King of love ผมนะเหรอภรรยา (เมีย)...ราชาปีศาจ

8.3

เขียนโดย Byตั้งโอ๋

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.09 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560 14.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ความเข้าใจของหัวใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 10 ความเข้าใจของหัวใจ

“มันออกจะแปลกที่เจ้าพลาดอีกแล้วแค่กำจัดผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทรา เจ้าก็ทำไม่ได้เสียที” น้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุดัน และทรงอำนาจทำเอาคนได้ยินได้เห็นถึงกับรู้สึกเสียวสั่นหลังขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ในใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทสั่นไหวเลย

“ข้าขอประทานอภัยฝาบาท …ข้าขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง” เสียงจากชายในชุดคลุมสีดำเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทที่ใครมองมาก็คงมองไม่เห็นสีหน้าเรียบเฉย และเย็นชาดุดน้ำแข็งนั้นเลยแม้กระทั่งผู้เป็นนาย

“เจ้าออกไปจัดการได้แล้วไป!” เมื่อได้ยินคำสั่งชายชุดดำโค้งตัวเป็นการบอกลาก่อนจะหมุนตัวเตรียมก้าวเท้าออกไป แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงของผู้เป็นนายดังขึ้นมาอีกครั้ง

“หวังว่าครั้งนี้เจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังอีกครั้งหรอกนะ คลูส” เมื่อจบคำก้มหัวน้อมรับคำสั่งอีกครั้งก่อนจะก้าวเดินออกไป เมื่อเดินออกมาจนพ้นมือหนาที่อยู่ใต้ชุดคลุมสีดำค่อยๆ ยกขึ้น และเลื่อนผ้าคลุมออกเผยให้เห็นเส้นผมสีควันบุหรี่ ใบหน้าเรียวได้รูปค่อยๆยกขึ้นจนเห็นสายตาคู่สวยที่ดำสนิทตัดกับสีผม มันดูเข้ากันอย่างลงตัวผมสีขาวควันบุหรี่กับนัยน์ตาสีดำสนิทที่เดาไม่ถูกว่าเจ้าตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ คิ้วเรียงตัวอย่างสวยงามบวกกับผิวขาวจนดูซีดราวกับไร้สีของเลือดในกาย

เท้ายาวก้าวเดินผ่านหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ที่หนาแน่นจนมองไม่เห็นเส้นทางด้านหน้าอย่างไม่สะทกสะสาน สายตาเย็นชาคู่นั้นหากมองดีอาจจะรู้ว่ามันมีความเศร้าปะปนอยู่ภายใน กวาดมองไปรอบๆบริเวณที่หมอกสีขาวปกคลุมอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร สองเท้าก็ก้าวเดินเข้าทางซอกหินเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆทันที เท้าเรียวงามก้าวมาหยุดที่กำแพงหินขนาดใหญ่พอมองไปก็พบเพียงแผ่นหินที่ปิดกั้นเป็นแนวยาว แต่ถ้าหากลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่ามีโพรงเล็กๆ บนแผ่นกำแพงขนาดใหญ่นั้น

ชายหนุ่มหันมองซ้ายมองขวานิดหน่อยเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษหินชิ้นเล็กขึ้นแล้วปาไปยังในโพรงหินนั้น หินที่ลอยอยู่ค่อยๆ กลายเป็นผีเสื้อสีดำสนิทไปเกาะไหล่หญิงสาววัยกลางคนที่อยู่ด้านใน

“คลูสมาแล้วเหรอลูก” หญิงสาวเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นผีเสื้อสีดำสนิทมันกลายเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ต่างฝ่ายก็รู้กันดีว่ามันสื่อถึงสิ่งใด

“คุณค่ะคลูสมาแล้วค่ะ” หญิงวัยกลางคนหันไปบอกชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังโพรงหินของกำแพงที่เป็นรูเนื่องจากกระทำของคนด้านนอกเมื่อนานมาแล้ว

“คลูสเป็นไงบ้างลูกมันได้ทำอะไรลูกไหม” 

เมื่อเห็นใบหน้าของคนด้านนอกก็รีบตามสารทุกข์สุขทันทีมือที่ดูเหี่ยวไปตามวัยค่อยๆ ยื่นออกมาจากโพรงหินจับมือของอีกคนด้านนอกอยากห่วงใย

“ไม่ครับผมไม่เป็นอะไร น้องปลอดภัยดีนะครับดีที่ผมช่วยทัน”

“มันไม่เอะใจใช่ไหมว่าทำไมเราถึงทำงานพลาด”

“ไม่หรอกครับก็คนของฝังนั้นเก่งจะตายมันก็รู้ ถ้าผมจะพลาดมันคงไม่แปลกใจเท่าไร”

“แต่ก็อย่าประมาณไปนะลูกรู้อยู่ว่ามันเลวแค่ไหน” หญิงสาวนึกเป็นห่วงและยังนึกห่วงอีกคนที่ไม่ได้อยู่ต้องนี้นานมากแล้วที่ไม่เคยได้เจอกันเลย

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับน้องต้องปลอดภัยเชื่อผมนะ” สายตานิ่งคู่นี้จะดูอ่อนลงทุกครั้งที่เขามาที่นี้ที่ๆ คนสำคัญอยู่ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่ช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็พยายามทำในสิ่งที่ทำได้ และสามารถช่วยได้อย่างเต็มที่แม้ตนเองจะต้องเจ็บต้องทรมานตัวเขายินดีที่จะยอมรับมัน

“ไม่ใช่ห่วงแต่น้องจนลืมตัวเองละอย่าลืมว่าแกอยู่ในกำมือมันอยู่” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นแม้คำพูดจะดูเหมือนว่ากล่าวแต่เขารู้ดีว่าในคำพูดนั้นมันคือความห่วงใย

“ครับ ผมจะระวังให้มากๆ”

“ดี แล้วนั้นอาการกำเริบบ้างไหมแกไม่ได้เลือดมาสองวันแล้วนะเดี๋ยวมันก็กำเริบลามไปอีก จะปล่อยให้มันครอบงำหรือไงกัน” เสียงจากชายวัยกลางคนพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“นั้นสิคลูส ลูกไม่ได้รับเลือดมาสองวันแล้วนะ รู้อยู่ว่ามันอันตรายแค่ไหน อย่าทำให้แม่เป็นห่วงนักสิ เรายื้อมันมาได้นานมากแล้วนะดีที่ไอ้เลวนั้นไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลูก แต่ลูกอย่าลืมนะวันใดที่จันทราสว่างลูกต้องรับความทรมานหนักมาก แม่ไม่อยากเห็นมันอีกแค่นี้มันก็ทรมานสำหรับลูกมากแล้ว”หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าและทรมานยิ่งหนักไม่อาจรับได้ที่ต้องเห็นคนอันเป็นที่รักต้องเจ็บปวดมันทำให้ตัวเธอเองรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก

“ครับผมรู้ วันนี้ผมจะรับเลือดนะครับ” เสียงราบเรียบที่ดูอ่อนโยนตอบกลับไป ตัวเองก็รู้สึกทรมานไม่ต่างกันคนที่รักและเคารพอยู่ใกล้แค่นี้แต่ก็มิอาจช่วยอะไรได้เลย ความเจ็บที่กายรับมันเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดหัวใจที่ต้องทนดูผู้เป็นที่รักอยู่อย่างเศร้าโศก และทรมานอย่างนี้

อีกด้านของอาณาจักร

ทางด้านอาณาจักรของราชาปีศาจดูวุ่นวายเป็นอย่างมากนับจากราชินีแห่งอาณาจักรถูกลอบทำร้ายอีกครั้ง ทำให้ไพร่พลทหารมากมายอยู่ล้อมรอบบริเวณอาณาจักรเพื่อดูแลความปลอดภัย

“ท่านพี่...พี่สวยเป็นอย่างไรบ้าง” มิคาร์เอลที่พึ่งเข้ามาในห้องนอนถามขึ้น

“หลับไปแล้วนะคงจะตกใจกลัวมากไม่ยอมปล่อยพี่เลย” อัสบัสหันมาตอบผู้เป็นน้องชายก่อนจะหันมามองคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังร่างบางที่ยังจับกุมมือของเขาไม่ยอมปล่อยถึงแม้ตัวเองจะหลับไปแล้วก็ตาม

“ท่านพี่ข้าให้ทหารกระจายตัวไปคุ้มกันตามจุดต่างจนทั่วอาณาจักรแล้ว”

“ขอบใจเจ้ามากมิคาร์เอลน้องพี่” น้ำเสียงอ่อนโยนปะปนกับความกังวลตอบกลับไป คนฟังแม้จะตกใจแต่ก็เข้าใจดีว่าต่อจะให้เป็นคนที่แข็งแกร่งแค่ไหนได้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาไร้หัวใจยังไง สุดท้ายก็ไม่พ้นคำว่าความรู้สึกอยู่ดี เพราะยังไงทุกคนก็ล้วนมีความรู้สึกด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะชอบ รัก ห่วงใย มันเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก ท่านพี่อัสบัสก็เหมือนกันต่อให้ได้รับสมยานามว่าเข้มแข็ง ไร้หัวใจมากแค่ไหนแต่ก็มีความรู้สึกเหมือนกันมันย่อมไม่แปลกอันใด

“ท่านพี่พวกอาเทอร์มันรุกหนักแล้วละคราวนี้พวกมันไม่ปล่อยให้พี่สวยรอดแน่นอน” มิคาร์เอลพูดด้วยน้ำเสียงติดกังวล

“พี่ไม่ให้มันเป็นเช่นนั้นหรอก อย่าลืมสินี้คือราชินีของพี่ไม่มีทางให้เขาเป็นอะไรเด็ดขาด และอีกอย่างผู้ครองหยาดน้ำแห่งจันทราจะปล่อยให้เป็นอะไรไม่ได้หรอกเจ้าก็รู้ว่าเขาสำคัญสำหรับพวกเราชาวปีศาจและสำคัญสำหรับพี่มากแค่ไหน พี่จะไม่มีทางให้ข้าวสวยเป็นอันตรายใดๆ ได้ทั้งนั้น” อัสบัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง มิคาร์เอลมองพี่ของตนเองอย่างภาคภูมิ ท่านพี่เปลี่ยนไปจริงๆ ตั้งแต่พี่สวยมาอยู่นี้ ขอบคุณพี่สวยมากที่ทำให้ท่านพี่ของข้าเปลี่ยนไปแบบนี้ความอ่อนโยนที่หาไม่ได้เลยจากท่านพี่พี่สวยก็ทำให้มันเกิดขึ้น แม้ท่านพี่จะแข็งแกร่งปกครองโลกปีศาจได้ดีก็จริงแต่การแสดงความรู้สึกต่อคนอื่นนั้นไม่เคยมีเลย ไม่มีคำว่าอภัย ไม่มีคำว่าสงสารใดๆ ทั้งสิ้น ซึ้งมันช่างดูใจร้ายยิ่งนักในสายตาของผู้เป็นน้องชาย แต่ตอนนี้มันต่างออกไปจริงๆ ต่อไปโลกปีศาจคงจะสงบสุขและเปรียบไปด้วยความสุขเป็นแน่แท้หากเรื่องร้ายๆ ได้ผ่านพ้นไป

ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะกระพริบตาสองสามครั้ง สายลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้าจนรู้สึกแปลกใจสายตาคู่งามจึงค่อยๆ เพ่งมองไปข้างหน้าก็พบกับเหล่าก้อนเมฆที่กระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้ากว้างอย่างสวยงาม ปุยเมฆขาวค่อยๆ เลื่อยตัวอย่างช้าๆ จนคนมองรู้สึกเพลิดเพลินอดที่จะคิดจินตนาการไม่ได้ว่ามันคล้ายกับสิ่งใดบ้าง แต่ก็หลงใหลไปกับมันไม่ได้นานก็ชุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่นี้มันที่ไหนกันแล้วตนเองมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร

แขนเรียวสองข้างค่อยๆ ยันพื้นเพื่อยกตัวขึ้นนั่งก่อนจะยืนขึ้นสายตาก็กวาดมองไปโดยรอบก็พลันทำให้ตกใจเมื่อด้านหน้าเป็นเพียงทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างจนสุดลูกหูลูกตาจนมองหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อเห็นดังนั้นขาเรียวจึงค่อยๆ ก้าวเดินเพื่อมองหาถึงสิ่งที่ให้คำตอบแก่ตัวเอง

สองเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นานเท่าไรแล้วที่ก้าวเดินออกมาแต่ก็ยังคงพบเพียงทุ่งหญ้าสีเขียวที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด สองขาก็เริ่มล้าเต็มทีจิตใจก็กระวนกระวายยิ่งนักรู้สึกกลัวจับใจ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ๆ แต่อ้อนวอนขอให้คนที่ตนนึกถึงมาช่วยแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว

“ผมกลัว ฮือๆ ผมกลัว คุณอยู่ที่ไหน อัสบัส ฮือ ฮือ ได้โปรดช่วยผมทีพาผมออกไปจากที่นี้สักที มันเงียบเหงา และน่าเศร้าเหลือเกิน ฮือ ฮือ อัสบัส” เสียงพูดปนสะอื้นจนฟังไม่เป็นภาษาเอ่ยขึ้นอย่างน่าสงสาร คนเพียงคนเดียวที่นึกถึงก็มีเพียงผู้ที่ชื่อว่า อัสบัส ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกชื่อคนอื่นไม่ออกเลยรู้เพียงแค่คนๆนี้ ต้องช่วยได้เป็นแน่เพราะทุกครั้งอัสบัสก็มาช่วยเขาตลอดครั้งนี้ก็เหมือนกันจะต้องมาอย่างแน่นอน

ร่างบางนั่งร้องไห้อย่างน่าสงสารความรู้สึกหลายๆ อย่างมันถาโถมเข้ามาจนจิตใจอ่อนล้าเต็มทีพลาดให้นึกถึงใครคนนั้นยิ่งนัก รู้สึกเสียใจที่ต้องจากกัน คงจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นแน่แท้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกความรู้สึกให้คนนั้นรู้เลยแท้ๆ ก็ต้องจากกันเสียแล้ว เขาคงจะรู้ใจตัวเองช้าไปจริงๆ เหตุการณ์หลายๆ อย่างมันทำให้เข้าใจมากเกินพอแต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่กลัวจนสุดท้ายมันก็สายไปทั้งที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้วทั้งที่รู้ใจตัวเองแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ และไม่รู้จะมีโอกาสได้พบกันอีกไหมเพราะเขาในตอนนี้มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ ว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร

“อัสบัสผมรักคุณนะ สายลมช่วยพาคำพูดของผมไปบอกเขาทีเพราะผมคงไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้วละ ฮือๆๆๆๆๆๆๆ”

“ท่านพี่นี้ผ่านมาสองวันแล้วเหตุใดพี่สวยยังไม่ตื่นไหนท่านพี่บอกว่าแค่นอนหลับไป” เสียงหวานดังมาจากมิคาร์เอลที่ยืนอยู่ข้าง อัสบัส ตรงหน้ามีเตียงนอนขนาดใหญ่มีร่างของหนุ่มผมทอง ผิวขาวที่ดูซีดลงจากปกติกำลังนอนหลับตาอย่างสนิทไร้การไหวติงใดๆ ทั้งสิ้นแต่สีหน้านั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกของคนที่นอนอยู่ได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเจ็บทั้งที่ยังนอนหลับอยู่บางคราวก็มีหยาดน้ำตาร่วงลงมาพาลให้คนเฝ้าดูใจไม่สู้ดี

“ข้าก็ไม่รู้ ท่านหมอมาตรวจแล้วก็ไม่พบว่าเป็นอะไร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดข้าวสวยถึงยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียที” อัสบัสพูดด้วยน้ำเสียงกังวล และห่วงใยยิ่งนัก ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาอยู่เฝ้าคนบนเตียงตลอดได้เห็นสีหน้าที่ดูระคนเจ็บปวดบางครั้งมีหยดน้ำตาใสลงตามหางตาทั้งสองข้างอย่างเจ็บปวดแม้ยามหลับคนตรงหน้าก็ยังหลับไม่ได้สุขใจ คนที่หลับอยู่จะรู้บ้างหรือไม่ว่าคนที่เฝ้าดูจะเป็นห่วงและกังวลมากแค่ไหน ‘ทำไมกัน ทำไม เจ้าถึงไม่ตื่นขึ้นมาเสียทีทั้งที่ข้าอยู่ข้างเจ้าตลอดแท้ๆ ทำไมกัน ตื่นขึ้นมาเสียเทิดถ้าการนอนหลับมันทำให้เจ้าเจ็บปวด เจ้าก็ตื่นขึ้นมาหาข้าเถอะ คนรักของข้า’ เสียงของความคิดที่มันผุดขึ้นมาตลอดสองวันมันยิ่งทำให้อัสบัสรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เจ็บที่ช่วยอะไรไม่ได้ เจ็บที่ทำได้เพียงแค่มองคนตรงหน้า เจ็บที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่อย่างทำได้

อัสบัสยืนจ้องมองคนตรงหน้าอยู่นานก่อนจะก้าวเดินมานั่งที่ขอบเตียงอย่างแผ่วเบาคงเพราะกลัวว่ามันจะทำให้ร่างบางที่อยู่บนเตียงจะเป็นอะไรไป ตั้งแต่เกิดเรื่องอัสบัสกลัวมาตลอดว่าตนเองจะไม่สามารถดูแลคนรักได้อย่างที่ปากพูดเพราะมันหลายครั้งเหลือเกินที่ตนเองปล่อยให้คนๆ นี้ต้องเจ็บตัว

ทางมิคาร์เอลก็ทำได้แต่เป็นกำลังให้กับผู้เป็นพี่ และค่อยช่วยเหลือในสิ่งที่ตนทำได้เพียงเท่านั้นไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้แต่รอ

ปากเรียวหนาได้รูปค่อยๆ เลื่อนมาประทับบนหน้าผากมลของคนที่นอนบนเตียงอย่างรักใคร่ และค่อยๆ เลื่อยริมผีปากออกมามองหน้าคนที่หลับอยู่แทน เวลาสองวันที่เฝ้ารอให้คนบนเตียงตื่นนั้นมันอาจดูน้อยนิดแต่สำหรับตัวอัสบัสแล้วมันช่างยาวนานเหลือเกิน เจ็บปวดยิ่งนักไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะเป็นอย่างนี้ ความรักมันช่างเป็นสิ่งที่เข้าใจอย่างยิ่งนักมันทำให้ทั้งสุข และทุกข์ไปในเวลาเดียวกันทำให้คนที่ไม่เคยมีความรักอย่างอัสบัสนั้นสับสนเหลือเกินต่อให้อัสบัสจะดูเข้มแข็งมากแค่ไหน ได้ชื่อว่าไร้หัวใจแค่ไหนสุดท้ายมันก็เท่านั้นเพราะตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักซึ่งมันเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าเขายังมีหัวใจอยู่รู้สึกเจ็บเป็น และรักเป็นเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป

ทางด้านข้าวสวยก็ยังคงเดินวนไปมาอยู่ในทุ่งหญ้ากลางใหญ่อย่างเหนื่อยล้าไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่มาอยู่ที่นี้ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันไหน ไม่รู้ว่าเวลานี่มันเช้า เที่ยง หรือบ่ายกันแน่เพราะสภาพอากาศมันเหมือนเดิมตลอดข้าวสวยรู้สึกได้ว่าตัวเองเดินอยู่ในที่นี้นานมากแล้วแต่ก็ยังไม่มืดสักทีแต่มันก็ดีอย่างเพราะไม่ทำให้ความกลัวของเขาเพิ่มขึ้น ข้าวสวยนึกไม่ออกเลยจริงๆ ถ้าตัวเองต้องอยู่ในที่มืดมิดเพียงคนเดียวจะเป็นเช่นไรถือว่ายังคงมีความโชคดีอยู่บ้าง ร่างบางค่อยๆ นั่งลงบนพื้นหญ้าอย่างอ่อนล้า ร่างกายล้าเต็มทนร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกแล้ว ร่างกายว่าล้าก็สู้ใจไม่ได้มันทั้งเจ็บ และอ่อนล้ายิ่งกว่า ขาสองข้างไม่มีแรงจะก้าวเดินต่อได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหมดหนทาง

“นี้ๆ พี่ชายท่านมานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอ” ระหว่างที่ข้าวสวยนั่งมองไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอยก็รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดที่ไหล่ซ้าย และตามด้วยเสียงใสๆ ของเด็กหนุ่มวัยไม่กี่ขวบ

ใบหน้าสวยค่อยๆ หันมองตามเสียงใสก็พบกับเด็กหนุ่มผมสีส้มทองใต้ตาด้านขวามีภาพดอกไม้หกกลีบสีดำโดดเด่นอยู่กำลังมองมาที่ตนอย่างสงสัยพอมองเลยไปด้านหลังเด็กหนุ่มก็พบกับเด็กหนุ่มอีกคนที่หน้าตาคล้ายกัน มีสีผมเหมือนกัน แต่ที่ใต้ตาด้านซ้ายมีภาพดอกไม้หกกลีบเช่นกันแต่เป็นสีขาว และตัวเล็กกว่ายืนเกาะหลังอีกคนหนึ่งอยู่พอข้าวสวยมองไปก็แบบหลบหลังของเด็กหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่าก่อนจะค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมามองข้าวสวยอีกครั้ง ข้าวสวยยิ้มให้ขึ้นมาทันทีคงเพราะเด็กทั้งสองดูน่ารักน่าเอ็นดู

“พี่ชายยังไม่ตอบผมเลยว่ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงใสเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้ายังไม่ตอบกลับมาเอาแต่จ้องมองเขา และน้องชาย ทางข้าวสวยเหมือนจะนึกขึ้นได้ก็รีบตอบกลับไปทันที

“อ่ะ! พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนอนอยู่ดีๆ พอตื่นก็มาอยู่ที่นี้แล้ว” ข้าวสวยตอบกลับไปสายตาเริ่มหม่นลงทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

“ผมกับน้องก็เหมือนกัน แต่ว่าผมกับน้องมาอยู่นานแล้ว ที่นี้ไม่มีใครเลยพวกผมเดินหาตลอดแต่ก็ไม่เจอใครสักคน จนมาเจอพี่นี้แหละ” เด็กหนุ่มตอบกลับไป ข้าวสวยเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยดีคงจะกลัวไม่น้อยขนาดเขาโตแล้วยังกลัวเลยแล้วนับประสาอะไรกับเด็กตัวน้อยยิ่งคนน้องที่อยู่ด้านหลังนั้นยิ่งดูน่าสงสารยิ่งนักคงจะกลัวไม่น้อย

“พวกเรานี้ชะตาเดียวกันเลยนะว่าไหม แล้วพวกหนูสองคนชื่ออะไรละ พี่ชื่อข้าวสวยเรียกพี่สวยเฉยๆ ก็ได้” ข้าวสวยว่าขึ้นอย่างนึกสงสารในชะตากรรมของตัวเอง และสองหนุ่มน้อยก่อนจะถามไถ่ถึงชื่อของทั้งสองคนรู้สึกถูกชะตากับเด็กสองคนนี้เป็นอย่างมากซึ่งข้าวสวยเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตั้งแต่พบเจอกับเด็กสองคนนี้รู้ตัวเองเลยว่ารู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจอย่างบอกไม่ถูกความกลัวนั้นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในอกแปลกๆ

“ผมชื่อไดอาร์” เด็กหนุ่มที่มีลายดอกไม้สีดำตอบกลับมาก่อนจะหันไปทางอีกคนที่เกาะอยู่ด้านหลังแล้วส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้อีกคนพูดบ้างแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะคนตัวเล็กนั้นซบหน้าลงบนแผ่นหลังของผู้เป็นพี่เพื่อหลบ ไม่ใช่เด็กหนุ่มหยิ่งแต่อย่างใดแต่เพราะเขินอายเสียมากกว่าทำให้ต้องหลบ ข้าวสวยดูเหมือนจะมองออกเลยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่งดงาม

“ว่าไงหนุ่มน้อยคนนี้ละชื่ออะไร”

ทางหนุ่มน้อยพอได้ยินเสียงข้าวสวยก็ผลักหน้าออกจากแผ่นหลังของพี่ชายก่อนจะค่อยๆ มองไปยังข้าวสวยก็พบกับรอยยิ้มงดงามและน่าหลงใหล หนุ่มน้อยรู้สึกชอบพี่คนสวยตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็นแต่เพราะนิสัยขี้อายของตัวจึงต้องค่อยหลบหลังพี่ชาย เด็กหนุ่มช่างใจอยู่นานก่อนที่เสียงเล็กหวานน่ารักจะเปล่งออกมาเบาๆ

“ผมชื่อไอด้าครับ” แม้เสียงที่ตอบจะแผ่วเบาแต่ข้าวสวยก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ไดอาร์ ไอด้า” ข้าวสวยว่าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสุขใจตอนนี้ความกลัวมันไม่มีเหลือแล้วจริงๆ

หลังจากทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อยทั้งสามก็ได้พูดคุยถึงเรื่องของตนเองในหลายๆ เรื่องมันทำให้ข้าวสวยรู้ว่าทั้งไดอาร์และไอด้านั้นอยู่ที่นี้มานานๆ จนจำไม่ว่าตั้งแต่เมื่อไรเรื่องราวก่อนมาอยู่ที่นี้ก็จำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยพอข้าวสวยได้รู้มันทำให้ข้าวสวยยิ่งรู้สึกสงสารเลยสัญญากับเด็กทั้งสองว่าหากได้ออกไปจากที่นี้ก็จะพาเด็กทั้งสองกลับไปด้วยเด็กทั้งสองดูดีใจเป็นอย่างมาก

ไดอาร์ และไอด้านั้นเป็นฝาแฝดกันซึ่งถ้าไดอาร์ไม่บอกข้าวสวยก็ยังคงคิดว่าทั้งสองเป็นแค่พี่น้องกันเพราะขนาดตัวค่อนข้างต่างกันมาก ไดอาร์ดูร่างกายแข็งแรง และหล่อมากส่วนไอด้านั้นตัวเล็กหน้าตาเหมือนตุ๊กตาถ้าไม่แต่งชุดเป็นชายข้าวสวยคงคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงแน่นอน

การที่ได้พูดคุยกันนั้นมันทำให้ข้าวสวยยิ่งหลงรักเด็กทั้งสองยิ่งนักไอด้านั้นไม่ค่อยหลบเขาแล้วกลับกันชอบมาอ้อนจนข้าวสวยอดใจอ่อนไม่ได้แต่ที่น่าเป็นห่วงคือไอด้าเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายมาก และที่สำคัญรอยยิ้มนั้นช่างบริสุทธิ์ และไร้เดียงสามากข้าวสวยสามารถพูดได้เต็มปากว่าถ้าทุกคนเห็นรอยยิ้มนั้นจะต้องหลงเป็นแน่นอน

ส่วนไดอาร์ดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งความคิดการวางตัวนั้นล้ำเกินวัยยิ่งนักแต่ที่ดูน่าเป็นห่วงคงเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์ของเด็กน้อยคนนี้จริงๆ ไม่รู้พอโตจะเป็นยังไงอดเป็นห่วงคนรอบข้างไม่ได้จริงๆ เลย

ข้าวสวยรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าอยากได้เด็กสองคนนี้ไปอยู่ด้วยกัน พอนึกก็ทำให้คิดถึงใครอีกคนขึ้นมา ‘อัสบัสจะว่าอะไรไม่นะถ้าจะพาไดอาร์และไอด้าไปอยู่ด้วยกัน ถ้ากลับไปได้ผมจะลองขอจากคุณดูนะหวังว่าจะไม่ใจร้ายกับผมนะเด็กสองคนนี้น่ารักมาก และอีกอย่างผมก็รู้สึกถูกชะตากับพวกเขามากผมอยากให้คุณรู้สึกเหมือนผมจัง รีบมารับผมนะคุณจะได้เจอไดอาร์กับไอด้าไงคุณจะได้รู้ว่าเด็กๆ น่ามากจริงๆ’ ข้าวเอ่ยขึ้นมาขณะที่มือสองข้างกำลังลูบปอยผมสีส้มทองของสองหนุ่มน้อยที่นอนหลับหนุนตักเขาอยู่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา