The Slaying Shadow

7.0

เขียนโดย AiPie

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.19 น.

  7 บท
  0 วิจารณ์
  7,311 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ ๑ นักแต่งความจริง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑

นักแต่งความจริง

 

          ณ ลานใหญ่กลางบางชลาลัย

          “ขอบใจพวกเจ้ามากที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาฟังการชี้แจง”

          หญิงสาวที่ยืนอยู่บนแท่นหินกล่าวขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าอย่างพึงพอใจกับจำนวนคนดูที่อัดกันแน่นอยู่เต็มลาน ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยพลังทำให้ผู้คนพากันสงบปากสงบคำแต่โดยดี

          “เอาล่ะ เราจะไม่เสียเวลาอีก รายการเปิดโปงฆาตกรจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”

          ทันทีที่พูดจบ เสียงเฮจากผู้ชมก็ดังขึ้นเพื่อเป็นการส่งขวัญให้กับนักสืบสาว เจ้าของฉายา ‘นักแต่งความจริง’ ความจริงที่ฟังเพลินราวกับนิยายที่ถูกแต่งขึ้น และนั่นคือที่มาของฉายาพิลึกกึกกือ แน่นอน สาวเจ้าเสน่ห์กับเรื่องราวสุดวิเศษของเธอ ที่มักจบลงด้วยการส่งคนชั่วเข้าตาราง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนได้เสมอ

          “อโรคา โมกข์แห่งบางรจนาถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องปฏิบัติงานของตนเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งตรงกับวันที่สิบสี่ เดือนสาม ในเวลาโพล้เพล้” เธอเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยซุ่มเสียงขึ้นลงตามจังหวะ “ผู้พบศพคนแรกคือเชียง ทหารประจำตัวของผู้ตายที่เคาะเรียกหลายรอบแต่ไม่มีการตอบรับ จึงพังประตูเข้าไป แต่สิ่งที่พบกลับเป็นซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นคับห้อง เลือดไหลออกมาจากอกด้านซ้าย ยาวไปจนเกือบถึงประตูทางเข้า”

          เล่าถึงตรงนี้ ผู้ฟังบางคนมีท่าทีสยองพองขน ร้อยเปียไม่ทิ้งให้รอนาน

          “นักชันสูตรสันนิษฐานว่าเขาได้เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง สาเหตุของการตาย...คือถูกแทงตัดขั้วหัวใจ” นักสืบผู้มากท่าโบกไม้โบกมือประกอบการสาธยาย “เมื่อรู้เช่นนั้น ข้าจึงพยายามเสาะหาสมุดนัดหมายการนัดของท่านอโรคา หากแต่ไม่พบมันที่ใดในห้องนั้น จึงสรุปได้ว่า คนที่เอามันไป อาจจะเป็นฆาตกรที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าในเวลาที่ผู้ตายได้หมดลมหายใจ เขาเป็นคนที่อยู่กับผู้ตาย”

          “ข้าพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาตัวผู้ที่ขโมยสมุดนัดพบไป จนลืมตรวจดูสภาพห้องให้เรียบร้อย อย่างไรก็ดี” เสียงทรงพลังสูงขึ้นเล็กน้อย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชม “หลังจากได้ทำการสำรวจที่เกิดเหตุแล้ว ข้าพบเอ็นเส้นหนึ่งที่ถูกแขวนจากขื่อห้อง และเมื่อลองสังเกตที่อาวุธดูดีๆ เส้นเอ็นแบบเดียวกัน ถูกร้อยไว้ที่ด้ามเคียว พอลองนำปลายทั้งสองของเอ็นแต่ละเส้นมาต่อกันดู ปรากฏว่ามันเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด ซึ่งอธิบายได้อย่างเดียวว่า ผู้ร้ายใช้เส้นเอ็นร้อยไว้กับด้ามเคียว ผูกมันไว้กับขื่อ และวางอาวุธสังหารกับเก็บเส้นเอ็นไว้บนนั้นด้วย เคียวที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก บวกกับการที่มันถูกตั้งไว้ในที่ซึ่งแสงส่องไม่ถึง จึงไม่โผล่ออกมาให้เห็นเป็นที่สะดุดตา นอกจากนี้แล้วเรายังพบว่าเอ็นเส้นนั้นถูกโยงไปผูกไว้กับกลอนของหน้าต่าง ที่ซึ่งมีเทียนไขวางอยู่ กลไกของการฆาตกรรมครั้งนี้ก็คือ เมื่อเหยื่อจุดไฟเมื่อไหร่ ไฟจากเทียนไขก็จะลุกขึ้น และด้วยเส้นเอ็นที่บาง ความร้อนจากไฟจะทำให้มันขาดสะบั้นแทบจะในทันที หลังจากนั้น เคียวที่ถูกยึดไว้ก็จะเหวี่ยงตัวเองมายังผู้เคราะห์ร้าย และตายในที่สุด เหตุผลที่ผู้ร้ายวางกลอุบายเช่นนี้เอาไว้ ก็เพราะ...” ร้อยเปียเว้นช่วงให้ทุกคนได้ลุ้นระทึก “เขาต้องการสร้างหลักฐานที่อยู่ให้กับตัวเอง”

          “สาวใช้สามคนที่เข้าทำความสะอาดห้องปฏิบัติงานครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเช้าตรู่ของวันเกิดเหตุ ยืนยันว่าพวกนางไม่เห็นอะไรแปลกๆ จากบนขื่อ” สาวผู้ถักผมเปียไว้ที่ด้านหลังอภิปรายต่อไปอย่างไม่คอยท่า “นั่นหมายความว่า ฆาตกร จะเป็นใครก็ได้ที่เข้าพบท่านอโรคาหลังจากที่ห้องถูกทำความสะอาดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่พบเขาในเวลาที่เกิดเหตุพอดี”

          “ถ้าอย่างนั้น ฆาตกรจะเอาสมุดบันทึกตารางนัดไปทำไมกันล่ะ ถ้าไม่มีอะไรที่ใช้เป็นหลักฐานมัดตัวเขาได้” ชายวัยกลางคน หนึ่งในฝูงชนถามขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความมึนงง

          “นั่นแหละ ข้าเอะใจเรื่องนี้ขึ้นมา รู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ จึงต้องสืบสาวเรื่องราวทั้งหมดให้ลึกกว่าเดิม” รอยยิ้มกระตุกขึ้นอย่างถูกใจกับคำถามที่ได้รับ เหมือนรอให้มีคนถามขึ้นอยู่แล้ว “จนได้รู้ว่า สมุดเล่มนั้น อโรคาเป็นคนเผามันทิ้งด้วยตัวเอง” เธอยกนิ้วขึ้นเป็นการบอกให้ทุกคนเงียบ และฟังสิ่งที่เธอจะพูดให้จบเสียก่อน “เพราะว่าในนั้น มีความลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยได้”

          “ความลับอะไรกันรึ” ชายคนเดิมตะโกนถามอีกรอบ

          “ในนั้นน่ะ คงจะมีรายชื่อของคนที่ร่วมขบวนการอยู่ด้วยน่ะสิ ขบวนการของกลุ่มคนที่เป็นสายให้กับชาวเศวตน่ะ!”

          จบประโยค ประชากรนับร้อยเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันอื้ออึง ส่วนมากจะเป็นคำกร่นด่าที่ร้อยเปียเตรียมใจรับมันมาเรียบร้อยแล้ว ก็อยู่ดีๆ ไปให้ร้ายผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่สำคัญ ดันเป็นโมกข์ที่ทุกคนนับหน้าถือตา ถ้าได้รับคำชมกลับมาก็คงแปลกพิลึก นี่ดีแค่ไหนแล้ว ที่ยังไม่โดนขว้างปาด้วยสิ่งปฏิกูล

          ชาวเศวต เป็นชื่อที่ใช้เรียกชาวตะวันตก ที่ครั้งหนึ่งเคยบุกรุกดินแดนพุฒภารามาแล้ว แต่ก็ต้องแพ้กลับไปในสงครามเมื่อแปดปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มสูงทีเดียวว่าพวกมันจะกลับมาอีก และเพื่อจะยึดครองดินแดนนี้ พวกมันย่อมทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่การจ้างชาวพุฒภาราให้สืบข่าวให้ฝ่ายตัวเอง ไม่ว่าคนริเริ่มความคิดนี้จะเป็นใคร เขาต้องหลักแหลมมากที่เลือกอโรคาเป็นผู้ส่งข่าว เพราะในอาณาจักรนี้ ไม่มีใครรู้ถึงสถานะบ้านเมืองได้ดีไปกว่าโมกข์ และโมกข์ที่ละโมบที่สุดในพุฒภารา ก็คืออโรคานั่นเอง

          “เหลวไหล! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงใส่ร้ายท่านอโรคาเช่นนั้น” หญิงชราคนหนึ่งแค่นเสียงที่แหบพร่าตามวัยอย่างโกรธเคือง ตามมาด้วยอีกหลายเสียงที่เฮดังอย่างเห็นด้วย

          “ข้า ร้อยเปีย ไม่เคยพูดอะไรลอยๆ โดยไม่มีหลักฐาน”

          ว่าแล้วก็หยิบเอาบางอย่างออกมาจากย่ามสีดำที่ตนถือ มันเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่เต็มไปด้วยข้อความ กระดาษซึ่งไม่เป็นที่นิยมสำหรับชาวพุฒภารา ทำเอาผู้คนต่างพากันมองมาที่มันอย่างอัศจรรย์ใจ บางคนสงสัยว่ามันคืออะไร ส่วนบางคนที่รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้บันทึกข้อความรีบหันไปแจกแจงให้คนที่ไม่รู้ฟัง

          “นี่คือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าอโรคา เป็นทรราชที่พร้อมจะขายบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน”

          กระดาษสีขาวถูกโยนออกไป มันปลิวว่อนไปตามแรงลม ก่อนจะโดนกระชากลงมาด้วยมือมือหนึ่ง เด็กหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ผู้ชม เพราะผมสีออกทองของเขาช่างขัดกับหน้าตาที่ดูเป็นชาวตะวันออก เขากระแอมสองสามที แล้วจึงอ่านข้อความที่จารึกไว้บนกระดาษด้วยกับหมึกสีดำ

          “ถึงอโรคา สิ่งที่เจ้าทำลงไป เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เจ้าสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการลงโทษอันสาสม แต่ถึงกระนั้น ทางเราเห็นว่านี่เป็นข้อผิดพลาดครั้งแรก ดังนั้น ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเสีย ต่อจากนี้ เรายังต้องพึ่งพาเจ้าอีกมาก มาร่วมมือกันเพื่อยึดครองพุฒภาราเถิด ถึงเวลานั้น เราสัญญาว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างดีในวันที่ได้รับชัยชนะ” หนุ่มน้อยละสายตาจากข้อความพร้อมอ่านประโยคสุดท้าย “จาก กลอเซีย”

          ชื่อที่ฟังไม่คุ้นหู รวมถึงเนื้อความที่บ่งบอกชัดเจนถึงสถานะความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนและผู้รับสาร สร้างความตกใจให้กับประชากรแห่งพุฒภาราไม่น้อย ทั้งหมดมองหน้ากันไปมาอย่างตื่นตระหนก ไร้ซึ่งวาจาจะเอื้อนเอ่ย ร้อยเปียอาศัยจังหวะนี้สาวความที่ค้างไว้

          “จดหมายนั่น น่าจะได้รับการแปลจากผู้รู้ภาษาอีกทีหนึ่งก่อนจะส่งมา ซึ่งก็คงเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคบค้าสมาคมกับศัตรูรายฉกาจนี่อย่างแน่นอน มันเดินทางมาถึงอโรคาผ่านผู้ส่งสารคนหนึ่งในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังวันเกิดเหตุ และตอนนี้ข้าเดาว่าคนฝั่งนู้นที่รู้ข่าวคราวการตายของอโรคาคงกำลังภาวนาไม่ให้ใครเปิดจดหมายนี่อ่าน หากเป็นคนอื่น ก็คงไม่เสียมารยาท” สีหน้าของนักสืบไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกผิด เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนดู “แต่บางที งานนักสืบ ก็ต้องเสียมารยาทกันบ้าง เพื่อแลกกับข้อมูลดีๆ”

          “แสดงว่าคนที่ฆ่าท่านอโรคา รู้ว่าเขาเป็นทรราช จึงจงใจฆ่าเขาทิ้ง เพราะจะเป็นภัยต่อบ้านเมืองใช่ไหม” เด็กหนุ่มผมทองตั้งข้อสงสัย ยังคงกำจดหมายไว้ในมืออย่างหลวมๆ

          “ทีแรกข้าก็คิดเช่นนั้น จนกระทั่งได้ลองสร้างเหตุการณ์จำลองขึ้น และข้าได้ค้นพบความจริงบางอย่างที่น่าเศร้า” ร้อยเปียสาธยายต่ออย่างใจเย็น เธอรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ หากใจร้อนเกินไป เรื่องเล่าจะไม่ได้อรรถรสเท่าที่ควร นักสืบตีหน้าเศร้าให้สมบทบาท “จากตรงที่นั่ง หากเพียงแค่เหลียวหลังไปมองหน้าต่าง ก็จะเห็นได้อย่างไม่ยากเย็น...เส้นเอ็นที่ถูกผูกไว้กับกลอนนั่นน่ะ” นัยน์ตาสีดำพราวระยับเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงฉากสำคัญ “แล้วเหตุผลที่เขาเลือกที่จะจุดเทียนไขและยอมนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่คิดจะหลบหนี ทั้งที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ก็เพราะเขาเป็นคนวางกับดักเพื่อฆ่าตัวเองให้ตายยังไงล่ะ!”

          สิ้นคำเฉลย เสียงอึกทึกของการสนทนาก็ดังขึ้นให้ได้ยิน บัดนี้ ไม่มีใครคิดจะท้วงขึ้นอีก เนื่องจากมีหลักฐานที่รองรับข้อสันนิษฐานได้อย่างกระจ่างชัด

          “ให้ข้าได้สรุปให้ฟังอีกครั้ง อโรคาซึ่งเป็นสายให้กับเศวต ทำงานบางอย่างผิดพลาดและรู้ตัวว่าอาจจะโดนเก็บในไม่ช้า จึงชิ่งลงมือก่อน โดยฆ่าตัวเองให้ตายและวางกลไกไว้ให้เหมือนว่ามีคนลอบสังหาร เหตุผลที่เขาต้องปิดบังว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครละลาบละล้วงไปถึงสาเหตุของการตาย หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตนเป็นทรราชต่อบ้านเกิดเมืองนอนนั่นเอง” ร่างสูงยืนเท้าสะเอวอย่างมาดมั่น “อย่างไรก็ดี การตายของเขากลายเป็นเรื่องสูญเปล่า เนื่องจากชาวเศวตตัดสินใจจะให้โอกาสกับเขาอีกครั้ง คาดว่าอโรคา...คงกำลังร่ำไห้จากบนฟ้านั่น ให้กับการกระทำที่สูญเปล่านี้ แต่มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะแก้ไขในสิ่งที่ได้ทำลงไป”

          การเสียชีวิตในครั้งนี้ น่าจะเตือนสติใครหลายๆ คนได้ หรืออย่างน้อย เธอก็หวังอย่างนั้น ทั้งหมดอยู่ในความสงบ ต่างก็ยืนก้มหน้านิ่งไว้อาลัยให้กับการจากไปของผู้โลภมาก ที่สำหรับร้อยเปีย ไม่ได้ถือเป็นการสูญเสีย หากแต่เป็นกำไรมหาศาลต่างหาก

          “ปิดคดี”

          นักสืบวัยยี่สิบสองกล่าวปิดงานในที่สุด เสียงปรบมือดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ หลังฟังการพิจารณาคดีจนจบ คนดูทั้งหมดก็ทยอยกันเดินออกไปจากลานทีละคนสองคน พร้อมกับสนทนาเรื่องคดีกันอย่างสนุกปาก บ้างก็ว่าตนสันนิษฐานถูกแล้ว บ้างก็เสียดายว่าคนที่ตนคิดไว้ไม่ใช่คนร้าย บางคนหน้างอกลับบ้านเนื่องจากต้องจ่ายเบี้ยจำนวนหนึ่งให้กับผู้ที่ชนะพนันในครั้งนี้ ส่วนกลุ่มคนที่ได้รับเบี้ยก็เดินออกไปพร้อมกับเสียงไชโย

          ร้อยเปียมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน บรรยากาศแบบนี้ที่ไม่อาจหาที่ไหนได้ นอกจากลานกว้างแห่งการเปิดโปงคดีจากนักสืบสาว สร้างความตื่นเต้นและตื้นตันให้กับเธอได้ทุกครั้งที่มายืนอยู่บนหินแท่นนี้ หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดพลางยิ้มให้กับผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นที่เพิ่งสร้างขึ้น เท้าทั้งสองกระโดดลงมาจากแท่นหินสีขาวโพลน และมุ่งหน้าไปยังเด็กชายคนที่ถือจดหมายไว้

          “รู้อยู่แล้วล่ะน่า ว่าเจ้าจะต้องขอหลักฐานสำคัญนี่คืน” เจ้าตัวว่าพลางยัดกระดาษลงในมือเธออย่างว่องไว

          “อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าไม่ได้ขอมันคืน ข้าทวงมันคืน เพราะข้าไม่ได้ให้เจ้าตั้งแต่แรก” ร้อยเปียแขวะตามประสาคนปากมาก “ยังไงก็ขอบใจที่เจ้าช่วยอ่านมันให้ เอ่อ...” เธอเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามชื่ออีกฝ่าย

          “แฮ่มๆ” เด็กหนุ่มกระแอมเล็กน้อยอย่างวางมาด “ข้าชื่อ...”

          “ท่านร้อยเปีย!”

          เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนในชุดเสื้อกับกางเกงมอซอ ในมือของเขามีใบลานใบหนึ่ง ร้อยเปียรู้ในทันที ว่าเขาคือผู้ส่งสาร

          “งานใหม่สินะ”

          เขาส่งสารที่หิ้วมาตลอดทางให้

          “ขอบใจเจ้ามาก” ร้อยเปียรับมันมาดู

          “นี่ด้วยขอรับ” ชายพเนตรยื่นห่อใหญ่ห่อหนึ่งให้เธอ

          “แน่ใจหรือว่านั่นเป็นของข้า” นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลงอย่างนึกสงสัย

          “แน่ใจขอรับ มันส่งมาพร้อมจดหมายฉบับนั้น”

          “ตรวจสอบความปลอดภัยแล้วใช่ไหม”

          “หายห่วงได้ขอรับ” ผู้ส่งสารยื่นพัสดุนั้นมาให้เธออีกครั้ง และครั้งนี้เธอยอมรับมันด้วยท่าทางไม่ไว้ใจนัก “เอ่อ...นี่เป็นสารด่วน ท่านควรจะเปิดอ่านเดี๋ยวนี้เลย และผู้ส่งสารต้องการให้เปิดอ่านตอนอยู่เพียงลำพังเท่านั้นนะขอรับ”

          ตอนอยู่เพียงลำพังรึ? ทำไมกัน? ชักจะน่าสงสัยแล้วล่ะสิ ร้อยเปียมองจดหมายอย่างชั่งใจว่าควรจะเปิดมันหรือไม่

          “หมดหน้าที่แล้ว กระผมขอตัว”

          ชายวัยกลางคนประนมมือขึ้นเป็นการอำลา แล้วจึงเดินจากไป เหลือไว้เพียงร้อยเปียกับหนุ่มน้อยที่กลายเป็นส่วนเกินเมื่อเธอจำเป็นต้องอ่านจดหมายโดยไม่มีเขา

          “เข้าใจล่ะ” ปากบางยิ้มกร่อยๆ อย่างนึกเสียดาย แต่ก็ยอมโบกมือลา “เราเจอกันอีกแน่ ลางสังหรณ์ข้าบอกเช่นนั้น”

          ร้อยเปียมองแผ่นหลังที่เล็กลงจนลับตา แล้วจึงหันมาพิจารณาสารที่เพิ่งได้รับมา ครั้งนี้แตกต่างจากเดิมเล็กน้อยตรงที่เชือกที่ผูกมาด้วยเป็นสีชมพูหวานแหววที่สานเป็นชื่อของผู้ส่ง อ่านได้ว่า ‘ภูผา’ หญิงสาวแปลกใจไม่น้อย เนื่องจากปกติแล้วผู้จ้างวานจะใช้ใบลานอีกใบผูกสารมา แล้วจึงจารชื่อตัวเองลงไปบนใบลานที่ใช้ผูก เป็นลายมือชื่อแบบที่เป็นเอกลักษณ์ (ลานเซ็น) เพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร และเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบเปิดอ่านสารก่อนถึงผู้รับ เพราะจำเป็นต้องแกะใบลานออกก่อนจึงจะเปิดออกได้ ฉะนั้น หากมีรอยแกะ ก็จะรู้ได้ไม่ยากว่ามีคนเคยเปิดมันก่อนจะถึงมือตนแล้ว แต่การที่มีเชือกผูกมาแทนใบลาน นั่นหมายความว่าผู้ที่ส่งมาจะต้องมีศักดิ์เป็นอารักขศิษย์ หรืออัฐิเดช เท่านั้น ถึงได้มีเชือกประจำตัวในการส่งสาร

          ท่าทางงานนี้คงทำเบี้ยได้ไม่น้อย

          เมื่อคิดได้ดังนั้น มุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย สองมือรีบดึงเชือกออกอย่างรวดเร็ว ใบลานที่ถูกพับหลายตลบจนกลายเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกกางออก ข้างในมีข้อความที่ผู้ส่งจารไว้ แต่ละบรรทัดเว้นระยะห่างเท่ากันอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่ตัวหนังสือแต่ละตัวก็มีความประณีต บ่งบอกได้ถึงความใส่ใจและความเรียบร้อยของผู้จาร หากไม่ใช่เพราะเชือกเส้นนั้นถูกสานเป็นชื่อของบุรุษ เธอก็คงคิดว่ามันมาจากอิสตรีเป็นแน่

          นักสืบสาวสลัดเรื่องอื่นออกจากหัว แล้วจึงเริ่มต้นไล่สายตาไปตามตัวหนังสือที่แสนจะบรรจงเหล่านั้น

          ‘ถึง นักสืบผู้เลอโฉมที่สุดบนพุฒภารา’

          “แค่กๆๆๆ”

          แค่อ่านประโยคแรกก็ทำเอาเธอสำลักในความเลี่ยน ร้อยเปียกระแอมเป็นเชิงแก้เก้อ และอ่านต่อไป

          ‘คนตาบอดหาใช่คนที่มองไม่เห็นไม่ แท้จริงแล้ว คนตาบอด คือคนที่เห็นทุกอย่างแล้ว แต่ยังไม่รับรู้ถึงความจริงต่างหาก บุรุษที่เห็นเจ้า แล้วยังมองผ่านเจ้าไป บุรุษที่ปรายตามองเจ้า แล้วยังปรายตาไปมองหญิงอื่น ล้วนเป็นคนตาบอดด้วยกันทั้งสิ้น แม้นว่าโลกใบนี้จะมีคนตาบอดอยู่มากมาย ขอให้เจ้ารู้ไว้ ว่ายังมีข้าที่เห็นถึงความงามของเจ้า

          หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ได้โปรดสละเวลามาทานอาหารค่ำด้วยกันสักมื้อ หลังตะวันลาลับขอบฟ้า พบกันที่ร้านลอยลำกำปั่น

          ปล. ชุดที่ข้าส่งไปให้พร้อมสาร เจ้าจะใส่มันมาหรือไม่ก็ตามแต่ใจจะปรารถนา คนงามใส่อะไรก็ย่อมงาม’

          จาก ภูผา

          ร้อยเปียหัวเราะในลำคอ นี่สินะ เหตุผลที่ทำไมจึงต้องอ่านเพียงลำพัง

          ไม่ใช่เพราะมันเป็นข้อความลับ แต่เพราะเป็นจดหมายรักต่างหากล่ะ!

 

-----------------------------------------------------------------------------------

 

อันนี้เป็นการ์ตูนฮาๆ หลังจบบทที่นักเขียนทำขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะเคอะ ถ้ารู้สึกว่าน่ารำคาญก็บอกได้ จะได้เลิกทำ 55555

 

เว็บขีดเขียน

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา