I Choose You Baby! ประกาศรักจับใจยัยตัวดี

8.0

เขียนโดย วาเลน

วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.20 น.

  4 chapter
  1 วิจารณ์
  7,650 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) (รีไรต์) Chapter 3 Strong Woman

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter 3

Strong Woman

 

ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!

เสียงจังหวะกลองรัวนำรบดังก้องอยู่ในหัวของฉันเพราะการมาเยือนไร่ทัศนาที่ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของพี่นิดหน้าโฉดใจบ้องแบ๊ว ฉันได้ค้นพบว่าไอ้หน้าเลือดมันมาตามคำพูดแถมพ่วงพี่วินนักศึกษาปีสี่คณะสถาปัตย์ฯ มาด้วย ทั้งที่ฉันนั่งแช่งนอนแช่งแม้แต่ตอนขี้ยังแช่งให้พวกเขาป่วยไข้ ท้องเสีย เดินตกท่อ หมากัด สะดุดก้อนหินตาย หรือเกิดเหตุเภทภัยอะไรก็ได้ที่ทำให้ไอ้บีหนึ่งบีสองนั่นซวยมากพอจนไม่สามารถมารังควานฉันได้ก็พอ แต่ฟ้าก็ยังส่งพวกมันมารังควานฉันอยู่ดี

ตอนนี้ฉันจึงมานั่งใส่อารมณ์กับครกที่อยู่ในมือแทน เหตุเพราะกิจกรรมแรกของพวกเราคือ ทักษะการเอาตัวรอด ที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันเองและยังต้องมานอนเต็นท์ ราวกับว่าฉันได้ออกผจญภัยกับพี่ติ๊กเนวิเกเตอร์ก็ไม่ปาน

“เปอร์ตำให้ละเอียดเลยนะ”

“เออ ได้ ๆ” ฉันรับคำเล็กน้อยหัวหน้าแม่ครัวของกลุ่มเราเพราะทั้งกลุ่มมีเพียงเล็กน้อย เปเป้ และนัดที่สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเราทั้งแปดคนได้

ส่วนฉันก็ทำได้เพียงหุงข้าวและทอดไข่เจียวเท่านั้นแหละ แต่เพราะความไม่เท่าเทียมทางเพศ ฉันจึงต้องระเห็จมาเป็นตัวภาระของพวกทำครัวอยู่นี่ ทั้งที่ควรจะไปใช้กำลังในการกางเต็นท์มากกว่า

“โอ้โฮ~ น้องเปอร์เป็นแม่ศรีเรือนน่าดูเลยนะเนี่ย”

ให้มันได้อย่างนี้สิ!

ไม่ต้องเงยหน้าจากครกก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงถากถางจากใคร...ก็ไอ้โอป้าสีชมพูไงล่ะจะใครกัน ฉันจึงใส่ใจต่อการโขลกพริกมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

“ดูดิไอ้นิกซ์ น้องเฟรชชี่ของฉันมีผู้หญิงอ่อนหวานเป็นผีบ้านผีเรือนด้วยว่ะ”

“เขาเรียกแม่บ้านแม่เรือนต่างหากไอ้ญี่ปุ่น ไม่ใช่ผีบ้านผีเรือนเว้ย”

โป๊ก! โป๊ก!

เดี๋ยวก็จับทำแกงเนื้อญี่ปุ่นซะเลยไอ้บ้านี่!

“เอ้าเหรอ! ซอร์รี่นะน้องเปอร์ พอดีภาษาไทยพี่ไม่ค่อยแข็งแรงอะ”

เหรออออ! ฉันไม่เชื่อแกหรอกไอ้โอป้าญี่ปุ่น!

แม้จะอยากเอาสากฟาดปากไอ้พี่บ้านี่สักที แต่ฉันก็เปลี่ยนเอาความหงุดหงิดทิ้งลงที่ครกแทน

โป๊ก! โป๊ก!

“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าน้องเปอร์เป็นคนอ่อนหวานขนาดนี้” เสียงนุ่มหูที่ฟังดูไม่มีพิษมีภัยเอ่ยขึ้นใกล้เสียจนฉันต้องเหลือบตาขึ้นมอง และเจอเข้ากับไอ้หน้าเลือดที่ยื่นหน้าเข้ามาเสียใกล้จนฉันตกใจโขลกลงไปเต็มแรง

โป๊ก!

เคร้ง!

เฮ้ย!!

“นางเปอร์ครกแตกกกก!

ไม่ต้องขยายให้ดังก็ได้นังเป้ ฮืออออ

อยากเกิดเป็นลูกเหม็นไล่แมลงสาปจริง ๆ เลยโว้ยยยย จะได้ระเหิดไปเลยในตอนนี้...ตอนที่ครกหินแตกคามือเพราะแรงควายของตัวเองเนี่ย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เออ! หัวเราะกันเข้าปายยยย เล่นหันมามองกันเกือบหมด อายไม่ทันเลยเว้ย

“ไม่มีอะไรค่ะทุกคน คูเปอร์แค่ทำครกแตก!”

ทำครกหินแตกเป็นเรื่องปกติหรือไงหา? นังเพื่อนบ้า TOT อายหนักเข้าไปอี๊ก

“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรน้องเปอร์ บ้านพี่มีครกอีกเยอะ แต่ยังไม่เคยมีใครทำครกบ้านพี่แตกมาก่อนเลยนะ ขนาดพวกฝรั่งยังไม่สามารถเลยอะ”

ขอบคุณในการซ้ำเติมนะไอ้พี่นิด T////T

“ไม่ต้องซีเรียส ๆ เดี๋ยวพี่ให้เขาเอามาให้ใหม่" พี่นิดเดินเข้ามาหาพลางหยิบมือถือออกมาต่อสาย "พี่ยงครับช่วยเอาครกหินจากครัวมาให้ที่ตั้งเต็นท์หน่อยนะครับ พอดีครกแตกอะ ครับ...มันคงเก่าแล้ว ขอบคุณครับพี่"

หลังจากจัดการครกเจ้าปัญหาของฉันเสร็จพี่นิดจึงหันไปสั่งงานเพื่อนต่อ

“ไอ้โยชิใครว่างให้ออกไปรับของสดหน่อยดิ พอดีรถส่งของเสียอยู่ตรงท้ายหมู่บ้านว่ะ เขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เอง เดี๋ยวตอนเย็นของไม่พอกินกันพอดี”

“อ้าวเหรอวะ เออ ๆ เดี๋ยวไปให้ก็ได้”

“แกต้องไปช่วยพวกผู้หญิงตั้งด่านไม่ใช่เหรอ” นายบีหนึ่งทักขึ้นมา

“เออว่ะ”

“ไปเหอะ เดี๋ยวฉันไปเอาของให้ก็ได้ ทางท้ายหมู่บ้านใช่เปล่านิด”

“เออใช่ แต่เกรงใจว่ะนิกซ์ มาดูเฉย ๆ ยังต้องมาช่วยอีก”

“ไม่เป็นไร ถือว่ามาเที่ยวบ้านเพื่อนอีกก็ต้องช่วย ๆ กันดิวะ”

“เอางั้นเหรอ...จำทางท้ายหมู่บ้านได้ใช่ไหม” 

“เออ จำได้”

“เออ ๆ งั้นฝากด้วยแล้วกันนะ”

“เออ ไม่ต้องห่วง แต่ขอเอาน้องไปเป็นเพื่อนนะ เผื่อต้องขนของน่ะ”

“เออ ๆ เอาไปสิ” พี่นิดตกปากรับคำแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ฉันนั่งทำตาปริบ ๆ อยู่ท่ามกลางพริกแกงและครกที่แตกเป็นสองซีกอย่างไม่รู้ถึงชะตากรรมว่าต้องทำยังไงกับพริกแกงที่เละเทะอยู่บนพื้น

“ไปน้องเปอร์ ไปเอาของกันดีกว่า นั่งอยู่นี่ครกมันก็ต่อไม่ติดแล้วแหละ”

“หือ?” ฉันเงยหน้าจากซากครกแล้วมองหน้าหล่อเหลาสไตล์ลูกครึ่งก่อนจะประมวลผลจากประโยคเมื่อครู่ได้ว่าคนที่หมอนี่เอ่ยขอให้ไปเป็นเพื่อนจากพี่นิดคงจะต้องกลายเป็นฉัน

ให้ตายเหอะ...จะปฏิเสธยังไงไม่ให้ดูแย่ดีล่ะในเมื่อทุกคนก็อยู่ด้วยแบบนี้น่ะ

“ตรงไหนที่ทำครกแตกคร้าบ น้องนิดให้เอาครกมาให้ครับ”

สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องพี่คนงานแสนซื่อที่ร้องถามดังลั่นพลางอุ้มครกใบใหม่เตรียมเดินไปอีกทาง แต่สายตาทุกคู่ก็หันย้อนกลับมาตามเสียงตอบของนังเป้

“ทางนี้ค่า!”

คนที่อายไปยันต้นตระกูลอย่างฉันจึงจำต้องตกลงใจหันไปเผชิญหน้ากับไอ้หน้าเลือดขี้เสแสร้งที่ส่งยิ้มกลั้นขำมาให้

“ไม่ไปเอาของหรือไงพี่นิกซ์!” ฉันรีบลุกขึ้นเดินจ้ำอ้าวนำไอ้พี่นิกซ์ไปก่อนที่พี่คนงานจะเดินมาถึง แล้วเห็นหลักฐานคามือว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงยิงเรือแต่เป็นผู้หญิงตีครกน่ะสิ T////T

 


 

 

          หนึ่งชั่วโมงผ่านไปฉันเพิ่งตระหนักได้ว่าควรจะนั่งขายขี้หน้าผู้คนจากการเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำครกหินแตกเสียยังดีกว่ามาตรากตรำอยู่กับไอ้พี่นิกซ์ที่ตั้งใจกินแรงกันเห็น ๆ

“นี่...น้องถึกช่วยออกแรงกว่านี้หน่อยได้ไหม ให้เหมือนตอนที่ทำลายข้าวของหรือทำร้ายร่างกายคนอื่นหน่อย"

เสียงแดกดันจากไอ้หล่อหน้าขาวที่ใส่แว่นกันแดดราคาแพง ซึ่งโผล่หน้าออกมาจากกระจกรถด้านคนขับเพื่อตะโกนมายังบริเวณท้ายรถที่ฉันกำลังออกแรงดันมันให้หลุดจากหล่มที่ติดอยู่

การที่ฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะความซวยของตัวเองที่เข้าขั้นอันลิมิตสุด ๆ เนื่องจากฝนที่เทลงมาเมื่อคืนทำให้ถนนดินหลังหมู่บ้านเละเทะไปหมด จนขากลับนี่แหละที่รถมาติดหล่มอยู่กลางทางเกือบสิบห้านาทีแล้ว

ส่วนไอ้รุ่นพี่หน้าวอกก็นั่งสบายใจเหยียบคันเร่งเป็นคุณชายอยู่ในรถคันเก่าที่ยืมมาจากบ้านไร่ทัศนา ด้วยเหตุผลว่า ‘พี่ไม่ถนัดเรื่องใช้กำลัง พี่ว่าน้องคูเปอร์น่าจะถนัดกว่า' พร้อมรอยยิ้มที่น่าข่วนให้ตาหลุด แต่ฉันไม่อยากเปิดศึกก่อนก็เลยพยักหน้าอย่างจำใจมาออกแรงดันท้ายรถอยู่กลางแดดยามสาย ซึ่งแม้จะไม่รุนแรงนักแต่ก็ทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยได้เหมือนกัน

"แรงอีกหน่อยน้อง! รถยังไม่ขยับเลยเนี่ย"

"ก็เหยียบคันเร่งให้สุดสิ...ค่ะ!" ฉันกัดฟันตอบอย่างจำใจสุภาพทั้งเหนื่อยทั้งหมั่นไส้คนในรถ

"อ้อ...งั้นพี่เหยียบละนะ"

พรืดดดดด~

เสียงล้อที่บดลงบนหล่มโคลนอย่างแรงแบบน็อนสต๊อปทำให้น้ำโคลนที่ขังอยู่ในหลุมกระเด็นขึ้นมาเลอะฉันจนเกือบถึงหัว

ครืดดดด เอี๊ยดดดด!

“เฮ้ย!” ฉันร้องอย่างตกใจเมื่อไอ้บ้านั่นเหยียบคันเร่งแบบไม่ยั้งจนรถออกจากหล่มได้สำเร็จ แต่ฉันที่ดันสุดแรงเกิดอยู่ท้ายรถยังไม่ทันได้ผ่อนแรงก็เลยล้มลงไปเหมือนมาทำสปาโคลนไม่มีผิด

"อ้าว! น้องเปอร์ไม่ควรลงไปเล่นน้ำโคลนแบบนั้นนะครับ มันจะล้างออกยาก"

"ไอ้..." - -* ฉันยั้งปากไว้ได้ทัน แม้ใกล้จะถึงจุดเดือดแล้วก็ตามที

"หือ? ไอ้อะไรเหรอน้องบึ้ก"

"ไอ้ -- โคลนเฮงซวย!" ฉันพึมพำพูดพลางยันตัวลุกขึ้นจากแอ่งโคลน แล้วเดินตรงไปหาไอ้ตัวต้นเหตุที่เดินลงมาจากรถแล้ว

"อี๋! ไปไกล ๆ หน่อย เหม็นอะ”

ไอ้กระแดะ!

ด่ามันได้แต่ในใจแหละและก็ถอยหลังมาสองสามก้าวให้ห่างจากไอ้หน้าเลือดขี้สำอาง

“ฉันว่าเรามีปัญหาใหม่เพิ่มแล้วแหละ" เขาบอกพลางชี้นิ้วไปทางยางรถด้านหลังที่แบนลงอย่างเห็นได้ชัด

"เฮ้ย! แบนได้ไงเนี่ย"

"มันคงรับน้ำหนักไม่ไหวน่ะสิ”

นั่นมันประโยคบอกเล่าหรือประโยคด่าทอฟะ เล่นมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้เนี่ย ด่าว่าอ้วนเลยก็ได้ไอ้หน้าวอก!

“คงต้องเปลี่ยนยางสำรองก่อนถึงจะกลับได้ ฉันว่ารีบจัดการเหอะ เดี๋ยวเธอจะไปทำกิจกรรมไม่ทันนะ"

แล้วใครมันลากฉันมากันเล่า! -_-^

"งั้นนายก็เปลี่ยนเลยดิ" ฉันบอกเขาแล้วลงไปนั่งหมดแรงอยู่บนพื้น

"นี่..."

"หืม...” ฉันเงยหน้ามองเขาที่ลงมานั่งยอง ๆ อยู่ข้างกัน

"พูดตรง ๆ นะน้องถึก...พี่กำลังให้โอกาสน้องในการทำตัวเป็นรุ่นน้องอยู่นะครับ หรือว่า...น้องอยากเปลี่ยนเป็นเบ๊หรือว่าลูกหนี้เลยก็ได้นะ พี่นิกซ์คนนี้พร้อมคิดบัญชีเสมอแหละ"

O_O

แค่เสียเลือดไม่ถึงลิตร ทำไมแกต้องแค้นฝังหุ่นขนาดนี้ด้วยยะ!

ฉันน่าจะต่อยไอ้บ้านี่ให้แรงกว่านี้ แบบให้ความจำเสื่อมไปเลยจะได้ไม่ต้องมานั่งส่งสายตาอาฆาตให้กันอย่างนี้น่ะ และถึงคนเราจะมีศักดิ์ศรีแต่ตอนนี้ศักดิ์ศรีคงไม่ทำให้ฉันรอดพ้นจากไอ้หน้าเลือดนี่ได้หรอก ฉันจึงตอบออกไปอย่างมั่นใจว่า...

"เปอร์ว่าเรารีบเปลี่ยนยางดีกว่า เดี๋ยวน้องคนนี้จัดการให้พี่นิกซ์เอง" ฉันลุกขึ้นยืนเสนอตัวอย่างแข็งขันเหมือนเพิ่งโด๊ปยาชูกำลังมา

"อือ...งั้นก็ตามใจน้องเปอร์แล้วกัน พี่ไม่ได้บังคับนะ แต่ก็ดี...เสื้อตัวนี้ของพี่มันแพงมากเลย เปื้อนไปคงเสียดายแย่"

ถ้าแพงนักก็ถอดไว้บ้านสิฟะ! ใส่มาทำมะเขืออะไร!

ฉันก่นด่าไอ้บีหนึ่งในใจและส่งยิ้มที่เหมือนแยกเขี้ยวให้ซึ่งมันก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังเดินไปนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงโขดหินข้างทางราวกับเป็นคุณชายและปล่อยให้ฉันเป็นกรรมกรใช้แรงงานอยู่เพียงลำพัง

ปึง!

-_-”

"โอ้โฮ! ยัยบึ้กเธอนี่แรงดีไม่มีตกเลยนะ ยกล้อรถอย่างกับยกหมอนข้าง เหมาะสมกับฐานะเด็กยานยนต์จริง ๆ"

เฮอะ! ไม่ต้องมาชมโว้ย!

ตบหัวแล้วลูบหลังชัด ๆ อยากจะเขวี้ยงยางใส่หน้าให้ดั้งหัก -_-++

"คิดไม่ผิดจริง ๆ เลยที่เลือกน้องเปอร์ผู้บึกบึนมาด้วยกัน" เขาว่าพลางเอื้อมมือมาบีบต้นแขนอันแน่นปึ้กของฉันและบีบมันเต็มแรง "อื้อฮือ เธอยกน้ำหนักมาตั้งแต่ประถมหรือไง แขนถึงได้ใหญ่ขนาดนี้เนี่ย"

ถามแบบนี้ตบหน้ากันเลยดีกว่า ใหญ่อะไรยะ! เขาเรียกว่าอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อต่างหากล่ะ -_-*

ฉันคิดอย่างแค้นเคืองและดึงแขนออกจากมือของไอ้บ้านิกซ์

"ไม่ต้องเขินหรอกน่า ฉันรู้ว่าเธอถึกแค่ไหน...ล่ำขนาดนี้ไงล่ะ ครกถึงได้แตกน่ะ" เขายักคิ้วพร้อมยิ้มกวนประสาทก่อนจะเดินกลับเข้ารถไป ปล่อยให้ฉันยืนอ้าปากพะงาบ ๆ อยากเถียงแต่เถียงไม่ขึ้นเพราะความจริงที่แสนเจ็บปวดจายยยย

T^T

 


 

 

อี๊ยด~

ทันทีที่รถจอดสนิท ฉันก็ก้าวลงจากรถทันที เพื่อจะได้ขนของให้เสร็จ ๆ จะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้ไอ้บ้าเลือดนั่นอีก

"น้องเปอร์ไปลุยโคลนที่ไหนมาเนี่ย" พี่นิดที่พาเพื่อน ๆ มาช่วยขนของหันมาถามฉันซึ่งยืนเนื้อตัวเปรอะโคลนและเหงื่อท่วมตัวอยู่ในตอนนี้

"รถตกหล่มระหว่างทางกลับน่ะพี่นิด ดีที่ไม่ลึกมากคงเป็นเพราะฝนตกเมื่อคืนน่ะค่ะ"

"เฮ้ย! เป็นไปได้ไง ถนนลาดยางใหม่สองสามปีเอง มีหลุมแล้วเหรอ"

"เอ่อ...ถนนท้ายหมู่บ้านมันเป็นดินนะพี่นิด"

"น้องเปอร์นั่นมันทางเก่าท้ายหมู่บ้าน ไอ้นิกซ์! ใช้ทางเก่าไปเอาของเหรอวะ ดูดิเอาน้องไปลำบากเลอะเทอะหมดแล้วเนี่ย" พี่นิดหันไปตะโกนถามไอ้คนที่เนื้อตัวสะอาดสะอ้านอย่างกับไปรถคนละคัน แถมยังทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน ส่งยิ้มชื่นบานสำราญใจมาให้อีก

"เออ พอดีอยากไปสูดอากาศน่ะ ทางเก่ามันร่มกว่าแต่ลืมไปว่าเมื่อคืนฝนตก"

ลืม!? ไม่เชื่อโว้ยยย!

ความอดทนที่เริ่มมีจำกัดกำลังจะพังทลายลงและดูเหมือนไอ้พี่หน้าวอกจะรู้ตัวถึงได้รีบพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

"ขอโทษทีนะครับน้องเปอร์ เดี๋ยวให้น้องไปพักเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้ไหมนิด ฉันผิดเองน่ะน้องเลยต้องเปลี่ยนยางรถให้อีก"

-O- เสแสร้งสุดๆ!

"อ้าวเหรอ เออ ๆ น้องเปอร์ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเหอะ ส่วนที่กลุ่มก็ให้เพื่อน ๆ ทำอาหารกันไปก่อน"

"ขอบคุณค่ะ" แม้จะหมั่นไส้อยากฉีกหน้ากากแสนดีของอีพี่ตัวแสบแค่ไหน แต่เพราะความเหนื่อยบวกความเลอะทำให้ฉันปฏิเสธโอกาสที่จะได้พักไม่ลง

"ไม่เป็นไร ๆ อุตส่าห์ไปช่วยขนของมาให้" พี่นิดบอกก่อนจะเดินเอาของสดเข้าไปเก็บแต่ยังหันมาบอก "เออ...อีกอย่างถ้ารถเสียก็น่าจะโทรมาให้ที่ไร่เอารถคันอื่นไปรับนะ ไม่ต้องซ่อมเองหรอก รถมันเก่าแล้ว เดี๋ยวเอารถไปลากมาก็ได้"

"เปอร์ไม่รู้เบอร์ไร่น่ะค่ะ เบอร์พี่นิดก็ไม่มี"

"แต่ไอ้นิกซ์มีนะ...ฟีนิกซ์ทำไมไม่โทรมาวะ"

"พอดีน้องเปอร์อาสาเปลี่ยนยางให้น่ะก็เลยไม่ได้โทรมา แกนี่ได้น้องเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยนะ"

-O-

"จริงดิ! น้องเปอร์นี่เป็นหน้าเป็นตาให้พี่ดีมาก ฮ่า ๆ ๆ"

พี่นิดหัวเราะอย่างภาคภูมิใจในตัวน้องใหม่อย่างฉันแต่ฉันนี่อึ้งกินไปเลย ในเมื่อไอ้พี่หน้าวอกมันโกหกกันซึ่ง ๆ หน้า แถมพูดแบบตั้งใจปิดปากกันชัด ๆ บอกได้คำเดียวว่าพลาดมาก พลาดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน! คงถึงเวลาต้องระวังตัวตั้งรับไอ้หน้าเลือดนี่ให้เต็มที่แล้ว

"ไปพักเหอะครับน้องเปอร์ เดี๋ยวต้องเจออะไร...อีกเยอะ"

เสียงกระซิบดุจเทพบุตรของไอ้บ้านิกซ์ทำให้ฉันร้องอย่างครึกครื้นอยู่ในใจว่า ‘สู้โว้ยยยยยย!’

 


 

 

“ฮุ่ย เล่ ฮุ่ย ฮุ่ย ฮุ่ย เล ฮุ่ย!”

ไม่ใช่เสียงร้องช่วยกันพายเรือแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงให้จังหวะการดันเล็กน้อยขึ้นภูเขาน่ะสิ เพราะไอ้ด่านฝึกความอดทนมหาโหดที่พวกเราเผชิญกันอยู่ตอนนี้นั่นแหละ

ฐานแรกของเราก็คือ ‘โกยเถอะน้อง’ การวิ่งขึ้นเขาท้ายไร่ที่ทั้งลื่นทั้งเปียกเพื่อฝึกความอดทนและสามัคคี

“อ๊าย! ตาเถรหก ๆ แหก ๆ!” นังเป้แหกปากดังลั่นเมื่อเสียหลักลงไปไถอยู่บนพื้นดินเปียกแฉะ แต่ยังชูคอเพื่อไม่ให้หน้าขาวผ่องของตัวเองเปื้อนโคลน

“เฮ้ย! ไหวเปล่าไอ้เป้” ฉันละมือจากการช่วยเพื่อน ๆ ในกลุ่มดันหลังเล็กน้อยขึ้นเขาและมาช่วยดึงไอ้เป้ขึ้นจากพื้นแทน

“เออ ๆ ไหว ๆ เล็กน้อยแกต้องหนักแน่นให้เหมือนน้ำหนักแกหน่อยนะเว้ย กลุ่มหลังมันจะถูกปล่อยตัวแล้วเห็นไหม ได้ที่โหล่ไม่ได้นะแก เดี๋ยวถูกลงโทษหรอก” เปเป้พยายามทรงตัวช่วยพยุงเล็กน้อยอีกคนหลังจากเห็นกลุ่มที่เพิ่งถูกปล่อยตัวกำลังวิ่งตามพวกเรามาติด ๆ

“ฉันพยายามอยู่นังเป้แต่มันหนักตูดอะ”

เออ...ฉันเข้าใจเพราะว่าฉันก็หนักพุงเหมือนกันแหละ

“งั้นพวกเราวิ่งนำขึ้นไปก่อนเลยแล้วกันนะ จะได้เกลี่ยทางให้ลื่นน้อยลงด้วย” แม็กที่หน้าตาเหมือนนักเรียนแพทย์มากกว่าวิศวะเอ่ยสรุปและรีบวิ่งขึ้นไปก่อนเพื่อช่วยพวกเรา

ภารกิจเข็นเล็กน้อยขึ้นภูเขาจึงดำเนินไปอย่างเร่งรีบ ทั้งเหนื่อยทั้งฮาแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ

เวลาผ่านไปกี่นาทีไม่รู้แต่ในที่สุดพวกเราก็ลากสังขารขึ้นมาถึงจุดหมายปลายทางด้านบนได้สำเร็จ จนมาถึงด่านที่สองซึ่งมีชื่อว่า ‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว บึ๋ย!’

อยากเห็นหน้าไอ้พี่ที่คิดชื่อด่านจริง ๆ เลย แต่ละฐานก็เหมือนขึ้นเขาชนไก่ มันต้องเก็บกดจากตอนเรียน ร.ด. แน่ ๆ หรือไม่ก็มีพ่อเป็นรั้วของชาติชัวร์ มันถึงได้มีการวิ่งขึ้นเขาโหนสลิงลงดอยขนาดนี้

แต่การลงก็ดีกว่าขึ้นแหละเพราะพวกเราไม่มีใครกลัวความสูงเหมือนเพื่อนบางกลุ่มที่เกาะต้นไม้จนแทบจะเป็นนางไม้เพราะไม่กล้ากระโดดลงไป จนต้องมีพี่ ๆ คอยยุยงส่งเสริมหรือหนักหน่อยก็ต้องกระโดดลงไปกับน้องด้วย ดังนั้นพวกเราที่ไม่มีปัญหากับด่านนี้ก็เลยลงมายังฐานด้านล่างอย่างรวดเร็ว

และต้องพบเจอกับบรรยากาศเหมือนบ้านผีสิงแถวงานวัด เพื่อน ๆ หลายคนยืนจับกลุ่มกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ยอมเข้าไปในฐานเสียที พวกเราที่โคตรระแวงก็เลยส่งดิวไปเป็นสายสืบก่อนจะไปรับชะตากรรมของฐาน ‘ธงนี้ที่รอคอย’จนได้รู้ว่ามันเป็นเกมชิงธงทั่ว ๆ ไปนั่นแหละแต่จะพบเจออะไรในด่านก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ด้วยความพะอืดพะอมอยากอ้วกจากด่านดิ่งพสุธาเมื่อครู่ทำให้นังเป้คะยั้นคะยอให้พวกเราลุยฝ่าด่านไปเลยเพราะมันอยากจบกิจกรรมโดยเร็ว พวกเราก็เลยทำใจกล้าดุจสิงห์เดินเข้าไปในอุโมงค์ป่าเทียมของเหล่ารุ่นพี่

ทางมืดมัวถูกล้อมด้วยผ้าใบสีทึบทั้งด้านบนและด้านข้างแต่เมื่อเดินมุ่งหน้าไปเพียงไม่กี่เมตร ทางก็เปิดโล่งออกเผยให้เห็นท้องฟ้าด้านบนที่แดดเปรี้ยงเหมือนตอนเดินเข้ามา ด้านในนี้เป็นเหมือนสวนไม้พุ่มที่มีต้นไม้ใหญ่แทรกอยู่โดยทั่วและถูกล้อมด้วยผ้าใบทึบแสงที่สูงเกินหัวพวกเรา เพื่อบังเป็นทางกั้นให้อยู่เพียงเขตแนวที่จัดไว้แต่มันก็กว้างเหมือนป่าขนาดกลางดี ๆ นี่เอง

“ธงอยู่ไหนล่ะ” เล็กน้อยเอ่ยถามทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

“กว้างกว่าที่คิดนะ...แยกกันหาดีไหม อีกยี่สิบนาทีค่อยมาเจอกันตรงนี้”

พวกเราตอบรับกับความชาญฉลาดของแม็กที่ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มเพราะคะแนนสอบเข้าที่มากสุดในชั้นสาขานี่แหละ ส่วนพวกฉันก็ทำตัวเป็นภาระอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีความเห็นใดขัดแย้งและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การแยกย้ายหาธงก็เลยแบ่งออกเป็นคู่หรรษา โดยที่ฉันอยู่กับคู่หูตัวฮาคือนังเป้ที่หน้าตาเริ่มซีดเซียวมากกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะอากาศร้อนของป่าเทียม

“เป้แกไหวเปล่าวะ จะอ้วกก็บอกนะเว้ย” ฉันถามคนที่เดินกอดแขนฉันอย่างกับปลิงมาตลอดทาง

“เมื่อกลางวันกินเยอะไปหน่อยอะแก พอลงมาจากสลิงมันก็เลยมึนหัว -- เปอร์! เสียงอะไรอะแกกกก” นังเป้ร้องขึ้นมากะทันหันเพราะเสียงกุกกักจากพุ่มไม้

“อืม...เดี๋ยวฉันเข้าไปดูให้”

“เฮ้ย! เปอร์มันน่ากลัวนะ ถ้าเป็นสัตว์ป่าจะทำไงล่ะแก”

“สัตว์ป่าบ้านแกจะมาอยู่ในไร่พี่นิดหรือไง”

ถ้าถึงขั้นเอาสัตว์ป่ามาปล่อยให้รุ่นน้องเผชิญ อีพี่นิดก็ควรบอกให้ทำประกันชีวิตมาก่อนสิ

ฉันไม่สนใจแรงดึงที่ชายเสื้อของเปเป้และเดินนำมันเข้าไปยังพุ่มไม้ปริศนา

อ๊ากกกกก!!

พวกเราชะงักเท้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากอีกฝั่งและเห็นต้นเหตุวิ่งตรงมาทางพวกเรา โดยมีไอ้นัดวิ่งนำ ตามมาด้วยดิว อาร์ต และเล็กน้อย ขาดก็เพียงแม็กกับว่านที่อาสาไปดูแถบด้านหน้าและยังไม่กลับมา

“หนี ๆ พวกแกกกก~ หนีเร็ว!” เล็กน้อยวิ่งตะโกนโบกไม้โบกมือบอกฉันสองคนที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความแปลกใจฉันจึงรีบเดินตรงไปหาเล็กน้อยที่วิ่งหน้าตั้งมาทางพวกเรา

ฟึ่บ!

กรี๊ดดดด!

เฮ้ยยยย!!

OoO

นี่มันป่าอะเมซอนหรือไงฟะ!

ถึงได้มีกับดักตาข่ายร่วงมาแบบนี้เนี่ย แต่ความซวยมันดันไปตกที่ไอ้พวกที่วิ่งมาหาฉันกับไอ้เป้เนี่ยแหละ เพราะพวกมันวิ่งเข้ามาตัดหน้าฉันพอดิบพอดีจนเข้าไปอยู่ในตาข่ายที่มีแต่...ฝูงชิเมโจได๋! เต็มไปหมด อิพวกพี่มันปลูกไร่ใบชาหรือไงวะ ถึงได้เอาหนอนมาได้เยอะยังกับเลี้ยงมาเอง

“อ๊ายยยย! หนอนอะแกกกก! ยัยเปอร์นั่นมันหนอนนนน~”

นังเป้แหกปากดังกว่าไอ้พวกที่นอนดิ้นตายกันอยู่ในตาข่ายอีก

“เออ รู้แล้ว...เฮ้ย ๆ ใจเย็นนะทุกคน เดี๋ยวเราเอาออกให้” ฉันผู้ไม่เคยกลัวแมลงทุกชนิดจึงร้องบอกเพื่อนที่แหกปากร้องโหวกเหวกพลางปัดหนอนตัวเล็กตัวใหญ่ที่ไต่อยู่ตามตัวออก

“อ๊ากกกก! เย็นไม่ไหวแล้วเปอร์ เฮ้ย! มันเข้าไปในเสื้อกูแล้วววว” ดิวที่ปกติไม่ค่อยโวยวายแต่ตอนนี้แหกปากดังสุดในกลุ่ม ทำให้ฉันต้องรีบเข้าไปดึงตาข่ายที่โคตรใหญ่เพื่อปล่อยให้เพื่อนออกมา

เมื่อเปิดทางหนึ่งได้พวกมันก็แย่งกันคลานออกมาแทบจะทับกันตาย ส่วนไอ้เป้ก็ยืนสิงต้นไม้หน้าซีดเผือดและเอาแต่ส่ายหัวร้องอี๋อย่างรังเกียจ ฉันเลยต้องรับหน้าที่เข้าไปช่วยหยิบชิเมโจได๋ออกจากตัวทุกคน ก่อนที่ไอ้พวกสติแตกพวกนี้จะทับมันจนแบนขี้แตกติดตัวจนเขียวอี๋มากกว่าเดิม

“เป้มาช่วยกันหน่อย” ฉันตะโกนบอกเปเป้ที่ยืนส่ายหัวปฏิเสธอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ม่ายยย ฉันทำม่ายด้ายยย ฮือออ ให้เจออะไรก็ได้ยกเว้น...กะ -- กรี๊ดดดดด!!”

ยังไม่ทันสิ้นประโยคนังเป้ก็ได้ตามคำขอเพราะมันปล่อยต้นไม้ที่กอดจนแทบจะสิงเป็นเนื้อเดียวกันออกมาอย่างง่ายดาย พร้อมเผยให้เห็นตุ๊กแกสีดำเข้มที่เกาะแขนของมันอย่างติดหนึบ

“อ๊ายยยย! ออกไป ๆ ออกไปจากแขนช้านนนน” เปเป้วิ่งพล่านไปทั่วพลางสะบัดแขนจนแทบหลุด ความโชคร้ายของมันกินขาดเพื่อนทั้งสี่คนที่ตอนนี้อึ้งกับสัตว์โลกน่ารักที่นังเป้เจอ จนพวกมันก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทางเพราะเปเป้เล่นวิ่งเข้าหาคนโน้นคนนี้ให้ช่วยเอามันออก

“นังเป้! อยู่เฉย ๆ ก่อนได้ไหมฮะ! เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาจับมันออกก่อน” ฉันตะโกนบอกเปเป้แล้ววิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่อีกทางเพื่อมองหากิ่งไม้มาเขี่ยมันออก

เป๊าะ!

ตอนที่ฉันกำลังก้มมองหาเศษไม้ ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หักจากหลังพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ฉันจึงตรงดิ่งเข้าไปดูแล้วก็เจอเข้ากับ...

ไอ้พี่นิกซ์!

ไอ้ตัวดุ๊กดิ๊กนี่เองที่ทำเสียงประหลาดอยู่หลังพุ่มไม้ก่อนหน้านี้น่ะ

“ฮ่ะ ๆ หวัดดียัยบึ้ก”

ยังมีหน้ามาทักทายอีกนะไอ้บ้านี่ =_=*

“พี่มาทำอะไรตรงนี้ฮะ!”

ไอ้บ้านั่นยังไม่ทันตอบฉันก็เห็นหลักฐานคามือ ถุงใสใบใหญ่ที่ถูกมัดจนโป่งทำให้เห็นญาติของไอ้ตุ๊กแกตัวโตนั่น...ฝูงจิ้งจกเป็นสิบ ๆ ตัวทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เกาะอยู่ภายในถุง

“เอ่อ...คือ...”

ฟึ่บ!

ฉันไม่ปล่อยให้ไอ้พี่นิกซ์ได้แก้ตัวใด ๆ และจัดการกระชากคอเสื้อไอ้บ้าหน้าเลือด ลากเขาออกมาจากหลังพุ่มไม้เพื่อให้ไปช่วยเปเป้ด้วยกัน

“เฮ้ย! เธอทำอะไรเนี่ย!”

“ไปช่วยเอาตุ๊กแกออกจากไอ้เป้ด้วยกันเลยคุณพี่นิกซ์!”

“เกี่ยวอะไรกับพี่เล่า!” เขารีบปฏิเสธแล้วกระชากตัวออกจากการจับกุมของฉันแต่ฉันก็ไวกว่าจึงคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน

“เฮ้ย! ปล่อยดิ!”

“ไม่ปล่อย!”

เราฉุดกระชากยื้อแขนกันอยู่อย่างนั้นจนเปเป้ที่ยังคงแหกปากร้องอยู่ไกล ๆ วิ่งเข้ามาหาที่พึ่งสุดท้ายอย่างฉันเพราะเพื่อนคนอื่นหนีมันไปหมดแล้ว

“เฮ้ย! น้องเป้อย่ามาทางนี้นะ!”

ไอ้พี่นิกซ์ที่เห็นท่าไม่ดีกับอาการสติแตกของเปเป้ที่วิ่งตรงมาหาพร้อมด้วยตุ๊กแกตัวเขื่อง จึงรีบสะบัดแขนจากฉันสุดแรงจนถุงจิ้งจกที่อยู่ในมือลอยละลิ่วไปทางเปเป้ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเรา

ฟิ่วววว~

เราทั้งคู่จับจ้องมองตามถุงที่ลอยผ่านหัวเปเป้ไปด้วยใจระทึก

โพละ!

ถุงจิ้งจกแตกลงที่พุ่มไม้เตี้ยที่อยู่เลยด้านหลังของเปเป้ไปเพียงนิดเดียวทำให้ฉันกับไอ้พี่นิกซ์ต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ว้ากกกก! ช่วยด้วยยย!!

แต่หวยดันไปออกที่อีพี่โอป้าสีชมพูที่พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้แถมยังวิ่งเข้าหานังเป้ที่กรีดร้องเพราะตุ๊กแกของตัวเองไม่พอ แต่ต้องสติแตกเพราะมหกรรมพบปะญาติของคนมีตุ๊กแกเกาะแขน อีกคนจิ้งจกเกาะหัววิ่งชนกันโครมใหญ่เพราะการวิ่งหนีไม่ดูตาม้าตาเรือของนายโอป้า

ปึ้ก! ตุ้บ!

นี่มันซีนวายกระชากใจดี ๆ นี่เอง แต่มันคงน่าฟินกว่านี้ถ้าเปเป้ที่นอนทับอยู่บนตัวนายโอป้าไม่ได้ทำหน้าพะอืดพะอมขนาดนั้น

“ฉันไม่ไหว -- อุก...”

พรวดดดด~

“เฮ้ยยยย!” O[]O

“แว้กกกก!!”

ฟินจนอยากอ้วกเป็นแบบนี้สินะ ก็ไอ้เป้มันปล่อยอ้วกออกมาเต็มก๊อกจนนายโอป้ากลายเป็นโจ๊กญี่ปุ่นไปแล้วอะ

“ไอ้โย! เป็นไงบ้างวะ!” ไอ้พี่นิกซ์รีบวิ่งเข้าไปดูเพื่อนรักที่ตอนนี้เต็มไปด้วยจิ้งจกที่เปื้อนอ้วกของเพื่อนฉันด้วยแววตาสงสารแกมรังเกียจ

“ฮือออ YOY ช่วยกูที”

ฮ่า ๆ ๆ อยากหัวเราะให้ฟันหักกับความหมดสภาพของโอป้าแต่ก็เวทนามากกว่า ฉันเลยไม่อยากเสียมารยาทและเก็บไว้หัวเราะที่หลังเพราะมันจะดังกว่า

“เป้ไหวรึเปล่า ฉันพยุงแกไปดีกว่า” ฉันไม่สนใจไอ้พี่เปื้อนอ้วกและพยายามช่วยพยุงเปเป้ที่ปลอดภัยจากตุ๊กแกตัวเขื่องแล้ว เพราะมันกระเด็นกระดอนลงไปอยู่แถวกอหญ้าโน่น

ส่วนไอ้พี่หรั่งก็นั่งเว้นระยะจากนายโอป้าแต่ยังช่วยเอากิ่งไม้เขี่ยจิ้งจกที่เปื้อนอ้วกออกให้เพื่อนรัก

“เปอร์...ธง...”

“ฮะ?” ฉันหันไปมองเปเป้ที่หมดเรี่ยวหมดแรงแต่ก็ยังพยายามพูดออกมาและชี้มือไปยังพุ่มไม้ตรงที่นายโอป้าเพิ่งพุ่งตัวออกมาเมื่อครู่

ผ้าสีเขียวที่ติดอยู่กับด้ามไม้ของธงคะแนนที่พวกเราตามหาอยู่ โผล่ออกมาครึ่งด้ามจากพุ่มไม้เพื่อซ่อนไว้ให้พ้นจากสายตา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกรุ่นพี่จะเอามันมาซ่อนที่พุ่มไม้แบบนี้เพราะธงจะต้องถูกปักอยู่ตามที่ต่าง ๆ ให้เราฝ่าด่านเข้าไปเอา

ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แค่ดูก็รู้ว่าฝีมือใคร ก็คงเป็นไอ้คู่หูจอมแสบนั่นแหละ พอหยิบธงขึ้นมาดูก็มีคะแนนตั้งแปดคะแนน ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้บ้าสองคนนี้จะพยายามซ่อนมันไว้ คงอยากใหฉันถูกลงโทษล่ะสิ แต่พวกเพื่อนฉันมันก็ต้องซวยไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“แสบนักนะไอ้คู่หูดูโอ้”

หึหึ รู้จักเจ๊คูเปอร์น้อยไปแล้วไอ้ดูโอ้!

ฉันย่องเข้าไปหาตุ๊กแกที่นอนนิ่งอยู่ในกอหญ้าและใช้ผ้าธงในมือหยิบตุ๊กแกตัวเขื่องขึ้นมา ก่อนกะน้ำหนักและโยนมันออกไปหาไอ้คนที่นั่งเขี่ยอ้วกอยู่

ฟิ่วววว...เผละ!

วะฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่เสียแรงที่เล่นทอยเส้นมาตั้งแต่เด็ก โดนเข้าไปกลางหลังเลยอะ

อั๊บแอ~

“เฮ้ยยยย! O[]O”

เสียงตุ๊กแกเพื่อนรักสัตว์โลกร้องทักทายไอ้พี่นิกซ์จนทำให้เขารู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองก็ไม่ได้มีสถานการณ์ต่างจากเพื่อนตัวเองเลย

“ไอ้โย! ไอ้โยชิเอามันออกไปจากหลังกูที!”

ก๊ากกกกก หัวเราะกอไก่ล้านตัวก็คราวนี้ สะใจเจ๊จริง ๆ เล้ย

เมื่อชำระแค้นเสร็จฉันก็เดินกลับไปพยุงนังเป้ที่นั่งหมดเรี่ยวแรงดูฉันก่อเวรก่อกรรมกับไอ้ดูโอ้นั่น แม้ว่ามันคงจะสงสัยในความชั่วช้าของฉันแต่มันก็คงเมาอ้วกจนไม่มีแรงถามนั่นแหละ ฉันถึงหามมันออกมาได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความและปล่อยให้ดูโอ้แหกปากโวยวายสู้รบปรบมือกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ต่อไป

แต่พอเดินมาได้ครึ่งทางด้วยความทุลักทุเล ฉันก็พบกับความช่วยเหลือที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไร นั่นก็คือหนึ่งในแก๊งขอทำเลวนั่นแหละ

“ไหวไหมน้องเป้ เป็นลมหรือเปล่าเนี่ย”

“มันมึนหัวจนอ้วกค่ะพี่วิน” เมื่อเขาดูมีน้ำจิตน้ำใจมากกว่าประสงค์ร้าย ฉันจึงบอกอาการของเพื่อนที่ดูแย่จนเหมือนจะเป็นลมล้มพับลงไปตอนไหนก็ได้

“งั้นให้ขี่หลังพี่ดีกว่าเปอร์ เดี๋ยวพี่แบกเอง อีกตั้งไกลกว่าจะถึงทางออก”

“แต่เป้มันเปื้อนอ้วกนะคะพี่วิน”

“ไม่เป็นไรหรอก”

อุต๊ะ! คนจริงสองพันสิบแปดดดดด

พี่วินจัดการเอาเปเป้ขี้หลังโดยไม่สนใจอ้วกที่เละทะอยู่ตามตัวมันเลย ทำให้ฉัน...

~ใจละลาย~ ใจละลาย ละลาย ละลายยยย~ *^*

เห็นแล้วใจหวั่นไหวเพราะสเปกที่ตรงใจแถมเป็นคนดีมีน้ำใจ เหมือนเทพบุตรที่อยู่ท่ามกลางซาตานร้ายจริง ๆ เชียว แบบนี้ถึงฉันจะโดนไอ้สองตัวนั้นหมายหัวอยู่แต่อุ่นใจหน่อยละนะที่อย่างน้อยก็มีพี่วินที่ดูน่าจะพึ่งพิงได้บ้าง

นับจากนี้ฉันก็จะสู้กลับบ้างแหละเพราะสายสตรองอย่างไอ้เปอร์ลูกเฮียผดุงไม่เคยเสียชื่อเรื่องถูกรังแกหรอก ถ้าอยากไฝว้นักเจ๊เปอร์ก็จัดให้ ไอ้คู่หูหน้าเลือดสีชมพูนั่นจะได้รู้ว่าสายแข็งน่ะเป็นไง หึหึ

 


 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา