Time to be us: รักฉันนั้นเพื่อเรา

-

เขียนโดย หญิงวรรณน์

วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.00 น.

  3 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,763 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560 12.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกคือละครทุกคนต้องแสดงทุกคนทนไป...

          เสียงเพลงสุนทราภรณ์ดังแว่ว ๆ ออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ฉันมองเข้าไปในร้านตามต้นเสียง เวลาบ่ายแก่ ๆ ที่ทุกคนคงจะวุ่นอยู่กับการทำงานในตึกสูงของเมืองใหญ่ ทำให้ภายในร้านปราศจากผู้คน สายลมที่พัดมากระทบผิวกายเวลานี้ไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนแต่อย่างใด ไม่รู้เป็นเพราะลมพัดเอาไอร้อนมาด้วย หรือเป็นจิตใจของฉันเองที่ร้อนรุ่มยากจะมีอะไรมาดับได้

         “เห้อออออออออ” ฉันยังคงสาวเท้าไปตามฟุตบาทรีบ ๆ แต่ก็ไม่วายต้องถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เดินฝ่าแดดร้อน ๆ ไปอีกแค่ไม่กี่ช่วงถนนก็จะถึงสถานีรถไฟแล้ว ฉันจะได้กลับบ้านไปจัดการอะไร ๆ ให้มันเรียบร้อยซะที

 

         ทำไมชีวิตฉันมันบัดซบได้ขนาดนี้วะคะ ต้องลาออกจากงานทั้ง ๆ ที่ไม่อยากออกเลยสักนิดเดียว ฉันพาลคิดโมโหว่าถ้าพ่อแม่ไม่ทิ้งฉันไป ไม่ทิ้งให้ฉันต้องอาศัยอยู่กับป้าขี้โรค ลุงที่โคตรจะไม่เอาไหน และหลานชายวัยแตกหนุ่มที่หาความน่ารักไม่เจอแบบนั้น กับหนี้สินจำนวนหลายแสนบาทที่ฉันไม่ได้ก่อ ชีวิตฉันคงจะมีดีเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง ...บ่นไปก็เท่านั้น เอาเถอะ รีบ ๆ ไปซื้อตั๋ว กลับบ้านแล้วหางานใหม่ซะนณายเอ๋ย!

 

          ฉันเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดเพราะถูกแดดแผดเผาจนเริ่มสู้สึกแสบ ๆ ที่ผิวหน้าแล้ว

 

          ปรี๊นนนนนนนน ปรี๊นๆๆๆๆ!!!

 

          ทันใดนั้นก็มีรถสีดำคันหรูบีบแตรสนั่น ขับเร็ว ๆ ผ่านไป ตามมาด้วยรถตำรวจและเสียงไซเรนอย่างที่เคยเห็นในทีวีบ่อย ๆ

 

          เปรี้ยง! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!!

 

          เสียงปืนที่ไล่หลังรถคันนั้นมาทำเอาฉันทำอะไรไม่ถูก ความวุ่นวายบนท้องถนนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รถกระบะสามสี่คันวิ่งสวนเลนกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง ให้ตายสิ!! นี่มันกลางเมืองหลวงนะ เกิดเรื่องบ้าอะไรกันอีก ฉันตื่นเต้นกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเจอ เสียงหัวใจร้องเต้นอย่างบ้าคลั่ง ฉันไม่ควรยืนนิ่ง ๆ แบบนี้สิน่า บ้าเอ๊ย!! คิดได้ดังนั้นก็ก้าวเท้าออกวิ่ง ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นน่าจะช่วยให้ฉันพึ่งพิงได้จนกว่าทุกอย่างจะสงบล่ะนะ

 

          “กรี๊ด!!”

 

          ฉันตกใจสุดขีดเมื่อมีมือปริศนาฉุดฉันให้ขึ้นไปบนรถตู้คันหนึ่งที่วิ่งมาจอดเทียบตอนไหนไม่ทราบ ทันทีที่นั่งลงบนเบาะได้ มือปริศนาก็กระชากประตูปิด และรถออกพุ่งทะยานไปในทันที!

          “พวกคุณเป็นใคร! จอดรถให้ฉันลงเดี๋ยวนี้นะว้อยยยยยย!!!!” ฉันตั้งต้นโวยวายทันทีที่เรียกสติกลับมาได้ เพราะมั่นใจมาก ๆ ว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่มันแอคชั่นไซไฟแบบนี้ - -“

          “เวรแล้วไง!! ไอ้ไฟ!!! นี่มันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณคาน่อน โธ่เว้ยยยยย!! ไปเอาใครมาวะ”

          ผู้ชายหน้าตาดีสวมชุดสูทสีดำทั้งตัวที่นั่งอยู่เบาะหลังฉันร้องขึ้นอย่างหัวเสีย พอหันไปมองคนที่ฉุดฉันขึ้นมาที่น่าจะชื่อไฟ และเค้าทำหน้างง ๆ ...ไอ้บ้า!! คนที่ควรงงต้องเป็นฉันโว้ย แกเอาฉันมาทำไม!! ฮื้ออออออ อยากจะร้องไห้ประชดพระเจ้าจริง ๆ เลย! ชีวิตฉันนี่นอกจากจะบัดซบแล้วมันยังซวยได้อย่างอนาถที่สุดอีกด้วย

          “ผะ ผม ผม ขอโทษพี่เหนือ โธ่ ผมเคยเห็นคุณซินเนียแค่ในรูป แล้วยัยนี้ก็ดูคล้าย ๆ ด้วย” ไฟร้องขึ้นบ้าง

          “ให้จอดมั้ยครับ” คนขับรถตะโกนถามจากมาจากด้านหน้า ฉันหันขวับไปมองอย่างมีความหวังว่าจะได้หลุดพ้นจากวันแย่ ๆ นี่สักที แต่แล้วก็เหมือนมีน้ำคลำจากคลองเน่า ๆ เทราดรดบนไฟแห่งความหวังนั้น

          “ไม่จอดโว้ยยย เสียเวลา ไปเซฟเฮ้าส์ให้เร็วที่สุด คุณธามแย่แล้ว! ส่วนแก... ไอ้ไฟ โทรหาคุณหมอกันต์ให้ไปรอเลย”

          ผู้ชายเบาะหลังที่ชื่อเหนือสั่งงานรัว ๆ “คุณธาม! คุณธาม!! อดทนไว้นะครับ”

 

          ถึงตอนนี้ทุกคนก็ได้ทิ้งฉันไปอย่างสงบ (?) ฉันกรอกตามองบนอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี เออ!! ทำได้ดีสุดก็คงนั่งนิ่ง ๆ มองความวุ่นวายที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ โธ่เว้ยยยยยยยยย!!!

          “นี่เธอ!” ไอ้คุณเหนือตะโกนเรียกฉันเสียงดังทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ใกล้แค่นี้ แต่เพราะฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเซ้นซิทีฟกับความรู้สึกคน จึงพอจะจับได้ว่าน้ำเสียงนั้นร้อนรนมากกว่าต้องการจะหยาบคายใส่ “เธอปฐมพยาบาลเป็นมั้ย เจ้านายผมเลือดไหลไม่หยุดเลย”

          มีคนเจ็บหรอ?

          “มาช่วยผมหน่อยสิ! เร็วเข้า!”

          ไม่รู้ว่าด้วยสัญชาตญาณความเป็นคนดี เป็นแม่ชีแม่พระในตัว หรือเพราะสายตาอ้อนวอนแกมสับสนของคุณเหนือกับสีหน้าซีด ๆ นั่น ทำให้ฉันมุดไปที่เบาะหลังข้าง ๆ กับที่เขานั่ง ชายผิวขาวหน้าตาหล่อเหลา อยู่ในสุดสูทสีดำแบบเดียวกับคุณเหนือนอนจมกองเลือด หายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น เลือดสีแดงสดไหลนอนไปทั่วพื้น ขนาดฉันไม่กลัวเลือดยังลมแทบจับ

          “เค้าจะตายมั้ยอะ TT” ฉันเผลอหลุดปากหยาบคายออกไป คุณเหนือไม่ว่าอะไรเพียงแต่ผลัก ๆ ฉันให้เข้าไปใกล้ชายคนนั้นมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเองมุดหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เดาจากสีหน้าซีด ๆ แล้วคงไม่ต้องเดาว่าผู้ชายคนนี้กลัวเลือดมากแค่ไหน

          “เค้าเป็นอะไรมาเหรอ ฉันไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาลนะ เฮ้!! คุณมาช่วยฉันสิ”

          “เธอจัดการหน่อยสิ! ไหน ๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว... นะ ๆ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถือว่าช่วย ๆ กัน”

          ฉันมองไอ้คุณเหนือแล้วกรอกตาใส่อย่างจนใจ นี่มันเวรกรรมอะไรวะเนี่ย ดูเหมือนรถตู้ที่เรานั่งมาจะหลุดออกมาจากแวดวงความวุ่นวายได้แล้ว ข้างทางเริ่มเป็นชานเมือง ...โรงพยาบาล ใช่!! เราต้องพาเค้าไปโรงพยาบาล

        “นี่คุณ!! เราต้องพาเค้าไปหาหมอนะ คุณให้คนขับรถกลับรถเข้าไปในเมืองเถอะ” ฉันร้องบอกคุณเหนือที่ยังคงซุกหน้ากับกระจกหน้าต่างรถ

          “จากที่นี่ไปโรงพยาบาลไกลมากเลยนะ ถ้ากลับรถไปตอนนี้คุณธามได้ม่องเท่งแน่!”

          “...”

          “แต่จากที่นี่ไปเซฟเฮ้าส์อีกไม่ไกลแล้วครับ เรามีหมอรออยู่ที่นั่น”

 

          ฉันจัดการถอดสูทออกจากร่างคุณธาม พอจะจับได้ว่าเลือดที่ไหลท่วมนี่มีแหล่งกำเนิดมาจากบริเวณหน้าอก แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าจุดไหน เพราะไม่กล้าถอดเสื้อเชิ้ตที่เค้าสวมอยู่เพื่อดูแผล ฉันเป็นผู้หญิงนะเว้ย ใจเสาะเป็นเหมือนกันนะ T^T เพราะงั้นจึงได้พับสูทแล้วโปะไปที่หน้าอกของเค้า หวังจะช่วยห้ามเลือด แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าวิธีที่ทำอยู่นี่ถูกผิดยังไง จำ ๆ มาจากในหนังน่ะ -,.-

 

          “เธอ... เป็นใคร...”

          ความเงียบเข้าครอบงำได้ไม่นาน เสียงแหบ ๆ ของคุณธามก็ดังขึ้น ก่อนจะยกมืออ่อนแรงขึ้นมาจับแขนฉันที่กดหน้าอกเค้าเอาไว้ ฉันรู้สึกได้ว่าเค้าระแวงระคนฉงนใจ ไม่ต้องรอให้คนเจ็บคาใจมากมาย ฉันแนะนำตัวออกไปง่าย ๆ

          “สวัสดีนะคะ ฉันชื่อนณายค่ะ คุณอดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงเซฟเฮ้าส์แล้ว”

          ฉันโกหก... เอาจริง ๆ คือไม่รู้เลยว่าเซฟเฮ้าส์ที่คุณเหนือบอกว่าอยู่ไม่ไกล ไม่ไกลนี่คือใกล้แค่ไหน แรงกระชับที่แขนถูกผ่อนลง กลายเป็นฉันที่จับมือเขาเอาไว้ ...ฉันไม่รู้ว่าทำแบบนี้ทำไม แต่น่าแปลกมันช่วยให้ตัวเองสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด คุณธามเองก็ดูผ่อนคลายขึ้นด้วย

 

          รถเคลื่อนมาหยุดที่หน้าบ้านที่ก่อขึ้นจากอิฐสีแดง ๆ หลังหนึ่ง มองดูจากถนนภายนอกก็เหมือนเป็นบ้านธรรมดา ๆ อาจจะเพราะมีต้นไม้ใหญ่บังสายตาเอาไว้ แต่พอได้เข้ามาที่ตัวบ้านจริง ๆ แล้วจะพบว่าที่นี่มีแปลนบ้านแปลก ๆ งง ๆ ระบบความปลอดภัยก็แน่นหนา ...ใครจะคิดล่ะ ว่าครั้งหนึ่งฉันจะมีโอกาสได้เห็นแสงเลเซอร์สีส้ม ๆ ที่ดักอยู่ทุกช่องหน้าต่างและประตู -*- บางที... พระเจ้าอาจจะอยากให้ฉันเป็นนางเอกสายแอคชั่น เหอะ ๆ ที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครบครันซะจนนึกว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลขนาดย่อม ฉันอยากจะเอ่ยปากถามใครสักคนใจจะขาด ใครก็ได้ช่วยพูดอะไรให้ฉันไม่ยืนงงอยู่แบบนี้ที แต่พอเห็นทุกคนวุ่นวายพาตัวคนเจ็บเข้าไปรักษา ก็สุดปัญญาจะเข้าไปถามให้วุ่นวายได้

           “เชิญคุณไปพักผ่อนที่ห้องรับรองก่อนดีกว่านะครับ ถ้าทางนี้เรียบร้อยแล้วเราจะไปตาม” ชายชุดดำที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเข้ามากล่าวเชิญ แต่ภายใต้ความนอบน้อมและโค้งคำนับนั่นมัน... บังคับกันกลาย ๆ นี่เอง!

          ฉันตามชายคนนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองของตัวบ้าน เขา เชิญ ฉันเข้าไปที่ห้องด้านในสุด ก่อนจะกล่าว

          “ตามสบายนะครับ” สายตากึ่ง ๆ บังคับนั่นทำให้ฉันยอมเข้าไปข้างในแต่โดยดี แต่แล้ว...

          แกร๊ก!

          บ้าสิ!!

          ประตูปิดลงพร้อมกับชายคนนั้นที่ลับไปหลังประตู ฉันถลาเข้าไปหมุน ๆ ลูกบิด มันถูกล็อกจากข้างนอกจริงด้วย ๆ !! เอวัง...

          “นี่!!! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!จะเอาฉันมาขังไว้ทำมะเขือเผาอะไรเล่า”

          “....”

          “คุณ!!! ฉันเป็นคนช่วยเพื่อนของคุณที่นอนเป็นผักอยู่ข้างล่างนั่นนะ ปล่อยโว๊ยยยยยยย!!”

          ตะโกนไปก็ตบประตูดังปัง ๆ จนเจ็บมือไปหมดก็ไม่มีเสียงตอบรับ ฉันจึงได้เข้าใจ ณ ตอนนี้เองว่า อ่อ ที่แท้แล้วชีวิตฉันมันมากกว่าคำว่าบัดซบเฮงซวยเป็นไหน ๆ

 

          ฉันฆ่าเวลาหลายชั่วโมงด้วยการนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง และแล้วเสียงเปิดประตูที่พระเจ้า ...ไม่สิ ที่ผู้ชายคนหนึ่งประทานมาให้ก็ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกจนกว้าง พร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายในชุดลำลองสบาย ๆ อ๊า หล่อจัง ฉันหลงรักผู้ชายผิวสีแทน ๆ แบบนี้ล่ะ

          “อะแฮ่ม!!” เค้ากระแอมเรียกเบา ๆ ฉันเผลอยิ้มเก้อ ๆ ส่งไปให้ทีหนึ่ง

          “ขอโทษที่ให้รอนานนะสาวน้อย อ่อ พี่ชื่อหมอกันต์นะครับ เป็นเพื่อนไอ้ธามมันน่ะ...”

          “ค่ะ แต่ว่านะคะ คือตอนนี้ฉันงงมากเลยค่ะ พวกคุณเป็นใคร เพาฉันมาทำไม เมื่อไหร่จะได้กลับ แล้ว...”

          “เฮ้ๆๆ ใจเย็น ๆ กะจะไม่แนะนำตัวอะไรหน่อยหรอ”

          ประโยคยาว ๆ ของฉันถูกเบรกดังเอี๊ยด! ถ้านี่เป็นฟาสต์แปด คาดว่าคงมีใครสักคนหลุดโค้งตกถนนไปแล้ว พี่หมอกันต์มองฉันยิ้ม ๆ เหมือนต้องการจะรอให้ฉันพูดอะไรบางอย่าง

          “เอ่อ โทษทีค่ะ.. ฉันชื่อนณาย ทีนี้พอจะเล่าให้ฟังได้หรือยังคะ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ดู ๆ แล้วพวกคุณก็ไม่น่าจะใช่พวกโจร หรืออะไรเทือกนี้ถูกมั้ย”

          “ถูกต้องแล้วล่ะสาวน้อย พวกเราไม่ใช่คนไม่ดี..” ท้ายประโยคคุณหมอทำตาเจ้าเล่ห์ให้ฉงนใจเล่นนิดหน่อยแล้วกล่าวต่อ “เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อกี้ พวกเราแค่ปฏิบัติตามหน้าที่พลเมืองที่ดีก็เท่านั้น ... แต่ก็นะ ไอ้ธามมันคิดจะจับปลาหลายมือไปหน่อย เลยวุ่น ๆ”

          “...????”

          “อ่า เธอไปดูธามหน่อยเป็นไง เหมือนมันจะเรียกหาเธอนะ”

          ให้ตายสิ ฉันโคตรเกลียดหน้าหล่อ ๆ กับสายตาเจ้าเล่ห์ของหมอนี่เลย

 

         ฉันเดินตามคุณหมอกันต์ลงไปยังห้องที่ทำการรักษาคนป่วยเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ในห้องมีเพียงเตียงนอนขนาดใหญ่กับคุณธามที่นอนนิ่งอยู่ ฉันพิจารณาร่างนั้นก่อนจะพบว่าเขาเป็นผู้ชายที่ขาวและหุ่นดีอย่างไม่น่าเชื่อ! อะแฮ่ม! ไม่ใช่สิ ฉันควรจะโฟกัสที่ผ้าพันแผลตรงหน้าอกนั่นมากกว่า ...กล้ามเนื้อแน่น ๆ >\\\<

          “เมื่อกี้คุณหมอบอกว่าคุณธามเรียกหาฉันอย่างนั้นหรอ” ฉันตั้งคำถาม

          “อื้ม! พวกเธอรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

          “รู้จักตอนอยู่บนรถนั่นล่ะ”

          “อ่อ เหรอ ...เอาเป็นว่าพี่ฝากเธอดูมันหน่อยนะ ที่นี่มีแต่พวกผู้ชายก็จริง แต่เธอไม่ต้องห่วงนะ ทุกคนไว้ใจได้ ไม่มีใครทำอะไรเธอหรอก”

          “ฉันไม่ได้อยากดูแลคนป่วยนะหมอ ฉันอยากกลับบ้าน กลับบ้าน บ้านที่เป็น... บ้านน่ะค่ะ”

          “เอาน่าสาวน้อย เธอจะทิ้งเพื่อนร่วมโลกที่นอนเจ็บอยู่ได้ลงเชียวเหรอ ไหน ๆ ก็ช่วยกันมาตั้งแต่บนรถแล้วไง นะ”

          ฉันกรอกตาให้ตัวเองเป็นรอบที่หลายสิบของวัน เอาเลยค่ะพระเจ้า มีอะไรมาเซอร์ไพรซ์ฉันอีก มาค่ะ เอามาให้สุด!!!

 

          “นณาย...เธอ...”

          “...”

          ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ เข้าหู อ่า นี่เผลอหลับไปตอนไหนกันนะ เมื่อพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาบนโซฟาตัวใหญ่ที่มุมหนึ่งของห้อง เบื้องหน้าเป็นคุณธามที่ยังคงนอนนิ่ง... ไม่สิ เค้าดูกระสับกระส่ายเหมือนต้องการความช่วยเหลือ

          “...”

          คุณธาม ? เรียกฉัน ? ฉันรีบกุลีกุจอลุกขึ้น มันก็จะเบลอ ๆ งง ๆ หน่อย ฉันขยี้ตาเรียกสติแล้วพุ่งตัวไปที่เตียงคนป่วย และเมื่อเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังพบว่ามันบอกเวลาเลยห้าทุ่มมาแล้วนิดหน่อย ถ้าตามที่พี่หมอกันต์บอก คุณธามควรจะตื่นได้แล้วในเวลานี้

          “คุณธาม... คุณโอเคไหม ?” ฉันถามพร้อมกับเขย่าเบา ๆ ที่แขนคนเจ็บ เค้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาและดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นฉันอยู่ที่นี่ในเวลานี้

          “หิวน้ำ...”

          อ่อ คำขอของคุณธามทำให้ฉันต้องสำรวจไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ดีเลย... โต๊ะตัวเล็ก ๆ ที่ตั้งติดกับโซฟาที่ฉันใช้เป็นที่นอนเมื่อครู่นี้ มีขวดน้ำยี่ห้อดังและแก้วน้ำสีใสวางอยู่ ฉันไม่รอช้าจัดการเทน้ำใส่แก้วแล้วยกมาให้เค้า คุณธามลุกขึ้นนั่งด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อย ซึ่งฉันก็ไม่รู้จะวางตัวยังไง ควรเข้าไปช่วยดีไหม หรืออย่างไร ...พอลุกขึ้นนั่งได้ที่เค้าก็ยกแก้วน้ำกระดกรวดเดียวหมด ฉันรับแก้วน้ำมาถือไว้ด้วยความประหม่า ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าจะยังไงดี

      “เอ่อ...” ฉันพยายามจะพูดอะไรออกไป แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยค้างประโยคไว้กลางอากาศเช่นนั้น คุณธามมองฉันนิ่ง ๆ แล้วเริ่มต้นตั้งคำถาม

          “ณนาย ? ฉันเจอเธอบนรถ... เธอ... เป็นใคร ?”

          “ฉันก็แค่คนดวงซวยน่ะค่ะ เดินอยู่ข้างถนนดี ๆ ก็มีใครไม่รู้มาฉุดขึ้นรถ ไม่พอยังโดนกึ่ง ๆ บังคับให้ดูคนเจ็บ แล้วก็มาโผล่ที่บ้านหลังนี้ สุดท้ายก็มาอยู่กับคุณที่นี่ไง”

          “พวกนั้นคงเอาตัวเธอมาผิดสิท่า ดู ๆ ไป... เธอก็คล้ายยัยซินเนียนะ”

          “แล้วยังไงคะ ? ...คุณให้เพื่อน ๆ ของคุณไปส่งฉันได้มั้ย สถานีรถไฟ สนามบิน หรือป้ายรถเมล์สักที่แถวนี้ก็ได้ ...นะคะ”

          “แล้วผมจะแน่ใจได้ไง ว่าเธอไม่ใช่คนของคาน่อน ?”

          “คาน่อนอะไรของคุณ ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ...” นี่ถ้าฉันรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ส่วนไหนของประเทศ ฉันไม่ง้อให้คุณไปส่งหรอกนะ เหอะ!

          “ผมอยากพักผ่อนแล้ว เธอเองก็ควรพัก...”

          เฮ้ๆๆ ไม่ได้นะคุณธามมมมมม ...พูดจบเค้าก็ล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มคลุมกายเสร็จสรรพ บ้า!! นี่มันบ้าชัดๆ! และก็อีกนั่นแหละ สิ่งที่ดีที่สุดมากกว่าการกรอกตามองบนใส่ผู้ชายตรงหน้า คือการกลับไปล้มตัวลงนอนที่โซฟาตัวเดิม เอาเว้ย! เอาไงก็เอา พรุ่งนี้เช้าค่อยว่าอีกทีก็แล้วกัน

 

...Zzzz...

 

 

ฉันตื่นขึ้นมาพบว่าในห้องคนป่วยนั้นว่างเปล่าแล้ว ? สักครู่คุณนายไฟตัวแสบตัวต้นเรื่องที่ไม่ดูตาม้าตาเรือฉุดฉันมาที่นี่ ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับยื่นถุงใหญ่ ๆ ให้

 

“อะ นี่ของเจ๊นะ เสื้อผ้าแล้วก็ของใช้ ..คุณธามสั่งให้ผมไปหามาให้”

 

ฉันรับมาอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ เมื่อเปิดถุงออกดูก็พบว่ามันเป็นเสื้อผ้าและของใช้นิดหน่อยจริง ๆ - -“

 

“อื่อ ขอบคุณนะ... นี่คุณ... คุณธามหายไปไหนแล้วล่ะ ฉันคุยกับเค้าค้างไว้เมื่อคืน”

 

“...?”

 

“จริง ๆ คุยกับคุณก็ได้ คือมันแค่... พาฉันไปส่งที่สถานีรถไฟที ฉันต้องรีบกลับบ้าน ฉันมีธุระ ..จริง ๆ”

 

“เจ๊ไม่ต้องเรียกผมว่าไฟเฉย ๆ ก็ได้ เรียกคุณ ๆ แล้วรู้สึกแปลก”

 

“เออ ๆ งั้นนาย! พาฉันไปส่งที่สถานีรถไฟที”

 

“แต่เอ... ดู ๆ ไปเจ๊ยังไม่แก่เลยนะ อายุเท่าไหร่แล้วเหรอะ เรียนจบหรือยัง ผมเพิ่งจะยี่สิบเอง”

 

ฉันต้องใช้ความอดทนเล็กน้อยกับความกวนตีนไม่รู้เวล่ำเวลาของไอ้เด็กไฟนี่ “สถานีรถไฟ นายพาฉันไปสถานีรถไฟ” ฉันย้ำเสียงนิ่ง ๆ แสดงออกให้รู้ว่าตูไม่เล่นนะ แต่เห้ยแก!

 

“เจ๊ชื่อนณายใช่ป้ะ หน้าตาน่ารักเชียว ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะว่าเจ๊อายุเท่าไหร่ แล้วสวย ๆ แบบนี้ มีแฟนยังอะ นี่น่ะรู้ไหม คุณธามโสดนะ เจ๊อยากลอง...”

 

“ไอ้ไฟ!!”

 

พระเจ้า... เป็นคุณธามที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ใกล้ ๆ ตอนไหน เรียกชื่อไฟเสียงดัง จนไอ้เด็กบ้านั่นหน้าเจื่อนไปเลย สมน้ำหน้า กวนไม่เข้าท่า เหอะ! แต่เอ๊ะ! คนป่วยโดนยิงที่หน้าอกนี่เค้าเดินเหิน ลุก นั่ง นอน ยืน ได้ดีขนาดนี้เพียงชั่วข้ามคืนเลยหรอ ? และเช่นกัน ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ไม่ใช่ธุระที่ต้องรู้เว้ย

 

“ออกไปข้างนอกก่อนไป... พี่ขอคุยกับนณายหน่อย” คุณธามสั่งเรียบ ๆ แต่มันทำให้ฉันแอบยิ้ม... เค้าเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่น้อยทีเดียว

 

เสียงไฟปิดประตูดังขึ้น คุณธามก็ค่อย ๆ เดินไปนั่งที่เตียงเผชิญหน้ากับฉันที่ยังคงจมอยู่บนโซฟาตัวนิ่ม

 

“เธอชื่อนณาย อืม... ชื่อจริงล่ะ ?” เค้าเริ่มต้นบทสนทนา

 

“นณายน์ มี น.หนู การันต์”

 

“แปลว่าอะไร ?”

 

“ไม่ทราบ ไม่มีความหมายมั้ง”

 

“อายุ ?”

 

“ยี่สิบสี่ค่ะ”

 

“ทำงานอะไร ?”

 

“เพิ่งลาออกจากงาน ตอนนี้ว่าง และฉันต้องการกลับ...”

 

“ก่อนลาออกทำอะไรมา ?”

 

“นี่คุณคะ!! ฉันไม่ใช่นักโทษนะ จะถามไปทำแบบสำรวจสำมะโนครัวหรือไง” ฉันเบรกคำถามทีละท่อน ๆ ของเขา ตอนนี้เริ่มรู้สึกหัวร้อนขึ้นมานิด ๆ แล้วล่ะ ปกติฉันเป็นคนที่อดทนแล้วใจเย็นมาก ๆ เลยนะ แค่ตอนนี้มีเรื่องรบกวนจิตใจนิดหน่อย

 

“คุณธาม.. คุณให้คนส่งฉันที่สถานีรถไฟเถอะนะ ฉันต้องกลับบ้านจริง ๆ ไม่อย่างนั้น...”

 

“...?”

 

“ไม่อย่างนั้น... คือฉันต้องกลับไปหาป้ากับลุง เอาตรง ๆ ก็... ฉันต้องกลับไปจัดการอะไรบางอย่าง”

 

“...?”

 

“เอออออ!! ลุงบ้าของฉันไปกู้เงินสามแสนมาให้ซันไฟด์ไปลงทุนทำ... ทำอะไรนะ ?... อ่อ มันบอกจะเอาไปทำธุรกิจ แต่คุณรู้อะไรมั้ยคุณธาม คนอย่างไอ้ฟายยยยยนั่นน่ะ แค่ห้าหมื่นคราวที่แล้วยังทำเจ๊ง เป็นฉันที่ต้องหาตังใช้หนี้งก ๆ ป่านนี้ยังไม่หมดเลย แล้วตอนนี้คืออะไร ? สามแสน ? ฉันอยากจะบ้าตาย แล้วนี่ถ้าเกิดฉันยังไม่รีบกลับบ้านไปตอนนี้นะ ไอ้คุณ ๆ เจ้าหนี้ทั้งหลายแหล่เหล่านั้นได้เผาบ้านฉันเป็นจุณแน่ นะคุณนะ พาฉันไปส่งเถอะ”

 

“เหนื่อยมั้ย...”

 

“เหนื่อยสิคุณ ฉันน่ะอยากมีชีวิตดี ๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง ชีวิตที่เป็นของตัวเอง เกิดมาเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อตามเก็บตามล้างปัญหาที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อแบบนี้ T^T”

 

“เปล่า... ผมหมายถึงว่าเธอพูดไม่หายใจแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอ”

 

“-O-“

 

“ค่อย ๆ เล่าก็ได้ ผมมีเวลาฟังเธอทั้งวัน J”

 

ฮื้ออออ ไอ้คุณธามบ้า! มันใช่เวลามากวนตีนมั้ย ฉันจริงจังนะเว้ย TT^TT

 

“เฮ้ๆ ไม่เอาน่า ล้อเล่นแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องทำน้ำตาคลอเลย ..อะ ๆ ผมให้คนไปส่งเธอกลับไปจัดการอะไร ๆ นั่นของเธอก็ได้ แต่ว่า...” คุณธามแสร้งทำเป็นร้อนรนแล้วเอามือมาโบก ๆ ตรงหน้าฉัน จริง ๆ เค้าเป็นคนที่หล่อ... อ่ะแฮ่ม!! ฉันหมายถึงว่าเค้าก็เป็นคนที่น่ารักคนนึงเลยนะ เพียงแต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาคิดกรี๊ดผู้ชายใด ๆ หรอกนะ L

 

“เอางี้ ๆ เธอบอกว่าตอนนี้ลาออกจากงานแล้วใช่มั้ย”

 

ฉันพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบแล้วตั้งใจฟังที่เค้าจะพูดต่อไป

 

“มาทำงานกับผมมั้ยล่ะ ?”

 

“...”

 

“ผมเลี้ยงข้าวด้วยเอ้า! สามมื้อเลย”

 

“...”

 

“ฟรีที่พัก”

 

“...”

 

“เงินสามเท่าจากที่เก่าคุณด้วย”

 

“...สี่เท่า...”

 

“สามครึ่งขาดตัว!”

 

“นี่คุณธาม คุณจะบ้าหรอ เราไม่ได้รู้จักกัน แล้วคุณก็ยังไม่รู้เลยว่าฉันทำอะไรได้ ทำอะไรเป็น งานที่ฉันเคยทำมาจะเข้ากับธุรกิจของคุณหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสนอเงินเดือนสามสี่เท่าให้ เจ้านายคุณคงยอมหรอก”

 

“ทำไมจะไม่ยอม เพราะผมเป็นนายตัวเอง... จริง ๆ ก็มีไอ้หมอ กับไอ้ตำรวจมันด้วย แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสองคนนั่น เพราะผมจะจ้างเธอมาเป็นผู้ช่วย”

 

“...”

 

“คิดดี ๆ น๊า โอกาสไม่ได้มาบ่อย ๆ ธุรกิจของพวกเราอาจจะเทา ๆ ไปบ้าง อาจจะผิดศีลธรรมสักหน่อย ถ้าเธอไม่ซีเรียสน่ะนะ แต่รับรองได้ว่าถูกกฎหมายแน่นอน”

 

“...ธุรกิจอะไรของคุณ เทา ๆ ?”

 

“เอาน่า เธอรับปากผมก่อนสิ แล้วผมจะรีบส่งเธอไปจัดการปัญหาถึงบ้าน เก็บข้าวของแล้วไปที่เกาะเซ็นสัญญากัน”

 

“บ้าน่าคุณธาม...”

 

“สี่เท่าตามที่เธอขอ”

 

สะ สี่ สี่เท่า นี่คุณธามเป็นนักธุรกิจประเภทไหนกันแน่นะ ฉันลอง ๆ บวกลบคูณหารในใจ เฉลี่ยถัว ๆ กับสวัสดิการที่เค้าเสนอมา อย่างนี้ ไม่น่าเกินปีฉันต้องใช้หนี้หมดแน่ ๆ เหนือสิ่งอื่นใดฉันต้องกลับไปจัดการทำอะไรสักอย่างไม่ให้ลุงไปกู้เงินมั่วซั่วอย่างที่ผ่านมาก่อน แล้วฉันก็จะได้ย้ายป้าไปรักษาที่โรงพยาบาลดี ๆ

 

“แต่คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร”

 

“ฟังผมดีให้ดีนะครับคุณนณาย... ผมเป็นซีอีโอของ The one G กาสิโนครบวงจรถูกกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค”

 

“...”

 

“...”

 

 

 

ดิวันจี กาสิโนครบวงจรถูกกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

 

ดิวันจี กาสิโนครบวงจรถูกกฎหมาย

 

ดิวันจี กาสิโนครบวงจร

 

ดิวันจี กาสิโน

 

ดิวันจี

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา