหาเย็นนักเพราะมันมีตัวการขัดขวางอยู่นี่เอง

        “แล้วมึงจะไปยังไง ไปกับใครกูว่ามึงอย่าไปเลย” ภาสกรเป็นห่วงเพื่อนเขาเองก็รู้ดีถึงอิทธิพลของให้พ่อเลี้ยงคำอ้าย

        “ไปคนเดียวนี่แหละไปลงเชียงใหม่แล้วขับรถไป”

        “งั้นเดี๋ยวกูให้ญาติมารอรับมึงที่เชียงใหม่มึงไปถิ่นมันนะไอ้พอร์ชระวังตัวไว้บ้างก็ดี”

        “เออๆ ขอบใจมึงมากเลยไอ้กร”

 

        “คุณพอร์ชใช่ไหมครับ” ชยางกูรมาถึงสนามบินเชียงใหม่ตอนสิบโมงกว่างานสัมมนาจัดตอนบ่ายสองและเขาเผื่อเวลาเพื่อการเดินทางไว้เยอะพอสมควรเพราะไม่อยากไปสายเป็นอันขาดไปถึงก่อนมันดีกว่าอยู่แล้ว

        “ใช่ครับ พี่เกื้อใช่ไหมครับเรียกผมว่าพอร์ชเฉยๆ เถอะครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าด้วยความเคารพ ทั้งคู่คุยกันสักพักถึงสถานที่จัดงานเพราะจะได้ตัดสินใจถูกว่าควรใช้เส้นทางไหนดี พอร์ชไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนนึงมาดักรอตั้งแต่เช้าแล้ว

        พ่อเลี้ยงคำอ้ายได้ข่าวจากวงในว่าไอ้ไก่อ่อนจากเมืองกรุงจะมางานสัมมนาถ้าลองมางานนี้แปลว่ามันเบนความสนใจไปที่ลำพูนแน่นอนและเขาจะไม่ยอมให้คนที่อื่นมาเป็นใหญ่เป็นโตที่ภูมิภาคของตัวเองเป็นอันขาด ถ้ามันได้ที่ในการทำสวนดอกไม้ธุรกิจของเขาต้องสั่นคลอนแน่ๆ เพราะเท่าที่รู้มาไอ้หนุ่มหน้าอ่อนคนนี้จะทำแบบเศรษฐกิจพอเพียงสนับสนุนคนในท้องถิ่นให้มีงานทำและได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลถ้ามันทำสำเร็จเขาจะไปปล่อยเงินกู้กับใครล่ะ

        “เจอตัวแล้วครับนาย” ผู้ชายสวมแว่นดำและหมวกเพื่อปิดบังใบหน้าโทรไปรายงานเจ้านาย

        “ตามมันไปอย่าให้คลาดสายตา รอจังหวะดีๆ” คำอ้ายบอกลูกน้องแล้ววางสายไป

        “อากาศดีจังเลยนะครับ” เมื่อขับพ้นตัวเมืองออกมาก็เจอแต่ต้นไม้และทิวเขาอยู่ไกลๆ คนเมืองกรุงแบบเขาถึงกับเคลิ้มกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์

        “ถ้าได้มาอยู่จะรักครับ” เกื้อกูลญาติของภาสกรบอกเด็กหนุ่ม เขาเกิดและโตที่ลำพูนแต่ก็เคยไปทำงานเมืองกรุงอยู่สองสามปีแล้วก็ได้รู้ว่าเขาไม่เหมาะกับเมืองที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายแบบนั้น

        “สวยจังเลยครับ” รถขับมาถึงป้ายบอกทางเข้าโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ถนนเล็กๆ ที่แยกออกจากถนนสายหลักทั้งสองฟากมีต้นไผ่เป็นอุโมงค์ไปตลอดทาง

        “พี่ขอรับสายหน่อยนะเมียโทรมา”

        “ตามสบายครับพี่” พอร์ชบอกแล้วพี่เกื้อก็จอดรถเข้าข้างทาง

        “ได้ๆ จะรีบกลับเดี๋ยวนี้มาส่งเพื่อนไอ้กรถึงโรงแรมพอดี”

        “มีอะไรหรอครับพี่เกื้อ”

        “ลูกชายคนเล็กมันหกล้มหัวแตกร้องหาแต่พ่อ พี่อยู่รอพอร์ชจนจบงานไม่ได้แล้วขอโทษด้วยนะ”

        “ครับพี่ ผมลงตรงนี้ก็ได้เดี๋ยวเดินต่อเองไม่ไกลแล้ว”

        “ไม่ได้ๆ กว่างานจะจบก็เย็นมันไม่มีรถประจำทางแล้วยังไงพอร์ชก็ต้องเอารถไว้”

        “งั้น ผมนอนที่นี่คืนนึงก็ได้ครับ”

        “แล้วโรงแรมที่เชียงใหม่จะจ่ายเงินไปเปล่าๆ ทำไม”

        “พอร์ชไปส่งพี่ที่ถนนใหญ่พี่จะไปรอรถประจำทาง”

        “เอ่อ มันจะดีหรอพี่” ชยางกูรลังเลกับความคิดนี้เพราะเขาจะมาเอารถของครอบครัวคนอื่นมาใช้ในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ได้ยังไง

        “เชื่อพี่เถอะให้ไปขับรถขับลาตอนนี้มือไม้พี่มันไม่คล่องสติก็ไม่ดีแน่ๆ เพราะห่วงลูก”

        “ครับๆ” เมื่อตกลงกันตามนั้น เกื้อกูลก็กลับรถออกไปทางเดิมโชคดีมากที่ยืนรออยู่ไม่ถึงสิบนาทีรถประจำทางก็มาพอดี

        “จบงานแล้วผมจะรีบเอารถไปคืนนะครับพี่เกื้อ”

        “สวัสดีครับมางานสัมมนาครับ” พนักงานต้อนรับหน้าแฉล้มส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่มสุดหล่อด้วยความขวยเขิน เนื่องด้วยโรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ ไม่ได้โด่งดังอะไรจึงมีแต่คนธรรมดามาเข้าพักไม่เคยมีดารานายแบบหรือนางแบบมาที่นี่เลยสักคนแต่ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นนายแบบแน่ๆ เพราะเขาทั้งสูงและหล่อเหลาแถมยังสุภาพอีกต่างหาก

        “เชิญทางนี้ค่ะ” หนึ่งในพนักงานอาสาไปส่งด้วยความเต็มใจ

        “ห้องสัมมนาทางนั้นนะคะ ระหว่างนี้เรียนเชิญรอที่ห้องอาหารหรือร้านกาแฟของเราก่อนค่ะ”

        “ขอบคุณมากครับ” ชยางกูรเอ่ยกับผู้ที่นำทางให้ เขามองซ้ายมองขวาแล้วก็ตัดสินใจว่าควรไปกินอาหารเลยดีกว่าเพราะนี่มันก็เที่ยงกว่าแล้ว เมื่อมาถึงถิ่นเขาก็ไม่พลาดที่จะสั่งข้าวซอยมากินมันอร่อยและรสแตกต่างกับที่ขายอยู่ในกรุงเทพแบบลิบลับ ของที่นี่เข้มข้นถึงใจเส้นก็เหนียวนุ่มกำลังดีมันอร่อยจนเขาต้องสั่งมากินถึงสองชามเลยทีเดียว

        “เชิญเข้าห้องสัมมนาได้เลยนะคะ” พนักงานสาวสวยอีกคนนึงผายมือเชิญให้เขาไปจับจองที่ในห้องได้แล้ว

        และพอเดินเข้าไปชยางกูรก็พบกับหญิงสาวคนนึงที่สวยหวานหยาดหยดราวกับภาพวาดของนางฟ้าอัปสรแต่เธอคือนางฟ้าที่มีตัวตนอยู่บนโลกมนุษย์ ชายหนุ่มเดินงงๆ ไปนั่งที่เก้าอี้แล้วก็ไม่อาจละสายตาไปมองที่อื่นได้อีกเลย หญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของงานเพราะเขาเห็นเธอสั่งให้พนักงานในโรงแรมทำนั่นทำนี่ได้

        “สวัสดีค่ะ รอสักครู่นะคะเดี๋ยวงานสัมมนาก็เริ่มแล้ว” รสิตาเดินทักทายผู้ที่มาสัมมนาไปทั่วห้องเพราะเธอเป็นแม่งานและโรงแรมนี้ก็เป็นของเธอด้วย  

        “คุณไม่สบายรึเปล่าคะ” เธอถามชายหนุ่มที่นั่งตาลอยเหมือนไม่ได้สติ

        “คุณคะ” รสิตาโบกมือไปมาตรงหน้าผู้ชายคนนั้นอยู่หลายทีกว่าเขาจะรู้ตัว

        “คะ ครับ” ชยางกูรแทบจะหยุดหายใจเมื่อเธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เธอไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ เธอต้องร่วงมาจากสวรรค์ชัวร์ๆ ผู้หญิงอะไรจะสวยหมดจดไปทุกส่วนได้ขนาดนี้ เธอน่าจะสูงร้อยหกสิบห้าตามมาตรฐานของผู้หญิงไทย ช่วงขาขาวๆ ในกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนช่างเรียวยาวรับกับรองเท้าส้นเตี้ยที่สีเข้ากับกระโปรง เลยขึ้นมาก็คือส่วนสัดบ่งบอกความเป็นหญิงที่มันดูอวบอัดและหนั่นแน่นน่าฟัดเหลือเกินเขามั่นใจว่ามันต้องเป็นของแท้แม่ให้มา ส่วนจุดสุดท้ายคือใบหน้าสวยหวานที่งามรับกันไปทุกส่วนทั้งปาก จมูก คิ้วแถมหน้าผากยังกลมมนชวนให้จุมพิตเหลือเกิน

        “คุณไม่สบายหรือเปล่าคะ” รสิตาถามด้วยความเป็นห่วง

        “ปะ เปล่าครับ”

        “แอร์ไม่เย็นใช่ไหมคะเดี๋ยวดิฉันไปเร่งให้”

        “เปล่าครับ เย็นครับเย็นมาก” ชยางกูรตอบแต่ยังจ้องหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความประหลาดในความงามหมดจดของเธอ

        “งั้นดิฉันขอตัวก่อนถ้ารู้สึกไม่ดีแจ้งเจ้าหน้าที่ของเราได้เลยนะคะ”

        “คะ ครับ” แล้วงานวันนั้นก็เป็นงานที่สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง ชยางกูรไม่ได้ฟังข้อมูลที่ผู้บรรยายเอามาแบ่งปันเลยสักนิดทุกสรรพเสียงเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาอย่างรวดเร็ว เขาเฝ้าแต่มองตามหญิงสาวคนนั้นไปทุกย่างก้าวไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนและพอการสัมมนาจบลงเขาก็หัวใจแทบจะสลายเพราะต้องจากเธอคนนั้น

        ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องสัมมนาด้วยความห่อเหี่ยวเขาเหลียวซ้ายแลขวามาตลอดทางหวังจะได้เจอเธอคนนั้นอีกแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขาถึงขนาดลงทุนนั่งอยู่ตรงส่วนต้อนรับอยู่ครึ่งชั่วโมงเผื่อเธอจะเดินออกมาแต่ก็เหมือนเดิมที่เขาผิดหวัง ชยางกูรจำใจต้องเดินกลับออกมาด้วยความเสียใจเพราะนี่มันก็จะค่ำแล้วเขาต้องรีบเอารถไปคืนพี่เกื้อ

        “หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ” ชยางกูรเอ่ยลานางฟ้าแสนงามของเขาแล้วขับรถออกมา ถนนยามค่ำเปลี่ยวพอดูและเขาสังเกตว่ามีรถคันนึงขับตามมาตั้งแต่ออกจากโรงแรมแล้ว

        “ยังไงของมันว่ะ” พอร์ชตบไฟเลี้ยวแล้วจอดเข้าข้างทางรถคันหลังก็ทำแบบนั้นเช่นกัน เขามั่นใจแล้วว่ากำลังโดนสะกดรอยตามจึงออกตัวอย่างรวดเร็วและไอ้รถคนนั้นก็ซิ่งมาจี้ท้ายแค่พริบตาเดียวเพราะรถของพี่เกื้อมันคือรถเก๋งอายุน่าจะสิบปีกว่าเข้าไปแล้วส่วนไอ้รถคนนั้นเป็นกระบะใหม่เอี่ยมเครื่องแรงกว่าตั้งเท่าตัว

        “ปัง ปัง ปัง” ลูกน้องของคำอ้ายตัดสินใจขับไปประกบข้างแล้วยิงไปที่ล้อรถ

        “แม่งเอ๊ย อะไรเนี่ยกูไปทำอะไรให้มึง” พอร์ชสบถด้วยความตกใจที่โดนยิงระยะประชิดขนาดนี้และนัดต่อไปต้องไม่ใช่ล้อแน่ที่มันจะยิง เขาจำได้รางๆ ว่ามีสวนดอกไม้ตอนที่ขับมาเขาจะลองเลี้ยวเข้าไปในนั้นดูเพราะน่าจะมีคนพลุกพล่านมากกว่าถนนหลักที่ไม่มีรถคันอื่นเลย

        “แม่งเสือกเข้าสวนแม่เลี้ยง ไอ้ห่าเอ๊ย” ชายฉกรรจ์สองคนไม่กล้ายุ่งกับบารมีของตระกูลเก่าแก่จึงจำเป็นต้องหยุดการไล่ล่าไว้เพียงแค่นั้น

        “เฮ้อ รอดแล้วกู” ชยางกูรมองที่กระจกก็เห็นว่ารถคนนั้นไม่ได้เลี้ยวตามเข้ามาเขาจ้องอยู่อย่างนั้นเพื่อความแน่ใจโดยไม่ได้มองดูทางข้างหน้าพอเงยมาอีกที

        “โครมมมม” รถเก๋งคันเก่าพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่เต็มแรงและชยางกูรก็หมดสติทันที

 

          

       

 

                            

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา