ปณิธานแห่งบริม

7.7

เขียนโดย Nerd_Papers

วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.03 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  3,531 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ปฐมบทแห่งความปรารถนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

       “ตึกๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงรองเท้าผ้าใบสีดำขาวคู่หนึ่งกำลังสับไปมาด้วยความเร่งรีบขณะผ่านหน้าร้านสหกรณ์คณะนิเทศศาสตร์ มองขึ้นมาเห็นเป็นสาวน้อยร่างเล็ก เธอชื่อว่า “แนน” เธอกำลังวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสามด้วยความเร็วทำให้ผมสีดำสลวยของเธอพลิ้วไหวไปมา    แนนต้องเข้าคาบแรกให้ทันเวลา เธอไม่อยากให้ชีวิตนักศึกษาปีสองวันแรกของเธอดูไม่ดีต่อหน้าอาจารย์และน้องปีหนึ่งที่เรียนร่วมกับเธอในห้องนั้น ตอนนี้เธอเริ่มหอบและความเร็วในการวิ่งช้าลง เนื่องจากบันไดมีขั้นยาว บวกกับส่วนสูงของเธอที่มีไม่มากนัก ทำให้เธอต้องสับขาสูงกว่าคนอื่น กระทั่งเธอวิ่งมาถึงหน้าห้อง เธอหยุดสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก้มดูนาฬิกาข้อมือสีฟ้าเรือนใหม่ จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยและเปิดประตูเข้าไป

       “นี่เธอ…” เสียงของอาจารย์ประจำวิชาจู่ๆก็หยุดไปเฉยๆ แนนยังคงหอบจากการวิ่งอยู่ แต่เธอก็เดินไปนั่งโต๊ะเลกเชอร์สีฟ้าที่เอียงกระเท่เร่อยู่ตัวเดียว ผ่านนักศึกษาคนอื่นที่กำลังจะหันหน้าไปที่ประตูและเธอก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายใจ ท่ามกลางนักศึกษาและอาจารย์ที่หยุดนิ่งราวกับถูกสตัฟเอาไว้!

       “นี่เธอ………………………………..เอ๋?” อาจารย์ประจำวิชาฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอหันมามองแนนและหันไปมองประตูซ้ำไปซ้ำมา ใช่ นั่นเพราะเธอกำลังจะต่อว่านักศึกษาหญิงตัวน้อยที่เข้าห้องช้าไปประมาณ 7  วินาที แต่นักศึกษาคนนั้นดันไปนั่งอยู่ที่โต๊ะและถือปากกาลูกลื่นมาควงเล่นบนนิ้วพร้อมจดแล้วเรียบร้อย แนนอมยิ้มที่มุมปาก ไม่เพียงแต่อาจารย์เท่านั้น นักศึกษาก็งงงวยไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนเพ่งสายตาไปที่แนนอย่างสงสัย คุณก็คงสงสัยล่ะสิว่า เธอคนนี้คือใครและเธอ “หยุดเวลา” ได้ยังไง ผมยังมีให้คุณสงสัยอีกเยอะเลยล่ะ

 

     “เห้ยยยไอ้ก็อต!!! คิดถึงมึงว่ะ!!!” เสียงนักศึกษาชายคนหนึ่งตะโกนเรียกเพื่อนที่อยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 20 เมตร เสียงของเขาทำให้น้องๆปีหนึ่งที่กำลังเข้าคณะวันแรกหันมามองโดยพร้อมเพรียง “มองไรวะน้อง” เขาพาลใส่ สิ่งที่รุ่นน้องทำได้ คือ ก้มหน้าแล้วรีบเดินผ่านไป

       “เห้ยๆๆ ไอ้บีส มาวันแรกจะไปอะไรกับเด็กปีหนึ่งมันมากวะ” ชายชื่อก็อตเดินมาตบไหล่บีสเบาๆ เขามีหน้าตาที่หล่อคม ทรงผมเซอร์ๆที่รวบไว้ด้วยที่คาดผม เสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกงยีนส์และสะพายกระเป๋าไฟร์แท็กรุ่นลิมิเต็ด กระเป๋าเสื้อดูตุงๆคล้ายจะเป็นบุหรี่สักสองสามมวน ดูแล้วก็ยังพอเหลือคราบนักศึกษาอยู่บ้าง บีสเพื่อนของเขาก็แต่งกายได้แย่พอๆกัน รวมถึงหน้าตาที่หล่อเหลาก็ด้วย ดูภายนอกก็อตเหมือนคนที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นมองเท่านั้น นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ต่างรู้ดีว่า เขาเป็นเดือนมหาวิทยาลัยที่หล่อเหลาและมากไปด้วยความสามารถ ทั้งด้านการเรียน กีฬา ดนตรี เขาได้ทุนเกี่ยวกับการวิจัยในงานวิศวกรรมศาสตร์ตั้งแต่ขึ้น ม.6 วันแรก ทำให้เขาได้มาเป็นคาสโนว่าแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งนี้ กระนั้นเขาก็ดื่มของมึนเมาแทบจะทุกชนิดในยามราตรีร่วมกับเหล่าเพื่อนของเขา ทำให้คนภายนอกมองเขาเป็นเพียงเด็กขี้ยาเท่านั้น

       “มึงจะเข้าเรียนคาบแรกมั้ยวะไอ้ก็อต” บีสเพื่อนรักถาม

       “อย่างกูเนี่ย” ก็อตยิ้มอ่อนพร้อมทำนิ้วชี้ที่ตัวเอง “ไม่เข้าโว้ยยยยยย ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะร่าอย่างกับทำอะไรที่ยิ่งใหญ่สำเร็จ “วันแรกใครเขาเข้าเรียนกันวะไอ้บีส” เขาตบไหล่เพื่อนรัก

       “เออๆ กูก็ไม่ได้เก่งเหมือนมึงนะ” บีสตอบ

       “อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าไงวะ มึงจะไปกับกูหรือเปล่าเนี่ย”  ก็อตถามเพื่อความแน่ใจ

       “ไม่ว่ะ” เพื่อนรักตอบสั้นๆ

       “โถ่ววว ไอ้บีส มึงนี่มัน…”

       “ไม่ปฏิเสธว่ะ ฮ่าๆๆๆ” บีสหัวเราะร่าเหมือนกับว่าชนะก็อต ซึ่งก็จริง เขาหัวเราะดังกว่า “แต่กูได้ยินมาว่า อาจารย์ที่สอนคาบแรกแม่งเฮี๊ยบว่ะ เช็คชื่อทุกวัน” บีสกังวล ก็อตตบไหล่บีสเบาๆ

       “วันนี้เขาไม่เช็คหรอก มึงเชื่อกู” ก็อตพูดอย่างมั่นใจ พลางย้ายมือไปข้างหลังไม่ให้บีสเห็น เขาขยับนิ้วไปมาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็มีควันสีม่วงบางๆลอยไปหานักศึกษาชายสองคนที่เดินมาคู่กัน “เข้าเรียนแทนพวกกูสองคนและเช็คชื่อแทนพวกกู” ก็อตพูดกระซิบเบาๆขณะที่ควันสีม่วงลอยไปที่หัวนักศึกษาสองคนนั้น จากนั้นเขาก็ชูมือขึ้นไปบนฟ้าและแบมือออกเพื่อกระจายควันสีม่วงออกไป

       “มึงทำอะไรวะไอ้ก็อต” เพื่อนเกลอถามอย่างสงสัย

       “เปล่าๆ กูเมื่อยเฉยๆ” ก็อตพูดพลางอมยิ้ม “ไม่มีใครเห็นควัน” เขากระซิบกับตัวเองอีกครั้ง  “ไปมันส์กันดีกว่าเว้ยเพื่อน!!!” ก็อตร้องสุดเสียงและเดินออกจากคณะไปกับสหายรักอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่นักศึกษาสองคนที่ถูก “สะกดจิต” กำลังเปลี่ยนทิศทางเดินขึ้นไปเรียนแทนก็อตและบีส

 

       บุคคลเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงคนหรือสองคนข้างบนอย่างที่ผมพยายามเล่ามาหรอกนะ ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ แน่นอนสาวหน้าตาจิ้มลิ้มในเสื้อกราวน์คนนี้ก็เช่นกัน เธอกำลังถือหนังสืออนาโตมี่เล่มโตมาสองเล่มไว้ที่แขนข้างขวาสังเกตจากตราปั๊มอ่านได้ว่า “ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์” และมือซ้ายถือโทรศัพท์เครื่องเก่าๆเอาไว้ เธอกำลังบรรจงนิ้วมือเขี่ยหน้าจอของมันอย่างคล่องแคล่ว เหมือนเธอกำลังแชทคุยกับใครบางคนอยู่ และที่สำคัญเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

  เธอเดินมาถึงห้องเรียนคาบแรกของเธอ ในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ยาหอม ยาดมมากมาย กลางโต๊ะแต่ละตัวมีหลอดทดลองขนาดต่างๆและกระปุกใส่สมุนไพรมากมายวางเรียงเอาไว้ มีนักศึกษาในห้องปรุงยานี้ประมาณ 20 คน ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยผู้ทรงภูมิใส่แว่นตาหนาเตอะและใส่เสื้อกราวน์สีขาวที่มีหนังสือเล่มหนาวางไว้บนโต๊ะ จะมีบางส่วนที่ใส่ชุดนักศึกษาท่อนบน ท่อนล่างก็แล้วแต่ความสะดวก กางเกงยีนส์บ้าง กางเกงสแล็กบ้าง นักศึกษาหญิงก็เป็นกระโปรงพลีทหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหมายถึงนักศึกษาคณะอื่นนั่นเอง

  “เบฟฟฟฟฟ!!!!”  เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทำให้เจ้าของชื่อหันไปหาด้วยอาการสะดุ้ง เธอก็เห็นแฟนหนุ่มของเธอที่เรียนคณะเดียวกันกำลังวิ่งหอบหนังสือมาพะรุงพะรังเต็มแขน ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงและยังใส่เสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่หลุดออกนอกกางเกงสแล็กขาบานๆ มองแบบไม่คิดอะไรเลยคุณคงคิดว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งตื่นนอนมาจากใต้สะพานลอยหรือไม่ก็บ้านที่ไม่มีเตารีดและหวีใช้

  “พีท! เบาๆหน่อยสิ คนมองเต็มเลยนะ” เบฟบอกแฟนหนุ่มของเธอพลางเอานิ้วชี้ขึ้นทำท่าจุ๊ๆ “ไม่เห็นต้องรีบวิ่งขนาดนี้เลยนี่” สาวสวยพูดอมยิ้ม

  “ก็..ก็..ฉันอยากเจอเธอไวๆนี่นา” ชายหนุ่มยังหอบแฮ่กๆ แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ชัดเจนว่า เพื่อเธอฉันยอมได้ “แค่อยากมาเจอเธอเป็นคนแรกน่ะ ฮ่ะๆๆ” พีทเกาหัวแล้วหัวเราะเบาๆ เบฟอมยิ้มแบบเขินๆ “เธอคงไม่ลืมกินข้าวเช้ามาใช่มั้ยเบฟ” เขามองหน้าเบฟทั้งที่เขาพอจะเดาคำตอบได้

  “เอ่อ..คือ..” เบฟอ้ำอึ้ง กลอกตาไปมา

              “โถ่ ยัยบ๊องเอ้ย มัวแต่ไปหาหนังสือที่ห้องสมุดอีกแล้วล่ะสิ ลืมกินข้าวเช้าทุกทีเลยนะ เมื่อไรจะหัดแบ่งเวลาดีๆบ้าง” พีทเอ็นดูในความบ๊องของแฟนสาวที่เขามองว่าเหมือนเด็กอยู่ตลอดเวลา เขาเอามือยีหัวเธอเล่นเบาๆ

“แหม ทำอย่างกับนายแบ่งเวลาดีอย่างนั้นแหละ หุหุหุ” เบฟกวาดตามองพีทจากบนลงล่างอย่างมีชัย เธอหัวเราะได้น่าตีสุดๆ แต่พีทก็ยังยิ้มให้เบฟอยู่เหมือนเดิม

“โอเคๆ ถือว่าเสมอกันล่ะนะ” พีทแก้ตัวหน้าดื้อๆ “งั้นเข้าห้องไปเรียนก่อนเถอะ หวังว่าท้องคงจะไม่ร้องนะ ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะแฟนสาวที่กำลังจงใจทำหน้าบูดๆใส่ อย่างน่าหมั่นไส้

  ตามประสาคนเป็นแฟนกัน เวลาไปเรียนก็จะต้องนั่งใกล้ๆกันถูกไหม? แต่สำหรับเด็กเนิร์ดคู่นี้ไม่ใช่ ทั้งสองแยกย้ายกันไปนั่งกับเพื่อนๆของตนเอง พีทไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนที่กำลังชี้หน้าเขาเหมือนที่เด็กประถมทำกันเวลาที่เพื่อนในกลุ่มมีแฟน ส่วนเบฟก็นั่งกับกลุ่มเพื่อนสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านและดูเป็นคนมีความรู้พอๆกับเธอ

  “แหมๆๆ มาวันแรกก็ต้องเดินเข้าห้องพร้อมกันเลยนะจ๊ะ” เพื่อนสาวผมสั้นแซวเธออย่างจงใจ เพื่อนอีกคนก็แซวเธอตามไปด้วย แต่เบฟก็ยิ้มให้ราวกับเป็นเรื่องปกติ

  “แยมมม ชู่ววววว!” เบฟยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากทำท่าให้เพื่อนสาวเงียบ แยมเป็นผู้หญิงที่ภายนอกดูดีมีสกุล ผมซอยสั้น การแต่งกายสะอาดสะอ้านบวกกับเครื่องประดับที่เธอใส่หลายชิ้น สร้อยเพชรที่คอเธอชิ้นเดียวก็อาจจะแพงกว่าเครื่องประทับของทุกคนในห้องนี้รวมกันเลยก็ว่าได้  

 “รีบมีแฟนก่อนเพื่อนก็ต้องโดนแบบนี้ล่ะจ่ะ ฮ่ะๆๆ” เพื่อนสาวอีกคนใช้น้ำเสียงกระแซะสุดๆ  เธอใส่แว่นตาหนามากๆหากเทียบกับเบฟและแยม เธอใส่เสื้อผ้าฟิตเปรี๊ยะ กระโปรงทรงเอสั้น เผยให้เห็นรูปร่างที่สูงโปร่ง หุ่นเป๊ะเหมือนนางแบบและที่สำคัญ เธอมีดวงตาสีน้ำตาลเข้มและใบหน้าที่สวยคมมากๆ เธอผู้นี้มีชื่อเล่นว่า ราชินี หรือ “ควีน”

“โถ่วว ควีน แทนที่จะช่วยฉันนะ......อ้อออ วันนี้ไม่ได้ใส่คอนแท็คเลนส์สินะ” เบฟหันไปหยิบแว่นหนาเตอะออกจากหน้าควีนอย่างเริงร่า

“เบฟฟฟ อย่าเล่นอย่างนี้สิ ขี้โกงนี่นา” ควีนวาดมือไปมามั่วๆบนอากาศ เพื่อนๆในกลุ่มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เบฟเองก็สนุกกับการแกล้งเพื่อนสายตาสั้นเช่นกัน

เพล้ง!!! เสียงนั้นทำให้นักศึกษาสาวแสนซนทั้งสามหยุดนิ่งและอ้าปากค้าง พีทหันมามองตามเสียง และทุกคนในห้องก็ทำหน้าตื่นตระหนกกันยกใหญ่

“สะ เสียงอะไรน่ะ! บีกเกอร์แตกหรอ!?” ควีนพูดตะกุกตะกัก

“อะ...เอ่อ ใช่แล้วล่ะ บีกเกอร์หลอดแตกน่ะควีน” แยมพูดเสียงสั่นกับภาพบีกเกอร์หลอดที่แตกเป็นสามส่วนตรงหน้า

“ฉันขอโทษนะควีน ฉันไม่น่าเล่นแบบนี้กับเธอเลย ขอโทษจริงๆ” เบฟทำหน้าสลด พร้อมสวมแว่นคืนให้เพื่อนสาว ควีนทำหน้าตกใจเข้าไปอีกหลังจากโลกของเธอชัดเจนขึ้น

“เบฟ เธอรีบเอาบีกเกอร์นี้ไปทิ้งซะสิ แล้วไปเอาหลอดใหม่ที่ห้องเคมีชั้นห้ามาก็ได้” พีทเดินมาบอกเบฟถึงโต๊ะ

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ! อาจารย์จะเข้าแล้วนะ!” เสียงนักศึกษาชายคนหนึ่งดังขึ้น เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนในห้องที่น่าจะพูดประโยคเดียวกัน

“โอเคๆ ขอโทษทีนะทุกคน เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เบฟเดินไปหยิบที่ตักผงมาใส่เศษบีกเกอร์ แล้วเธอก็เดินออกไปข้างนอกห้อง พีทมองตามแฟนสาวไปด้วยความเป็นห่วง

เบฟหันซ้ายหันขวา เมื่อมองเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เธอก็รีบปลีกตัวเข้าไปในห้องเรียนที่ไม่มีใครอยู่และรีบปิดประตู เบฟตรงไปที่โต๊ะยาวตัวที่ใกล้ที่สุด เทเศษบีกเกอร์ลงไปใต้โต๊ะ เธอนั่งคุกเข่า จากนั้นเธอก็กางมือออกทั้งสองข้าง ปรากฏเป็นแสงสีเขียวสว่างวาบทั่วทั้งห้อง ทันใดนั้นเศษบีกเกอร์สามชิ้นที่แตกก็กำลังเลื่อนมาประสานกัน!!!  จนกระทั่งบีกเกอร์ประกอบกันจนเสร็จ แสงสีเขียวนั้นก็หายไป เบฟหยิบบีกเกอร์นั้นขึ้นมาดู เธอยิ้มกว้างและหัวเราะคิกคักเบาๆให้กับผลงานของตัวเอง เธอไม่รอช้า รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เธอปิดประตูห้องและกำลังจะเดินเข้าไปในห้องเรียนของตัวเอง เธอต้องหยุดชะงักเมื่อเหลือบตาไปเห็นชายคนหนึ่งยืนกอดอกมองเธออยู่ เขาสวมชุดสูทสีดำและหมวกปีกกว้างบังใบหน้าเกือบจะหมด เธอสังเกตเห็นว่า เขากำลังยิ้มให้เธอ! เธออยากจะเข้าไปคุยด้วย แต่เบฟไม่มีเวลาลังเล เธอต้องรีบกลับไปที่ห้องให้เร็วที่สุดก่อนอาจารย์จะเข้า เธอจึงรีบเร่งฝีเท้าไปที่ห้อง เธอหันกลับไปมองชายชุดดำคนนั้น แต่เขาหายไปแล้ว... เธอไม่สนใจอะไรและเดินเข้าไปในห้อง

“หืมมม?” พีทส่งเสียงฉงน ทุกคนในห้องก็ทำสายตาเดียวกันกับพีท

“อะไร...เหรอ” เบฟมองหน้าพีทและเพื่อนสาวของเธอ

“เสร็จแล้วเหรอ?” แยมถามขึ้นขณะที่ทั้งห้องเงียบกริบ

“อะ...อื้มมม เรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันไปเอามาใหม่แล้ว” เบฟชูบีกเกอร์ใหม่ขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มเบาๆ

“ชั้นห้าเนี่ยนะ?” พีทคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

“จ้า ชั้นห้าขอบคุณมากเลยนะที่บอก” เบฟพยักหน้า เธอลุกลี้ลุกลน ทุกคนกำลังซุบซิบและจับจ้องไปที่บีกเกอร์ใหม่ที่เบฟเอามาในระยะเวลาไม่ถึงสองนาที และที่สำคัญคือ ตึกนี้ไม่มีลิฟท์ “เอ่อ คือว่าฉัน...”

“นักศึกษาเงียบด้วยครับ! กลับไปนั่งที่ด้วย!” เบฟหลับตาถอนหายใจเบาๆ อาจารย์ประจำวิชาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ จากนั้นทุกคนก็กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเองเตรียมเรียน

เบฟก้มมองมือตนเองที่ถือบีกเกอร์อยู่ เธอกำลังครุ่นคิดและเกิดคำถามต่างๆมากมายผุดขึ้นในหัวว่า ชายชุดดำคนนั้นคือใคร เขามาทำอะไรที่คณะของเธอและเขารู้(เห็น)อะไรจากเธอหรือไม่ และที่สำคัญเธอจะพูดให้แฟนหนุ่มของเธอเข้าใจได้อย่างไร

 

  ถ้าหากคุณเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังเข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยวันแรก สิ่งที่คุณจะทำเป็นอันดับแรกหลังเลิกเรียนคืออะไร? สิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้จะตอบคือ “ไปเอาบัวมารดน้ำแปลงผัก” แน่นอนเด็กปีหนึ่งผู้นี้เรียนอยู่คณะเกษตรศาสตร์ คณะที่เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์รูปร่างใหญ่โต แข็งแรง ทนทานสภาพอากาศ โดยทั่วไปคุณอาจจะคิดว่า คณะนี้มีแต่ลูกคนจนเข้ามาเรียน แต่ที่นี่มีตั้งแต่ลูกคนจนไม่มีอันจะกินไปจนกระทั่งลูกเจ้าของโรงงานการเกษตรยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งเด็กหนุ่มที่ผมกำลังพูดถึงให้คุณฟังเป็นลูกคนจนที่ต้องจากบ้านมาไกลเพื่อมาศึกษาหาความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง เด็กคนนี้ชื่อว่า “ชัย” เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ จมูกโด่งเป็นสัน  ใส่ชุดนักศึกษาสีหมองๆบวกกับผมสกินเฮด และสะพายกระเป๋าเป้สีน้ำตาลใบเก่าๆ ชัยเดินมาที่ห้องเก็บอุปกรณ์งานเกษตร เพื่อหยิบบัวรดน้ำไปรดน้ำแปลงผักที่รุ่นพี่สั่งให้ปีหนึ่งทุกๆคนทำ แต่วันนี้รู้สึกจะมีเขามาที่นี่แค่คนเดียว

  เขาเดินอย่างสบายอารมณ์ไปที่แปลงผักพร้อมผิวปากฮัมเพลงไปด้วยขณะตักน้ำขึ้นจากสระข้างๆแปลง ชัยค่อยๆรดน้ำต้นไม้ไปที่ละแปลง เขาดูมีความสุขมากทีเดียว เขาต้องเดินไปเดินมาเพื่อตักน้ำขึ้นจากสระมารดแปลงผักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ส่วนที่เขาต้องรดนั้นเสร็จไปแล้ว แต่เป็นคำสั่งของรุ่นพี่ที่ให้ปีหนึ่งทำ เขาจึงจำเป็นต้องรดให้เพื่อนๆด้วย

  จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเขาก็กำลังเดินไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์เพื่อเก็บบัวรดน้ำ ชัยกำลังจะเดินออกจากห้องแต่เขาดันเหลือบไปเห็นตู้เก็บอุปกรณ์อีกตู้หนึ่งที่มุมห้องเปิดอยู่ เขาก็เดินไปที่หน้าตู้และพบว่าในตู้นั้นมีจอบ เสียม พลั่วและเครื่องมือสำหรับการเกษตรหลายสิบอัน ชัยกำลังจะปิดประตูตู้ แต่ทันใดนั้นเหล่าเครื่องมือที่อยู่ในตู้ก็เอนมาข้างหน้าราวกับถูกมนต์สะกด และมันก็หล่นมาทับร่างชัยลงไปกระแทกกับพื้นกระเบื้องเสียงดังลั่นห้อง

โครม!!! เสียงเหล็กกล้าหลายสิบชิ้นกระทบกับพื้นห้อง และหลายชิ้นก็กำลังเกยทับอยู่บนร่างของชัย เขานอนนิ่ง มีเลือดไหลออกจากปาก มีแผลฟกช้ำและแผลที่ถูกบาดหลายจุด  และพบว่าศีรษะของเขาถูกจอบกระแทกจนมีเลือดไหลนองออกมาเต็มพื้น ชัยหายใจอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขากำลังนึกถึงหน้าพ่อและแม่ของตัวเองที่กำลังทำงานหนัก เขาคิดแค้นใจตนเองที่ต้องมาตายแบบนี้โดยที่ยังไม่ได้ตอบแทนอะไรพ่อกับแม่เลย เขาอยากจะลุกขึ้นจากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายของเขาเหมือนเป็นอัมพาต เลือดก็ไหลนองเรื่อยๆจนพื้นห้องแดงฉานไปทั่ว

“ฉัน...ต้อง...ไม่..........ตาย” ชัยพูดกับตัวเอง เขากำลังจะสิ้นใจ ทันใดนั้นเขาก็เห็นประกายแสงสีเหลืองกระพริบขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าแสงนั้นเกิดในหัวของเขาคิดไปเองหรือเขาเห็นมันจริงๆ เขาหลับตาลงช้าๆ

ชัยหายใจเฮือกเสียงดัง เขาขยับตัวได้แล้ว และเขาก็กำลังสะบัดเครื่องมือทั้งหลายที่ทับร่างเขาอยู่ออกที่ละชิ้นๆจนหมด เขาลุกขึ้นนั่งเอามือจับหัวตัวเองและพบว่า เลือดหยุดไหลแล้ว

“อะไร...เนี่ย” ชัยงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาขยับตัวได้อิสระเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าเขาไม่ได้ถูกเหล่าเหล็กกล้าตรงหน้าหล่นลงมาทับ เขาพยายามจะคิดเช่นนั้น แต่รอบๆตัวก็เต็มไปด้วยเลือดของเขา “โอ้ว ให้ตายเถอะน่า” เขากุมขมับตัวเองและถามตัวเองในใจอย่างบ้าคลั่งว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันวะ!!!”

เขามองออกไปที่ประตู ตาของเขาเบิกโพลงเมื่อมองไปเห็นชายคนหนึ่งใส่หมวกปีกกว้างยืนอยู่

“นะ..นายเป็นใคร!?” ชัยถามด้วยความตกใจ

“หึหึหึ” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ยอดเยี่ยมมากๆ” เขาปรบมือ เสียงของเขาทุ้ม แหบกร้าน และเย็นยะเยือก

“อะไรเยี่ยมล่ะโว้ย!” ชัยลุกขึ้นยืนพลันด้วยความโมโห

“นายคือผู้ถูกเลือก ชัย” คำตอบนั้นทำให้ชัยหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง “เซลล์ของนายมีความสามารถที่หลากหลาย มันยืดหยุ่น ฟื้นตัวเร็วและช่วยให้นายแข็งแกร่ง น่าประทับใจจริงๆ ฉันคิดไว้แล้วว่ามันต้องเกิดขึ้นกับนาย...” เขาเว้นวรรคคำพูดด้วยน้ำเสียงแหบลึก “...ไม่ช้าก็เร็วนายจะเข้าใจ” เขากดหมวกลงปิดหน้า หันหลังและเดินจากไป

ชัยรีบวิ่งตามออกไปข้างนอก แต่ชายคนนั้น หายไปแล้ว...

ชัยหันกลับไปในห้องและพบว่าเครื่องมือเกษตรที่หล่นมาทับร่างเขาวางเรียงอยู่ในตู้เรียบร้อยดี และที่สำคัญเลือดที่นองพื้นก็หายไปด้วยเช่นกัน! เขาทำหน้าตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาเลิกเสื้อขึ้น และมองแผลฉีกขาด   มันกำลังประสานกันอย่างช้าๆ! ชัยส่ายหัวไปมา

“อะไรวะเนี่ยยยย!!!!” เขาตะโกนเสียงดัง ชัยยืนอยู่กับตัวเองพักหนึ่ง จนเขาอารมณ์เย็นลง เขาก็เดินไปปิดประตูตู้เจ้าปัญหาและสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องเก็บอุปกรณ์ไป ขณะนี้ฟ้ามืดแล้ว ชัยมองเข้าไปในห้องเพื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดกับตัวเอง เขาหันควับและเร่งฝีเท้ากลับหอพักอย่างรวดเร็วพร้อมคำถามมากมายที่พรั่งพรูขึ้นมาในหัวของตัวเอง

 

มาจนถึงตอนนี้คุณคงสงสัยว่า ผมจะเล่าชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยทั้งสี่คนนี้ให้ฟังทำไม ก็เพราะว่ามันเป็นวิถีชีวิตที่ปกตินั่นแหละผมถึงเล่าให้พวกคุณฟัง พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างคนมีการศึกษาทั่วไป ตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟัน ไปเรียน สอบ และอื่นๆอีกมากมายที่เหมือนๆกับพวกคุณ เพียงแต่คนเหล่านี้พิเศษกว่าพวกคุณ บางคนควบคุมเวลาได้ ย้ายจิตควบคุมคนอื่นได้ มีอำนาจควบคุมสถานะสสาร และมีเซลล์ที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์

ใช่แล้ว สิ่งที่คนเหล่านี้ต่างจากคุณก็คือ เขามีพลังวิเศษ พวกเขาถูกเรียกรวมๆว่า “โซดิแอค” เนื่องจากมีผู้ครอบครองพลังทั้งหมด 12 คนตามราศีเกิด โซดิแอคมีตั้งแต่คนวัยชรา ผู้ใหญ่วัยทำงาน วัยรุ่น นักศึกษา เด็กตัวเล็กๆ พวกเขาล้วนถูกเลือกจากปัจจัยที่ต่างกัน บางคนถูกมอบพลังมาให้แต่เกิด บางคนเพิ่งได้พลังหลังเกิดเหตุจนถึงชีวิต และบางคนก็ถูกมอบให้ด้วยความบังเอิญ(ไม่ก็จงใจ)

เหล่าโซดิแอคจะถูกเลือกให้ได้รับพลังโดยสิ่งที่เรียกว่า “บริม” ผ่านตัวแทนที่เป็นชายลึกลับใส่หมวกปีกกว้าง สวมชุดสูทสีดำ โดยสิ่งที่โซดิแอคทั้ง 12 คนต้องทำ ก็คือการแย่งชิง “ปณิธานแห่งบริม” พวกเขาต้องต่อสู้กัน ห้ำหั่นกัน หรือมองดูคนอื่นตายจนเหลือตนเองเป็นคนสุดท้าย ไม่ต้องเลือกวิธีการ ไม่จำกัดวิธีการเอาชนะ ไม่มีกฎ ทุกคนจะต้องทำให้โซดิแอคหายไปให้ได้ และเหลือเพียงตนเพียงคนเดียวเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้รับปณิธานแห่งบริม

มาจนถึงตอนนี้ คงมีคำถามผุดเป็นดอกเห็ดในหัวคุณ แต่คุณไม่ต้องตั้งคำถามอะไรมากมายกับสิ่งที่ผมเล่ามาหรอก แค่ฟังเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปก็พอ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา