เพชรเปื้อนดิน

-

เขียนโดย วาฬดิน

วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.42 น.

  5 ตอน
  1 วิจารณ์
  6,039 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 04.55 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) เงื่อนที่ไม่ได้แก้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

​        “คุณมั่นใจใช่มั้ยว่าชั้นจะไม่ตกลงมา ตอนที่กำลังหลับอยู่”

        “ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนะ เอ...มันควรจะซ้ายทับขวา หรือขวาทับซ้ายล่ะเนี่ย มองอะไรไม่เห็นซะด้วย”

        “อย่าทำเป็นเล่น ชั้นจะเสร็จแล้ว เดี๋ยวออกไปทำเอง!”

        หญิงสาวกล่าวอย่างฉุนๆ พลางเอาศอกกระทุ้งผ่านผนังผ้าร่มออกไปจนถูกเข้ากับน่องของเขา พิชิตแสร้งส่งเสียงร้อง “อ๊าว” ออกมา

        “แหม...ผมก็แกล้งอำเล่นหรอกน่า หาเรื่องคุยจะได้ไม่เขิน”

        “ชั้นก็ไม่ได้ไปแก้ผ้าให้คุณดูซะหน่อย ทำไมจะต้องเขินด้วย”

        “บ๊ะ!...เจอคนจริงเข้าให้แล้วไง”

                                     

        “ควาก”

        เสียงรูดซิปเปิดประตูเต็นท์ดังขึ้นหลังจากที่สิ้นบทสนทนาเพียงครู่เดียว หญิงสาวม้วนปลายผ้าร่มส่วนที่เคยเป็นประตูเก็บเข้าที่ แล้วรูดซิปเฉพาะส่วนที่เป็นผ้ามุ้งปิดไว้ตามเดิม ก่อนจะหยิบเอาเสื้อผ้าเปียกที่พับเอาไว้เรียบร้อยในถุงพลาสติกมิดชิดยัดใส่ในกระเป๋า หล่อนลุกขึ้นยืนเอามือฉวยปลายผมรวบเป็นหางม้าแล้วจับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างหยิบยางรัดผมที่คาบอยู่ที่ปากนำมารัดกับกระจุกผมที่ท้ายทอยของตัวเองอย่างง่ายๆ

        “ไหน สำเร็จมั้ย ขอดูหน่อย”

        แก้วใช้ฝ่ามือแตะที่สีข้างของพิชิตเบาๆเป็นสัญญาณให้หลีกทาง เพราะเต็นท์ของพิชิตนั้นกินพื้นที่ใต้หลังคาจนแทบไม่เหลือทางให้เดิน เปลที่เขาผู้ไว้กับเสาขณะนี้เบียดชิดกับผนังเต็นท์จนโย้ไปด้านหนึ่ง

        “เชื่อมือผมได้ ต่อให้คุณหนักซักร้อยโล ก็ไม่มีทางหลุด”

        “จะบ้าเหรอ!”

        หญิงสาวใช้กำปั้นทุบไปที่แผ่นหลังของเขาดังพลั่ก แต่ก็ดูออกได้ไม่ยากว่านั่นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองในเชิงหยอกล้อกันเสียมากกว่า ท่าทีของทั้งสองเริ่มเป็นกันเองมากขึ้นไม่เหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกัน และดูไม่ค่อยเคอะเขินเหมือนทีแรก อาจเนื่องจากความมืดที่ปกคลุมรอบด้าน ทำให้คนเราไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเข้าหากันและแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ง่ายขึ้น

        “นี่มันเงื่อนอะไรของคุณน่ะ”

        แก้วใช้มือคลำดูปมเชือกที่พิชิตผูกไว้เป็นปมใหญ่ มันดูแน่นหนาก็จริง แต่ก็ดูยุ่งเหยิงจนหาต้นหาปลายไม่ถูก แถมยังอ้อมกลับไปกลับมาจนวุ่นวายสับสน

        “เงื่อนอะไรไม่รู้ แต่ผมรับรองว่าไม่มีหลุดแน่นอน”

        ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวเองลงไปในเปลแล้วทดลองแกว่งช้าๆ ปมเชือกทั้งสองข้างนั้นแน่นเปรี๊ยะไม่แสดงอาการเคลื่อนหรือคลายตัวลงแม้แต่น้อย

        “ชั้นเชื่อว่ามันไม่หลุด แล้วคุณก็คงจะแก้มันไม่ออกด้วย”

        “เดี๋ยวถึงตอนจะแก้ก็ค่อยว่ากัน ผมรับผิดชอบเอง”

        “เจ้าค่า...ไม่แก้ให้ล่ะน่าดู...”

        หญิงสาวลากเสียงยาว ส่วนชายหนุ่มฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวสะท้อนแสงของดวงจันทร์ ขณะนี้ฝนหยุดตกลงแล้ว คงเหลือแต่เสียงของน้ำค้างตามยอดไม้ที่ยังคงหยดลงมาส่งเสียงดังเปาะแปะไปทั่วบริเวณ สัตว์จำพวกเขียด หรือปาด ก็แข่งส่งเสียงร้องระงมก้องไปทั้งป่า ทั้งสองจ้องตากันและนิ่งงันกันไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมองเห็นลางๆแค่เพียงเค้าโครงใบหน้าที่ปราศจากสีสันใดๆ ก็พอจะอนุมานได้ว่ารูปร่างลักษณะของกันและกันเป็นอย่างไร

        แก้ว หรือสาวน้อยที่มากับฝน อายุอานามน่าจะอยู่ราวๆ 28 ปี ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวรับกับดวงตากลมโตได้สัดส่วน ปากนิด จมูกหน่อย สองปุยแก้มปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆรับกับมุมปาก องค์ประกอบที่กลมกลืนลงตัวเหล่านี้ ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนหล่อนกำลังยิ้มน้อยๆตลอดเวลา พิชิตบอกกับตัวเองว่า นี่คือใบหน้าของหญิงสาวที่น่ามองจนยากจะละสายตาที่สุดในชีวิตของเขา อาจไม่ใช่ความสวยงามคมกริบดั่งเช่นนางงามจักรวาลหรือนางแบบนิตยสารที่เขาคุ้นเคย แต่เป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจชนิดที่ทำให้เขาหลงใหล เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าหวานๆในโทนสีไนท์เชดอยู่อย่างนั้นจนตาไม่กระพริบ

        “คุณเข้าไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีแรง”

หญิงสาวเบือนหน้าหลบไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับเม้มปากจนเห็นรอยบุ๋มของลักยิ้มที่สองแก้มอย่างชัดเจน

        “ผมคงนอนไม่หลับหรอก อากาศคืนนี้มันร้อนวูบวาบพิลึก”

        “ร้อนกะผีสิ คุณนี่ท่าทางจะอาการหนัก”

        “ไม่รู้สิ ก็ใจมันสั่นๆแปลกๆ”

        “ถ้างั้นคุณก็หลบไปหน่อย ชั้นจะนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์...”       

        แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ไม่มีผิด ในค่ำคืนอันยาวนานนี้ พิชิตไม่สามารถจะหลับตาได้ลงแม้ชั่วขณะหนึ่ง มันไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนพิลึกพิลั่นอย่างที่เขากล่าวส่งเดชไปหรอก แต่เป็นหัวใจของเขาต่างหากที่ร้อนรุ่มจนระอุอยู่ภายใน เขาไม่สามารถลบภาพใบหน้าของหล่อนที่ตรึงตาตรึงใจของเขาได้ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา และยิ่งโดยเฉพาะในยามที่หล่อนกำลังล่องลอยในนิทราอยู่ข้างๆเขา ร่างนั้นเบียดเสียดอยู่กับผนังผ้าใบของเต็นท์นอนจนปรากฏเป็นรูปร่างทรวดทรงชัดเจน ยิ่งทำให้เขาบังเกิดอาการรุ่มร้อนบีบหัวใจ แล้วก็นึกเสียดายว่าเมื่อคิดว่าหากรุ่งเช้ามาถึงเมื่อใด ทั้งเธอและเขาก็คงต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองโดยจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่ก็ไม่รู้ ซึ่งเขาต้องยอมรับว่า ตลอดชีวิตวัยฉกรรจ์ของเขาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะต้องปล่อยให้ “ของดี” หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเช่นนี้...

       

        “แสดงว่าคุณพิชิตก็แอบประทับใจสาวน้อยคนนั้นอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ”

        ภรรยาของดนัยกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าพิชิตเงียบเสียงลง ดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยประกายแห่งความสนใจใคร่รู้ หล่อนนั่งเท้าคางฟังพิชิตบอกเล่าเรื่องราวอย่างตั้งอกตั้งใจ

        “ต้องยอมรับว่า ใช่ ครับ” พิชิตหยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ

        “แต่ตอนนั้นคุณก็มี เอ่อ...คนรักอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

        “อืม...จะเรียกว่าคนรักก็ไม่ถูกนักครับ ตอนนั้นผมมีผู้หญิงหลายคนเข้ามาติดพัน ด้วยนิสัยเสียอย่างว่าของผมเองนั่นแหละ บางคนก็ถึงขั้นจะจับผมแต่งงานให้ได้เลย...”

        “แล้วสาวน้อยคนนั้นรู้รึเปล่าคะ”

        “ร...รู้ครับ”

        พิชิตก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อย สีหน้าปรากฏแววความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แววรีบยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นสัญญาณให้หยุดชั่วคราว

        “อ๊ะๆ เดี๋ยวๆๆ ก่อนจะเล่าต่อ แววขอถามก่อนว่า สามีอิชั้นใกล้จะได้เข้าฉากรึยังคะ คือนั่งฟังมาตั้งนานเนี่ย ยังไม่เห็นสามีอิชั้นโผล่เข้ามาตอนไหนเลย หรือจริงๆแล้วไม่ได้ไปด้วยกันรึเปล่า”

        “ตอนนั้นคุณดนัยไม่ได้มาด้วยนี่ครับ เค้าบอกคุณว่าไปเหรอ” พิชิตแกล้งตีหน้าซื่อ

        “นั่นไง เผาบ้านผมแล้วไง!” หนุ่มหน้าเหี้ยมเกรียมเอ็ดตะโรออกมาดังลั่น

        “เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะโดนทั้งคู่ ไหนเล่ามา สรุปมันยังไงกันแน่” หล่อนชูกำปั้นขึ้นมาทำมือหงิกๆ

        “คุณดนัยกับคุณเก่ง กว่าจะมาถึงก็เช้าแล้วครับ”

        “อ้าว ไหนว่านัดกันตอนค่ำไม่ใช่เหรอคะ”

        กล่าวจบหล่อนก็หันไปจ้องหน้าสามีเขม็ง ทำตาเขียวปั๊ด แต่ก็ไม่สามารถจับพิรุธใดๆจากสายตาคู่นั้นได้

        “ฝนตกหนักขนาดนั้น ใครจะบ้าฝ่าไป จอดนอนปั๊มน้ำมันสบายกว่า”

        “แล้วคุณก็ปล่อยให้เค้าอยู่กันสองคนเนี่ยนะ”

        “โธ่...ก็ใครมันจะไปรู้ว่าพี่เค้าจะมาจริงเล่า นัยยังไม่รู้จักพี่เค้าเลยตอนนั้น พี่เก่งก็บอกแค่ว่าชวนใครมาไม่รู้ จะมาจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เห็นถ่ายรูปอวดรถแพงเลยหมั่นไส้ แกล้งหลอกมาเชือดให้รถพังเล่นไปงั้นแหละ”

        “คันนี้น่ะเหรอคะ?”

        หล่อนชี้นิ้วไปยังเจ้า เอฟ-อี 350 สีขาว-น้ำเงิน ที่จอดอยู่ข้างๆรถกระบะของสามี

        “ใช่ครับ”

        “นิสัยเสียจังเลยตาเก่งเนี่ย ชักอยากเจอตัวซะแล้วสิ”

        “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็มา แกบอกจะลองขับขึ้นมามืดๆดูบ้าง น่าจะมันส์”

        “ชั้นว่าเพื่อนคุณต้องบ้าแน่ๆ”

        แววใช้นิ้วมือทั้งสองข้างนวดคลึงบริเวณขมับ เมื่อนึกถึงสภาพเส้นทางที่หล่อนเพิ่งผ่านมาเมื่อช่วงบ่าย มันเต็มไปด้วยความทุเรศทุรัง ทั้งหลุมทั้งบ่อ ดินโคลน อีกทั้งยังต้องวิ่งลุยลำธารอีกไม่ต่ำกว่า 20 สาย แล้วคนประเภทไหนที่อยากจะขับรถผ่านเส้นทางแบบนี้ในเวลากลางคืน ถ้าไม่ใช่คนบ้า

        “ถ้าไม่ติดว่าตัวเองจะมาด้วยรอบนี้ นัยก็จะขับมาตอนกลางคืนกับพี่เก่งนั่นแหละ”

        “บ้าทั้งคู่!!”

        จากนั้นสองชายหนุ่มก็หัวเราะกันลั่น มีเพียงหญิงสาวคนเดียวที่นั่งส่ายหัวเอามือกุมขมับ

        “คุณพิชิตเล่าต่อเถอะค่ะ แววอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงต่อ ดูแล้วคุณน่าจะสติดีที่สุดในแก๊งค์แล้วล่ะมั้ง”

        “ถึงไหนแล้วนะครับ”

        “คืนนั้นจบลงยังไง สามีแววมาถึงตอนไหน แล้วเหตุการณ์มันเป็นยังไงต่อไป”

        “อืม...เรื่องคืนนั้น...ผมขอไม่เล่าดีกว่า แต่ผมจะเล่าว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไงต่อไป แล้วคุณแววก็ลองเติมช่องว่างที่หายไปเอาเองดีมั้ย แบบนี้ผมว่าน่าสนุกกว่านะ”  

        “เอาอย่างงั้นก็ได้ค่ะ แต่บอกก่อนนะ แววเนี่ยเป็นนักจับผิดมือหนึ่งเลยล่ะ”

        “ครับ”

        เช้าวันนั้นอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าปลอดโปร่ง มองเห็นปุยเมฆขาวลอยสูงกระจายตัวเป็นหย่อมๆ แสงแดดเริ่มสาดส่องลงมากระทบกับพื้นดินที่เปียกชื้นจนเกิดเป็นไอหมอกจางๆลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ พิชิตเพิ่งจะได้เห็นสภาพบริเวณโดยรอบอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

        มันเป็นพื้นที่ค่อนข้างโล่งแจ้ง มีต้นไม้ขึ้นประปรายส่วนมากจะเป็นกอไผ่รวก ล้อมรอบด้วยแนวป่าโปร่งรอบด้าน ด้านหนึ่งอยู่ใกล้กับตีนเขาซึ่งทอดยาวไต่ระดับขึ้นไปจนสูงลิบ ทั่วทั้งบริเวณไม่มีบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆนอกจากเพิงไม้เก่าๆที่เขาได้อาศัยค้างแรมเมื่อคืนนี้ รถกระบะของเขาจอดอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยในลักษณะเฉียง มุมด้านหลังยังคงเสือกคาอยู่กับจอมปลวกจนสีรถเป็นรอยถลอกบางๆ เขามองผ่านมันไปอย่างไม่ได้แยแสอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับสภาพความวินาศสันตะโรเบื้องหน้าที่ห่างออกไปราว 50-60 เมตร กิ้งก้านอันใหญ่โตของต้นกร่างที่หักลงมา น้ำหนักของมันอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 300-400 กิโลกรัม ซึ่งถ้ามันร่วงลงมาใส่เขาในขณะที่ยังหลับอยู่ในรถ เขาคงต้องจบชีวิตอยู่ที่ตีนเขาโกรกนี่เอง พลางนึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่ยังปราณีไว้ชีวิต และสาวน้อยปริศนาเมื่อคืนที่มาเตือนเขาได้ทันเวลา พิชิตได้แต่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ในใจจนเมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปกติ

        “แก้ว!”         เขาอุทานขึ้นมาเสียงดังอย่างลืมตัว รีบกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบวี่แววใดๆที่แสดงว่าหล่อนยังอยู่ ทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า หรือแม้แต่เปลนอนของหล่อนที่เขาเป็นคนผูกไว้เองที่เสาคู่นั้น บัดนี้ได้อันตรธานหายไปหมดสิ้นราวกับหล่อนไม่เคยมาที่นี่ หรือไม่เคยมีตัวตน! พิชิตป้องปากตะโกนเรียกชื่อหล่อนอยู่หลายครั้งจนเสียงดังสะท้อนไปทั้งหุบเขา แต่ก็มีแต่เพียงเสียงสะท้อนของเขาที่ดังกลับมา ท่าทางของเขาร้อนรนเสียยิ่งกว่าของรักหาย เต็มไปด้วยอาการสับสนและผิดหวัง แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ซึ่งดูจากทิศทางแล้ว มันกำลังแล่นตรงดิ่งมาที่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วออกไปยืนต้อนรับด้วยอาการตื่นเต้น 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา