The Slaying Shadow

7.0

เขียนโดย AiPie

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.19 น.

  7 บท
  0 วิจารณ์
  7,278 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ ๖ สองหมาพาฉะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๖

สองหมาพาฉะ

 

          ไม่ว่ายามใดก็ไม่งดงามเท่ายามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวนพฤกษชาติที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สีสันสวยงามของเหล่าดอกไม้ละลานตาจนดูไม่ออกว่าดอกไหนเด่นกว่ากัน เพราะต่างก็มีความเป็นเอกลักษณ์ที่ชวนให้หลงใหลยามได้ยลโฉม

          เสียงนกการเวกขับร้องอย่างไพเราะ บวกกับทัศนียภาพอันสวยงามและลมเย็นๆ สามารถดับความร้อนรุ่มในใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ สถานที่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคุกแห่งบางชลาลัย แต่มีเพียงนักโทษที่ประพฤติตนดีเท่านั้น จึงจะได้รับอนุญาตให้มาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่

          “นี่คือดอกขจร” ราธีชี้ให้ดูต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาเป็นใบจำนวนมหาศาลเลื้อยไปตามกำแพง ดอกสีเหลืองดอกจิ๋วแทรกขึ้นตามใบเป็นช่วงๆ “เป็นไม้มงคล เชื่อกันว่า บ้านใดปลูกไว้จะมีชื่อเสียงขจรขจายดังชื่อ”

          พัสดีหนุ่มก้มลงไปหยิบดอกขจรที่ร่วงหล่นจากพื้น และหยิบดอกสีขาวอีกดอกที่อยู่ใกล้กันมาถือไว้

          “ส่วนนี่ เรียกว่าดอกลั่นทม เป็นไม้อัปมงคล บ้านใดปลูกจะมีแต่ความทุกข์ระทม”

          “แล้วปลูกไว้ทำไมกัน” เด็กหนุ่มวัยสิบห้าผู้มีจมูกบี้แบนและดวงตาโปกโปนถามพลางเกาหัวอย่างนึกสงสัย

          “ในคุกแห่งบางชลาลัย เราปลูกทั้งสองต้นไว้คู่กัน เพื่อให้นักโทษรวมถึงเหล่าพัสดีได้สำนึก ว่าความทุกข์อยู่คู่ความสุข” พัสดีหนุ่มสาธยายอย่างคนมีความรู้ “คราใดที่รู้สึกสุข อย่าลืมว่าความทุกข์จะเรียกหาเมื่อใดก็ได้ คราใดที่รู้สึกเศร้าโศก อย่าลืมว่าเราจะไม่โศกตลอดไป ปลายทางข้างหน้ามีความสุขรออยู่”

          หนุ่มรูปงามยื่นดอกไม้ทั้งสองดอกให้กับนักโทษที่รับไปถือไว้อย่างงงๆ

          “อยู่ในนี้บรรยากาศไม่ได้ดีนักหรอก ห้องขังก็เหม็นเน่า เพื่อนร่วมห้องขังก็แทบจะหาความจริงใจไม่ได้ นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอย่างข้าพอจะหาให้ได้” เขาแตะไหล่ชายที่อายุน้อยกว่าเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “พอมันไม่ได้อยู่บนต้น แน่นอนมันจะเน่าตายไปไวกว่าที่ควรจะเป็น เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าถ้าเจ้าไม่อยากมีชีวิตที่แสนจะระทมในคุกนี่ หลังจากที่พ้นโทษออกไปแล้ว ก็อย่าได้ทำความผิดซ้ำซ้อนอีก ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะตายเร็วขึ้น เหมือนเจ้าดอกไม้พวกนี้ ที่ไม่ได้อยู่ในที่ๆ ควรจะอยู่ เข้าใจหรือเปล่า คำหาญ”

          ว่าพลางส่งยิ้มจริงใจให้กับผู้ต้องขังตัวบึกบึน คำหาญได้แต่ยืนทำตาปริบๆ มองผู้ดูแลอย่างชื่นชม

          “มีอะไรรึ” ราธีถามเมื่อรู้สึกว่าถูกมองแปลกๆ เขาจับหน้าตัวเองและถูที่มุมปากโดยอัตโนมัติ “หรือว่ามีคราบนมติดอยู่ที่ปากข้า”

          นักโทษทำหน้าเหลอหลา “ทำไมถึงคิดว่าจะมีอะไรติดอยู่บนปากท่านล่ะ”

          “ปะ...เปล่า อย่าสนใจเลย” หนุ่มรูปงามตอบปัด เขาเสยผมหยักศกที่ลงมาปรกหน้าขึ้นอย่างเคยชิน เผยให้เห็นหน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อด้วยความขัดเขิน เมื่อนึกถึงเรื่องที่โดนหลอกว่ามีคราบนมติดปากทีไรก็รู้สึกอายจนอยากจะมุดดินหนี

          “มีคนเคยพูดแบบนั้นกับท่านหรือ” คำหาญถามแกมขำ “เขาอาจจะอยากบอกกลายๆ ก็ได้นะ ว่าท่านน่ะปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

          ราธีชะงักกึกกับความเห็นที่ฟังดูเข้าเค้า ก่อนหน้านี้ร้อยเปียเคยพูดกับเขาไว้ทีหนึ่ง แต่เห็นทีคงไม่ใช่ครั้งแรกเสียแล้วที่เธอจงใจดูหมิ่นเขาด้วยคำพูดนี้ คิดแล้วก็ปล่อยลมหายใจออกจากจมูกอย่างคั่งแค้นหน่อยๆ โดนหลอกให้ถูปากตัวเองยังไม่พอ ยังหลอกด่ากันอีกรึ

          “ท่านอาจจะไม่รู้ตัว แต่ท่านช่างแตกต่างจากพัสดีคนอื่นๆ” เด็กหนุ่มเปรย เขาพึมพำประโยคหลังกับตัวเองเบาๆ “หรือบางทีอาจจะแตกต่างจากชายทั่วทั้งพุฒภารา”

          พัสดีเลิกคิ้ว “มีคำนิยามด้วยรึ ว่าพัสดีจะต้องนิสัยอย่างไร”

          “ไม่มีเสียทีเดียว แต่ท่านก็รู้นี่ว่าเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับตัวท่านเอง” ว่าแล้วก็โยกหัวไปตรงทางเข้า ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา เขามีร่างกายกำยำล่ำบึก ตัวคล้ำและสูงกว่าราธีอยู่มาก แต่สิ่งที่ทำให้อกเริ่มสั่นไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นดวงตาคู่ที่ดูไม่เป็นมิตรและท่าเดินกร่างๆ ที่เหมือนต้องการป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าข้าใหญ่

          “ไอ้ไก่อ่อน” คนตัวคล้ำทักทายด้วยสำเนียงเหน่ออย่างคนพื้นบ้าน เดาได้ไม่ยากว่าเขาเกิดในบางมฤค

          เจ้าตัวถือวิสาสะโอบไหล่ชายที่เรียกว่าไก่อ่อน แลดูเหมือนเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดี ถ้าไม่ติดตรงที่เขาออกแรงบีบที่ไหล่อย่างขู่เข็ญ

          “มาแอบอู้งานอยู่ที่นี่เองรึ”

          “ข้าพานักโทษความประพฤติดีออกมาเดินเล่นก็แค่นั้น มิได้มีเจตนาจะอู้งาน” พัสดีทำใจดีสู้เสือแกะมือที่เหนียวแน่นออก “ตอนนี้ข้าเสร็จงานแล้ว มีอะไรจะให้ทำก็บอก”

          “ดีเลย” รอยยิ้มยียวนปรากฎขึ้นบนใบหน้าหยาบกร้าน “ข้ากำลังเมื่อยๆ เท้าอยู่พอดี” ว่าแล้วก็ตวัดเท้าข้างหนึ่งมาข้างหน้าจนเกือบกระแทกหน้าหนุ่มรูปงาม “นวดเท้าให้ข้าหน่อย”

          ราธีทำตาโตอย่างตกใจกับคำสั่งที่อยู่เหนือหน้าที่ของพัสดี

          “เอ้า ยืนนิ่งอยู่ใย เร็วๆ เข้าสิ ร่างข้ามันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้วนะ” คนกวนประสาทสบถต่อไปอย่างไม่ได้ศัพท์พร้อมกับนวดตามเนื้อตัวด้วยท่าทางอิดโรยราวกับทหารที่เพิ่งกลับมาจากการรบ

          สำออยล่ะสิไม่ว่า ราธีคิดในใจ เขายังคงยืนนิ่งไม่กระดิก สองมือกำแน่นอย่างพยายามควบคุมสติอารมณ์ ในขณะที่คำหาญเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง เขาวิ่งตรงไปที่หัวโจกหมายจะต่อยให้สักหมัด แต่โดนห้ามไว้ก่อน

          “อย่า!” ราธีรีบดึงแขนเขาไว้ “เจ้ากำลังจะพ้นโทษนะ มีเรื่องกับพัสดี มีหวังได้ยืดการกักขังไปอีกเป็นปี”

          คำเตือนสติสยบอารมณ์โกรธไว้ได้ นักโทษจำใจยอมลดมือลงและเดินกลับไปยืนหลังผู้ดูแลดังเดิม

          “ฮ่าๆๆ” ชายผิวคล้ำหัวเราะร่วน “คิดว่านักโทษจะอยากนวดให้ข้าแทนเสียอีก”

          ราธีรับรู้ได้ถึงลมหายใจผ่าวๆ จากคนด้านหลัง คำหาญคงกำลังเดือดดาลเต็มทน

          “หากเมื่อยนักก็ไปโรงนวดสิ” หนุ่มงามบอกอย่างใจเย็น

          “ไอ้ไก่อ่อน” เพื่อนร่วมงานตัวแสบกัดฟันเรียก เขากอดอกแสดงความเป็นนายพร้อมกับแววตาที่ส่อประกายความเหี้ยมโหด “ในที่นี้ใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว ไหนตอบข้ามาซิ”

          “พวกเราล้วนเป็นบ่าวด้วยกันทั้งคู่” ชายผู้ปราดเปรื่องตอบอย่างหลักแหลม “เราต่างก็ทำงานรับใช้โมกข์แห่งบางชลาลัย”

          “ปากดีนักนะ!”

          โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เท้าหนักก็เตะเข้าให้ที่ปากอย่างจัง มันเกิดขึ้นไวมากจนรู้ตัวอีกทีก็ได้กลิ่นคาวลอยเข้าจมูกแล้ว

          “เลือด!” คำหาญโพล่งเสียงดัง ราธีใช้หลังมือเช็ดปาก เขามองคราบสีแดงที่ไปติดอยู่บนหลังมือด้วยความตื่นตระหนก

          “ดูซิจะยังปากดีไปได้อีกสักกี่น้ำ”

          ชายร่างกำยำออกแรงเตะมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้มันถูกสะกัดโดยใครบางคน

          “ร่างควายไม่พอ สมองยังควายอีกนะ”

          น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและคำประชดประชันที่ยากจะเลียนแบบได้ มีสตรีเพียงคนเดียวเท่านั้นในพุฒภาราที่จะกล้าพูดจาห้าวหาญแบบนี้ นักสืบเจ้าของฉายานักแต่งความจริงยกขาอีกฝ่ายขึ้นสูง สร้างความเจ็บปวดไม่น้อย แต่แล้วคนตัวใหญ่ก็สะบัดขายาวออกจากพันธนาการได้ไม่ยาก

          “ถอยไป” คนตัวคล้ำถลึงตาใส่สตรีผู้มาเยือน “อิสตรีเช่นเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของบุรุษจะดีกว่า”

          “อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าเป็นอิสตรีล่ะ” ปากดีไม่วายเถียงกลับ “เพียงเพราะข้ามีหน้าอกปูนๆ กับกลีบเล็กๆ อย่างนั้นรึ”

          ไม่ว่าเปล่า มือยังจับไปตามร่างกายอย่างไม่รู้สึกอายอย่างที่หญิงสาวควรจะเป็น ทำเอาพัสดีและนักโทษถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเพราะอายแทน

          “ฮ่าๆๆๆ” พัสดีหัวโจกหัวเราะเสียงดัง แยกเขี้ยวใส่เธอหนึ่งที “น่าสนใจนี่ แต่เอาไว้ข้าจะจัดการกับเจ้าทีหลังก็แล้วกัน”

          แต่หญิงแกร่งไม่ฟังคำเตือน เธอปล่อยหมัดลุ่นๆ เข้าที่กลางหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลังเล ส่งผลให้ชายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องยกมือขึ้นมาลูบจมูกตัวเองด้วยความเจ็บปวด สีหน้าแสดงถึงความเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด

          “ยะ...อย่ามีเรื่องกัน...”

          ยังไม่ทันที่ราธีจะพูดจบ เพื่อนร่วมงานจอมเฮี้ยวก็พุ่งเข้าใส่แขกสาว หมายจะคิดบัญชีกลับ แต่ร้อยเปียเอี้ยวตัวหลบได้ทัน เธอจับหมับเข้าที่คอเสื้อด้านหลังและศอกลงไปตรงท้ายทอยเต็มแรง ร่างที่เคยหนัก จู่ๆ ก็เบายิ่งกว่าปุยนุ่น มันดิ่งลงสู่พื้นในท่าที่คางกระแทกลงหญ้าอย่างแรง

          “สุดยอด” นักโทษกะพริบตาปริบๆ มองร้อยเปียอย่างอึ้งๆ “ข้าไม่เคยเห็นหญิงใดในพุฒภาราแข็งแกร่งเท่านี้มาก่อน”

          “ช่วยออกไปก่อนนะ พ่อหนุ่ม” หญิงแกร่งผายมือไปตรงทางเดินเพื่อบอกให้คำหาญเดินไปทางนั้น “ข้ามีเรื่องจะคุยกับราธีเป็นการส่วนตัว”

          ราธีหันไปพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้กลับห้องคุมขังได้ เด็กหนุ่มยกมือลา ก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็ยังหันกลับมามองเป็นครั้งคราวอย่างสนอกสนใจ

          ราธีกระแอมแก้เก้อ “ไม่ใช่ว่าข้าสู้ไม่ได้ ข้าแค่ไม่อยากใช้กำลังแก้ปัญหา”

          “ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายกระทำอย่างนั้นสิ” ร้อยเปียประชด เธอโปะผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าไปบนจมูกที่มีเลือดคลั่งอยู่ “เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ยังมีคลั่งอยู่ ถ้ามันเริ่มไหลอีก เจ้าควรไปโรงสมานเหียน (คล้ายโรงพยาบาล)”

          “ขอบใจ” ผู้เจ็บซับแผลอย่างระมัดระวัง “ยอมเจ็บตัวดีกว่าทนเห็นคนอื่นเจ็บตัวเพราะเรา” เป็นคำตอบที่ไม่เหมือนคำแก้ตัวเสียทีเดียว แต่แฝงไว้ด้วยความจริง “ข้าไม่ได้มีจิตใจดำมืดเหมือนเจ้า”

          “เจ้านี่ไม่ตายหรอก อย่างมากก็หมดสติไปสักพัก” นักสืบเตะร่างที่นอนแน่นิ่งเบาๆ “เดินไปคุยไปแล้วกัน เกิดเจ้านี่ตื่นขึ้นมาได้ยินบทสนทนา จะเป็นเรื่องเอาได้”

          แขกสาวไม่ว่าเปล่า เธอนำเดินออกจากจุดเดิม ผ่านแมกไม้และดอกไม้อีกหลายชนิด สีชมพูของดอกพวงชมพูและเฟื่องฟ้าถูกปลูกไว้สลับกันตลอดทางเดิน ดูเผินๆ อาจแยกไม่ออกและคิดว่าเป็นดอกเดียวกัน เหนือขึ้นไปเป็นดอกผกากรองสีขาวบริสุทธิ์ที่ขึ้นติดๆ กันหลายดอกในก้านเดียว

          “เฮ้ย”

          หญิงสาวอุทานเสียงหลงเมื่อเท้าข้างหนึ่งไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง โชคดีที่ราธีช้อนมือไว้ใต้เอวได้อย่างทันท่วงที ร่างที่ควรจะตกลงไปจูบพื้นจึงอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแทน ร้อยเปียรีบยันตัวขึ้นยืน เธอปัดเนื้อตัวอย่างร้อนรน รู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่ต้องรับการช่วยเหลือจากอริอย่างช่วยไม่ได้

          “ระวังหน่อยก็ดี” หนุ่มผมหยักศกเตือนพลางเขี่ยรากไม้ให้พ้นทาง “รากสำแลงที่ปลูกไว้มันค่อนข้างยาวพอสมควรเลยล่ะ”

          เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงหน้าคมก็ก้มลงไปมองดินที่เหยียบอยู่ สิ่งที่เห็นคือรากไม้ยาวยั้วเยี้ยพันกันมั่วไปหมด รากบางที่มีสีแดงดังเลือด หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘รากสำแลง’ พิษตัวร้ายที่คร่าชีวิตเจ้าสาวในงานวันก่อน

          “รากสำแลงอาจจะเป็นพิษภัยต่อมนุษย์ก็จริง แต่มันเป็นประโยชน์ต่อพันธุ์ไม้ด้วยกันเองอย่างมาก” ราธีเอ่ยขึ้น เขาออกเดินต่อพลางชายตามองบรรดาดอกไม้อย่างเอ็นดูเสมือนเป็นลูกรัก “มันช่วยกันไม่ให้แมลงเข้าใกล้ดอกไม้ เพราะเจ้าพวกแมลงวัชพืชน่ะไม่ชอบกลิ่นของรากสำแลง”

          “ข้ายังไม่ได้ถามเสียหน่อย” ร้อยเปียขัดขณะเดินตามไปอย่างเก็บงำความคิด

           “แต่จะว่าไม่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์เลยก็ไม่ถูก เพราะในปัจจุบันเราใช้มันผสมเข้ากับเครื่องดื่มให้นักโทษที่ต้องรับการประหารดื่ม” พัสดีหนุ่มกล่าวอย่างรู้ดี แต่นั่นยิ่งสร้างความน่าสงสัยให้กับนักสืบ

          “รู้ดีจริงนะ” ร้อยเปียเอ่ยเสียงเย็น

          “นี่เจ้าคงไม่ได้คิดว่า...”

          “ถูกแล้ว ข้ากำลังสงสัยว่าเจ้าคือฆาตกรที่ฆ่าสะไบ” ร้อยเปียว่าตามความจริง “และถ้าเจ้าอยากยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็หาให้เจอสิ ฆาตกรตัวจริงน่ะ”

          “ไม่ เดี๋ยวนะ เจ้าให้ข้าทำคดีนี้ทำไมกัน เจ้าก็น่าจะหาตัวฆาตกรเองได้นี่” ราธีย่นคิ้ว มองเธออย่างสบประมาท “หรือว่าเจ้ามันไร้น้ำยา แล้วดีแต่แต่งเรื่องขึ้นมาล่ะ ฮึ”

          “เหตุผลที่ข้าให้เจ้าเป็นคนทำคดีนี้ เพราะข้าอยากจะเห็นสีหน้าของฆาตกร ตอนต้องส่งคนอื่นเข้าคุกแทนตัวเอง" นักสืบยิ้มหยัน “เหมือนที่ข้าเคยทำบ่อยๆ ยังไงล่ะ”

          “จะต้องให้ข้าบอกอีกกี่รอบว่าข้าไม่ได้ทำ” หนุ่มรูปงามตอบปัดอย่างหัวเสีย

          “ไม่ต้องพูดมากหรอก ขอแค่หลักฐานมาเอาผิดคนร้ายก็พอ”

          พัสดีหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดอย่างพยายามตั้งสติ ก่อนเอ่ย “ได้” เขาจ้องอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ แล้วจึงยกนิ้วก้อยขึ้นมา “แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะยอมมอบตัวจริงหากข้าจับตัวฆาตกรได้”

          “สัญญา” รัอยเปียทำท่าจะเข้าไปเกี่ยวกัอยด้วย แต่ราธีลดมือลงเสียก่อน นักสืบหัวเราะหึ

          “ร่างกายของฆาตกรมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยรึ”

          “ไม่ใช่ว่าฆาตกรน่ารังเกียจ หากข้าคิดเช่นนั้นคงทำงานเป็นพัสดีไม่ได้นานขนาดนี้” ราธีให้เหตุผล "แต่การแตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามน่ะมันเป็นการผิดผี อีกอย่าง เป็นสตรีน่ะควรรักนวลสงวนตัว ไม่มีใครเคยสอนเจ้าหรือไง”

          คำสั่งสอนที่ยาวเป็นหางว่าวทำเอานักสืบหาวหวอดๆ ด้วยความเบื่อหน่าย “สาบานสิว่าเจ้าไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาวตัวมอมคนนั้น”

          “คนไหน”

          “ก็คนที่...” สาวมากเล่ห์ลอยหน้าสลอน “เจ้านำข้าวไปให้เมื่อครู่น่ะ”

          นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิ่งออกด้วยความตกใจสุดขีด “ตามข้ามา” เขารีบลากคู่สนทนาให้ตามตนไป โดยลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้เพิ่งพูดไปว่าไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้าม

          ทั้งคู่มาถึงหน้าทางเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีใบไม้คล้ายรูปหัวใจปลายแหลมปลูกไว้ด้านบน รากไม้สีน้ำตาลจำนวนนับไม่ถ้วนงอกย้อยลงมาจรดพื้นดินแลดูคล้ายม่าน ราธียกมือปัดมันออกและแทรกตัวผ่านเข้าไปด้านใน เขาออกแรงดึงร้อยเปียให้ตามไปด้วยกัน

          ทัศนียภาพที่เห็นทำให้รู้สึกราวกับหลุดมาอยู่อีกโลก ต้นไม้ต้นใหญ่หลายต้นที่เต็มไปด้วยใบไม้สีส้มโน้มเข้าหากัน มันปกคลุมฟากฟ้าเกือบมิดเสมือนเป็นหลังคาคอยบังแดด มีเพียงแสงบางส่วนที่ยังเล็ดลอดผ่านกิ่งก้านเข้ามาได้ บรรยากาศโดยรวมจึงไม่ได้มืดสนิท แต่มีความสว่างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าร้อนผ่าว

          ตรงกึ่งกลางเป็นบ่อน้ำสีน้ำเงินใส เงาของใบไม้สีส้มที่ทอดลงมายังผืนน้ำเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก ยิ่งเมื่อมันตัดกันกับสีแดงของดอกบัวนับสิบๆ ดอกที่ลอยอยู่บนน้ำ หินทรงกลมสีขาวสะอาดตาหลายก้อนถูกวางเรียงรายไปรอบๆ บ่อ ปลาตัวเล็กตัวน้อยผลัดกันกระโดดขึ้นมาทักทายอาคันตุกะ ลมเอื่อยๆ พัดเหล่าใบไม้ให้ปลิวไหวไปตามแรงลม ร้อยเปียเผลอยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้มกับทิวทัศน์

          “ร้อยเปีย” เสียงนุ่มปลุกให้เธอตื่นจากความฝัน นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววหวาดระแวง “เจ้ามาที่นี่เพื่อสืบเรื่องข้าหรือ"

          “สำหรับข้า เจ้ายังเป็นผู้ต้องสงสัยที่น่าสงสัยที่สุด” นัยน์ตาสีดำมองข่มกลับ “ในเมื่อเจ้ามีคนรักอยู่แล้ว ตกลงเจ้าเข้าเรือนกับสะไบด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่”

          “ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า แต่ถึงยังไงเจ้าก็คงรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว” ราธีเปรย เขาหลับตาลงทำใจเมื่อต้องกล่าวถึงผู้ตายในทางไม่ดี “จริงๆ แล้ว สะไบมีภาวะทางจิตที่ไม่ปกติ”

          “จิตไม่ปกติ” ร้อยเปียทวนอย่างไม่เชื่อหู “ถึงจะดูเป็นคนเอาแต่ใจไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ดูนางปกติดีนี่ นางไม่ได้บ้าสักหน่อย”

          “จิตไม่ปกติ ไม่จำเป็นต้องบ้าเสมอไป”

          พัสดีหนุ่มผิวปากเบาๆ ก่อนที่นกตัวหนึ่งจะบินมาเกาะบนม้านั่งซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล มันเป็นนกที่ตัวค่อนข้างใหญ่ จะงอยปากยื่นยาวออกมา รวมถึงคอที่ยาวและเรียว แผงตรงบริเวณคอเป็นสีขาว ในขณะที่ส่วนอื่นเป็นขนนุ่มสีดำทั้งตัว ลวดลายวิจิตรสีทองบนปีกกว้างทำให้การสยายออกในแต่ละครั้งช่างสง่างาม ส่วนหางมีขนประมาณสิบเส้นงอกออกมาราวสองคืบ ตาเฉี่ยวทั้งสองข้างดูดุร้ายถึงแม้จะเกิดมาเป็นแค่นก

          “นางเคยมีอดีตฝังใจกับคนรักที่ทิ้งนางไป หลังจากนั้นจึงโมเมว่าผู้ชายผมยาวทุกคนเป็นคนรักเก่าที่กลับมาขอคืนดี”

          “ผมเจ้าไม่เห็นจะยาวตรงไหน” นักสืบมองอริหัวจรดเท้า

          สะไบไม่ได้ถูกใจเจ้านี่เพราะทรงผมหรอก นางชอบหน้าหวานๆ อันเกลี้ยงเหลาที่หาได้ยากจากบุรุษทั่วไปมากกว่า!

          “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด พ่อแม่นางวานให้ข้าช่วยรักษาอาการนี้เท่านั้น ใช่ ข้ายอมรับว่าผลตอบแทนก็ไม่น้อยเลยทีเดียว” ราธีหลุบตาต่ำอย่างรู้สึกผิด “หลายเดือนต่อมา อาการนางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้าไม่รู้ตัวเลยว่า ระหว่างที่ข้าพยายามชี้ให้นางเห็นความจริง มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นาง หลงรักข้าเสียเอง”

          ร้อยเปียเหล่ชายผู้ไม่มีความเป็นชายชาตรี “ผู้ชายอย่างเจ้าเนี่ยนะ หึ”

          สุภาพบุรุษจ้องเธอตรงๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสะกดเธอไว้ได้ไม่ต่างจากครั้งแรกที่พบกัน “อย่าหลงรักข้าบ้างก็แล้วกัน”

          มือใหญ่ลูบไล้ไปตามแผงคอยาวด้วยความรักใคร่ เจ้าสัตว์ปีกครางในลำคออย่างพึงพอใจ เธอยังไม่อาจละสายตาจากเขาได้ ทุกท่วงท่าที่ขยับแฝงไว้ด้วยความอ่อนช้อย หรือแม้แต่ร้อยยิ้มที่ดูมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างช่างดูไร้เสน่ห์ของความเป็นชาย แต่กลับมีบางอย่างน่าสนใจ บางอย่างที่ดึงดูดเธอเข้าไปราวกับแม่เหล็กต่างขั้ว

          นักสืบรีบเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ตัวว่าจับจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป เธอซักต่อ “แล้วเหตุใดจึงลามมาเข้าเรือนได้”

          ราธีชะงักไปชั่วครู่ แววตาคู่สวยดูเศร้าสร้อย “ภาวะทางจิตไม่ได้เป็นโรคเดียวที่นางเผชิญอยู่ ณ ตอนนั้น แต่นางกำลังทุกข์ทรมานอยู่กับโรคร้ายอีกโรคหนึ่ง และมีชิตอยู่ได้อีกไม่เกินหนึ่งปี”

          ร้อยเปียร้องอ๋อในใจหลังได้ยินคำตอบ เพราะเหตุนี้สินะ ถึงได้คิดจะตายอย่างไม่หวาดหวั่น “เพราะเหตุนั้นพ่อแม่นางจึงขอให้ข้าเข้าเรือนและดูแลนางให้ดี ก่อนที่นางจะไปสู่สุคติ”

          “ค่าจ้าง เจ้าได้รับมันหรือยัง”

          “กำลังสงสัยว่าข้าอาจจะฆ่านางหลังจากได้รับค่าจ้างแล้วสินะ” หนุ่มผู้ปราดเปรื่องเอ่ยอย่างรู้ทัน “ยังหรอก ไม่เชื่อก็ไปถามพวกเขาได้ ยังไงก็ต้องไปสอบปากคำอยู่แล้วนี่”

          “ข้ายังพูดไม่ชัดเจนอีกหรือ ว่าคดีนี้ข้ายกให้เจ้า” ร้อยเปียท้วง

          “คิดว่าข้าโง่หรือ”

          ราธีหันมาเผชิญหน้ากับเธอ เมื่อยืนเทียบกันใกล้ๆ เธอเพิ่งสังเกตว่าความสูงของเธอกับเขาไม่ได้ต่างกันมาก ราวๆ ครึ่งคืบเห็นจะได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า เจ้านี่น่ะเตี้ย!

          “เจ้าก็แค่ซื้อเวลาให้ตัวเองเท่านั้นแหละ ขุดเอานั่นนี่มาอ้าง สัญญาว่าจะยอมมอบตัวหลังจบคดี คำสัญญาของฆาตกรน่ะ เชื่อก็บ้าแล้ว สัจจะไม่มีในหมู่โจร แล้วข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าน่ะ มันยิ่งกว่าโจรเสียอีก” พัสดีหนุ่มกระแทกกระทั้น “หลอกให้ข้าสืบทุกอย่างแทนเพื่อให้ข้าตายใจ แต่ยังไงเจ้าก็คิดจะเล่นตลบหลังข้าอยู่แล้ว พอถึงเวลาก็กะจะโยนข้าเข้าคุกพร้อมกับหลักฐานปลอมที่เจ้าสร้างมันขึ้นมาเองสินะ”

          ร้อยเปียแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง แปลกใจไม่น้อยที่เขาอ่านกลยุทธิ์ออกหมดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแผน และคำถามก็หลุดออกมาจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ “เจ้าเป็นแค่พัสดีจริงๆ น่ะหรือ”

          “ถือว่าข้าขอร้องก็ได้” แววตาคู่เศร้ามองมาอย่างเว้าวอน สองมือประนมขึ้นขอความเห็นใจ “ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น นางอยู่ไม่ได้หากไม่มีข้า”

          นักสืบทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนขอร้อง ตายาวเบิ่งออกด้วยความตกใจกับปฏิกริยาตอบโต้ ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าเขาจะต้องทำปากเก่งและขู่เธออีกตามเคย แต่เพื่อผู้หญิงคนเดียว เขายอมทิ้งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ศักดิ์ศรีของตัวเองเลยหรือ

          “เอาเป็นว่า...ข้าขอโทษก็แล้วกัน” ร้อยเปียเกาหางคิ้วแก้เก้อ รู้สึกกระดากปากที่ต้องเอ่ยขอโทษ “สำหรับการกระทำของข้าที่ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องรับโทษแทน”

          ราธีเงยหน้าขึ้นสบตากับอริ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นออกมาจากปากคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ณ ชั่วเวลาหนึ่งที่เขาเห็นถึงความสำนึกผิดอย่างใจจริงจากดวงตาคู่สีดำ แต่แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นแสนกลตามเคย

          “อโรคาต้องการเบี้ยเท่าไหร่เพื่อแลกกับตัวนักโทษคนนี้ล่ะ”

          หนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว “จะ...เจ้ารู้ได้อย่างไร”

          “คนชั้นสูงอย่างอโรคาที่เป็นถึงอดีตโมกข์แห่งบางชลาลัย ไม่มีทางเอาตัวเองลงมาเกลือกกลั้วกับคนอย่างเจ้าแน่” ร้อยเปียสาธยายตามที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ “ถ้าจะมี ก็แค่สองประการเท่านั้น ไม่เรื่องเบี้ย ก็นารี” ว่าแล้วก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “เรื่องผู้หญิงตัดออกไปได้ เพราะเจ้าไม่น่าจะเลวพอจะทำธุรกิจแบบนั้น แต่เรื่องเบี้ย ก็ไม่แน่” นิ้วหนึ่งถูกพับเก็บเหลือเพียงนิ้วเดียวที่เป็นคำตอบ “แต่ก็น่าสงสัยอีกนั่นแหละ พัสดีธรรมดาๆ อย่างเจ้าจะไปมีธุรกิจอะไรกับอโรคาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องธุรกิจ ก็น่าจะมีการตกลงกันในเรื่องอื่น อโรคาจะเสนอเบี้ยตราให้เฉพาะคนที่เขาจ้างให้ทำเรื่องไม่ดี ซึ่งเจ้า เป็นไปไม่ได้” หญิงแกร่งกระดิกนิ้วไปมาระหว่างการสนทนา “ข้าจึงได้บทสรุปว่า เจ้าเป็นคนเสนอเบี้ยให้อโรคาเอง ด้วยกับข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง ซึ่งก็คือการขอถอนตัวนักโทษ”

          ข้อสันนิษฐานที่แสนจะละเอียดทำให้หนุ่มน้อยเริ่มไหวตัวมากเป็นพิเศษ ผู้หญิงคนนี้ อาจไม่ได้มีดีแค่ฝีมือทางด้านฆาตกรรม แต่หากมีฝีมือในการสืบสวนจริง เหตุใดจึงต้องคอยฆ่าเหยื่อและสร้างเรื่องหลอกคนอื่นด้วยล่ะ ได้แต่ถามตัวเองเงียบๆ ในใจ แน่นอน เขาต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้

          “อโรคาต้องการหกพันกะโหลก” เสียงของพัสดีดูอ่อนลงอย่างเหนื่อยหน่ายกับจำนวนเงินที่มากมายเกินคนธรรมดาจะไขว่คว้า “ส่วนอมรินทร์ ต้องการมากกว่าพ่อของเขาถึงสองเท่า”

          “ไอ้ระยำ!” ร้อยเปียสบถ “ความละโมบมันติดต่อกันทางสายเลือดหรือไงนะ”

          “ตาเถรหกตกใต้ถุน!” ราธีอุทาน มือนาบอยู่บนอกด้วยท่าทางตกอกตกใจ “เป็นสาวเป็นนางพูดจาหยาบคายเช่นนั้นได้อย่างไร”

          “เบี้ยแค่นั้นไม่สะเทือนกระเป๋าข้าแม้แต่นิด” นักสืบไม่สนใจคำติติง เธอเริ่มทำการต่อรอง “ข้าจะจ่ายให้ แต่เพื่อแลกกับเบี้ย...” เธอกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าต้องเลิกยุ่งกับข้าและยอมส่งสมุดบันทึกตารางนัดมาให้ข้าเสียดีๆ”

          พัสดีหนุ่มยืนตาค้าง สมองเริ่มครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนที่สุด เขาจะยอมปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปได้อย่างไร ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่านางสมควรได้รับโทษอย่างสาสม แต่ในทางกลับกัน ข้อเสนอดีๆ แบบนี้คงไม่มีมาบ่อยๆ นอกจากคนตรงหน้าแล้ว ก็คงไม่มีใครเสนอมาอีก และหากปฏิเสธไปก็ไม่รู้ว่าโอกาสจะมาถึงอีกทีเมื่อไหร่

          นักสืบรอฟังคำตอบด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ การต่อรองนี้ อาจทำให้เธอหลุดพ้นจากการเป็นเป้าหมายก็ได้ ที่สำคัญที่สุด คือสมุดเล่มใหญ่ซึ่งเคยเป็นของอโรคา เป็นตายร้ายดียังไง เธอก็ต้องนำมันกลับมาให้ได้ เพราะมันเป็นหลักฐานเดียวที่จะสาวไปถึงตัวหนอนบ่อนไส้ตัวดีผู้ทำงานให้กับชาวเศวต

          “ไม่ล่ะ” ในที่สุดคำตอบก็ออกมาจากปากผู้ถูกเสนอ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแสดงถึงความมั่นใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ “ความเป็นธรรมจะเข้าข้างคนที่เป็นธรรมเอง ข้าไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าจากคนที่ไม่มีความเป็นธรรม”

          “ตามใจ” ร้อยเปียเชิดหน้าขึ้น “จะยอมเสียเวลาทั้งชีวิตพยายามจับข้าเข้าคุกก็เชิญ” เธอปรามาสด้วยเสียงหนัก “แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่เสียเวลา ยิ่งลังเลก็ยิ่งกินเวลาชีวิตของหญิงนางนั้น”

          หญิงนางนั้นที่มีความสำคัญกับราธีอยู่มาก ชายหนุ่มหลบสายตาเหมือนไม่ต้องการให้เห็นถึงความเสียดายที่ฝังอยู่ลึกๆ

          “เจ้าเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงครึ่งวันก่อนจะมอบตัวกับหน่วยควานบาป” จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องจนฆาตกรไปไม่เป็น “แต่เห็นแก่ที่เจ้ารับงานสะไบไว้แล้ว ข้าจะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้ จนกว่าคดีนี้จะปิดฉากลง” ราธีฝืนพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “ข้ายอมให้เพราะสะไบเลือกที่จะเชื่อใจเจ้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าเชื่อใจเจ้า เพราะฉะนั้นจงพึงสำเหนียกไว้ให้ดี ว่าข้ายังจับตาดูเจ้าอยู่ทุกฝีเก้า”

          ร้อยเปียหัวเราะหึ “ปากเจ้าก็ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอยู่ดี...”

          “สามครั้ง” พัสดีหนุ่มแทรกขึ้น สีหน้าดูขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าพูดแบบนั้นกับข้ามาสามครั้งแล้ว นับตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก”

          “รู้ด้วยหรือ” นักสืบแปลกใจที่ในที่สุดเขาก็ประจักษ์เสียทีถึงเรื่องคราบนมในวันนั้น “แต่วันนี้ปากเจ้าไม่ได้มีแค่น้ำนมหรอก มันยังมีน้ำลายหมาติดอยู่อีกด้วย”

          ราธีแค่นยิ้ม เขาโต้กลับด้วยคำพูดแดกดัน “เล่นกับหมา หมามันก็เลียปาก เป็นเรื่องปกติ”

          และหมาสองตัวก็หันหลังใส่กัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศ...

 

-----------------------------------------------------------------------------------

 

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

เว็บขีดเขียน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา