ปริศนาอาถรรพ์ วังเปรต

-

เขียนโดย ไปรยาลน้อย

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.05 น.

  8 บท
  0 วิจารณ์
  8,796 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) หมู่บ้าน "วังจะกะ"

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
 
บทที่ 2 หมู่บ้าน "วังจะกะ"
 
 
     วันนี้ผมก็ตื่นแต่เช้าอีก ด้วยความขยันที่จะได้ลองงานใหม่ ๆ และก็สบายใจที่งานแรกก็ทำกับชาย 
 
ซึ่งตอนนี้ผมค่อนข้างไว้ใจชายมากที่สุดแล้ว อารมณ์ตอนนั้นเหมือนกับอารมณ์ตอนที่เราได้เพื่อนคนแรกที่โรงเรียน เพื่อนคนแรกที่มหาวิทยาลัย 
 
ส่วนชายก็เป็นเพื่อนคนแรกที่ทำงานด้วยกัน วันนี้ผมอาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่ต้องออกรถไปหมู่บ้านตอน เจ็ดโมงเช้า ไปถึงก็เกือบแปดโมงพอดิบพอดี
 
 ครั้งนี้ตอนอาบน้ำผมก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ อีกแล้ว แต่ผมละความสนใจไปแล้วและคิดว่าเป็นเสียงที่คงเกิดเป็นปกติ ไม่ได้น่ากลัวอะไร 
 
อาบน้ำเสร็จก็แต่งชุดสีกากีของข้าราชการออกมาก็เจอชายที่แต่งตัวออกมาพร้อม ๆ กัน 
 
ไปที่ทำงานก็เจอป้าหวีมาอยู่ก่อนแล้ว ป้าหวีแต่งชุดข้าราชการและทรงผมสูงจัดเต็มมาแต่เช้า ผมก็ไม่รู้ว่าป้าแกมาเช้าขนาดนี้มีเวลาทำผม แต่งหน้าขนาดนั้นได้ยังไง
 
     ถึงเวลาใกล้รถจะออกแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็รอให้ไอ้ปุณย์เพราะมันเป็นคนขับรถ จริง ๆ ปุณย์เป็นเจ้าพนักงานรังวัดเหมือนป้าหวี แต่ก็เป็นคนขับรถจำเป็นของสำนักงาน เพราะที่นี่เราขาดคนขับรถ
 
   ไอ้ปุณย์นี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่เป็นคนที่ดูท่าจะซุ่มซ่ามและสะเพร่า และทุกทุกคนในที่ทำงาน มักจะใช้งานมันกันเป็นส่วนมากเพราเป็นเหมือนเบ๊ไว้ใช้งาน และมันก็ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น 
 
   แต่ไอปุณย์ก็ขึ้นชื่อเรื่องความซุ่มซ่ามเท่าที่ได้ยินมา
 
 และป้าหวีด่ามันเป็นประจำและคอยจิกใช้มันเป็นพิเศษ แต่ปุณย์ก็เป็นคนที่จริงใจและไม่โกรธใครเลย แค่จะโง่ ๆ ไปหน่อย
 
     ไอปุณย์โผล่มา พร้อมกับพวกอุปกรณ์รังวัดต่าง แต่ที่เห็นมีตลับเมตรกับหมุดปัก กล้องวัดมุมซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญ 
 
    ส่วนป้าหวีก็เตรียมเอกสารโฉนดเก่า ๆ ของหมู่บ้านนี้ เพื่อใช้ดูเป็นแนวไว้รังวัดกับร่มหนึ่งคันที่ดูเหมือนเผื่อไว้ ทั้งทั้งที่วันนี้แดดแรงและไม่มีแววว่าฝนจะตก 
 
ชายเล่าว่านี่เป็นเคสแรกที่ไม่ได้มีคนมาคอยชี้แนวเขต เหมือนการรังวัดที่ดินตามปกติ และก็ต้องใช้คนมากกว่าปกติเพราะต้องวัดเป็นแนวที่ดินขนาดใหญ่ ทั้งหมู่บ้าน
 
ไอปุณย์ วิ่งมาอย่างลุกลี้ลุกลน ป้าหวีก็ตวาดด่า “ เอ็งมันไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง ฉันงงจริง ๆ เขาเอาแกเข้ามาเป็นพนักงานได้ไง “ ปุณย์ก็พยัก ๆ หน้า ยอมรับคำด่าว่าโดยดี
 
     พวกเราก็ขึ้นรถซึ่งเป็นลักษณะเหมือนรถสองแถวไป ขับไปได้ซักระยะ ถนนจากที่ลาดยางก็เปลี่ยนเป็นลูกรัง และทางก็ขึ้นลงเนิน เรานั่งแทบไม่ติดที่ 
 
     รถมันสั่นจนบางครั้งผมก็กระเด็นจากที่นั่ง ชายก็ประคองผมไว้บ้าง ส่วนป้าหวีแกจับไหล่ไอปุณย์ เอาไว้ไม่ให้ล่วงจากที่นั่งเหมือนกัน 
 
    เมื่อมาถึงที่ ก็เลี้ยวเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ชื่อวัดวังจะกะ เป็นวัดแถวนี้ ซึ่งเป็นอุโบสถก่อปูน ไม่มีการตกแต่งอย่างสวยงามเหมือนอย่างวัดในกรุงเทพ กำแพงอุโบสถเรอะไปด้วยคราบของรอยน้ำฝนที่เกาะกับปูน ทำให้เป็นรอยด่าง ๆ ดำ ๆ เต็มพระอุโบสถ 
 
    อากาศที่นี่หนาวเย็นมาก คงเป็นเพราะใกล้ช่วงปีใหม่และอยู่ในบริเวณเขาใหญ่ เราเดินลงมากัน ชายสูดอากาศเต็มปอด น่าจะเพราะเป็นบ้านเกิดของชายคงจะคิดถึงที่นี่มาก
 
      ผมก็สูดอากาศเข้าเต็มปอดเหมือนกัน รู้สึกดีมาก รู้สึกเย็นวาบไปทั่วปอด และโล่งสบาย 
 
     สักพักก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามา พวกเราจึงรีบไหว้ ป้าหวีก็ชี้แจ้งขอใช้ที่จอดรถ เพื่อจะไปทำงานรังวัดหมู่บ้านนั้น พระท่านแนะนำว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้  
 
     ทางเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ท่านก็บอกว่าขอให้โยมระมัดระวังตัวกันหน่อยนะ 
 
“ พวกเราขอไปชี้แจงผู้ใหญ่บ้านก่อนนะคะ  “ ป้าหวีพูดกับพระรูปนั้น 
 
พวกเราสี่คนเดินทางเพื่อไปยังหมู่บ้านเขาจะกะ เดินออกมาจากถนนด้านหน้าวัด ออกมาก็เจอยายแก่ ๆ ผมเซิง ๆ คนหนึ่ง
 
        ซึ่งผมจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่ชายบอกไว้ว่าเป็นบ้าแล้วไล่ตะเพิดไปวันแรกที่ผมมาทำงาน
 
      ยายแกมองมาทางชายทำหน้าโกรธ ๆ แล้วถามชายว่า “ แกมาทำอะไรวัดนี้ ไอชาย ” 
 
ชายตอบว่า “ ก็แค่มาหาที่จอดรถเองยายขีด “  
 
ยายแกไม่ได้ถามอะไรชายต่อ ยายแกหันมามองผมอยู่ครู่ แล้วก็เดินหลบหอบหิ้วข้าว
ของ น่าจะเป็นข้าวสารอาหารไปถวายพระท่าน 
 
ผมถามชายว่า “ ยายแกก็ดูไม่ได้บ้านี่ “ 
 
ชายตอบ “ ตอนนี้ไม่หรอก แต่ถ้าคนหมู่บ้านชาย
เข้าไปบ้านแกเมื่อไร แกไล่ด่า โยนข้าวโยนของใส่ไล่กระเจิดกระเจิงเลย “ 
 
     พวกเราเดินไปกัน เลยจากวัดไปนิดหน่อย เห็นไกล ๆ เป็นทางแยก
 
 ด้านนึงจะเป็นทางที่ขึ้นเขาเป็นแยกทางขวา เป็นภาพทางที่ชันขึ้นไปชัดเจน
 
 อีกแยกของทางฝั่งซ้ายเป็นทางที่ลาดลงไป 
 
จู่ ๆ ไอปุณย์ก็ตะโกนบอกว่า “เหย ลืมกล้องวัดมุมไว้ที่รถว่ะ “
 
 ป้าหวีเค้นเสียงด่าออกมาทันที “ งี่เง่า ของสำคัญขนาดนั้นแกลืมได้ไง เวร “
 
 ปุณย์ก็บอกจะรีบกลับไปเอา แต่มันก็บอกไม่กล้าไปคนเดียว
 
 ชายเลยพูดกับมันว่า “ นี่ก็ตอนกลางวันนะ กลัวอะไร” ปุณย์มันก็ถอนหายใจ ผมเห็นแล้วสงสารมันหน่อย ๆ เลยบอกไปว่าเดี๋ยวไปเป็นเพื่อน ปุณย์มันก็ยิ้มขึ้นมาเลย 
 
    ผมกับปุณย์ก็เดินกลับไปเอากล้องวัดมุม ส่วนชายกับป้าหวีก็จะไปชี้แจ้งผู้ใหญ่บ้านก่อน เพราะเดี๋ยวจะไปสายจะไม่ทัน แล้วผมเอากล้องวัดมุมแล้วก็จะเดินไปเจอที่บ้านผู้ใหญ่บ้านทีหลัง 
 
     หลังจากที่ผมกับปุณย์กลับไปที่รถหยิบกล้องวัดมุมแล้ว ก็เดินออกมาจะไปหมู่บ้าน
 
     เดินมาถึงทางแยกที่เดิมแต่เราสองคนจำกันไม่ได้ว่าต้องไปทางไหน เรามองที่หัวมุมแยกเผื่อจะมีป้าย
 
      ก็มีแต่กระทงใส่อาหารมาวางไว้ น่าจะเพราะทางตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง มองหาป้ายเท่าไหร่ก็ไม่มี 
 
     แถมตอนแรกชายจะเป็นคนนำทางไปหมู่บ้านเอง เพราะเป็นบ้านเกิดของชาย
 
 ผมกับปุณย์ เดินมาถึงได้สักครู่ ผมก็เห็นผู้หญิงดูเหมือนยายคนนึง เดินไปทางแยกด้านซ้ายซึ่งเป็นทางลาดลงด้านล่าง แต่มองไม่ชัดนักเพราะมีพุ่มไม้บังยายคนนั้นไว้ 
 
ผมกับปุณคิดว่าน่าจะเป็นยายที่เจอที่วัดเมื่อกี้ และจะไปถามทางยายแก เราสองคนเดินไปทางลาดด้านล่าง 
 
ซึ่งเดินไปก็เห็นว่าทางเริ่มมีหญ้าแซมขึ้นเรื่อย ๆ และเดินลำบากขึ้น เหมือนเป็นทางที่ไม่ค่อยมีคนใช้กัน และก็ไม่เห็นยายคนนั้นแล้ว 
 
     ผมกับปุณย์เดินไปได้สักครู่ ก็เห็นป้ายหมู่บ้านมีคำว่า “ จะกะ “ อยู่ แต่มีหญ้ามีกาฝากขึ้นบังคำในป้ายไว้คำหนึ่ง ผมกับปุณย์เข้าไปดูใกล้ ๆ และแกะเอาเถาวัลย์ กับพวกต้นกาฝากออกมา 
 
     เห็นเป็นคำว่า “ วัง “ รวมทั้งป้ายคือ “ วังจะกะ “ ผมจำได้ทันทีนี่ล่ะหมู่บ้านที่เราจะต้องมารังวัดที่กัน 
 
“ นี่ไงที่เราจะมารังวัดกันเนี่ย ” ผมพูดขึ้น 
 
“ มันเป็นหมู่บ้านร้างใช่ไหม “ ปุณย์พูดเสียงสั่น ๆ
 
“ อืม “ ผมตอบ
 
     ผมมองออกลอดทางซ้ายของป้าย ไปเป็นทางไปในหมู่บ้านนั้น เห็นสภาพบ้านพังลงมาไม่เหลือซากอยู่ มีกอต้นไม้ขึ้นแซมระเกะระกะเต็มไปหมด และมีซากบ้านเรือนหลังคาพังหล่นพังตามทางเดินมีหญ้าขึ้นรก 
 
ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไร ขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้ 
 
“ เห้ย โรจน์กลับไปทางแยกดีกว่าเถอะว่ะ “ ปุณย์พูดขึ้น ด้วยตาตื่นกลัว
 
“ เออ กลับไปกันเถอะ “ ผมหันข้างกลับไปตอบไอ้ปุณย์ ระหว่างที่หันนั้น ที่หางตาผมเห็นเงาผู้หญิงมียืนมองมาจาก ซากบ้านที่พังนั้น
 
      ผมหันกลับไปก็ไม่เห็นร่างเงานั้นแล้ว ผมมองดูซากบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เห็นแววแสงแปร่ง ๆ ออกมาเหมือนมีตาของอะไรบางอย่างสะท้อนแสงอยู่ 
 
 มันมองออกมาทางผมจากในซากบ้านหลังนั้น 
 
“ เห้ย ตาตัวอะไรว่ะ “ ไอปุณย์ตะโกนขึ้นมา ขณะกำลังหันมาทางเดียวกันกับผม ดวงตานั้นเคลื่อนไหวมาใกล้ขึ้น จนพ้นจากซากของบ้าน
 
 และออกมาจากมุมมืด เห็นเป็นขาเล็ก ๆ สีดำ
 
“ โถ่ ปุณย์ ก็แค่แมวเอง “ ผมพูดขึ้นหลังจากเห็นแมวดำตัวนั้นชัดขึ้น
 
ปัง !  เสียงเหมือนคนเหยียบเศษหลังคาสังกะสีดังออกมาจากในหมู่บ้านร้างนั้น
 
 ผมมองหาก็เห็นว่าเป็นยาย คนที่เราตามกันมา เห็นแกปีนเอาอาหารขึ้นไปไว้บนเสาสูง ๆ ผมไม่รู้หรอกครับตอนนั้นว่าเสาอะไร 
 
“ เสาเปรต ! “ ไอปุณย์เห็นและพูดด้วยตาและสีหน้าแตกตื่น ผมได้ยินก็เข้าใจและเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน
 
“ ไปเถอะ ๆ “ ปุณย์พูดเสียงเร้า ๆ ก่อนจะรีบหันหลังแล้วเดินเร็วไปก่อนผมอีก
 
ผมก็หันหลังและเดินกลับไปที่ทางแยก ตอนเดินกลับ
 
 ผมกลับยังรู้สึกแปลก ๆ และรู้สึกเลยว่าระหว่างที่เดินกลับไปที่
 
เหมือนมีเงายาว ๆ ค่อย ๆ ทอดมาคลุมตัวผมไปเรื่อย ๆ 
 
ผมก็กลายเป็นค่อย ๆ สับเท้าให้เร็วขึ้น 
 
และใจกลับไปนึกถึงซากบ้านพัง ๆ หลังนั้น
 
 เหมือนผมเคยเห็นมันมาก่อนที่ไหนซักแห่ง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา